1 ล้าน Sats รวยกว่า 1 ล้านบาท จริงเหรอ? - Sats And Sound Ep.50
https://youtu.be/IIjJJXBIRyA
คลิปนี้ไม่ได้เรียกทัวร์ แต่คิดว่าคงมีคนเห็นต่างแน่นอนครับ
บ้าหรือเปล่า 1 ล้าน sats มูลค่าแค่ 3-4 หมื่นบาทไทย จะรวยกว่า 1ล้านบาทไทยได้ยังไง
ใครคิดแบบนี้อยากให้ดูคลิปให้จบก่อนครับ ผมอยากให้ทุกคนเห็นภาพความจริงของเงินที่ดีเมื่อเทียบกับเงินที่เสื่อมค่า
ย้อนกลับไปเมื่อ 10-15 ปีก่อน การวางแผนเกษียณมีสัก 5ล้านบาทก็เกษียณได้แล้ว
แต่ตอนนี้ปี 2025 ลองไปถามคนที่วางแผนเกษียณได้เลยทุกคนอาจจะตอบคล้ายๆกันคือ มีแค่ 5 ล้านบาทคงไม่พอแล้ว
สาเหตุเพราะเงินเฟียตในมือของเรามันเสื่อมค่า จากการพิมพ์เงินและเงินเฟ้อนั่นเอง
ผมจะมาบอกว่าทําไม การมี 1 ล้าน Sats ถึงรวยกว่า 1 ล้านบาท
เงินเฟ้อที่ประกาศประมาณ 2-3% ต่อปี ใครยังเชื่อตัวเลขนี้อยู่ อยากให้มาดูความจริงกันครับ
เราไปดูปริมาณ M2 ซึ่งคือปริมาณเงินที่อยู่ระบบในไทยก็ได้
M2 คือ ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ จะครอบคลุมปริมาณเงินที่อยู่ในมือประชาชนและภาคธุรกิจทั้งหมด
ง่ายๆคือใช้ดูเงินเฟ้อนั่นเอง แต่ละปีเงินเพิ่มขึ้นเท่าไหร่
ข้อมูลจาก treding view ปริมาณ M2 ของประเทศไทย
กรกฏาคม 2025 M2 = 23.43T
กรกฏาคม 2024 M2 = 22.68T
กรกฏาคม 2020 M2 = 20.14T
กรกฏาคม 2015 M2 = 14.57T
กรกฏาคม 2009 M2 = 9.07T
การคำนวณการเพิ่มขึ้นของ M2
จากปี 2024 ถึง 2025 (1 ปี)
ปริมาณที่เพิ่มขึ้น: 23.43T - 22.68T = 0.75T (3.31%)
อันนี้ดูไม่แย่นะ ไม่ถึง 4% แต่ยังไม่จบครับ
จากปี 2020 ถึง 2025 (5 ปี)
ปริมาณที่เพิ่มขึ้น: 23.43T - 20.14T = 3.29T (16.34%)
จากปี 2015 ถึง 2025 (10 ปี)
ปริมาณที่เพิ่มขึ้น: 23.43T - 14.57T = 8.86T (60.81%)
จากปี 2009 ถึง 2025 (16 ปี) ปีแรกที่บิทคอยเกิดขึ้น หลังจาก Hamburger crisis 2008
ปริมาณที่เพิ่มขึ้น: 23.43T - 9.07T = 14.36T (158.32%)
จากตัวเลข 16 ปีที่ผ่านปริมาณเงินในไทยเพิ่มขึ้น 158% นี่ไงครับใจความสําคัญของคลิปนี้
สาเหตุที่ว่ามีเงินเก็บเท่าไหร่ ก็ไม่เคยพอ ค่าใช้จ่ายมากขึ้นทุกอย่าง
มีตัวอย่าง ข้าวกะเพราะ 10 ปีก่อนยังได้เห็น 30-40 บาทต่อจาน ตอนนี้ 60-100 บาทต่อจานไปแล้ว
การถือเงินเฟียตที่อํานาจการจับจ่ายลดลงตลอดเวลา มันทําให้เราไม่สามารถหาเงินได้ทันอัตราเร่งของเงินเฟ้อ
เพราะรัฐบาลพิมพ์เงินเข้ามาในระบบเพื่อพยุงเศรษฐกิจที่แก้ผิดจุดตลอดเวลา รวมถึงอเมริกาที่พิมพ์เงินและขยายเพดานหนี้ขึ้นไปเรื่อยๆ เงินเฟ้อมันแย่ แต่เราไม่มีทางหลีกหนีมันได้เลย
มีคําพูดบอกว่า มี 2 สิ่งที่คนเราไม่มีทางหนีได้นั่นคือ ความตาย และ ภาษี
ผมขอเพิ่มไปอีก 1 อย่างนั่นก็คือเงินเฟ้อ ครับ
เก็บเงินเฟียตเดือนละแสนยังแพ้เงินเฟ้อในระยะยาวเลย น่ากลัวนะครับ
ไหนๆจะขยี้มันยังไม่จบครับ ผมก็ได้ไปคํานวณต่อว่า 16 ปีที่ผ่านมานั้น 158.32%
ถ้าคิด อัตราการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยต่อปีของ M2 จากข้อมูลนี้คือประมาณ 6.01%
มันจะตรงกับที่เราคาดการณ์กันเงินเฟ้อที่แท้จริง 6-8% ต่อปี
เห็นยังครับ มันไม่ใช่ 2-3% ตามค่า CPI นะครับ
จากคลิปอาจารย์พิริยะ ล่าสุดผมชอบมาก แกบอกว่า ถ้าใครอยากดูเงินเฟ้อคร่าวๆ ให้ไปดูอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของแบ้งค์
จากรูปขอบคุณข้อมูลจาก เวิร์คพ้อยทูเดย์นะครับ
ดู MRR 6.5-8% นี่แหละคือคําตอบว่า แบงค์เขารู้ตัวเลขเงินเฟ้อที่แท้จริงนะ
ถ้าเงินเฟ้อจริงมัน 2-3% ทําไมแบงค์ไม่สามารถลดอัตราเงินกู้ให้ถูกลงกว่านี้ได้
ถ้าใครดูมาถึงตรงนี้ น่าจะเริ่มเข้าใจและได้คําตอบแล้วครับว่า
การถือ 1ล้าน sats หรือ 0.01 BTC นั้นรวยกว่า การมีเงิน 1 ล้านไทยบาทในระยะยาว
ผมมีคลิป เป้าขั้นต่ำที่อยากให้ทุกคนมีบิทคอยไว้ 0.01 BTC เข้าไปดูกันได้นะครับ
ถ้าถามว่าบิทคอยมันมาแก้อะไร มันก็มาแก้เงินเฟ้อไง ตรงตัวเลย แก้แค่เรื่องนี้ ชีวิตเราจะง่ายขึ้นเยอะเลย
สมมติมี 1ล้าน sats มูลค่า 35,000 บาท ในวันนี้ ในอีก 10 ปีข้างหน้า คุณก็ยังมี 1ล้าน sats
หรือ 0.01 BTC เท่าเดิม
แต่การพิมพ์เงิน เงินเฟ้อ ตลอดเวลา จะทําให้มูลค่า 1 ล้าน sats เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเพราะบิทคอยไม่เฟ้อ
มันถูกโปรแกรมมาให้ไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้อีก
ตัดไปที่คุณถือเงินเฟียต 1 ล้านบาท เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี ด้วยอัตรเงินเฟ้อ 6-7% อํานาจการจับจ่าย
ของคุณจะเหลือเพียง 5แสนบาทเท่านั้น และมันจะลดลงไปเรื่อยๆ เพราะเงินเฟียตถูกพิมพ์ออกมาได้เรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด
เท่ากับว่า ใครยิ่งถือบิทคอยช้า เราจะยิ่งโดนเงินเฟ้อกัดกินอํานาจการใช้จ่ายไปเรื่อยๆ
ถ้าใครยังคิดว่า บิทคอยแพงขนาดนี้มันจะโตไปได้อีกเท่าไหร่ ผมมีรูปนี้มาอธิบายให้ฟัง
นี่คือรูปของ total global assets value สินทรัพย์แต่ละอย่างมีมูลค่าเท่าไหร่บ้าง ข้อมูลจาก onceinaspecies.com
- อสังหาฯ กับ พันธบัตร มีอยู่ประมาณ 300T
- เงินและหุ้น 130T
- ทองคํา 22T
- บิทคอยมีแค่ 2T เท่านั้น ตอนนี้น่าจะ 2.4T
ซึ่งเราจะเห็นว่า ยังมีช่องการเติบโตอีกมากเลย
มีคนกาวว่าในอีก 5-10 ปีข้างหน้า มูลค่าของบิทคอยจะแซงทองคําได้ คิดเร็วๆ ตอนนี้ราคา 3.5 ล้าน มูลค่าเพิ่มขึ้น 10 เท่า
ล้านsats หลักหมื่นในวันนี้ จะกลายเป็นหลักแสนในวันนั้น
อาจจะมีคําถามว่า ตอนนี้การเงินพังแล้ว อยากถือบิทคอยต้องทํายังไง
1 ทํารายรับรายจ่ายและเช็คสุขภาพการเงินของคุณก่อน
ข้อนี้จะทําให้เรารู้ว่า เรามีเงินเท่าไหร่ มีรายได้ รายจ่ายเท่าไหร่ ทําให้เราวางแผนการออมบิทคอยได้ในระยะยาว
ต้องออมบิทคอยอย่างสมํ่าเสมอทุกเดือน ทุกอย่างจะไม่มีประโยชน์ถ้าคุณออมได้เยอะๆมากแค่ 2-3 เดือนแรกแล้วเลิก
ถ้ายิ่งใครมีสินทรัพย์ที่โตแย่กว่า เงินเฟ้อ หรือเงินเก็บที่ยังไม่ได้จัดสรร รีบเปลี่ยนเป็นบิทคอยได้เลย
ถ้าปัญหาคือการหาเงินได้ไม่เยอะ
- ดูสินทรัพย์ที่มีก่อน เผื่อมีบางอย่างที่ยังไม่ได้จัดสรร
หรือ อยู่ในสินทรัพย์ที่โตช้ากว่าเงินเฟ้อก็เปลี่ยนมาเป็นบิทคอย
- หาเงินให้มากขึ้น เพื่อออมบิทคอยมากขึ้น
- กําหนดแผนและเป้าหมายที่ทําได้จริงอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน
- ศึกษาเรื่องการเก็บบิทคอยใน HW อย่างปลอดภัย
2 ในระหว่างจัดการการเงินตัวเอง ต้องศึกษาบิทคอยไปด้วย
ว่ากันว่า เราจะมีบิทคอยเท่ากับความรู้ที่มี เรื่องนี้เป็นเรื่องปัจเจคบุคคล เอาเป็นว่าศึกษาเยอะๆครับ
แล้วคุณจะรู้จุดของตัวเองว่าเราโอเค หรือ ต้องการออม หรือ ต้องการมีบิทคอยแค่ไหน
ผมเคยทำคลิปเกี่ยวกับบิทคอยเพื่อเกษียณลองไปดูกันได้
3 ทั้งสองข้อที่ผมบอกไปด้านบน ต้องทําเลยนะครับ
ถ้าผลัดวันประกันพรุ่งอยู่ คนก็จะไม่ได้เริ่มสักที ใครยังไม่มีไอเดียลองดูคลิป ออมด้วยหลักการสิบเท่าของผม
ดูได้ครับ บอกไอเดีย รวมถึงวิธีบันทึกการออมที่ทำง่ายๆ ทำได้ทุกคน
สรุป
1 บิทคอยคือเงินที่ดี ถือไปมันไม่เสื่อมค่าลง กลับกันเฟียตคือเงินที่ไม่ดี มูลค่าจะลดลงตามการพิมพ์เงินและเงินเฟ้อ
ดังนั้น ในระยะยาว 1 ล้าน sats ยังไงก็รวยกว่า มี 1 ล้านบาท
2 เงินเฟ้อมันเฮีย แต่เราก็หลีกหนีไม่พ้น ไม่อยากจนลงวิธีแก้คือ เปลี่ยนเงินเสื่อมค่าในมือให้กลายเป็นเงินไม่เสื่อมค่า
3 เงินเฟ้อที่ค่อยกัดกินเราไปเรื่อยๆ จะทําร้ายทุกคนที่รู้ไม่ทัน ดังนั้นถ้าคุณเข้ามาดูคลิปนี้ คุณรอดแล้วครับ
4 ทุกอย่างที่พูดเอามาจากข้อมูลจริงๆในอดีต ที่ถ้าเราเข้าใจความสําคัญของมัน จะทําให้เราเลือกทางเดินที่ถูกต้อง
การออมเงินผิดที่เสียเวลามากครับ กว่าจะรู้อีกทีเราอาจจะเสียโอกาสมหาศาลแล้ว
5 มองทุกอย่างให้เป็นภาพกว้าง และ ระยะยาว มันจะทําให้คุณตัดสินใจง่ายขึ้น ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยกังวลกับราคาบิทคอยระยะสั้นครับ แค่ออมง่ายๆโง่ๆ อย่างสม่ำเสมอ และเก็บไว้อย่างปลอดภัยใน HW แค่นี้พอแล้ว
6 บิทคอยยิ่งถือช้ายิ่งซื้อแพง ใครสนใจอยากเริ่มออมระยะยาว ต้องศึกษาบิทคอยและเช็คสุขภาพการเงินของตัวเองก่อน
แล้วเริ่มเลย
ทุกอย่างที่พูดในคลิป ถ้าใครไม่เชื่อไม่เป็นไรครับ คุณลองทดสอบด้วยตัวเองได้
บิทคอยเป็นทางเลือกที่ใครจะถือหรือไม่ถือก็ได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง
#siamstr #bitcoin #btc #satsandsound #ออมbtc #stacksats
Sats and Sound
npub1dhsn...xjvg
Sats and Sound: สร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืน ผ่านการเงินดิจิทัลและการพัฒนาตนเอง
ชื่อช่องสามารถตีความให้ครอบคลุมทั้งบิตคอยน์ (Sats), การเงิน (Sound Money), และการพัฒนาตัวเอง (การเรียนรู้ผ่าน "Sound" หรือเสียงที่เป็นความรู้ที่มั่นคง)
Notes (20)
ถือบิทคอยไว้เฉยๆ วิธีเรียบง่าย แต่ทําจริง โคตรยาก - Sats And Sound Ep.49
https://youtu.be/ysK3KNJA8oA
ในกลุ่ม Bitcoin Thai Community มีสมาชิกท่านหนึ่ง ได้แชร์รูปพร้อม แคปชั่น
"ถ่ายไว้เมื่อปี 2016 ใช้การ์ดจอขุดใน pool สมัยก่อน #รู้งี้ #bitcoin"
วันนี้ผมจะรวบรวมความคิดเห็นของคนในคอมมูนิตี้ว่าคิดเห็นยังไงกับภาพนี้กันบ้าง และผมได้บทเรียนอะไรบ้าง
อีกอย่างผมอยากให้คอนเท้นนี้เก็บความทรงจําของบิทคอยในช่วงที่คนยังไม่ค่อยรู้จักอย่างปี 2016 ด้วยครับ
ในรูปเราก็จะเห็นเป็นหน้าเว็บไซต์ bx.in.th ซึ่งใช้ซื้อขายบิทคอย ในตอนนั้นยังไม่มี exchange
ด้วยความที่บิทคอยเพิ่งเกิดไม่นาน และสนใจโดยคนกลุ่มที่เล็กกว่าในปัจจุบันมาก
ทําให้ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ ขาย เก็บบิทคอย ยุ่งยากมากๆครับ
อาจจะด้วยเทคโนโลยี ด้วยความเร็วอินเทอร์เน็ต ด้วยความรู้หลายๆอย่าง
ต่างจากในตอนนี้ที่เราสามารถซื้อบิทคอยได้สะดวกมากทําเสร็จภายใน 1 นาที
ผมเคยทําคลิปจับมือทํา มี 40 บาทก็ออมบิทคอยได้แล้ว ใครสนใจเข้าไปดูกันได้
กลับมาที่รูปนี้กันต่อ
นอกจากประเด็นเว็บซื้อขายบิทคอยที่ปิดไปแล้ว อยากให้ดูราคาบิทคอยในตอนนั้นครับ
ในปี 2016 ถ้าอิงเรทซื้อขายบิทคอยเว็บไซต์ bx.in.th
เรทการซื้อบิทคอย 1 BTC = 23,664 THB
เรทการขายบิทคอย 1 BTC = 22,668 THB
หลายคนตกใจว่าทําไมเรทซื้อขายต่างกันเยอะ อยากบอกว่าเป็นเรื่องปกติครับ เขาไม่มีทางซื้อขายเท่ากันอยู่แล้ว
ยกตัวอย่าง ถ้าคุณลองเอาเงิน ดอลล่าไปแลกแบงค์ดู เรทซื้อ เรทขายก็ไม่เท่ากันเหมือนกัน
แล้วในรูป
ถ้าหากคุณขาย 0.8 BTC จะได้รับเงิน 18,110 บาท
แล้วตัดกลับมาที่ราคาบิทคอยในปัจจุบัน อยู่ที่ 3,597,865.67 บาทต่อ 1 BTC
เท่ากับว่า 0.8 BTC ในวันนี้มีมูลค่าถึง 2,878,292.53
มูลค่าเพิ่มขึ้น 159 เท่า หลังจากเวลาผ่านไป 9 ปี
จริงๆข้อมูลตรงนี้ ดูกราฟทุกคนรู้หมด แต่ภาพนี้มันมายํ้าความรู้สึกเสียดาย ความรู้สึกรู้งี้ ให้ชัดเจนขึ้นไปอีก
เกริ่นมาพอสมควรคราวนี้ เราไปดูความคิดเห็นของคนในคอมมูกัน บ้างครับ
ผมจะแบ่งประเภทคอมเม้นได้ 3 กลุ่มหลักๆก็คือ
1. กลุ่มผู้ที่มีประสบการณ์ตรง (Early Adopters)
2. กลุ่มผู้ที่รู้จักบิทคอยแต่ไม่ได้ซื้อขาย
3. กลุ่มที่แสดงความคิดเห็นทั่วไป
1. กลุ่มผู้ที่มีประสบการณ์ตรง (Early Adopters)
คอมเมนต์ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มคนที่รู้จักและเข้ามาในวงการบิทคอยน์ตั้งแต่ช่วงแรกๆ โดยเฉพาะยุคที่ BX.in.th และ Coins.co.th ยังเป็นที่นิยมอย่างมาก คอมเมนต์ในกลุ่มนี้จะมีการกล่าวหัวข้อย่อยๆอีกเช่น
1.1 ประสบการณ์การซื้อขาย
การซื้อบิทคอยน์ในราคาหลักร้อยหลักพันบาท (มีเม้นบอกว่า 100 บาท ได้ 30 เหรียญ) การซื้อขายผ่านเว็บ BX และ Coins.co.th พูดถึงลุงโฉลก เป็นต้น
1.2 การขุด (Mining)
การใช้คอมพิวเตอร์ส่วนตัวขุดบิทคอยหรือเหรียญอื่นๆ เช่น NiceHash หรือ Minergate รวมถึงปัญหาเรื่องค่าไฟ
มีคอมเม้นบอกว่าเหรียญที่ขุดหายไปเพราะ HDD คอมเก่าเสีย ทิ้งไปแล้ว ซึ่งมีมูลค่าเยอะเสียดายมาก
1.3 ความทรงจำและอารมณ์
ความคิดถึงบรรยากาศในแชทของ BX ที่สนุกสนาน และการพูดถึง "สมศักดิ์" ซึ่งเป็นตัวละครที่สร้างสีสันในห้องแชท
มีคอมเม้นบอกว่า ปั่นกันทั้งวันทั้งคืน ไม่นอน สนุกมาก
1.4 ประสบการณ์การสูญเสีย ทําบิทคอย หรือ ขายหมู
การสูญเสียเหรียญเนื่องจากเว็บปิดตัว, wallet เงินหาย ,ไฟล์ seedphrase.dat หายไปพร้อม HDD หรือ ล้างเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือการขายทิ้งในราคาที่ต่ำกว่าปัจจุบันมาก เช่น ขายหมดตอนราคาหลักแสนบาท
2. กลุ่มผู้ที่รู้จักบิทคอยแต่ไม่ได้ซื้อขาย
กลุ่มนี้จะรู้จักบิทคอยน์จากข่าวหรือคนรอบข้าง แต่ไม่มั่นใจหรือมีเงินทุนแต่ไม่อยากซื้อช่วงแรกๆ หรือมารู้จักเมื่อราคาสูงขึ้นมากแล้ว เช่น คอมเมนต์ที่บอกว่ามารู้จักตอนราคาไป 700,000 แล้ว คนที่คิดว่าบิทคอยแพง ผ่านไปกี่ปี กี่ราคา มันจะขึ้นขนาดไหน
เขาก็ไม่ซื้ออยู่ดี
3. กลุ่มที่แสดงความคิดเห็นทั่วไป
เป็นคอมเมนต์ที่สรุปบทเรียนหรือความรู้สึกจากเรื่องราวในอดีตของผู้ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นในยุคบุกเบิก เช่น "รู้อะไรไม่เท่า รู้งี้" หรือ "ขายไปก็ดีแล้ว คนอื่นจะได้รวยบ้าง" รวมไปถึงคอมเมนต์ที่ให้คำแนะนำแบบสั้นๆ เช่น "เก็บโง่ๆ" และ "ถือยาว+อดทนรวย" คนที่ทําได้จะต้องศึกษาและเข้าใจบิทคอย รวมถึงอดทนรอให้มันงอกงามได้
จากคอมเม้นผมก็มานั่งวิเคราะห์ต่อว่า แต่ละท่านที่มาแสดงความคิดเห็นน่าจะรู้จักบิทคอยในช่วงเวลาไหนบ้าง
แบ่งออกได้ 3 กลุ่ม
1 กลุ่มผู้บุกเบิก (รู้จักตั้งแต่ปี 2013-2017)
- กลุ่มนี้คือผู้ที่ใช้งาน BX.in.th โดยตรง
- เป็นผู้ที่ทันยุคที่บิทคอยยังมีราคาถูกมากๆ เช่น คอมเมนต์ที่พูดถึง
ราคาหลักพันหรือหลักหมื่นบาท
- คอมเมนต์ที่พูดถึงการเก็บเหรียญในช่วงปี 2017
2 กลุ่มที่รู้จักหลังจากปี 2017 (ช่วงที่ราคาเริ่มพุ่ง)
- กลุ่มนี้คือผู้ที่เริ่มสนใจบิทคอยน์ในช่วงที่ราคามีความผันผวนสูงและเริ่มเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง
- บางคนรู้จักมาก่อนแต่พึ่งมาสนใจบิทคอยช่วงนี้
3 กลุ่มผู้ที่รู้จักในช่วงหลัง (ราคาเริ่มสูงมาก)
- กลุ่มนี้คือผู้ที่เพิ่งมารู้จักบิทคอยน์เมื่อไม่นานมานี้ หรือเมื่อราคาได้พุ่งสูงขึ้นไปแล้ว หลังปี 2020
ซึ่งมักจะแสดงความรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เข้ามาลงทุนตั้งแต่แรก และพยายาม stack sats ต่อไป
จากคอมเม้นและประสบการณ์ของทุกคนในคอมมูนิตี้ ผมได้บทเรียนอะไรบ้าง
1 จงศึกษาบิทคอย และศึกษาบทเรียนในอดีต แล้วนํามาปรับใช้ในอนาคต
หลายๆคนไม่ถือยาว แล้วมารู้งี้ ก็เพราะในตอนนั้นยังไม่มีบทเรียนให้เห็น เวลามันย้อนกลับไปไม่ได้ ดังนั้นเราก็โฟกัสที่ปัจจุบัน
ผมเคยทําคลิป โฟกัสที่ ปัจจุบัน สําคัญที่สุด ได้พูดถึงประเด็นการซื้อบิทคอยไว้ด้วย ลองไปดูกันได้ น่าจะสรุปสาเหตุความรู้งี้
ของกลุ่มบิทคอยเนอร์ในยุคแรกๆได้ ว่าทำไมเขาถึงไม่ถือจนมาถึงปัจจุบัน
2 "ถือยาว" คือหัวใจสำคัญ
คอมเมนต์หลายข้อที่แสดงความเสียดายล้วนมาจากปัญหาการ "ขายทิ้ง" ในช่วงที่ราคาดิ่งลง หรือขายไปเมื่อได้กำไรเล็กน้อย ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญของการลงทุน บทเรียนที่ได้คือค่อยๆสะสม ทยอยออม และไม่ขาย หากเราเชื่อมั่นในสินทรัพย์อย่างบิทคอย การถือครองในระยะยาว (HODL) คือกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุด
3 "เก็บโง่ๆ" คือวิธีที่ง่ายที่สุด
คำว่า "เก็บโง่ๆ" จากคอมเมนต์มันสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดที่ว่าไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้ซับซ้อนในการเก็งกำไร เพียงแค่ซื้อและเก็บไว้โดยไม่ต้องคิดมากในระยะยาว ก็สามารถสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าได้
4 ความอดทนต่อความผันผวน
มีคอมเม้นที่สะท้อนให้เห็นว่าการจะเก็บสินทรัพย์ที่ผันผวนสูงอย่างบิทคอยน์ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องเผชิญกับความผันผวนทางราคาและปัญหาด้านค่าใช้จ่ายในชีวิตจริง มีหลายสาเหตุ ที่ทําให้คนถือบิทคอยได้ไม่นานพอ
ความอดทนจึงเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดสำหรับการออมบิทคอย
มีคอมเมนต์ที่ บอกว่ารู้จักตั้งแต่ตอนนั้น แต่ก็ยังไม่รวยสักที ทําให้ผมนึกถึงคลิป
ถือ BTC มานาน กําไรเยอะ แต่ทําไมไม่เห็นเปลี่ยนชีวิตสักที? ที่ผมเคยทํา
อันนั้นจะพูดในการมองภาพในปัจจุบัน ดูคลิปนี้จบ ยังอารมณ์ค้างไปต่อคลิปนั้นกันได้เลยครับ
5 การจัดการความเสี่ยงและเก็บรักษาบิทคอย
บทเรียนสำคัญที่ผู้บุกเบิกหลายคนต้องเผชิญคือการทําบิทคอยหาย
- ลืมรหัสผ่าน การทํากระเป๋าเงินดิจิทัลหาย
- seedphrase.dat หาย , HDD คอมเสีย
- การที่เว็บเทรดปิดตัว โดนโกง
- การเรียนรู้ในการเก็บบิทคอยอย่างปลอดภัยใน Hardware wallet สําคัญมากๆ
- seed phrase เก็บไว้ให้ปลอดภัย จดในกระดาษ หรือตอกใส่แผ่นโลหะ ห้ามถ่ายรูป
ห้ามอัพลงอินเทอร์เน็ต
คําว่า Not Your Key , Not Your Coins มันเกิดมาจากปัญหาเรื่องบิทคอยหาย
เพราะเราไม่ได้เก็บบิทคอยด้วยตัวเอง
ดังนั้นดูแล HW , seed phrase และ บิทคอยของคุณให้ดี ถ้า seed หลุด บิทคอยหายได้ทั้งหมด
6 เข้าใจความแตกต่างระหว่าง "การออม" และ "การลงทุน"
มีคอมเม้นที่พูดถึง "การเทรดและการลงทุน" ซึ่งมักจะเน้นการเก็งกำไรระยะสั้นหรือเทรดซื้อขาย อาจทำให้ไม่ประสบความสำเร็จ ในขณะที่การ "ออม" ที่มาจากการศึกษา และเข้าใจบิทคอย รวมวางแผนระยะยาวต่างหากที่จะสร้างความมั่งคั่งได้ง่ายกว่า
ผมมีคลิปแยกการออมและลงทุน ลองไปศึกษากันดูนะครับ
สรุป
1 ถือบิทคอยไว้เฉยๆ วิธีเรียบง่าย แต่ทําโคตรยาก เพราะเราไม่มีทางรู้อนาคตว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น เหมือนกับคอนเท้นในวันนี้
ที่มีเหล่า Early Adopters มาแชร์ประสบการณ์และความเสียดายมากมายที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ถ้าพวกเขารู้ว่าราคาจะพุ่งมาขนาดนี้ใครจะขายถูกมั้ย?
2 การออมบิทคอย ระยะยาว เก็บไว้อย่างปลอดภัยใน HW คือวิธีที่ง่ายที่สุดก็ต่อเมื่อ เราเข้าใจบิทคอยจริงๆ
ถ้าไม่เข้าใจ เราก็จะขายออกในวันที่ไม่ควรขาย
3 โฟกัสที่ปัจจุบันสําคัญที่สุด ความผิดพลาดในอดีตเอามาเป็นบทเรียนเพื่อให้ไม่ผิดเรื่องเดิมซ้ำๆ
4 ในตอนนี้พวกเรารู้แล้วว่า บิทคอยคือทางรอดและยืนระยะจากผู้โจมตีมาได้ถึง 16 ปี
บิทคอยคือการเงินไร้ศูนย์ที่ไม่มีใครสามารถควบคุมได้ และสาเหตุที่มูลค่ามันเพิ่มขึ้นก็เพราะการพิมพ์เงิน และเงินเฟ้อที่ไม่มีทางทีที่จะลดลง รวมถึงคนเริ่มเห็นความจริงตรงนี้มากขึ้นว่า บิทคอยเป็นแหล่งเก็บมูลค่า ต่อต้านเงินเฟ้อ การถือครองระยะยาว ทําให้เรามีความมั่นคงและมั่งคั่งมากขึ้น
5 ผมเชื่อว่า บทเรียนในอดีตทําให้คนที่เข้าใจเก็บบิทคอยระยะยาวกันมากขึ้น
- ถ้าหากเราไปดูข้อมูล on chain ข้อมูล bitcoin dominance รวมถึง supply ของบิทคอยใน exchange ที่น้อยลงไปเรื่อยๆ
- รัฐชาติเริ่มเก็บ ทํา bitcoin reserve
- บริษัท เริ่มทํา bitcoin treasury company มากขึ้น
- ในอเมริกา สัดส่วนคนถือครองบิทคอย แซงหน้า ทองคําเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
- อเมริกันดรีมที่เคยมีเป้าหมายคือบ้าน รถ กลายเป็นการถือบิทคอย 1 BTC แทนแล้ว
คุณเห็นเทรนแห่งอนาคตแล้วยัง??
ทองคําคือเงินของพระเจ้า
เฟียตคือเงินของรัฐบาล
บิทคอยคือเงินของประชาชน
บิทคอยยิ่งรู้ช้า ยิ่งซื้อแพงขึ้น
#siamstr #btc #bitcoin #satsandsound #ถือbtc #ออมbtc #stacksats
ความสำเร็จที่แท้จริง ต้องยั่งยืน และทำซ้ำๆได้ - Sats And Sound Ep.48
https://youtu.be/daFoASGwwFQ
บทความนี้อยากให้ทุกคนหันกลับมมามองสิ่งที่เราเคยทำ สิ่งที่เราคิดว่าเป็นความสำเร็จ ว่าแท้ที่จริงมันเป็นสิ่งที่เราควร ดีใจ ภูมิใจ และยั่งยืนขนาดไหน
สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมกลับมาทบทวนตัวเอง เพราะถ้าหากเราต้องการประสบความสำเร็จในชีวิตไม่ว่าเรื่องไหน ล้วนแต่เป็นเกมระยะยาวทั้งนั้น ดังนั้น ความสำเร็จที่แท้จริง ต้องยั่งยืนและทำซ้ำๆได้ คนที่ประสบความสําเร็จ เขาจะสามารถทําสิ่งนั้นๆได้อีกเรื่อยๆ
เช่นดาราที่ได้รางวัลออสก้าซ้ำๆ หรือ นักธุรกิจที่สร้างเงินได้เรื่อยๆ
พอคิดได้แบบนี้ การมองโลกของผมก็เปลี่ยนไปเลย ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เราบังเอิญทำแล้วสำเร็จ หรือได้ผลดีมันแย่นะ ยกตัวอย่างเช่น บังเอิญถูกหวย บังเอิญขายของได้ค่าคอมเยอะๆ
ถ้าได้ผมก็ดีใจกับมัน แต่ผมจะคอยเตือนตัวเอง และไม่หลงคิดไปว่า สิ่งบังเอิญเหล่านี้จะเกิดขึ้นซ้ำๆได้บ่อย
อาจจะดูมองโลกในแง่ร้ายไปหน่อย แต่ตัวผมเองเป็นคน ไม่พึ่งโชค ไม่พึ่งดวง มองทุกอย่างเป็นความจริงที่จับต้องได้เท่านั้น
ยกตัวอย่าง
1. ความสำเร็จคือการขายของออนไลน์หรือทำนายหน้า
- ถ้าเป็นการขายของตรงกับคลิปที่เราจะขาย แล้วขายได้เรื่อยๆ อันนี้ผมจะดีใจ เพราะสินค้าที่ขายเกิดจากลูกค้าสนใจคลิปเราแล้วกดซื้อ มีโอกาสที่เราจะขายได้ซ้ำๆอีก ถึงจะได้เงินไม่มากต่อขึ้นก็ไม่เป็นไร เรามองระยะยาว
- ถ้าเป็นสินค้าที่ไม่เกี่ยวข้องกับคลิปของเรา แล้วลูกค้ากดซื้อ เราได้ค่าคอม ถึงแม้จะได้เงินเยอะ แต่สิ่งนี้ไม่ยั่งยืน
และมีโอกาสที่เราจะขายได้แค่ครั้งเดียว ผมก็จะเฉยๆครับ ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้คาดหวังมาก
2. ความสำเร็จคือการหาเงินมา ออมบิทคอย ได้มากขึ้น ตัวอย่างนี้เราจะได้เห็นประโยชน์
ของการทําซํ้าๆได้อย่างชัดเจน
- ถ้าเงินที่ได้มาจากการถูกหวย การขายของที่ทำได้แค่ครั้งเดียว ได้เงินก้อน ผมก็จะเฉยๆครับ ไม่ได้ภูมิใจอะไรมาก
เพราะสิ่งนี้มันทําซํ้าไม่ได้
- ถ้าเงินที่ได้มาเกิดจาก การทํางาน productivity ร่วมกับการจัดการเงินส่วนบุคคลผ่านการทํารายรับรายจ่าย
อันนี้น่าภูมิใจกว่าเพราะเราคิดมาแล้ว และที่สําคัญมันทําได้ในระยะยาว ถึงแม้ว่าจํานวนที่ใช้ออมบิทคอยจะน้อยกว่าแต่ยั่งยืนกว่ามาก
ผมทำทุกเดือนสร้างวินัยจนเป็นนิสัย มันจะค่อยๆขัดเกลา มายเซ็ตของเราให้เดินถูกทางมากขึ้นด้วย
อะไรที่ผ่านกระบวนคิดมาดีแล้ว และไม่ฉาบฉวย ผมว่ามันยั่งยืนและมีความสุขกว่าจริงๆนะ
ตรงกับหลักคิดของ บิทคอย ที่ทุกคนต้อง Low Time Preference และชอบหลักการ อดเปรี้ยวไว้กินหวาน
ในตอนนี้เราอยู่ในโลกของเงินเฟียต ที่ต้องรวดเร็ว High Time Preference ตลอดเวลา แต่ละวันเราก็จะเห็นข่าว คนถูกหวยรางวัลใหญ่ เป็นสิบๆล้าน ข่าวความสำเร็จของนัก ธุรกิจที่สร้างตัวได้อย่างรวดเร็ว เช่น 1 ปีรวยเลย ประสบความสำเร็จในระยะสั้น
ข่าวพวกนี้อ่านได้แต่อย่าไปอินกับสิ่งพวกนี้มากนะครับ ความสำเร็จแบบชั่วคราวเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในคนแค่ 1% เท่านั้น มนษย์ธรรมดาอีก 99% อย่างพวกเรา อยากให้รู้เท่าทันความคิด และมองโลกแห่งความเป็นจริง ไม่พึ่งพาโชคหรือเอาความสำเร็จไปแขวนกับความไม่แน่นอน
อยากประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนและแท้จริง ไม่ว่าในเรื่องไหน ต้องหาวิธีที่ทำให้เราสามารถทำสิ่งนั้นซ้ำๆได้
ผมเองไม่ได้ด้อยค่าคนที่ฟลุ๊ดหรือโชคดีนะครับ บุญวาสนาโชคลากเป็นเรื่องตัวใครตัวมัน
ถ้าโชคดีก็ถือว่าเป็นทางลัดไปสู่ความสําเร็จเร็วขึ้น เช่นเรื่องเงิน เราก็จัดการดีๆ อย่าเอาไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือยหมด
ไม่งั้นจากลาภ มันจะกลายเป็นทุกขลาภแทน
สรุป
1. ความสําเร็จที่แท้จริง ต้องยั่งยืนและทําซํ้าๆได้ มันไม่ได้เกิดเพียงข้ามคืน ต้องอาศัยทั้ง วินัย ความสามารถ
และการอุทิศเวลา เพื่อสร้าง Productivity ซํ้าๆนั่นเอง
2. รู้เท่าทันความสำเร็จที่เกิดขึ้น ถ้าเป็นสิ่งที่ทำซ้ำๆไม่ได้ เราก็อย่าไปคาดหวังว่ามันจะเกิดขึ้นบ่อยๆ ใช้ชีวิตอย่างมีสติ
3. อยู่ในโลกแห่งความจริง ค่อยๆสะสมประสบการณ์ ความรู้ ความชํานาญ อยากสําเร็จเรื่องไหน ก็โฟกัสที่เป้าหมายนั้น
ผมเชื่อว่าทุกคนสามารถทําตามเป้าที่ตัวเองคาดหวังได้ ไม่ช้าก็เร็ว
4. ความโชคดี ความฟลุ๊ค เกิดขึ้นก็ดี มันเป็นทางลัดที่ทําให้เราไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น
แต่อย่าไปคาดหวังว่าความโชคดีจะเกิดขึ้นบ่อยๆ รู้เท่าทันความคิดของตัวเอง
#siamstr #satsandsound #bitcoin #btc #พัฒนาตัวเอง #ความสำเร็จ
การออมบิทคอยด้วย หลักการ สิบเท่า เกษียณได้จริงมั้ย ?? - Sats And Sound Ep.47
https://youtu.be/LVGWzIMa70o
วันนี้ผมก็จะมาเสนอหลักการ การตั้งเป้าหมาย การออมบิทคอย "ด้วยหลักการสิบเท่า" กันครับ
ซึ่งเป็นการกําหนดเป้าหมายระยะยาวที่ท้าทายขึ้นอีกระดับหนึ่ง
ไอเดียนี้ผมเองก็เพิ่งเคยได้ยินเหมือนกันครับ เห็นว่ามันน่าสนใจดีก็เลยจะเอามาแชร์ให้ฟังกัน
อยากให้ดูให้จบเพราะผมจะคํานวณตัวเลขจริงให้ดูว่าออมบิทคอยด้วยหลักการสิบเท่า
- คํานวณยังไง
- ต้องมี BTC เท่าไหร่
- ที่สําคัญ มันเกษียณได้จริงมั้ย
การกําหนดเป้าหมายการออมบิทคอย ที่จริงมันหลากหลายมากๆนะครับ
จากคลิป Bitcoin เริ่มออมเท่าไหร่ดี?? ที่ผมเคยทําไปก่อนหน้านี้
ผมก็ได้มีการยกตัวอย่างเป้าหมายในการออมบิทคอย 2 เป้าหมายคือ
1 ออมให้ได้ 0.01 BTC
2 เป้าหมายเกษียณ โดยใช้การคํานวณจากตัวเลขจริงจาก Bitcoin Retirement Calculator ดูคลิปนี้จบ ใครสนใจไปต่อคลิปนั้นกันได้ ผมแปะลิงค์ไว้ให้แล้ว
กลับมาที่วันนี้กันก่อน
หลักการสิบเท่าเป็นการตั้งเป้าหมายทางการเงินในระยะยาว โดยให้มูลค่าของบิทคอยที่ถือครอง มีมูลค่าอย่างน้อย 10 เท่าของค่าใช้จ่ายประจำปี ของเราเอง คํานวณง่ายเข้าใจง่ายมากครับ
ตัวอย่าง:
ชายโสด อายุ 30 ปี
ค่าใช้จ่ายต่อปีคือ 300,000 บาท
ต้องการเกษียณตอนอายุ 60 ปี
ดังนั้นเป้าหมายตามหลักการนี้คือ
การมีบิทคอยน์ที่มีมูลค่าอย่างน้อย
3,000,000 บาท
ถ้าเทียบราคา 1 BTC = 4,000,000 บาท
เป้าหมายการออมบิทคอยตามหลักการสิบเท่า
หากมีค่าใช้จ่าย 300,000 บาท ต่อปี
ก็คือ 0.75 BTC
ถือว่าเป็นจํานวนบิทคอยที่ไม่น้อยเลย เพื่อคอนเฟิร์มว่าจํานวนเท่านี้มันเกษียณได้จริงมั้ย
เราจะลองเอาข้อมูลเคสนี้ไป คํานวณผ่าน Bitcoin Retirement Calculator กัน
ใส่ข้อมูลได้เลย อายุ 30 ปี คิดว่ามีชีวิตอยู่ถึง 86 ปี จํานวนบิทคอยที่ถือ 0.75 BTC
ไม่ซื้อเพิ่มต่อปีแล้วหลังเกษียณ คิดว่าอัตราดอกเบี้ยทบต้น 30% และเงินเฟ้อ 8%
ส่วนหัวข้อ Desired annual retirement income
เงินที่ต้องใช้ต่อปีหลังเกษียณ ข้อนี้เราใส่ ตัวเลข 3,000,000 บาท ตามหลักการสิบเท่าเข้าไปครับ (ประมาณ 94,000 ดอลล่าสหรัฐ)
ที่จริงหัวข้อนี้ ผมลองไปคํานวณค่าใช้จ่ายต่อปี ใหม่โดยการคิดเงินเฟ้อ 8%
จะได้ว่า ค่าใช้จ่ายรายปี 300,000 บาท ในปีนี้ อีก 30 ปีข้างหน้า
มันจะกลายเป็น 3,016,160 บาท ตัวเลขก็ใกล้เคียงกับ หลักสิบเท่าเหมือนกันนะ ดังนั้นข้อใช้เลขเดียวกันไปเลย
ในชาร์ตสรุปว่า ถ้าเรามี 0.75 BTC ในตอนนี้ตามที่คํานวณจากหลักการออมบิทคอยสิบเท่า
คุณจะสามารถเกษียณได้ตอนอายุ 41 ปี ถือว่าเกษียณได้เร็วมากเลยนะครับ
ในเคสนี้สิ่งที่ต้องทําคือ
1 เก็บบิทคอยให้ได้ 0.75 BTC ถ้าทําได้ก่อน อายุ 41 ปี คุณก็เกษียณได้เลย
2 หลังจากนั้น คุณอาจจะ
- HODL ถือบิทคอยต่อไปเรื่อยๆ ด้วยการเก็บใน HW ที่ปลอดภัย เพื่อเพิ่มความมั่นคงในชีวิตและมีอํานาจการใช้จ่ายที่มากขึ้น
- ขายตามอัตราส่วนเพื่อเอาเงินมาใช้จ่าย
ถ้าเป็นผมทําได้ตอนอายุ 41 ปี ผมไม่ขายบิทคอยนะ คิดว่าคงจะ stack sats ต่อสะสมไปเรื่อยๆ
บิทคอยมีเท่าไหร่ก็ไม่พอ ยิ่งมีมากยิ่งสบายใจ
มีเวลาทํางานอีกตั้ง 19 ปี ผมว่าเก็บบิทคอยน้อยกว่านี้ก็ยังเกษียณได้เลย
3 บางคนอาจจะเลือกกระจายไปลงทุน หรือ สร้าง cash flow
เตือนไว้ก่อน ใครจะเอาบิทคอยที่ออมได้แล้วไปต่อยอด ค้ำประกัน หรือลงทุนต่อ คิดและศึกษาหาข้อมูลดีๆนะครับ
ทําแบบนี้บิทคอยคุณเสี่ยงเพิ่มขึ้นมาก จากที่มั่นคงจะเครียดแทนได้
สรุป
1 การออมบิทคอยด้วย หลักการ สิบเท่า เป็นหนึ่งในวิธีกําหนดเป้าหมายการออมบิทคอย ระยะยาว
จากกรณีศึกษาสามารถเกษียณได้จริง และตัวเลขสอดคล้องกับเครื่องมืออื่นๆที่เคยใช้คํานวณ
2 เป้าหมาย และตัวเลขที่คาดการณื เป็นเพียงการคํานวณให้เราเห็นภาพคร่าวๆเท่านั้น
การเกษียณเป็นเกมระยะยาว เราไม่มีทางรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
3 คลิปนี้เป็นแค่หนึ่งในไอเดียในการกําหนดเป้าหมายเท่านั้น ผมเชื่อว่าคนที่ตั้งใจ stack sats ทุกคนมีวิธีที่ดีที่สุดสําหรับตัวเอง
4 ความเห็นส่วนตัวคิดว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ค่อนข้าง consevative ตัวเลขบิทคอยที่เป็นเป้าหมายมันสูง และต้องใช้เวลาเก็บระดับหนึ่ง ใครรู้สึกว่ายาก ไม่ต้องเครียดนะครับ ทําเท่าที่เราทําได้ ผมเชื่อว่าทุกคนมีทางของตัวเอง
ส่วนตัวแนะนําเริ่มจาก 0.01 BTC ก่อน ถ้าทําได้ค่อยเพิ่มเป็น 0.1 BTC ค่อยเพิ่มเป้าทีละนิด
ไม่แน่นะวันที่คุณมี 0.1 BTC มันอาจจะเพียงพอต่อการเกษียณโดยที่คุณไม่รู้ตัวแล้วก็ได้
คนที่ดูมาทั้งคลิปแล้วลองคํานวณของตัวเองดูครับ ว่าเป้าหมายของคุณเท่าไหร่
และคุณจะวางแผนเก็บบิทคอยให้ถึงได้อย่างไร ผมขอให้ทุกท่าน stack sats ได้ตามเป้าหมายนะครับ
#siamstr #btc #bitcoin #ออมเงิน #ออม #ออมบิทคอย #satsandsound
มีเงินแค่ 40 บาท เริ่มออมบิทคอยได้เลย จับมือทํา เสร็จใน 1 นาที - sats and sound Ep.46
https://youtu.be/rCPZaO4_MsI
(เป็นคลิปแนะนำมือใหม่ จับมือทำ ที่อาจจะต้องดูวิดีโอประกอบครับ อ่านบทความอาจจะ งง บางส่วนได้ )
คลิปนี้ทําจากคอมเม้นในช่องครับ มือใหม่บางคนยังเข้าใจว่า บิทคอยที่ราคาเกือบ 4 ล้านในวันนี้
ถ้าจะเริ่มต้นออม จะต้องใช้เงินจํานวนมาก หรือ ต้องมีเงินขั้นตํ่า หลักพัน หลักหมื่น ขึ้นไปกว่าจะซื้อได้
มันเป็นมายเซ็ตคล้ายๆการซื้อหุ้นที่เราต้องซื้อเป็น lot แต่ในการซื้อบิทคอย ใน exchange เราสามารถซื้อด้วยจํานวนน้อยๆได้ครับ
วันนี้ผมจะมาทําให้ดูว่า มีแค่ 40 บาท ก็เริ่มต้นออมในบิทคอยได้แล้ว
ผมใช้ bitkub นะครับ ซึ่งเป็น exchange ที่ผ่านการรับรองจาก กลต. ประเทศไทย ที่จริงมีอีกหลายเจ้า
เข้าไปดูในเว็บไซต์ของกลต. ได้เลยครับ ใครยังไม่สมัคร โหลดแอฟก็จัดการให้เรียบร้อยก่อนนะครับ
จากข้อมูลที่ผมไปถาม บิทคับมา
1 ขั้นตํ่าในการฝากเงินด้วย QR code คือ 40 บาท
2 ขั้นตํ่าในการซื้อเหรียญคือ 10 บาท
มีเงินหลักสิบก็เริ่มต้นออมบิทคอยได้แล้วนะ
มาดูขั้นตอนตั้งแต่ฝากเงินเข้า จน ออมบิทคอยเสร็จ บอกเลยว่าใช้เวลาแค่ 1 นาที
1 ฝากเงิน
อแฟ bitkub กดที่ไอคอนฝาก THB มาอีกหน้าจอก็ระบุจํานวนเงินได้เลย วันนี้ผมจะฝาก 40 บาท
เงื่อนไขทั้ง 4 ข้ออ่านและติ๊กให้ครบนะครับ
ข้อ 1 เงินที่โอนเข้ามา ชื่อบัญชีจะต้องตรงกับ ชื่อของเราที่ลงทะเบียนกับบิทคับเท่านั้น
ข้อ 2 โอนเงินตรงตามยอดที่ระบุ
ข้อ 3 QR code ใช้ได้ครั้งเดียว ห้ามใช้ซํ้า
ข้อ 4 งดโอนในช่วงเวลา 5ทุ่มครึ่ง ถึง เที่ยงคืน 10 นาที น่าจะเป็นช่วงอัพเดทหรือปรับปรุง ระบบ
ติ๊กให้ครบ อ่านเข้าใจเรียบร้อย กดยืนยันการฝากได้เลย หน้าpop up เช็คจํานวนเงินอีกครั้ง 40 บาทถูกต้องกดยืนยัน
จากนั้นจะได้ QR code มา เราก็ดาวน์โหลดรูป ลงมือถือแล้วไปกดโอนในแอฟธนาคารได้เลย
พอโอนเสร็จ จะมี pop up แจ้งเตือนว่าเงิน 40 บาทเข้ามาที่ exchange แล้ว
หรือถ้าใครเชื่อมต่อ บิทคับกับ line มันก็จะแจ้งผ่านไลน์ด้วย
จากนั้นเข้ามาที่แอฟ กดที่คําว่า wallet ด้านล่างขวามือ จะเห็นว่า เงิน 40 บาทเข้ามาแล้ว
ที่นี้ก็พร้อม ออมบิทคอยแล้วครับ กดที่ไอคอน market ซ้ายล่าง
แล้วเลือก ตัวบนสุด ที่เขียนว่า BTC / THB ซื้อบิทคอย กดที่ปุ่มสีเขียวที่เขียนว่า ซื้อ
มันจะขึ้น option มา
แถบเงินที่ต้องการจ่าย เราสามารถใส่ตัวเลข หรือ กดจํานวนเงินได้ อย่างที่บอกขั้นตํ่า 10 บาทเองแต่วันนี้ผมซื้อหมดเลยครับ 40 บาท
แถบต่อไปราคาต่อ BTC
เราสามารถเลือกราคา บิทคอยที่ต้องการซื้อได้
เราไปดูแถบ price ASKS สีแดง จิ้มได้เลย ส่วนใหญ่บันทัดบนสุดก็จะถูกสุดในตอนนี้
เช่น 3693220.13 มีปริมาณBTCพร้อมขายคือ 0.0049818 BTC
แต่ชีวิตเราง่ายกว่านั้นครับ
สังเกตแถบที่เขียนว่า ลิมิต มาร์เก็ต สต็อป
กดที่ตรงกลาง มาร์เก็ต เราก็ได้ราคาตลาดตอนนั้น กดปุ่มเขียวซื้อ แล้วกดยืนยัน ออเดอร์มาร์เก็ต จํานวนเงิน 40 บาท
มี pop up แจ้งว่า ซื้อเสร็จแล้ว จบ เชื่อยังว่านาทีนึงเสร็จ
เราสามารถกดเข้าไปดูใน wallet ได้ว่าตอนนี้เรามี BTC เท่าไหร่
ผมได้มา 0.0000108 BTC มูลค่า 39.88 บาท จํานวนเงินบาทจะไม่คงที่ขึ้นอยู่กับราคา บิทคอยตอนนั้น และ การซื้อบิทคอย
exchange จะมีหักค่าธรรมเนียมไปด้วยนะ
กดไปที่ปุ่มคล้ายนาฬิกาขวาบน เราสามารถเข้าไปดู รายละเอียดการซื้อได้
บอกหมดว่า ซื้อตอนกี่โมง
ได้ต้นทุน BTC กี่บาท ได้รับกี่ BTC
หรือถ้าใครผูกบัญชีกับไลน์ มันก็จะแจ้งเหมือนกัน
ออมเสร็จสบายใจ สิ่งที่แนะนําให้ทําต่อไปคือ การจดบันทึกการออม
สิ่งนี้จะทําให้เรารู้ว่าเราใกล้ถึงเป้าแล้วยัง การจดมันเป็นจิตวิทยาที่ทําให้เรามีแรง และมีไฟในการออมบิทคอยด้วยครับ
จะเห็นถึงความก้าวหน้า proof of work และ productivity ด้วย
แนะนําไปดูคลิป การจดบันทุก proof of work ลองทําดูมันใจฟูจริงๆนะครับ
ผมมี ตัวอย่าง การจดบันทึกใน Excel ให้ดู เราคีย์ข้อมูลได้เลย
เราดูเอง ทําตามสไตล์ ตามความถนัดได้เลย
1 BTC เท่ากับ 100 ล้าน ซาโตชิ (sats)
ใน exchange จะใช้หน่วย BTC เป็นหลัก ทําให้เราเห็น เลขทศนิยมเยอะ
แนะนําบันทึกเป็นหน่วยเดียวกัน จะได้ดูง่าย จะใช้ BTC หรือ Sats ก็ได้
การโอนบิทคอยเข้าไปใน Hardware Wallet อีกหนึ่งหัวข้อที่มือใหม่ควรศึกษาไว้ก่อน
ในอนาคตถ้าหากเราต้องการโอน บิทคอย ออกจาก exchange ไปเก็บใน hardware wallet
ก็ทําได้นะครับ แต่แนะนําว่า เราอาจจะต้องมี บิทคอยจํานวนหนึ่งก่อน ยกตัวอย่างเช่น
มีบิทคอยมูลค่า 5 พัน - 1 หมื่น บาท เพราะทุกครั้งที่เราโอนบิทคอยออกผ่าน Bitcoin Network
เราจะเสียค่าธรรมเนียม Fix 0.00003 BTC หรือ 3000 sats ( โอนกี่ sats ก็จ่ายเท่ากัน )
ดังนั้นการโอนบิทคอยออกในจํานวนน้อยๆมันไม่คุ้ม เรื่องนี้ค่อยไปศึกษาเพิ่มเติมได้ครับ
ทำไมเราจะเก็บบิทคอยไว้ใน exchange ตลอดไปไม่ได้ ถึงแม้ exchange ที่ กลต. รับรองจะปลอดภัย
แต่มันก็เป็นการป้องกันความเสี่ยงครับ อย่างไรก็ดี ถ้าเราไม่ได้เก็บบิทคอยเอง บิทคอยนั้นก็อาจจะยังไม่ใช่ของเรา
อยากให้ทุกคนเก็บแบบ self custody เป็นครับอย่างกับคําที่พูดว่า Not Your Key, Not Your Coins
เน้นยํ้าอีกครั้ง คลิปวันนี้เป็นการออมบิทคอยนะครับ ไม่ใช่การเทรด ซื้อๆขายๆ
ใครยังแยกไม่ออก เข้าไปดูคลิป แยกการออม และ การลงทุน ออกจากกันของผมได้นะครับ
ถ้ามายเซ็ตเราถูก ชีวิตเราจะง่ายขึ้นมาก สบายใจด้วยครับ
สรุป
1 ออมบิทคอย ไม่ต้องใช้เงินจํานวนมาก เริ่มต้นแค่ 40 บาท ก็ออมได้แล้ว ง่ายซื้อเสร็จใน 1 นาที
2 ทุกครั้งที่ซื้อบิทคอย อย่าลืมจดบันทึกการออม เพื่อติดตามผลและเป้าหมาย
3 ไม่ควรเก็บบิทคอยไว้ใน exchange จํานวนมาก อาจจะเกิดความเสี่ยงถอนออกมาไม่ได้ ถ้า exchange มีปัญหา
ถ้าหากมีจํานวนบิทคอยมูลค่าเกินหลักหมื่น แนะนําให้ศึกษาการเก็บแบบ self custody
โอนออกไปเก็บใน HW ที่ปลอดภัย เพื่อทําให้บิทคอยหรือ sats ที่เรามีนั้นเป็นของเราอย่างแท้จริง
มือใหม่ค่อยๆศึกษาได้ครับ ไม่ต้องรีบ
4 ทุกอย่างที่บอกในคลิปคือการออมบิทคอยในระยะยาว ไม่ใช่การลงทุน
#siamstr #bitcoin #btc #satsandsound #ออม #ออมbitcoin #bitkub
Bitcoin เริ่มออมเท่าไหร่ดี?? คลิปนี้มีคำตอบ - sats and sound Ep.45
https://youtu.be/-LehmethGHY
เป็นคําถามในช่องนะครับ ซึ่งเป็นคําถามที่ผู้ที่เริ่มศึกษาและเข้าใจบิทคอย อยากได้ไอเดีย เริ่มออมบิทคอยเท่าไหร่ดี
การเริ่มที่ดีที่สุดคือ การมีส่วนร่วม (skin in the game) หรือการเข้ามาถือบิทคอยนั้นเอง
เชื่อเถอะ ถ้ามามีบิทคอยจํานวนหนึ่งแล้ว เราก็จะเริ่มศึกษาและเข้าใจมันมากขึ้น
ควรเริ่มออมยังไง และ ออมเท่าไหร่ ถือว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคลเลยครับ ผมคิดว่าเราจะต้องดู 2 เรื่อง
1 การเงินส่วนบุคคลของเรา
2 เป้าหมายการออมบิทคอย
1 การเงินส่วนบุคคลของเรา
- ดูสุขภาพการเงินของเราก่อน เพราะการออมของเราจะต้องทําต่อเนื่องในระยะยาว นั่นหมายความว่าเราจะต้องมีแผนการออมที่สามารถทําจริงได้ทุกเดือน
- การเช็คสุขภาพการเงินที่ง่ายที่สุดคือเริ่มต้นทํารายรับรายจ่าย ให้ดีลองทําสัก 3-6 เดือนจะเริ่มเห็นตัวเลข ว่าที่จริงเราจ่ายอะไรไปบ้าง ข้อนี้จะทําให้เรากําหนด ค่าใช้จ่ายต่างๆ การออมรายเดือนแบบคร่าวๆได้ด้วย
- จัดการหรือเคลียร์หนี้ ให้เรียบร้อย ถ้ายังมีก้อนนี้อยู่ คุณจะไม่สามารถออมระยะยาวได้ ผมมีคลิปพูดเกี่ยวกับหนี้ลองไปดูได้ครับ
- เงินสํารองฉุกเฉิน 3-6 เท่าของรายจ่าย รายเดือน รู้ตัวเลขจาการทำรายรับรายจ่าย ก้อนนี้ต้องมีไว้ก่อน เพราะถ้าเราไม่มี สุดท้ายเราก็ต้องเอาเงินที่ออมบิทคอยที่ไม่ควรขายออกมาใช้อยู่ดี (ขายขาดทุนด้วย)
ประสบการณ์ตรงจากตัวเอง สมัยเป็นมนุษย์เงินเฟียต ใจร้อน ทุ่มเงินเข้าพอร์ตหุ้นทั้งหมด high time preference กะว่าทุนเยอะเราจะรวย สุดท้ายต้องใช้เงินแล้วพอร์ตเงินฉุกเฉินไม่พอ ผมต้องขายหุ้นขาดทุนมาใช้ก่อน
ความสําเร็จคือสิ่งที่ต้องทําซ้ำๆได้ ดังนั้น อยากออมบิทคอยให้ถึงเป้าหมาย สุขภาพทางการเงินของคุณต้อง healthy ก่อน
2 เป้าหมายการออมบิทคอย
ข้อนี้จะเป็นตัวกําหนดขั้นตอน ระยะเวลา และสร้างวินัยในการออมให้ถึงเป้าหมายที่จับต้องได้จริง เวลาทําสําเร็จมันรู้สึกดีมาก
ผมจะมีตัวอย่างเป้าหมาย 2 แบบคือ เป้าหมายเริ่มต้น กับเป้าหมายเกษียณ
2.1เป้าหมายเริ่มต้น
ใครที่ยังไม่เคยมีบิทคอยเลย เริ่มออมสัก 10% ของเงินเดือนก็ได้ครับ หรือตัวผมจะบังคับตัวเองต้องออมบิทคอยอย่างน้อย 1000 บาททุกเดือน หรือ ถ้าอยากตั้งเป้าหมายการออมบิทคอย ผมแนะนําคลิป เป้าหมายแรกให้ทุกคนก็คือ
ให้เก็บ 0.01 บิทคอยเป็นเป้าขั้นตํ่า ลองเข้าไปดูในคลิปได้นะครับ
2.2 เป้าเกษียณ
ถ้าใครออมได้เกิน 0.01 BTC แล้ว ก็ค่อยเพิ่มเป้าหมายเช่น 0.1 - 1 BTC หรือมากกว่านี้เพื่อเกษียณ
อันนี้ผมใช้เครื่องมือ ชื่อ Bitcoin Retirement Calculator
ซึ่งผมมีคลิปการคํานวณตัวอย่างเกษียณจริงมาให้ดูเลยว่าเกษียณได้มั้ย เข้าไปดูกันได้เลยครับ
ดูจบคํานวณของตัวเองได้เลย
สมมติได้เป้าหมาย ได้ตัวเลขมาแล้วทํายังไงต่อ
ผมยกตัวอย่างเคสให้เห็นภาพชัดๆนะครับ
ชายโสด อายุ 25 ปี เงินเดือน 20,000 บาท
ทําบัญชีรายรับรายจ่ายแล้ว ค่าใช้จ่ายรายเดือน 16,000
มีหนี้ กยศ ส่งเดือนละ 1,500 บาท
ยังไม่มีเงินสํารองฉุกเฉินเลย
จากเคสนี้ คิดง่ายๆคือ เหลือเงินเก็บเดือนละ 2,500 บาท
เราก็จะเอาส่วนนี้มาจัดสรรกันครับ
1 ก้อนแรกเงินสำรองฉุกเฉิน 3 เท่าของรายจ่าย (16,000*3= 48,000)
2 ก้อนออมในบิทคอย เป้าหมาย 0.01 BTC (1 BTC ราคาประมาณ 4 ล้าน , 0.01 BTC 40,000)
ถ้าตัวเป็นตัวเงินที่ต้องเก็บ 88,000 บาท / 2,500 = 35.2 เดือน หรือ 2.9 ปี (ในกรณีที่บิทคอยราคาไม่เพิ่ม)
ดูยากใช่มั้ย แต่ลองเริ่มทําดูก่อน ถ้าไม่เริ่มก็ไม่ได้ทําสักที
กรณีที่ 1 เงินเหลือ 2,500 บาท (ออม 12 เดือน มีเงิน 30,000 บาท)
ลองจัดสัดส่วนก่อนเช่น สำรองฉุกเฉิน 1500 บาท ออมในบิทคอย 1000 บาท
ทําดูสัก 3-6 เดือนต่อเนื่อง ผมคิดว่าคุณจะเริ่มมีไฟในการประหยัด และหาเงินเพิ่ม
เข้าไปดูคลิป ของไม่จําเป็นไม่ซื้อในทันทีได้ คลิปนั้นช่วยจัดการการใช้เงินได้ดี
เป้านี้ดูแล้วมันนานดังนั้น ดังนั้นการหารายได้หลายทาง รายได้เสริม การทําโอทีเพิ่ม รวมถึงโบนัสปลายปี จะทําให้เป้าหมายคุณถึงเร็วขึ้น ผมเป็นนะ พอเห็นแผนเราจะพยายามหาทางทําให้มันเร็วขึ้น
กรณีที่ 2 เงินเหลือ 2,500 + 1,000 (ประหยัดเพิ่ม) + 3,000 (รายได้เสริม) = 6,500 บาท
(ออม 12 เดือน มีเงิน 78,000 บาท)
เป้าหมายดูใกล้ขึ้น กว่าเดิม เก็บสํารองฉุกเฉิน 3,500 บาท ออมในบิทคอย 3,000 บาท
กรณีตัวอย่างเป็นไอเดียที่คุณสามารถนําไปวางแผนการออมในบิทคอย หรือ เป้าหมายอื่นได้เอง
เริ่มจะออมบิทคอย ต้องดูสุขภาพการเงิน วางแผนเพื่อสร้างวินัย การออมระยะยาว
อย่าลืมเงินสํารองฉุกเฉิน เพื่อจะได้ไม่ต้องขายบิทคอยตอนไม่จําเป็น
อีกสิ่งหนึ่งที่สําคัญมากคือ บิทคอยที่ออม ต้องเก็บไว้ใน Hardware wallet ที่ปลอดภัย
ศึกษาเรื่อง seed phase จดในกระดาษเท่านั้น ห้ามบอกใคร ห้ามถ่ายรูปในมือถือ ห้ามโพสลงเน็ตเด็ดขาด
ถ้า seed หลุด บิทคอยเสี่ยงหายได้ทั้งหมดทันที
เรื่องนี้มือใหม่ทุกคนต้องศึกษานะ ไม่รู้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นมาก
สรุป
1 การออมบิทคอย จะต้องจัดสรรเงินที่มีก่อน จากนั้นวางเป้าหมาย ส่วนจะเริ่มเท่าไหร่ ออมเท่าไหร่ดี
สุขภาพการเงิน และ passion เกี่ยวกับ บิทคอย ของคุณจะบอกคุณเอง แต่ละคนไม่เหมือนกัน
2 ทํารายรับรายจ่าย และวางแผน เพื่อกำหนดวิธี เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้
3 วินัยและความสม่ำเสมอ คือคําตอบของความสําเร็จ ดังนั้นจะต้องวางแผนการออมที่คุณต้องทําได้จริงทุกเดือน
4 ถ้าศึกษาไปเรื่อยคุณจะรู้ว่า มีบิทคอยเท่าไหร่ก็ไม่พอ จะออมบิทคอยต้องรีบทํานะ เพราะยิ่งออมช้า ยิ่งซื้อแพงขึ้น
5 เก็บบิทคอยไว้ใน Hardware wallet ที่ปลอดภัย Seed Phrase ต้องอยู่ในที่ไม่มีใครรู้นอกจากเรา
6 วันที่ดีที่สุดในการออมบิทคอย คือวันนี้ ดังนั้นเริ่มวางแผนการเงิน และออมบิทคอยเลยครับ
ลองทําดูสัก 2 ปี คุณจะตกใจในผลลัพท์ที่เกิดขึ้นว่า เราก็ออมเงิน ออมบิทคอย ทําได้ตามเป้าเหมือนกันนะ
ผมเชื่อว่าถ้าคุณทํา 2 เป้าหมายนี้สําเร็จ คุณจะสามารถตั้งเป้าหมายต่อไป ที่จะสร้างความมั่นคงในชีวิตที่แท้จริงได้
#siamstr #bitcoin #btc #ออมเงิน #การเงิน #ออมbitcoin #ออมbtc #satsandsound
เข้าใจ บิทคอยผ่านประสบการณ์จริง แบบโลกไม่สวย - sats and sound Ep.44
https://youtu.be/nKAfWEx-NBA
ปี 2025 ถือว่าเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิด bitcoin adoption ไม่ว่าจะเป็นบริษัท bitcoin treasury
หรือแม้แต่กฏหมาย bitcoin reserve ของรัฐชาติต่างๆ cycle นี้คนเริ่มให้ความสนใจมากขึ้น
พอมีคนสนใจมากขึ้น เริ่มจะเข้ามาศึกษาน่าจะฟังข้อมูลทั่วไปมาเยอะแล้ว
ผมก็จะมาเล่าความเข้าใจ บิทคอย ผ่านประสบการณ์จริงของผมแบบโลกไม่สวยกัน
1 เงินเฟ้อมันเฮีย แถมไม่มีใครหยุดมันได้
ตัวผมเองก่อนที่จะเข้ามาศึกษาบิทคอยก็โดนเงินเฟ้อทําร้ายมาก่อน ผมเคยเล่าไว้ในหลายๆคลิปลองไปหาฟังกันดู
ถ้าคุณเข้าใจระบบการเงินโลก การพิมพ์เงินและเงินเฟ้อ รู้ว่าในอดีตเกิดอะไรขึ้นบ้าง คุณจะรู้ว่าเงินเฟ้อไม่ใช่เรื่องใหม่เลย
ประวัติศาสตร์ดินแดนที่ล่มสลายเพราะเงินเฟ้อเกิดขึ้นซํ้าๆจากการเพิ่มปริมาณเงินในระบบ เกิดจากความโลภ ความวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น
เงินเฟียตเกิดจากการเป็นตั๋วแลกทองคํามาก่อน จนกลายมาเป็นเงินกระดาษที่ถูกพิมพ์ออกมาได้ไม่อั้น ทําให้โลกของเราเต็มไปด้วยหนี้ที่คนรุ่นใหม่จะต้องรับกรรม และ มีคุณภาพชีวิตที่แย่กว่ารุ่นพ่อแม่ไปเรื่อย
การศึกษาและระบบเฟียต ล้างสมองให้เราคิดว่า เงินเฟ้อมันดี เป็นเรื่องปกติ เพราะรัฐต้องพิมพ์เงินมาพยุงเศรษฐกิจ
เขาบอกว่า เงินเฟ้อปีละ 2-3% แต่พอไปดู M2 ความจริงเงินเฟ้อปีละ 7-10% ใครรู้รอด ใครไม่รู้โดนหลอก จนทั้งชีวิต
ถ้าเงินเฟียตที่เราใช้อยู่มันไม่เฟ้อ และรักษามูลค่าได้
เราไม่จําเป็นต้องมีบิทคอยเลย
2 ความเชื่อใจ จริงใจไม่มีอยู่จริง
ภาษาพี่ชิตคือ (สังคมตอแล..) เราอยู่ในโลกที่ทุกคนต้องเอาตัวรอด ความเห็นแก่ตัวเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
ยิ่งเป็นเรื่องผลประโยชน์ เรื่องเงิน คุณจะไว้ใจใครเหรอ??
- การโกงเกิดขึ้นทุกระดับชั้นตั้งแต่ครอบครัว จนไปถึงระดับประเทศ ข้อนี้ไม่ต้องอธิบายเยอะ ทุกคนเข้าใจดี
- คิดว่าทุกวันนี้แบ้งค์เอาเงินคุณไปทําอะไรบ้าง
- การลงทุนในกองทุนฝากเงินไว้กับคนอื่น หรือ หุ้น ที่คุณทุ่มเงินลงไปแล้วคิดว่าอีก 5-10 ปี คุณจะรวย
สรุปคนรวยจริงกี่คน หรือ มันต้องมีเงินต้นเท่าไหร่ถึงจะสบาย
- ไม่มีใครหวังดีกับเราที่สุด เท่ากับตัวเราเอง ในโลกแห่งความเป็นจริงเราจะไว้ใจและเชื่อใจทุกคนไม่ได้ ไม่ว่าคนนั้นจะดูดี จะน่าเชื่อถือแค่ไหนก็ตาม
ทุกสิ่งที่มีผลประโยชน์ และ คน เข้าไปเกี่ยวข้อง
ถ้ามีช่องโหว่ โกงกันหมด
3 ทํางานเกือบตาย 10 ปี เพิ่งรู้ว่าหาเงินเร็วไม่เท่าเงินเฟ้อ คําตอบก็คือ จนและไม่มั่นคงไงครับ
สมัยก่อนที่ผมยังเป็นมนุษย์เงินเฟียต ทํางานเก็บเงิน ลงทุน ออมไปเรื่อยๆ พอผ่านไป 10 ปีที่เราควรจะรวยจากหุ้น จากสินทรัพย์
สรุปแล้วว่า เราจนลง เราไม่มั่นคง หุ้นไทยกลับไปอยู่ พันจุดเท่าเดิม อายุเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ผมรู้ตัวเลยว่า ถ้าผมยังอยู่ในสภาพนี้ เราจะจนก่อนแก่ ผมพยายามโทษตัวเองว่าเราไม่เก่ง หาเงินไม่ได้มากพอ ลงทุนก็ไม่เก่ง สรุปว่าชีวิตล้มเหลวมาก
จนได้มาศึกษาบิทคอยจนรู้ว่าความจริงว่า ผมถูกบังคับให้อยู่ในเกมที่ออกแบบมาให้เราแพ้ตั้งแต่แรก
1 เงินเฟ้อทําให้ทุกอย่างแพงขึ้น คุณภาพชีวิตแย่ลง ทุกคนจนลงอัตโนมัติ
2 มันยากมากในการเก็บเงินให้เร็วกว่าอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเป็น exponential
-เคสสยอง เก็บเงินเดือนละ 1 แสน ผ่านไป 10 ปีแพ้เงินเฟ้อ
วิธีแก้ชีวิตแย่ๆแบบนี้คือการ ออกมาจาก matrix ของเงินเฟียต ด้วยการเปลี่ยนเงินเฟียตเป็นสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่า
เช่น ทองคํา อสังหาฯ และบิทคอย ใครถนัดสิ่งไหนก็เก็บสิ่งนั้น ส่วนตัวผมเลือกบิทคอยครับ เพราะ
1 บิทคอยถูกเขียนโค้ดมาให้มีจํานวนจํากัดอย่างแท้จริง มีอัตราการผลิตที่แน่นอน ไม่มีใครเปลี่ยนกฏและทําให้เฟ้อนี้ได้
ต่างจากทองคําและอสังหาฯ มันถูกควบคุมและสามารถทําให้เฟ้อได้ด้วย กฏหมายหรือภาครัฐ
- ตั๋วแลกทองคํา คุณว่า เทียบกับปริมาณทองคําจริงๆ คุณว่ามันจะเท่ากันจริงมั้ย? Fort Knox ที่เก็บทองคํามาไม่รู้กี่สิบปียังไม่เคยนับจริงๆเลย
- อสังหาฯ บ้านพร้อมที่ดิน อันนี้เฟ้อน้อย แต่คอนโดฯ บ้านบนอากาศที่ไม่มีที่ดิน สร้างได้มากขึ้นเรื่อยๆ
2 บิทคอยเป็นสินทรัพย์ที่รัฐยังไม่สามารถ "ควบคุม" ได้
- การขนทองคําออกนอกประเทศต้องขออนุญาตรัฐก่อน (ทั้งๆที่เป็นทองของคุณ) และเขายังจํากัดปริมาณด้วย
- การถ่ายโอนซื้อ-ขาย อสังหาฯ คุณต้องให้ภาครัฐอนุญาตก่อน แถมยังต้องไปดูแล ถ้าปล่อยให้เสื่อมโทรม หรือ ครอบครองปรปักษ์ อสังหาฯนั้นอาจจะไม่ใช่ของคุณอีกต่อไป
บิทคอยคือเงินที่อยู่ในมือของคุณอย่างแท้จริง คุณจะจ่าย ใช้ หรือโอนให้ใครในโลกนี้ก็ได้ด้วยตัวเอง
เงินเรา เราดูแล และควบคุมเอง ถ้าทําหายเอง seed หลุด ใครก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน
การมีอํานาจตัดสินใจในสินทรัพย์ของเราเอง มันทําให้เรามีความรู้สึกมั่นคงกว่าที่คิด
3 สภาพคล่อง บิทคอยสามารถซื้อขายได้ตลอดเวลา
- ทองคําก็สภาพคล่องไม่แย่ ซื้อขายได้สะดวกเหมือนกัน
- อสังหาฯ ใช้เวลานานกว่าจะโอน ซื้อขาย กัน
4 บิทคอยถูกออกแบบมาให้ไม่ต้องเชื่อใจกันตั้งแต่แรก ดังนั้นจะไม่มีการโกงเกิดขึ้น ตัดปัญหาที่ต้นเหตุ
เน็ตเวิร์คของบิทคอยถูกปกป้องด้วยกลุ่มคนหลายๆหน้าที่ที่มี ฉันทามติเดียวกัน ได้ประโยชน์ร่วมกัน แต่ไม่ต้องเชื่อใจกัน
ด้วยระบบการปกป้องเน็ตเวิร์คที่แข็งแกร่ง การโกงต้องใช้ทรัพยากรและเงินจํานวนมากจนไม่คุ้มค่า เพราะบิทคอยถูกออกแบบมาให้รางวัลคนทําตามกฏ
ต่างจากทองคําและอสังหาฯ ในโลกเงินเฟียต ที่ยังต้องอาศัยตัวกลางและความเชื่อใจ รวมถึงถูกควบคุมจากรัฐที่อ้างเรื่องความปลอดภัยอีกหลายจุด
5 ผลตอบแทน
อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยในปี 2024 (ข้อมูลจาก InnovestX) บิทคอยนำโด่งทิ้ง ทองคําและอสังหาฯแบบไม่เห็นฝุ่น
- ที่บิทคอยผลตอบแทนเยอะมาก (129%) เกิดจากการพิมพ์เงินขึ้นมามาก และคนที่เห็นว่าบิทคอยเป็นสินทรัพย์ที่ต้านเงินเฟ้อได้ดีกวาเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่น
- ในส่วนของหุ้น S&P 500 (28.3%) ที่ขึ้นมาสาเหตุมาจากเงินที่อัดเข้ามาในระบบ ซึ่งไม่ได้เกิดจากผลประกอบการบริษัท
ที่แท้จริง ต้องหาหุ้นที่โตมากกว่า 7% เพื่อชนะเงินเฟ้อ
- ทองคํา (32.2%) คล้ายๆบิทคอยแต่อัตราเติบโตช้ากว่าเพราะทองคํามี market cap มากกว่าบิทคอย 10 เท่า
- อสังหาฯ เติบโตช้าที่สุด 3-10% ต้องหาอสังหาฯที่โตมากกว่า 7% เพื่อชนะเงินเฟ้อ
- พันธบัตร 5ปี (5.3%) และ 10 ปี(8.2%) แบบ 5 ปีแพ้เงินเฟ้อไปแล้ว
ดังนั้นถ้าคนที่เข้ามาศึกษา และเข้าใจก่อน
ถือก่อน อิสระก่อน ด้วยผลตอบแทนในตอนนี้เราแค่เก็บบิทคอยอย่างปลอดภัยใน HW ก็เอาเวลาไปทําอย่างอื่นได้อีกเยอะ สบายใจนะ
สรุป ถ้าใคร....
- ไม่อยากจนอัตโนมัติจากเงินเฟ้อที่หนีไม่พ้น
- เกลียดสังคมจอมปลอมและไม่อยากเชื่อใจคนอื่น
- ต้องการหลุดออกจาก Matrix เงินเฟียตอย่างแท้จริง
- สบายใจ เอาเวลาของเราไปทําสิ่งที่เราชอบหรือสร้างประโยชน์อื่นๆ
การออมบิทคอยคอยคือคําตอบ
ยํ้าว่าออมนะไม่ใช่ลงทุน
ถือให้ยาวพอพร้อมศึกษา เมื่อลงหลุมกระต่ายคุณจะเข้าใจดีขึ้นในสิ่งที่ผมพูดอยู่
#siamstr #btc #bitcoin #satsandsound
"หนี้" เกมการเงินระบบทาส ถ้ารู้ไม่ทัน ไม่มีวันชนะ - sats and sound Ep.43
https://youtu.be/GpQlO9-29tw
ในช่องผมที่พูดเรื่องทั้งการออม ระบบการเงินโลก เงินเฟ้อรวมถึง คนจนและวิธีหลุดพ้นจากความจนมาอยู่บ้าง
จากคลิป คนไทยครึ่งประเทศเสี่ยงจน ในช่องที่เคยทํา สรุปสั้นๆวิธีแก้จนคือ
1 หาความรู้ทางการเงินที่ถูกต้อง ความรู้ผิดๆจะทําให้คุณออกจาก matrix นี้ไม่ได้
2 ทํารายรับรายจ่าย
3 ประหยัด และหาเงินเพิ่มโดยวิธีสุจริต
4 เก็บออมในสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่า เช่นบิทคอย ทองคํา
แต่มีอยู่อีก 1 สิ่งที่ไม่เคยพูดถึงเลยก็คือ "หนี้"
ทุกคนคงเคยได้ยินและเห็นด้วยกับคําว่า "ไม่มีหนี้ คือลาภอันประเสริฐ"
หนี้เหมือนโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น ที่ถูกออกแบบมาให้ลูกหนี้ต้องทํางานวิ่งตามหาเงินทั้งชีวิต
คนไทยเป็นหนี้เยอะมาก แล้วส่วนใหญ่เป็นหนี้เพื่อการบริโภคที่ไม่สร้างรายได้ด้วย
ดังนั้นถ้าจะพูดเรื่องการหลุดพ้นจากความจน ยังไง เรื่องหนี้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องแรกที่ต้องจัดการ
มี 3 สาเหตุหลักที่ ทําให้คนไทย โดยเฉพาะคนจน ไม่สามารถหลุดพ้นจากความจนได้
และส่งต่อความจนนี้จากรุ่นสู่รุ่นลงไปเรื่อยๆ
1 เงินเฟ้อ และระบบการเงินโลกที่ออกแบบมาทุกคนในระบบ "จนและเชื่อง" อัตโนมัติ
- การพิมพ์เงิน การทํา QE เพื่อพยุงหรือกระตุ้นเศรษฐกิจของ FED
- การปล่อยกู้ และ ระบบ Fractional Reserve Banking ของธนาคารพาณิชย์
- ระบบการศึกษาถูกออกแบบมาเพื่อสร้าง "ฟันเฟือง" สําหรับแรงงานในระบบเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาหนี้
ในมหาลัยผมมี บูท บริษัทต่างๆให้นักศึกษามาสมัครและสอบถามเรื่องการทํางาน และก็มีบู้ทธนาคารมารับสมัครบัตรเครดิตเลย
สิ่งนี้คือสาเหตุหลักของระบบ fiat standard ในโลกการเงินปัจจุบันที่ทําให้เงินเฟ้อมหาศาล คนรุ่นใหม่จะจนลงเรื่อยๆ
เพราะค่าใช้จ่ายทุกอย่าง สินค้ามันแพงขึ้นจนซื้อไม่ไหว
สิ่งที่น่าเศร้าคือ การพิมพ์เงินและเงินเฟ้อมันแย่ เราถูกสอนให้เชื่อว่าเงินเฟ้อ ของแพงขึ้นเป็นเรื่องปกติ
เราถูกความโลภและความสะดวกสบาย และสังคมจอมปลอม บอกให้ก่อหนี้ตั้งแต่เริ่มทํางาน
สิ่งนี้มันจะดําเนินต่อไป ไม่มีใครหยุดมันไม่ได้
2 การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ผูกติดกับหนี้
ในระบบปัจจุบัน การเติบโตทางเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับการขยายตัวของหนี้โดยตรง หากไม่มีการกู้ยืมใหม่ เศรษฐกิจจะซบเซาลง ทำให้การขยายตัวของธุรกิจ การจ้างงาน และการใช้จ่ายลดลง ดังนั้นผู้กำหนดนโยบายจึงต้องส่งเสริมให้มีการกู้ยืมอย่างต่อเนื่อง
ทุกอย่างเป็นห่วงโซ่ ที่คนตัวเล็กอย่างเราออกแบบมาให้แพ้ตั้งแต่แรก เขาพิมพ์เงินทําให้เงินเฟ้อ ทําให้เงินในมือของประชาชนเสื่อมค่าลง ซื้อของแพงและคุณภาพชีวิตแย่ลง เมื่อเงินไม่พอใช้ ทําให้คนบางกลุ่มเลือกที่จะกู้เงินมาใช้ก่อน ด้วยเหตุจําเป็นหรือไม่จําเป็นก็ตาม ทําให้คุณเป็นหนี้ไปแล้ว มีภาระผูกพันต้องจ่ายหนี้พร้อมดอกเบี้ยจนครบ ไม่จ่ายโดนเบี้ยปรับอีก
ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากหนี้
- ธนาคารพาณิชย์ ได้กําไรจากการสร้างเงินใหม่และเก็บดอกเบี้ย
- ธนาคารกลาง ควบคุมกลไกนี้ผ่านการกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
- นักลงทุนรายใหญ่ ซื้อหนี้ของคุณที่ถูกแปลงเป็นสินทรัพย์ลงทุนเพื่อทำกำไร เช่น กองทุนที่ลงทุนในสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์
- รัฐบาล กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายภาครัฐที่มาจากการกู้ยืม
- บริษัทขนาดใหญ่ ขายสินค้าที่มีราคาสูงโดยผู้ซื้อสามารถใช้การกู้ยืมเงินได้
ระบบหนี้คนตัวใหญ่ทุกคนได้ประโยชน์หมดเลย ยกเว้น "คนทั่วไป หรือ คนที่ไม่มีความรู้ทางการเงิน"
3 ขาด Money Literacy "ความฉลาดทางการเงิน"
จากคลิป คนไทยครึ่งประเทศเสี่ยงจน และการหาข้อมูล รวมถึง ความรู้เห็นส่วนตัวของผม คนไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
คนจนและชนชั้นกลางยังขาดความรู้ทางการเงินที่ถูกต้อง
เมื่อเงินไม่พอใช้ แถมอยู่ในสังคมของมันต้องมี ต้องการอัพเกรดคุณภาพชีวิต มีการโฆษณาสร้าง "ความต้องการเทียม" ที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อกระตุ้นให้คุณซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็นและก่อหนี้ หรือบางคนมีเรื่องที่ต้องใช้เงินด่วน ไม่มีเงินไม่ใช่ปัญหา เราก็กู้ไง เดี๋ยวนี้สะดวกมากๆ
3.1 ชนชั้นกลาง
- สินค้าไม่จําเป็น มือถือรุ่นใหม่ล่าสุด ของมันต้องมี ก็ใช้สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรกดเงินสด รูดซื้อของออกมาก่อน
- เดี๋ยวนี้แอฟซื้อของออนไลน์มันผ่อนของได้ สิ่งที่ผมตกใจมากคือ มีคนมาอวดกันว่า เป็นหนี้วงเงินเท่าไหร่ ยิ่งวงเงินเยอะยิ่งเท่
แล้วผ่อนง่ายมาก ส่งผลให้ซื้อของไม่จําเป็นมากขึ้น เล็กๆน้อยๆก็ผ่อน ทําให้ยอดการจ่ายรายเดือนเยอะ
พวกสินเชื่อส่วนบุคคล ความนรกคือจ่ายขั้นตํ่าหรือลืมจ่ายเสียดอกเบี้ยเยอะมากๆนะ
- อยากอัพเกรดคุณภาพชีวิต กู้ซื้อบ้าน กู้ซื้อรถ ที่แพงจนซื้อด้วยเงินออมได้ยาก ทําให้เกือบทุกคนเลือกที่จะผ่อนแบงค์
ข้อนี้ผมเคยพูดไปใน 2 คลิปนะครับ เรื่อง การมีบ้าน หรือ รถยนต์ ที่ไม่ได้ใช้สร้างรายได้นั้น ทําให้คุณเสียโอกาสในการออมในสินทรัพย์ที่ดีกว่า ภาระผูกพัน 5-30 ปี ทั้งชีวิตแล้วนะ
- บางคนอยากหารายได้เพิ่ม กู้บ้านมาเพื่อปล่อยเช่า หรือ รีโนเวทขาย อันนี้ก็เหมือนจะดี แต่ต้องมีประสบการณ์ด้วย ผมเคยทําคลิปบิทคอย vs อสังหาฯปล่อยเช่าอยู่ ใคนสนใจไปดูได้
เอาเป็นว่าขนาดชนชั้นกลางที่พอรู้เรื่องการเงิน การลงทุน ยังไม่เข้าใจระบบการเงินโลก และการทํางานของเงินเฟ้อเลย
ถ้าเข้าใจเรื่องเงินเฟ้อ คนจะพยายามไม่เป็นหนี้ที่ไม่สร้างรายได้ เพราะมันมีค่าเสียโอกาสในการเก็บออมเงินในสินทรัยพ์ที่ดีกว่า
3.2 คนจน
- ตาสีตาสาไม่มีเครดิต กู้แบงค์ไม่ได้ ก็ไปกู้นอกระบบ ที่ดอกเบี้ยเยอะกว่ากู้แบงค์หลายเท่า บางคนรู้ดีกว่า ถ้าไม่มีเงินจ่าย อาจจะโดนทวง โดนทําร้าย บางคนเลือกที่จะหนีไปเรื่อยๆ บางคนเงินที่กู้มาไม่รู้หรอกว่าจะหาคืนยังไงแต่จะเอามาใช้ก่อน
เงินไม่พอบวกกับหนี้ที่ไม่จบสิ้น ทําให้ครอบครัวคนจนหลายครอบครัว ไม่สามารถหลุดพ้นความจนได้ ความจนที่ส่งต่อรุ่นต่อรุ่นทําให้เด็กหลุดออกจากระบบศึกษา อาจจะทําให้เกิดปัญหาสังคมในระยะยาวอีก
การมี Money Literacy หรือ ความฉลาดทางการเงิน อย่างถูกต้องจะทําให้เราเข้าใจระบบการเงินโลก เงินเฟ้อ
และจัดการการเงินส่วนบุคคลหรือครอบครัวได้อย่างเหมาะสม รวมถึงป้องกันความเสี่ยงที่จะต้องใช้เงินฉุกเฉินในอนาคตได้
ถ้าความคิดไม่เปลี่ยนถึงแม้จะถูกหวยหรือมีคนเอาเงินมาช่วยเหลือ สุดท้ายเงินก็จะหมดอยู่ดี เหมือนกับเคสการช่วยเหลือคนจนหลายๆเคสในสารคดี สุดท้ายแล้วเขาก็จะกลับไปจนแบบเดิม นี่แหละที่เรียกว่า จนจากมายเซ็ต ไม่ใช่เงินที่มี
ใครอยากหลุดออกความจนอย่างยั่งยืน ผมแนะนําทําตามนี้
1 วางแผนใช้หนี้เก่าที่มีอยู่ (ถ้าไม่เคลียร์ก้อนนี้ คุณจะไปต่อยากอีกหลายเท่า)
2 ไม่ก่อหนี้ใหม่เพิ่ม (ยิ่งคนไม่มีเงินหรือวินัยทางการเงิน อย่าไปก่อนหนี้เพิ่ม)
3 หาเงินเพิ่มและ ทำรายรับรายจ่าย (อยากชีวิตดีขึ้นไม่มีทางลัด)
4 เก็บออมในสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่าเช่น บิทคอย (ถ้าเงินเก็บไม่รั่ว คุณรวยขึ้นทันที)
สรุป
1 หนี้ เป็นระบบที่ออกแบบมาให้เรากลายเป็นทาส โดยเฉพาะหนี้บริโภคที่ไม่สร้างรายได้
2 คนส่วนใหญ่ ยังไม่เข้าใจระบบการเงินโลก เงินเฟ้อ ที่ออกแบบมาให้เราลําบาก เมื่อเราตามเกมไม่ทัน
ไปก่อหนี้ ทีนี้แหละคุณก็จะกลายเป็นทาสที่ไม่สามารถหลุดออกจากระบบเงินเฟียตได้
3 หนี้ดีที่สร้างเงินให้ตัวเอง เช่นหนี้ธุรกิจ อันนี้จัดการต่อไปได้
หนี้เสียที่เกิดการใช้จ่ายเงินเกินตัว สินเชื่อส่วนบุคคลหรือหนี้นอกระบบที่ดอกเบี้ยสูงรีบเคลียร์ให้เร็วที่สุด
4 จัดการหนี้ จัดการเงินใหม่ และออมเงินในสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่าเช่น บิทคอย ทองคํา
เมื่อเราเข้าใจระบบการเงินโลก เงินเฟ้อ และหนี้ ทําให้เรารู้ทันระบบทาส
และหนีจากมันได้อย่างแท้จริง
#siamstr #หนี้ #การเงิน #btc
ปี 2025 เงินเฟ้อ ชีวิตแย่ขนาดนี้ทำไมยังมีคน เกลียด บิทคอยอยู่อีก - sats and sound Ep.42
https://youtu.be/YrrZ9Lec_HM
ปี 2025 เป็นปีแห่งการท้าทาย ที่มีแต่ข่าวบอกว่า เศรษฐกิจมันแย่ลงๆๆ ซึ่งผมที่ตามข่าวมา
มันแย่ลงทุกปี พูดกันมาตั้งแต่ ปี 2018 แล้ว พอเจอโควิดซัดไป แย่ลงกว่าเดิมอีก
กูรูทางการเงินแนะนําว่า ทุกคนอย่าเพิ่งลงทุน ให้เก็บเป็นเงินสดเอาไว้
คุณไปดูข่าวในปีนี้สิ กูรูก็ยังคงแนะนําว่าให้เก็บเงินสด ปีนี้เผาหลอก ปีหน้าเผาจริง (อีกแล้ว)
คนพวกนี้ส่วนใหญ่ยังติดอยู่ในโลกของเงินเฟียต ที่ทุกอย่างมันจะแพงขึ้นเพราะเงินที่ถือเสื่อมค่าลงไปเรื่อยๆแบบไม่รู้ตัว
ตั้งแต่ปี 2008 - 2025 พวกเราเจอทั้งวิกฤตเล็กใหญ่มามากมาย แฮมเบอร์เกอร์ สงครามหลายๆที่ โควิด19
ทุกๆครั้งที่เกิดวิกฤตเหล่านี้ รัฐบาลก็จะต้องพิมพ์เงินออกมาพยุงหรือกระตุ้นเศรษฐกิจ
ทําให้ 17 ปีที่ผ่านมาเกิดเงินเฟ้อมหาศาล ข้าวของแพงขึ้นเพราะเงินมันเสื่อมค่าเร็วเป็นอัตราเร่ง ระบบที่ออกแบบมาให้ทุกคนจนลง ความเฮียแบบนี้มันจะดําเนินไปเรื่อยๆ
ถ้าคุณลงหลุมกระต่ายไปแล้ว ยินดีด้วยนะครับ คุณรอดแล้ว
เพราะคุณจะเข้าใจดีว่าปัญหานี้มีทางออกแค่ถือบิทคอย ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ต้านเงินเฟ้อ
แค่นี้คุณก็จะหลุดออกจากระบบเงินเฟียตที่บังคับให้คนเป็นทาส
แต่ยังมีคนอีกจํานวนมากที่ติดอยู่กับระบบเงินเฟียต ถ้าคุณหาเงินได้ไม่เร็วกว่าอัตราเงินเฟ้อ หรือการพิมพ์เงิน
คุณก็จะต้องวิ่งตามหาเงิน และเหนื่อยไปทั้งชีวิต
สิ่งนี้มันเกิดขึ้นแล้วในยุคปู่ย่า พ่อแม่เรา ที่เหนื่อยแบบไม่รู้ตัว ขนาดในยุคนั้นมันพิมพ์เงินยังไม่เยอะ
ตัดมาตอนนี้โคตรแย่ คนไม่อยากมีลูก ค่าใช้จ่ายสูง ของแพงจนซื้อกันไม่ไหว ทุกอย่างต้องผ่อนหมดและในอนาคตมันจะแย่กว่านี้หลายสิบเท่า
มาที่หัวข้อในวันนี้ ปี 2025 เงินเฟ้อ ชีวิตแย่ขนาดนี้ ทําไมบางคนยังเกลียดบิทคอย ไม่ยอมรับมันอยู่อีก
เพราะเขาเหล่านั้นยังติดอยู่ในโลกของเงินเฟียต ความคิดแบบเดิมๆ ออกแบบมาให้ทุกคนเป็นทาส และจนลงอัตโนมัติ
มันฝังลึกเข้าไปในมายเซ็ตจากรุ่นสู่รุ่น เกือบร้อยปีที่ทุกคนอยู่ในระบบนี้ มันทําให้หลายๆคนคิดว่ามันดีอยู่แล้ว มันก็ต้องเป็นอย่างนี้แหละ มันมีคนต้องการให้เป็นแบบนี้ เพราะถ้าคนส่วนใหญ่รู้ ระบบเฟียตที่เอาเปรียบเราจะพัง พวกเขาเสียประโยชน์
พออยู่ในความคิดแบบเดิมพอบิทคอยมาก็ไม่ยอมรับเพราะ
1 บิทคอยถูกออกแบบมาให้เป็น "เงิน" แต่คนส่วนใหญ่ยังคงมองบิทคอยแบบมุมมองของสินทรัพย์เดิมในโลกเงินเฟียต
เช่น หุ้น พันธบัตร หรือของสะสม
สิ่งนี้คือกําแพงที่ใหญ่ที่สุดของคนที่อยู่ในโลกเงินเฟียต เขาบอกว่าบิทคอยคือสิ่งจับต้องไม่ได้ ไม่มีอะไรหนุนหลัง ไม่มีรายได้
ไม่มีผู้ควบคุม และความเสี่ยงสูงเหมือนการพนัน
การประเมิน บิทคอย ด้วยมาตรวัดของ "หุ้น" เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะ บิทคอย ควรถูกมองว่าเป็น “เงิน” ซึ่งเป็นเลเยอร์พื้นฐานสำหรับโอนมูลค่า และไม่จําเป็นต้องมีงบกําไรขาดทุนหรือผลิตสินค้าใด ๆ
ใครศึกษาจะรู้ว่าบิทคอยถูกออกแบบมาให้เป็น "เงิน"โดยมีคุณสมบัติ 3 ข้อหลักของ "เงินที่ดี" คือ
1 Store of Value เก็บมูลค่าได้
2 Medium of Exchange เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน
3 Unit of Account แบ่งหน่วยย่อยได้
พอมันออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟียตที่พิมพ์กันจนเสื่อมมหาศาลได้ ทําให้ผู้เสียประโยชน์พยายามปั่นข่าวๆแย่ๆออกมา
เพื่อปกปิดความจริง ไม่ว่าจะเป็นบิทคอยคือสิ่งผิดกฏหมาย พยายามแบน บิทคอยไม่มั่นคงเป็นเงินในอากาศที่เสี่ยงหายทั้งหมดได้ตลอดเวลา เดี๋ยวมันก็มีเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาแทน เดี๋ยวบิทคอยก็ตายแล้ว
ในตอนนี้ทิศทางของบิทคอย ในการเป็นเงินยังอีกยาวไกล แต่สิ่งที่ผมรู้สึกคือ ภาครัฐ พยายามนําบิทคอยมาเป็น reserve
อยู่เบื้องหลังอีกที เพื่อทําให้พวกเขายังคงใช้เงินเฟียตและพิมพ์เงินออกมาได้มากขึ้นอีก
ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ใครไม่ถือบิทคอย จะจนลงอีก และลําบากลงไปอีก หลายเท่า
2 คนส่วนใหญ่รู้จัก แต่ไม่เข้าใจ
บางคนรู้นะ แต่ยังไม่กล้าเข้ามาถือบิทคอย หรือ โดน distract ไปลงสินทรัพย์อื่นๆ เช่น Altcoin
บอกเลยว่าคนพวกนี้เสียโอกาสมหาศาล เพราะบิทคอยที่ดูเหมือนราคาจะแพงมากๆไปแล้ว มันเป็นสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่า
เหรียญ Altcoin อื่นๆมันก็ไม่ต่างจากเงินเฟียต ที่ควบคุมได้ ถ้าถือคนจะต้องคอยตามข่าว เข้า-ออก ให้ทัน
ซึ่งต่างจากบิทคอยที่เก็บออมไว้ใน HW ที่ปลอดภัยก็สบายใจได้เลย
ความไม่เข้าใจแก้ด้วยการเริ่มศึกษา เข้าไปในคอมมูนิตี้ หรือ ช่องยูทูปเยอะมากที่พูดเกี่ยวกับบิทคอย
รู้ก่อน ออมก่อน อิสระก่อน
คุณสมบัติที่แท้จริงของ บิทคอย
บิทคอย คือเทคโนโลยีการเก็บมูลค่าที่ไม่สามารถพิมพ์เพิ่มได้ และเป็นเครื่องมือป้องกันค่าเงินด้อยค่า (เงินเฟ้อ) ที่รัฐบาลทั่วโลกพิมพ์เงินกันฉํ่าๆอยู่ ใครศึกษาจะรู้ว่าจริงๆสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่าจะมีอีก 2 สิ่งคือ ทองคํา กับ ที่ดิน
ความเห็นส่วนตัวคิดว่าโลกในปี 2025 นี้ บิทคอยมีข้อดีหลายๆข้อที่ทองคําและที่ดินทําไม่ได้เช่น
- มีจำนวนจำกัดที่แน่นอนเพียง 21 ล้านเหรียญ
ในโลกของเงินเฟียต ทองคํากับที่ดิน ยังสามารถทําให้เฟ้อ หรือมีจํานวนมากขึ้นได้ ด้วยการเล่นแร่แปรธาตุของภาครัฐ
ต่างจากบิทคอยที่ แม้ผู้สร้างเอง หรือ เทวดาฟ้าดินที่ไหน ก็ไม่สามารถทําให้มันเพิ่มจํานวนได้อีก
- สามารถพกพาและโอนข้ามโลกได้ในไม่กี่วินาที
ข้อนี้ที่ดิน อสังหาฯปัดตกก่อนเลย พกพาไม่ได้ ส่วนทองคํา การขนทองคําไม่ว่าจะย้ายในประเทศ ก็มีความยุ่งยากสุ่มเสี่ยง
ถ้าจะย้ายออกจากประเทศ ต้องได้รับการอนุญาตจากรัฐก่อน และมีการจํากัดด้วย คําถามที่เกิดขึ้นคือ ทองของเราทําไมต้องขอรัฐเพื่อย้าย สิ่งเหล่านี้บิทคอยแก้ปัญหาได้หมด แค่คุณจํา seed phase 12-24 คําในหัว ไปแต่ตัวพอ เท่านี้คุณสามารถเอาบิทคอยคุณไปได้ทั่วโลก เขียนในกระดาษก็ได้แต่ต้องซ่อนให้ดี ส่วนแผ่นโลหะ เห็นว่าบางสนามบิน หรือบางทีมีการตรวจด้วยนะ
- สามารถแบ่งย่อยได้ถึง 1 ใน 100 ล้านส่วน
ข้อนี้ที่ดินปัดตกเหมือนกัน แบ่งยาก ส่วนทองคําพอแบ่งได้แต่อาจจะไม่ละเอียดเท่า
บิทคอยคุณสามารถแบ่งเป็นหน่วย sat ได้ ซึ่งในอนาคตถ้ามูลค่าของบิทคอยมันสูงมาก บน layer 2-3 สามารถแบ่งเป็น milisat
หรือเล็กกว่านั้นลงไปได้อีก ไม่ต้องกลัวว่า 21เหรียญจะไม่พอใช้ทั้งโลก มันมีวิธีทําได้
บิทคอยในอนาคต
- วงจรราคา 4 ปีแบบเดิมของบิทคอยอาจจะไม่เหมือนเดิม เพราะ 95% ของบิทคอยถูกขุดออกมาแล้ว
แถมตอนนี้ มีผู้เล่นรายใหญ่ เงินเยอะมาก เข้ามาถือ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทหรือรัฐชาติ ไม่ใช่เกมของรายย่อยอีกต่อไป
- ทุกคนต้องการบิทคอยมาขึ้น มีบางบริษัท หรือรัฐชาติที่พร้อมซื้อทุกราคา เมื่อ supply ลดลงจนถึงจุดหนึ่ง
เกิดการ corner ราคาของบิทคอยในหน่วยเฟียตจะพุ่งเร็วจนน่าตกใจ คาดว่าสิ่งนี้อาจจะเกิดในอีก 5-10 ปีข้างหน้า
- เงินเฟ้อและการพิมพ์เงิน ยังคงมีต่อไปเรื่อยๆ คนจะจนลงและคุณภาพชีวิตแย่ลง เพราะไม่มีทางที่จะหาเงินได้ทันอัตราเงินเฟ้อ
จากประสบการณ์ผมเอง ทํางานเก็บเงินช่วงแรก เราจะยังไม่รู้สึกจนเพราะ อัตราเงินที่เราเก็บได้มันเพิ่มเยอะ
แต่ผ่านไปสัก 10 ปีจะรู้สึกว่ายังไงเราก็ตามไม่ทันเงินเฟ้อ เพราะเงินที่เก็บมันเสื่อมไปครึ่งนึงแล้ว
กะเก็บตังซื้อบ้าน สรุปซื้อได้แค่ครึ่งหลัง
ข้อสรุป
1 ความเข้าใจผิดในปัจจุบันเกี่ยวกับบิทคอย คือโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสําหรับผู้ที่มองเห็นก่อนคนอื่น
บิทคอยคือเงิน หรือสินทรัพย์ที่ใช้เป็น reserve ดังนั้นไม่ควรมองว่ามันเป็นหุ้น หรือสินทรัพย์เดิมในโลกเงินเฟียต
2 ถึงมันจะดียังไง มันก็จะมีคนที่ออกมาต่อต้าน หรือ เกลียดบิทคอยอยู่ดี แต่ผมคิดว่าจะมีคนเข้าใจบิทคอยมากขึ้นเรื่อยๆ
คิดง่ายๆขนาดบริษัทใหญ่ หรือ รัฐชาติ ยังเข้ามาถือเลย ถ้ามันแย่เขาจะเข้ามาทําไม คนตัวเล็กๆอย่างพวกเราก็ต้องถือเหมือนกัน
3 ใครถือก่อน รู้ก่อน เป็นอิสระและหลุดพ้นจากเงินเฟียตก่อน แค่คุณถือบิทคอยไว้นานพอ เก็บไว้ในที่ปลอดภัย คุณก็รวยกว่าคนในโลกที่ติดกับดักของเงินเฟียตไปจำนวนมากแล้ว
#siamstr #btc #bitcoin #เงินเฟ้อ #ความจน #พิมพ์เงิน #ชีวิตแย่
Imperfect Action ลงมือทำทั้งที่ยัง "ไม่พร้อม"ถ้าทำถูกเรื่อง ชีวิตดีขึ้นได้นะ - sats and sound Ep.41
https://youtu.be/yFr_JDb8RNc
หลายๆคนคงจะเคยเป็นแบบผมคือ เรามานั่งคิด หรือวางแผนชีวิตในเรื่องต่างๆ
รวมถึงความผิดพลาดในอดีต "ถ้าทําอย่างนั้นถ้าอย่างนี้ ชีวิตคงดีกว่าที่เป็น"
ในบางครั้งทําให้สมองของเรา ติดอยู่กับการกลัวสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น กังวลล่วงหน้าไปก่อนแล้ว
ในหัวคิดอยู่แค่ว่า ฉันยังไม่พร้อม ทําให้เราอาจจะไม่กล้าลุกขึ้นมาทําอะไรใหม่ๆ หรือ ทําสิ่งที่ท้าทายมากขึ้น
เพราะสมองเราจะติดอยู่กับ เซฟโซน ที่รู้สึกปลอดภัย เป็นระบบการเอาตัวรอดของสมองนั่นเอง
ตัวผมเองก็ไม่ต่างจากทุกคน ในการเลือกทางเดินชีวิต ในหัวผมก็จะคิดถึงแต่เซฟโซนก่อน
เลือกเดินในทางที่ความเสี่ยงน้อยๆ และไม่พร้อมสําหรับสิ่งใหม่ ยิ่งอายุเยอะเราจะติดอยู่ในเซฟโซนนานขึ้น
เพราะเราเสี่ยงได้น้อยลงเรื่อยๆ
แต่อยากให้มองกลับกันดูว่า ที่จริงแล้ว ชีวิตคนเรา "มันไม่มีอะไรสมบรูณ์ หรือ พร้อมเลยนะ"
ในธรรมชาติทุกอย่างล้วนแต่ไม่สมบรูณ์แบบแต่มีการพัฒนาเพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้นอยู่เสมอ
พอคิดได้แบบนี้ ร่วมกับ ทบทวนอดีตที่ผ่านมา
ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ เริ่มทําสิ่งใหม่ โดยที่ไม่พร้อมมาตลอด
Imperfect Action มันผ่านการคิดมาระดับหนึ่งแล้วว่ามันน่าจะดี
ยกตัวอย่างเช่น เช่น
- ช่องยูทูป Sats and Sound เชื่อมั้ยว่าช่องนี้มันเกิดจาก ความคิดแค่แว๊บเดียวของผม ที่อยากจะสร้างช่อง podcast
ให้ความรู้เกี่ยวกับบิทคอย และ การพัฒนาตัวเอง ผ่านประสบการณ์และความคิดของผม
ในตอนนี้ตัวผมเอง ร่ำรวย ประสบความสําเร็จหรือเก่งเรื่องต่างๆขนาดนั้นมั้ย ต้องตอบว่า ไม่
ที่ทําเพราะแค่อยากทําและคิดว่ามันน่าจะมีประโยชน์ต่อคนอื่นได้ เหตุผลง่ายๆเท่านี้เลยครับ
พอได้เริ่มทําแล้ว เราจะพัฒนาทักษะที่ต้องใช้ไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่ทําคลิป
การหาหัวข้อ หรือ ข้อมูลที่ดี สิ่งเหล่านี้มันได้ขัดเกลาให้ผมเป็นคนมายเซ็ตดีขึ้นจริงๆนะครับ
- การออกกําลังกาย
สมัยก่อน ตัวผมเองก็ศึกษาเรื่องการออกกําลังกาย และ ออกอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้สมํ่าเสมอ บางครั้งก็งานยุ่งไม่ได้ออก
แต่หลังจากผมไปฟังคลิปหนึ่ง ผมก็ตัดสินใจออกกําลังกายอย่างสมํ่าเสมอ ฟังคลิปจบ ผมหาวางแผนชีวิตเลยว่า
เราจะทํายังไงเพื่อให้ ออกกําลังกายได้อย่างสมํ่าเสมอ คาร์ดิโอ ได้ตามเป้าหมาย
สุดท้ายผมก็ไปซื้อเครื่องคาร์ดิโอเล็กๆมา
1 ชิ้น ลูกกลิ้ง 1 ชิ้น พร้อมตั้งเป้าหมายว่า กลับมาจากที่ทํางานต้องออกกําลังกายทันที คาร์ดิโอตั้งเป้า อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ สิ่งนี้ก็เป็นอีกหนึ่ง Imperfect Action ที่ต้องลงมือทําเลย ถ้าไม่เริ่มก็คงไม่ได้ทําสักที
ช่วงแรก ออกก็ผืนๆ แต่พอทําได้ต่อเนื่อง ตามเป้าหมาย ผมก็จะออกกําลังกายได้ อัตโนมัติ
พอร่างกายดี สุขภาพดี มันก็ทําให้ผมยิ่งมีความสุข มากขึ้น
- รายได้เสริม
ตอนนี้ถ้ายิ่งหารายได้หลายทาง ก็ยิ่งดี เพราะเงินหายาก ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ตัวผมเองก็มานั่งคิดว่าเราจะเพิ่มรายได้ทางอื่นยังไงบ้าง
ผมก็ทําไปหลายอย่าง ยิ่งต้องหาเงินไป stack sat ยิ่งต้องขยันนะ เพราะเงินเฟ้อมันไม่รอใคร
1 ออกไปทําพาร์ททาม
เหมือนในคลิปที่เคยเล่า ถามว่าผมมีประสบการณ์การทํางานมั้ย บอกเลยว่าไม่มี ก็ลองเข้าไปทํา เรียนรู้งาน
นอกจากได้เงินแล้ว ผมยังได้ประสบการณ์ต่างๆด้วยไม่ว่าจะเป็นการทํางาน หรือการอยู่กับคน หรือมองคนในไทป์ต่างๆ
2 ทําคลิป affiliate ในแพลตฟอร์มต่างๆ
อันนี้ผมคิดว่าเบื้องต้นไม่มีใครพร้อมแน่นอน ช่วงแรกวุ่นวายหลายอย่างเลย ไหนจะหาสินค้า ทําคลิป ทักษะการพูด การตัดต่อ ให้น่าซื้อ ไหนจะวินัยในการอัพโหลดวิดีโอ ไหนจะต้องศึกษาแนวทางคลิปที่ healthy กับแพลตฟอร์ม ใครทุนหนาก็ยิงแอดอีก แต่ผมสาย organic ไม่ยิงแอดครับเปลืองเงินเปล่าๆ
ไม่ว่าจะเป็นงานออฟไลน์ได้เงินเป็นชั่วโมง หรือ งานออนไลน์ที่ผมทํา ทุกอย่างล้วนแต่เกิดจากการตัดสินใจลงมือทําทั้งที่ยังไม่พร้อมทั้งนั้น ทุกๆทักษะมันจะทําได้เราเกิดการเรียนรู้และความชํานาญ ทําให้ผมรู้ว่าเราชอบอะไร และสิ่งไหนเอาไปต่อยอดได้บ้าง ถ้าเราไม่ทําอะไรใหม่เลย กลัวทุกอย่าง ชีวิตเราก็จะไม่พัฒนาขึ้น การได้มองโลกหรืออยู่ในมุมมองวิธีคิดแบบใหม่ มันดีเหมือนกันนะ
แต่ Imperfect Action มันก็ไม่ได้ดีในทุกเรื่องนะครับ
ที่ยกตัวอย่างมาคือ การเริ่มลงมือทําในสิ่งใหม่ ที่สร้างประโยชน์ให้เรานะ ทุกอย่างถ้าผ่านการคิดมาแล้วมาทําสิ่งนี้มีผลดี
แต่ถ้า เราทํา Imperfect Action ที่แย่เช่น ตัดสินใจกู้เงินมาทําธุรกิจแบบไม่คิดให้ดี ผ่อนบ้าน ผ่อนรถโดยไม่เคยทํารายรับรายจ่าย เซ็นง่ายๆโดยเห็นว่า ตอนนี้ฉันผ่อนไหว ถ้ากรณีแบบนี้ นรกจะถามหาได้ เพราะ มันจะเกิดภาระระยะยาว เสียโอกาสทําอย่างอื่นทีดีกว่ามหาศาล ถ้าใครผ่านมันไปได้ก็ดี แต่ถ้าผ่านมันไปไม่ได้ คุณจะติดกับดักและเหนื่อยมากๆ
Imperfect Action มันดีที่สุดก็ต่อเมื่อเราคิดหน้าคิดหลังให้ดีว่า มันส่งผลระยะยาวอย่างไรบ้าง
สรุปข้อดีของ Imperfect Action
1. เอาชนะความกลัวและความลังเล
หลายครั้งที่เราไม่กล้าเริ่มทำอะไรใหม่ๆ เพราะกลัวความล้มเหลว กลัวว่าผลลัพธ์จะออกมาไม่ดีพอ การลงมือทำทั้งที่ยังไม่พร้อมช่วยให้เราก้าวข้ามความรู้สึกนี้ไปได้ เพราะเป้าหมายไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบตั้งแต่แรก แต่คือการได้ "เริ่ม" ทำต่างหาก
2. ได้เรียนรู้และแก้ไขไปในตัว
เมื่อคุณเริ่มลงมือทำ คุณจะได้เห็นข้อผิดพลาดและจุดที่ต้องปรับปรุงจริงๆ การเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงนั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าการวางแผนอยู่เสมอ เพราะช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและประสบการณ์ที่แท้จริง ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาและแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด เหมือนคำพูดที่ว่า "คนที่ไม่เคยทําความผิด คือคนที่ไม่เคยทําอะไรเลย" ดังนั้นอย่างกลัวความผิดพลาด
3. สร้างแรงผลักดันและโมเมนตัม
การเริ่มต้นทำสิ่งเล็กๆ แม้ไม่สมบูรณ์แบบ ก็เป็นเหมือนการสร้างโมเมนตัม (Momentum) หรือแรงผลักดันให้คุณอยากทำสิ่งต่อไปเรื่อยๆ เมื่อเห็นความคืบหน้าแม้เพียงเล็กน้อย คุณจะรู้สึกมีกำลังใจและมีแรงบันดาลใจที่จะก้าวไปข้างหน้าต่อ
4. ประหยัดเวลาในชีวิต
การรอให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบก่อนลงมือทำอาจใช้เวลาและพลังงานไปอย่างมาก ซึ่งบางครั้งก็เปล่าประโยชน์ เพราะอาจมีปัจจัยที่เราไม่ได้คาดคิดเกิดขึ้นอยู่เสมอ การลงมือทำแบบ Imperfect Action ช่วยให้คุณนำเวลาและพลังงานไปใช้กับการลงมือทำจริงๆ มากกว่าการวางแผนที่ไม่มีวันสิ้นสุด วางแผน ทํา และแก้ปัญหาไปเลย ประหยัดเวลาชีวิตกว่าเยอะมาก
5. เพิ่มโอกาสในการค้นพบสิ่งใหม่ๆ
เมื่อคุณเริ่มทำ คุณอาจค้นพบเส้นทางใหม่ๆ วิธีการใหม่ๆ หรือแม้แต่ความชอบใหม่ๆ ที่ไม่เคยคิดมาก่อนก็ได้ การลงมือทำแบบนี้จึงเปิดโอกาสให้คุณได้สำรวจและค้นพบศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวเอง
6. Imperfect Action ต้องทําให้ถูกเรื่อง
ถึงการทําโดยไม่พร้อมจะมีความเสี่ยง แต่ถ้าเราวางแผน ผ่านกระบวนการคิดมาแล้ว ก็ช่วยลดความเสี่ยง หรือรับมือกับสิ่งนั้นได้
#siamstr #พัฒนาตัวเอง #ลงมือทำ #btc #bitcoin #ออกกำลังกาย #รายได้เสริม
ออม และ ลงทุนต้องแยกกันอย่างชัดเจนทําแค่นี้ชีวิตง่ายขึ้น 10 เท่า - sats and sound EP39
https://youtu.be/MyBh7vguJZk
ในโลกของเงินเฟียตที่เงินเสื่อมค่าตลอดเวลาจากการพิมพ์เงินและเงินเฟ้อ เงินก็หามาอย่างยากลําบาก
ตลอดเวลาที่ผมเติบโตมา ผมจะรับรู้มาตลอดว่า การออมมันไม่มีประโยชน์เพราะ ดอกเบี้ยเงินฝากมันแค่ 0.25%
ไม่เหมือนรุ่นปู่ย่า พ่อแม่ ที่ยังเคยเห็นดอก 10% ต่อปีจากการแค่ฝากธนาคารเฉยๆ
ดังนั้น ผมจะถูกปลูกฝังมาอัตโนมัติเลยว่า เงินต้องเอาไปลงทุนๆๆๆเท่านั้น เพื่อให้เงินงอกเงย
ใครจะบ้าเอาเงินไปออม ฝากแบงเยอะๆเสียเวลา
และนี่คือสิ่งที่ผมทํามาตลอด 10 ปีที่ทํางาน
ทํางานเพื่อหาเงิน แล้วนําเงินไปซื้อหุ้น กองทุนรวม ประกันชีวิต และมีเงินสํารองฉุกเฉินไว้ใช้ 3-6 เดือนของรายจ่าย
ดี ถูกต้องตามที่กูรูการเงินบอกเป๊ะๆ
ทุกอย่างดูเหมือนดี แต่พอลงลึกไปถึงดีเทล ความมั่งคั่งของผมมันไม่เยอะแถมยังรู้สึกไม่มั่นคง ในความคิด 10 ปีควรจะมั่นคงกว่านี้ แต่สาเหตุเพราะตัวผมเองที่ลงทุนไม่เป็น และไม่มีความสมํ่าเสมอ
ผมก็คือมนุษย์เงินเดือนที่ติดอยู่ในโลกเงินเฟียตที่ทํางาน เก็บเงิน ใช้จ่ายเพื่อความสุขบ้าง
ส่วนการลงทุนก็ลงบ้างไม่ลงบ้าง ตามอารมณ์ ซื้อๆขายๆ หุ้นตามกูรูที่เขาบอก โดยไม่ได้ศึกษา เข้าใจมันจริงๆ
ผลสรุปสุดท้ายคือ หาเงินมาลงทุนเท่าไหร่ ผลตอบแทนไม่เห็นดีเหมือนที่คิด ยิ่งพอเราลงมั่วๆไปเทียบกับคนที่ลงทุนเป็น
หรือคนในอินเตอร์เน็ตยิ่งเครียดไปใหญ่
ผมก็เลยคิดว่า มันต้องมีอะไรผิดพลาดสักอย่าง จนได้คําตอบว่า เวลา 10 ปีที่เสียไป เกิดจาก
- ผมไม่มีความรู้ทางการเงินมากพอ ทําให้ลงทุนไม่เป็น เลือกหุ้นไม่เป็น ปันผลไม่ reinvest
- ไม่มีความสมํ่าเสมอ ลงทุน ใส่เงินซื้อหุ้นตามอารมณ์ เชื่อกูรู หรือข่าว ซื้อๆขายๆ ไม่มีหลักเกณฑ์
- ไม่มีการบันทึกและติดตามผลการลงทุน พอไม่บันทึกติดตามผลของพอร์ททําให้เรา หลงทางไปหมด
ตอนนั้นคิดง่ายๆว่า ลงๆไปรอสัก 10 ปี หุ้นขึ้นอยู่แล้ว สรุปเป็นไงหล่ะ หุ้นไทย 10 ปีอยู่ที่เดิม
- ไม่รู้จักความเลวร้ายของการพิมพ์เงิน และ เงินเฟ้อ ไม่เข้าใจระบบการเงินโลก เข้าใจข้อนี้ข้อเดียวเบิกเนตรเลย
- ไม่แยกการออมและการลงทุนออกจากกัน สมัยก่อนที่ไม่รู้จักเงินเฟียต เงินเฟ้อ ก็เลยดูถูกเงินออม แต่พอได้ศึกษาจริงๆ
การแยกแค่เงินออมกับลงทุน ชีวิตง่ายขึ้นจริงๆ
พอผมเจอต้นตอปัญหา ผมก็หาโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ โดน alt coin gamefi รับน้องไปอีกหลักแสนช่วงโควิด
ผมเคยทําคลิปเล่าไปแล้วสนใจกดไปดูได้เลยครับในช่อง
จนสุดท้าย ผมไปเจอคลิปเกี่ยวกับบิทคอย ศึกษาเป็นปี แล้วค่อยๆเบิกเนตร ทีละอย่าง
ตั้งแต่ระบบการเงินโลก การพิมพ์เงิน เงินเฟ้อ ที่ออกแบบมาให้ทุกคนจนลงอัตโนมัติ เรื่องนี้ไม่มีใครบอกเราด้วยนะว่ามันแย่
ทุกคนถูกฝังหัว ถูกโปรแกรมมาว่า มันเป็นแบบนี้แหละ คนรุ่นหลังก็จะจนกว่ารุ่นพ่อแม่ไปเรื่อยๆ
ชีวิตจะลําบากขึ้นไปเรื่อยๆจากเงินเฟ้อ
เงินเฟียตที่เสื่อมค่าทุกวินาที มันทําให้คนที่ติดอยู่ในโลกของเงินเฟียต "ดูถูกการออม" ซึ่งก็เหมือนกับตัวผมเองในอดีต
ทุกคนถูกบังคับให้เข้ามาในสนามการลงทุนโดยไม่มีความพร้อม ต้องเข้ามาสู้ในเกมที่คุณเสียเปรียบหรือไม่ถนัด
ไม่แปลกใจครับที่ ผมเองไม่ประสบความสําเร็จจากการลงทุน
พอผมลงหลุมกระต่ายมาแล้ว มุมมอง แนวคิด เกี่ยวกับการเงิน การลงทุนเปลี่ยนหมดเลยครับ
1 การออมและการลงทุนต้องแยกออกจากกันอย่างชัดเจน
เปลี่ยนมายเซ็ตนิดเดียว ทําแค่นี้ชีวิตง่ายขึ้น 10 เท่า
2 ทุกคนไม่ต้องลงทุนก็ได้ แต่ต้องออมในสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่า
ไม่ออมในเงินเฟียต เปลี่ยนเป็นสินทรัพย์อื่น
มาดูสิ่งที่ผมทําจริงกันเลย แบ่งเงินเป็น 4 ก้อนง่ายๆ
1 เงินออม (เป็นพอร์ตที่ใหญ่ที่สุด สําคัญที่สุด ผมจะเก็บไว้ใน HW ที่ปลอดภัย และไม่ขายเด็ดขาด)
สิ่งนี้คือรากฐานของความมั่นคงอย่างแท้จริงของทุกคน ในเมื่อเงินเฟียตเสื่อมค่าลงทุกวัน การพิมพ์เงินไม่มีใครหยุดได้
ดังนั้นเราจะต้องออมเงินของเราไว้ใน สินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมมูลค่า เช่น ทองคํา หรือ บิทคอย จะลงอันไหนแล้วแต่ความรู้ ความถนัด ความชอบได้เลย ตัวผมแน่นอนว่า ออมในบิทคอยครับ ผมมีเป้าหมายออมอย่างสมํ่าเสมอทุกเดือนด้วย
2 เงินใช้จ่ายประจําเดือน
ทําบัญชีรายรับรายจ่ายสักพัก เราจะรู้ว่าแต่ละเดือนเราใช้จ่ายเท่าไหร่บ้าง ผมจะมีเงินบัฟเฟอร์ในบัญชีไว้ อีก 1 เท่าเสมอ
เผื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน เราจะใช้เงินได้ทันที ถ้าใช้ไปก็มาเติมให้ครบ
3 เงินสํารองฉุกเฉิน
ในส่วนนี้ก็เก็บแยกไว้ในบัญชีที่ใช้ได้ทันที ควรจะมีไว้สัก 3-6 เดือนของรายจ่ายประจําเดือน ถ้าใช้ไปก็มาเติมให้ครบ
4 เงินลงทุน
เงินส่วนนี้จะเป็นส่วนสุดท้ายหลังจากที่จัดสรรเงินอื่นๆรายเดือนไปหมดแล้ว ก้อนนี้จะเป็นเงินที่เราสามารถเสียได้ทั้งหมด
และเป็นเงินที่เราต้องเสี่ยงเอาไปลงทุนเพื่อคาดหวังผลตอบแทนที่มากขึ้น เป็นเงินส่วนที่เล็กที่สุดของผม
เมื่อก่อนตอนที่ผมอยู่ในโลกของเงินเฟียต เงินส่วนใหญ่ที่ได้มาผมก็จะเอามาลงพอร์ตการลงทุน
มีกูรูบางคนบอกว่า ให้เอาเงินทั้งหมดไปลงในหุ้นปันผล แล้วเอาปันผลมาใช้ ฟังดูดี inspire มาก แต่ในความเป็นจริง
ถ้าคุณเงินเดือน 15000-20000 ทุนน้อยทําแบบนั้นไม่ได้ครับ มันเหมาะกับคนที่มีเงินก้อน
หลังจากหลุดออกมาจากโลกของเฟียตทำให้รู้ว่า ถ้าเราลงทุนไม่เป็น ก็จะเกิดความเสี่่ยงและเสียโอกาสอย่างอื่นมากมาย
ดังนั้นในปัจจุบันก้อนนี้ ในพอร์ตผมเหลือประมาณ 10%
การจัดการเงินรายเดือน
ผมจะมีการจัดการเงินไว้แล้วเพราะทํารายรับรายจ่ายเรียบร้อย เงินในแต่ละส่วนมันจะอยู่ในบัญชีพร้อมใช้งาน
และเงินที่เหลือ ผมจะแบ่ง 90% ออมในบิทคอย และ 5-10% ลงทุน
สรุป
1 แยกการออมและการลงทุนออกจากกันอย่างชัดเจน ทําแค่นี้ชีวิตง่ายขึ้น 10 เท่า
2 เมื่อหลุดออกมาจากโลกของเงินเฟียต เราจะรู้ว่า การออม เป็นสิ่งสําคัญที่สุดที่ทุกคนต้องทํา
ออมในสิ่งที่ไม่เสื่อมค่า เช่น ทองคํา หรือ บิทคอย
3 การลงทุนเป็นสิ่งเสริมที่เราจะทําหรือไม่ทําก็ได้ แต่ต้องเข้าใจว่า เงินลงทุนนั้น เราต้องเสียได้ทั้งหมด
ของผมเงินที่เหลือจากการใช้ก็แบ่งออม 90 ลงทุน 10
4 การทํารายรับรายจ่ายสําคัญมาก เพราะมันทําให้เราเห็นว่าเราใช้เงินเท่าไหร่ เพื่อทําให้เราวางแผนได้ง่ายและรับมือได้กับทุกเหตุการณ์ เงินเฟียตเก็บไว้พอใช้จ่ายตามแผนก็พอ
5 อย่าลืมบันทึกการออม และ การลงทุน เพื่อติดตามพอร์ตของเรา สิ่งนี้มันจะทําให้เรารู้สถานะทางการเงินที่แท้จริงของเรา
ถ้าเราเดินมาถูกทาง อํานาจการใช้จ่ายเราจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเงินเฟ้อ
เมื่อเรารู้จักเงินเฟ้อ การพิมพ์เงิน และรู้จักเงินที่ไม่เสื่อมค่า จะทําให้เราสามารถแยกการออมและการลงทุนได้ง่าย
แถมทําให้เราจัดการการเงินของเราได้มีประสิทธิภาพด้วย
#siamstr #bitcoin #btc #เงินเฟ้อ #การออม #การลงทุน
โฟกัสที่ ปัจจุบัน สําคัญที่สุด - sats and sound EP38
https://youtu.be/m12v7nu11pI
คุณเคยมั้ยที่ชอบนั่งคิดถึงอดีตว่า
- ถ้ารู้งี้ ฉันน่าจะซื้อบิทคอยตั้งแต่ปี 2009
- รู้งี้ฉันน่าจะเลือกเรียนหรือเลือกทํางานนั้นๆ ถ้าเป็นแบบนั้นชีวิตคงจะดีกว่านี้
- ฉันไม่น่าทําสิ่งนั้นเลย มันเสียเวลา เสียเงิน
นั่งคิดไป เซ็งไป ทุกคนรู้นะว่า อดีต มันแก้ไขไม่ได้ แต่เราก็ไม่สามารถหยุดคิดถึงความผิดพลาดและอยากกลับไป
แก้ไขอยู่อย่างนั้น ผมคิดว่าสิ่งนี้ทุกคนน่าจะเคยเป็นเหมือนกัน ไม่งั้นมนุษย์คงไม่คิดอยากจะสร้าง time machine ขึ้นมาหรอก
ตัวผมเองเคยได้มีโอกาสไปคุยกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง แกเป็นข้าราชาการเกษียณที่ตกผลึกทางความคิดและเป็นผู้ใหญ่ที่น่ารักมาก
ผมก็ตั้งคําถามแบบเด็กๆไปว่า “ถ้าสมมติว่า ย้อนอดีตกลับไปได้ อยากจะกลับไปบอก หรือ แก้ไข อะไรในชีวิตมั้ย?”
คนทั่วไปก็คงตอบต่างๆนาๆใช่มั้ยครับ แต่ผู้ใหญ่ท่านนี้ แกตอบผมว่า "ผมไม่สมมติหรือคิดไปแก้ไขอดีตที่เป็นไปไม่ได้
ผมใส่ใจเฉพาะสิ่งในปัจจุบันมากกว่า ส่วนอดีตก็ถือซะว่าเป็นบทเรียนหรือประสบการณ์ชีวิตไป"
เจอคําตอบนี้ ความคิดผมเปลี่ยนเลยครับ ในสมองเราที่ยังวนเวียนคิดอยู่ว่า ถ้าแบบนั้น ถ้าแบบนี้ รู้งี้ต่างๆ
พอเราเรียกสติตัวเองกลับมา เราจะรู้ว่า การนั่งคิด สมมติ การย้อนกลับไปแก้ไขอดีต มันเป็นไปไม่ได้
คําพูดของผู้ใหญ่ท่านนี้ มันทําให้ผมกลับมาเตือนสติตัวเองทุกครั้งที่นั่งมโน คิดไปว่า ย้อนกลับไปแล้วทําแบบโน้นแบบนี้
แล้วชีวิตวันนั้นคงจะดีกว่าที่เป็นแน่ๆ ว่ามาคิดแบบนี้ไม่มีประโยชน์เลย เสียเวลาเปล่าๆ
สิ่งที่เราอยากแก้ไข เราควรโฟกัสก็คือ การทําปัจจุบัน ให้ดีที่สุด บางครั้งการได้กลับมาทบทวนตัวเอง ก็ทําเพื่อวางแผนในอนาคตว่า การทําแบบนี้ชีวิตเราจะต้องดีขึ้น โดยอาศัยประสบการณ์หรือความผิดพลาดในอดีตที่เราเรียนรู้มา เป็นข้อมูล ทําวันนี้ให้ดี
เพื่ออนาคตที่ดีกว่า
ชีวิตของผมเอง พัฒนาได้จากความผิดพลาดในอดีต ผมเคยเล่าประสบการณ์ทางการเงินมากมายในช่อง เสียเงินไปก็หลักแสน
ทุกอย่างมันหลอมรวมมาผมเป็นผมในทุกวันนี้ ที่มีมายเซ็ตและความมั่นคงทางการเงิน มากกว่าในอดีต
ความผิดพลาดเหล่านั้น คือสิ่งที่เราเลือกทําเอง ผมเชื่อว่า ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร มันเกิดจากสิ่งที่เราเลือกเอง
มันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดของเราในตอนนั้นแล้ว ถ้าความคิด ความรู้เราไม่เปลี่ยน ย้อนเวลากลับไป เราก็จะทําแบบนั้นอยู่ดี
ยกตัวอย่าง
ถ้าฉันซื้อบิทคอยในปี 2009 ป่านี้ก็รวยไปแล้ว
- แต่ความจริง ในปี 2009 คนที่รู้จักและขุดบิทคอย มีแค่หยิบมือ
- ในช่วงเริ่มต้นมันเป็นแค่เหรียญดิจิทอล ที่ไม่มีค่าอะไรเลย
- ในปีหลังจากนั้น ก็มีข่าวว่า บิทคอยคือสิ่งหลอกลวง ใช้ซื้อสิ่งผิดกฏหมาย มูลค่าของเหรียญก็ผันผวนอย่างมาก
- การซื้อก็ยาก การเก็บอย่างปลอดภัยก็ยากและซับซ้อน
ผมในตอนนั้นเคยได้ยินข้อมูลและข่าวเกี่ยวกับบิทคอยมาแล้ว ซึ่งผมก็ตัดสินใจ ไม่สนใจมัน เพราะคิดว่ามันเป็น scam ไม่มีมูลค่า และเกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฏหมาย
ผ่านมาเป็น 16 ปี ถึงจะมารู้ความจริงว่า บิทคอยมันสุดยอดแค่ไหน เหมือนที่ผมเคยบอกไปในคลิปก่อนว่า ถึงแม้ในปี 2009 ถ้าผมโชคดีได้บิทคอยมา แต่ด้วยความไม่รู้คุณค่าของมันและไม่มีชุดความรู้ที่ผมมีในปี 2024 ผมก็คงขายไปตั้งแต่มูลค่ามันเกิน 1000 บาทแล้ว เหมือนกับคนในยุค บิทคอย OG ที่ขายออกไปหมด เพราะไม่มีใครรู้อนาคต และไม่รู้ว่า บิทคอยจะเติบโตมามีมูลค่า 3.5 ล้านบาทในปี 2025 รู้อนาคตคงไม่มีใครขาย
ดังนั้นสิ่งที่ผมโฟกัสคือปัจจุบันครับ การตัดสินใจทุกอย่างให้ดีที่สุดในวันนี้ มันจะทําให้เราไม่ต้องมานั่งรู้งี้ หรือ เศร้ากับความผิดพลาดเหมือนในอดีต ซึ่งไม่มีอะไรการันตีได้ว่า เราจะไม่ผิดพลาดอีก แต่ถ้าเรามีประสบการณ์ผมเชื่อว่า เราจะไม่ผิดพลาดซ้ำเรื่องเดิมๆครั้งที่สอง
คําพูดที่บอกว่า "ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว ดีเสมอ" สิ่งดีที่เกิดขึ้นมันเกิดจากเราตัดสินใจทําปัจจุบันให้ดีก่อน และสิ่งที่ตามมามันก็จะดีขึ้นเอง ถ้าปัจจุบันเราตัดสินใจแย่ ก็จะมีสิ่งทีแย่ตามมาเหมือนกัน
ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาชีวิตผมเปลี่ยนไปเยอะมาก เกิดจากทั้งอายุ งาน รวมถึงเหตุการณ์โควิดที่ทําให้ การเงิน การใช้ชีวิตเปลี่ยนไป
วันนี้จะมาแชร์สิ่งที่ทําให้ดูกันครับ
1 ศึกษาเกี่ยวกับการเงินใหม่หมด
ความไม่แฟร์ ความเอ๊ะ รวมถึงคําถามเกี่ยวกับความมั่นคงทางการเงินที่ผมถามตัวเอง ว่าทํางานมาเป็น 10 ปี ลงทุนด้วย ทําทุกอย่างแล้ว แต่ทําไมยังรู้สึกไม่มั่นคง พอผมรู้จักบิทคอย มายเซ็ต ความรู้ทางการเงิน โลกที่มองก็เปลี่ยนไปหมด
เอาเป็นว่า บิทคอยมาเปลี่ยนชีวิตผมไปเลย
2 รักตัวเองมากขึ้น
- ออกกําลังกายสมํ่าเสมอ ตั้งเป้าคาร์ดิโอ สัปดาห์ละ 150 นาที
- กินอาหารที่ดี ลดอาหารแปรรูปต่าง กินดี 90% ตามใจตัวเอง10%
- คิดดี พูดดีอย่างจริงใจ ทั้งกับตัวเองและผู้อื่น
- นอนอย่างน้อย 8 ชั่วโมง
- สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง ส่งต่อพลังงานบวก
- แบ่งปันความสุข หรือสิ่งที่ตัวเองมีให้ผู้อื่นบ้าง ผมบริจาคของไปเยอะมากให้มูลนิธิต่างๆ
พวกเสื้อผ้า หนังสือ ของใช้ คิดว่าสิ่งนี้มันยังใช้ประโยชน์ได้ รวมถึงช่วยเหลือผู้อื่นในสิ่งที่เราทําได้
3 พัฒนาตัวเอง
- ฟัง podcast พัฒนาตัวเอง พัฒนาจิตใจ สร้างพลังงานเชิงบวก
- ตัดคอนเท้น toxic คอนเท้นเครียดๆออกไป ลดพลังงานลบ
- จดบันทึกความก้าวหน้าหรือพัฒนาการของตัวเอง เพื่อดูว่าเราพัฒนาขึ้นได้เท่าไหร่ จะต้องทําอะไรเพิ่มบ้าง
- จัดการชีวิตตัวเองอย่างเป็นระบบ ออกแบบให้ง่าย และ ลดการเกิดปัญหาที่แก้ยากในชีวิต
ทุกอย่างถ้าเราวางแผน ชีวิตเราก็จะง่ายขึ้น และสิ่งนี้ไม่ต้องเครียดนะ ค่อยๆทําไป
ผลจากการทําทุกอย่างที่เล่ามา การโฟกัสที่ปัจจุบันเท่านั้น
มันให้ผมรู้สึกจิตใจสงบ และเป้าหมายชัดเจนมาก รู้ว่าเรากําลังเดินไปทางไหน และเตรียมรับมือกับอนาคต
สรุป
1 โฟกัส ที่ปัจจุบัน เท่านั้นเพื่อทําให้อนาคตของเราดีขึ้น จากทางเลือกของเราเอง
2 อย่าไปยึดติดกับอดีตที่ผิดพลาด ให้นํามันมาเป็นบทเรียนในการทําให้เราเป็นคนที่ดีกว่าเมื่อวาน
ทุกครั้งที่เผลอคิด อย่าลืมเรียกสติตัวเอง บอกตัวเองว่า มันแก้ไม่ได้ มาโฟกัสที่ปัจจุบัน สําคัญกว่า
3 ความทุกข์ ความสุข ความเครียด อารมณ์ต่างๆ มันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป รู้เท่าทันตัวเอง
4 ถึงเราจะทําปัจจุบันได้ดีขนาดไหน มันก็ไม่ได้การันตีว่าในอนาคตจะดี ดังนั้นเตรียมรับมือในทุกสถานการณ์ ถ้าเราพร้อม เราจะผ่านมันไปได้
#siamstr #btc #bitcoin #พัฒนาตัวเอง #ความผิดพลาด #อดีต #ปัจจุบัน #โฟกัสปัจจุบัน
ถ้ายังจน ทรัพย์สิน อย่าง รถยนต์ ไม่จําเป็น - sats and sound EP37
https://youtu.be/LyGOXLsTjlc
รถยนต์ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทรัพย์สิน (Property) ที่เพิ่มความสะดวกสบายในชีวิต
ด้วยมายาคติในโลกเงินเฟียต การมีรถยนต์ยังแสดงถึงฐานะทางการเงิน อัพเกรดคุณภาพชีวิตได้ด้วย
ใครๆก็มีทั้งนั้นเพื่อความสะดวกสบาย การมีรถยนต์หนึ่งคันที่ไม่ได้ใช้สร้างรายได้ มันมีค่าใช้จ่ายเยอะมาก
เหมือนกับคอนเท้นวันนี้ ถ้ายังจน รถยนต์ ยังไม่จําเป็น
รถยนต์สามารถเป็นได้ทั้ง "สินทรัพย์" และ "ทรัพย์สิน" ครับ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้งานและมุมมองที่เรามอง
สรุปความแตกต่างแบบง่ายๆ
ทรัพย์สิน (Property) คือสิ่งของที่มีมูลค่าและคุณเป็นเจ้าของตามกฎหมาย จะสร้างเงินหรือไม่ก็ได้
สินทรัพย์ (Asset) คือ ซับเซ็ตของทรัพย์สิน (Property) ที่สามารถสร้างประโยชน์หรือรายได้กลับคืนมาให้คุณได้ในอนาคต
รถยนต์จะถูกมองว่าเป็นทรัพย์สิน (Property) เมื่อคุณซื้อมาเพื่อใช้งานส่วนตัว ไม่ได้ใช้เพื่อสร้างรายได้ เช่น
- รถที่ใช้ขับไปทำงาน
- รถที่ใช้เดินทางท่องเที่ยวกับครอบครัว
- รถที่ใช้ทำธุระส่วนตัวในชีวิตประจำวัน เพื่อความสะดวกสบาย
รถยนต์ในมุมมองนี้จะค่อยๆ มีมูลค่าลดลง (ค่าเสื่อมราคา) ตามกาลเวลาและการใช้งาน ซึ่งอาจกลายเป็นภาระค่าใช้จ่าย
ดังนั้นจากหัวข้อ ถ้ารถยนต์ที่เราซื้อมาเป็น Property ยังไม่จําเป็น
รถยนต์จะถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ (Asset) เมื่อคุณใช้มันเพื่อสร้างเงินให้คุณได้ เช่น
- รถยนต์ที่ใช้สำหรับธุรกิจขนส่งสินค้า
- รถยนต์ที่ใช้ในธุรกิจรับจ้าง หรือ เซลล์ที่ต้องขับรถไปหาลูกค้า
- รถที่ซื้อมาเพื่อให้เช่า
ถ้ารถยนต์เป็น Asset มันเป็นสิ่งจําเป็นต่อการหาเงิน
แต่ถ้า รถยนต์เป็นเพียง Property ไม่อยากจนเรื้อรัง ฟังคลิปนี้ต่อให้จบ
ผมในอดีตที่เคยเป็นมนุษย์เงินเฟียตที่อยากได้รถยนต์ตามที่สังคมเห็นว่า ควรมี และ เหมาะสม เหมือนกับคนอื่นเหมือนกัน
แต่พอเรามาดูสุขภาพการเงิน และ ความจําเป็นในการใช้รถ รวมถึงได้เข้าใจระบบการเงินโลก รู้จักบิตคอย
ความคิดเกี่ยวกับการมี Property ไม่สร้างเงิน อย่างบ้าน หรือรถก็เปลี่ยนไป
ผมได้ทําคลิป มีบ้านเทียบกับมีบิทคอย ทําไมผมคิดว่า มีบิทคอยสําคัญกว่า ลองไปหาดูกันนะครับ
ทําไมถึงมองว่า ถ้ายังจน Property อย่างรถยนต์ ไม่จําเป็น
คําตอบคือ ค่าใช้จ่ายในการมีรถยนต์ 1 คัน มันเยอะมากนะครับ ยิ่งไม่ได้ใช้เป็น Asset หาเงินด้วยแล้ว ใครจะออกรถคิดดีๆก่อน
ยกตัวอย่าง อีโคคาร์ 5แสน บาท ซึ่งเป็นรถยนต์ที่น่าจะมีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุดแล้ว
1 ค่าดาวน์รถ 25% ค่าผ่อน 5 ปี ดอกเบี้ย5% ตีกลมผ่อนเดือนละ 8000 บาท
2 ค่าน้ำมัน ขับไม่มาก 1500 บาท
3 ค่าประกันรถรายปี, พ.ร.บ., ภาษี ปีละ 12000 บาท
ค่าบำรุงรักษาและซ่อมแซม
- ค่าเช็กระยะ การนำรถเข้าศูนย์เพื่อตรวจเช็กตามระยะทางที่กำหนด เช่น ทุก 10,000 หรือ 15,000 กิโลเมตร หรือทุก 6 เดือน ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ไส้กรอง และตรวจเช็กสภาพรถโดยรวม
- ค่าซ่อมบำรุงตามอายุการใช้งาน เช่น การเปลี่ยนยาง แบตเตอรี่ ผ้าเบรก หรืออะไหล่ชิ้นส่วนต่างๆ ที่เสื่อมสภาพตามเวลา
อะไหล่มีหลายเกรด รวมค่าช่าง อาจจะหลักพันหรือหลักหมื่น ช่วง 5 ปีแรก ค่าซ่อมค่าบํารุงไม่เยอะเพราะรถยังใหม่
พอผ่านไปสักปีที่ 6 ขึ้นไปจะเริ่มมากขึ้น เพื่อนผมแอร์รถพัง จ่ายไป 2หมื่น
จะเห็นได้ว่า ค่าใช้จ่าย เยอะมากไม่ว่าจะเป็น fix cost หรือ Variable Costs ค่าดูแลค่าซ่อม
นี่ผมยังไม่ได้นับถ้าหากเกิดอุบัติเหตุ รถชนอีกนะ
นี่แหละคือเหตุผลว่า ทําไม ถ้ายังจน รถยนต์ไม่จําเป็น
มีคนบอกว่าก็ซื้อรถ EV สิถูกกว่า ประหยัดกว่านํ้ามันเยอะ
บอกเลยว่าจริง แต่ รถ EV มีความเสี่ยงๆหลายๆข้อที่บางคนคิดไม่ถึง
- ประกันรถจะแพงกว่ารถนํ้ามัน
- ถ้าแบตเสีย รถชนแบตพัง บางแบรนด์ ต้องเปลี่ยนแบตรถใหม่ ค่าใช้จ่ายเท่ากับซื้อรถใหม่ทั้งคัน
- มีหลายๆแบรนด์ที่ไม่ค่อยมีศูนย์บริการ บางแบรนด์ปิดศูนย์ไปแล้ว ค่าซ่อมรถแพงกว่ารถนํ้ามัน ต่างจังหวัดบางอู่ซ่อมไม่เป็นด้วย
ยิ่งแบรนด์ EV จีน มันหลายเจ้ามากด้วย
ค่าใช้จ่าย รายเดือนเกี่ยวกับรถยนต์ 1 คัน ในกรณีที่ยกมา 10000 บาท
ถ้าเราไม่มีรถ เงินส่วนนี้ นําไปจัดสรรและเก็บออมในบิทคอยได้เพิ่มขึ้นมากนะ
เช่น สมมติว่าไม่ย้ายที่อยู่
- ค่าเดินทาง เช่นใน กทม 6000 บาทเลย
- ถ้าใน ตจว ส่วนนี้อาจจะเหลือแค่ 1000-2000 บาท
แล้วเงินส่วนที่เหลือก็เก็บออมได้อีก 4000 - 8000 บาทเลย เยอะมากนะ
รถที่ไม่สร้างเงิน มันคือทรัพย์สินที่เสื่อมค่า รถ=ลด น่าจะเคยได้ยินกันมั้ย
บางคนแอบคิด ใครจะเดิน ไม่อยากใช้ขนส่งสาธารณะ จะทํายังไง ผมขอเสนอวิธี ซึ่งอาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกคน ลองเอาไปปรับใช้ดูนะครับ
1 เลือกเช่าที่อยู่ให้ใกล้ที่ทํางานที่สุด เพื่อให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง รวมถึงเดินทางไปทํางานได้เร็ว โอกาสไปสายน้อยกว่า
2 ใช้มอเตอร์ไซต์ แทนรถยนต์ ค่าใช้จ่ายน้อยกว่า ดูแลรักษาน้อยกว่า เหมาะกับขับรถระยะใกล้ๆ ที่ผมไม่พูดถึงรถยนต์มือสอง
เพราะ มีแค่ราคาที่ถูกกว่ามือหนึ่ง ค่าใช้จ่ายอื่นๆเหมือนกัน แต่สิ่งที่หนักกว่าคือค่าซ่อม ถ้าเลือกไม่เป็นอย่าซื้อเดี๋ยวโดนหลอก
ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเมื่อมีรถยนต์เปลี่ยนเป็นมอเตอร์ไซต์
1 ค่านํ้ามัน 100*4=400 บาทต่อเดือน
2 ค่าประกันรถ พรบ ภาษี 600 บาทต่อปี = 50 บาทต่อเดือน
3 ค่าบํารุงดูแลรักษา เฉลี่ย 500 บาทต่อเดือน
4 ย้ายห้องมาอยู่ในเมืองมากขึ้น ค่าเช่าห้องเพิ่มขึ้น 4000 บาท
รวมค่าใช้จ่าย 4950 บาท เหลือ 5050 บาท เอาไปจัดการ กินข้าวได้อีกหรือออมในบิทคอย สร้างความมั่งคงทางการเงินที่ยั่งยืนได้อีก
การไม่มีรถยนต์ เราจะขาดอะไรไปบ้าง
1 ขาดความสะดวกสบายและคล่องตัว
- แน่นอนว่า นั่งรถยนต์แอร์ฉํ่าๆ ฝนตกไม่เปียก ยังไงก็ดีกว่า มอไซต์ หรือนั่งรถเมล์ รถสองแถว
อันนี้เรากําลังพูดหัวข้อถ้าจน ทําไมถึงไม่ต้องมีรถยนต์ ความสะดวกสบายก็ต้องแลกมา เราจะประหยัดเงินไว้ออมใเพื่ออนาคต
เน้นใช้รถมอเตอร์ไซต์ หรือ ขนส่งมวลชนไปก่อน
- คิดจะไปไหนมาไหน การไม่มีรถมันก็ทําให้เราไม่คล่องตัวบ้างในบางครั้ง
แต่สิ่งนี้ เราสามารถแก้ได้ด้วยการวางแผนล่วงหน้า และ ถ้าเราใช้ขนส่งมวลชนบ่อยๆ เราก็จะรู้ว่า ต้องไปขึ้นอะไรตรงไหน
เดินทางได้ทั้งใน กทม และ ต่างจังหวัด
- ขนของไม่สะดวก ข้อนี้อาจจะเป็นปัญหาในบางคน แต่สําหรับผมไม่เพราะ ส่วนใหญ่ผมซื้อออนไลน์มาส่ง หรือ ถ้าไปซื้อเองก็วางแผนว่าซื้อไม่เท่าที่ขนได้ ส่วนการย้ายของ ย้ายบ้าน ข้อนี้ยิ่งไม่ต้องห่วงเลย มันมีบริษัท หรือ คนที่เขารับ ขนของ ย้ายบ้าน
ครับ เงินแก้ปัญหาได้
2 ความปลอดภัย
ต้องยอมรับว่าความปลอดภัย ในการขับรถยนต์มีมากกว่ารถมอเตอร์ไซต์ ซึ่งความเสี่ยงนี้ผมลดด้วยการ ขับรถในระยะใกล้
ด้วยการย้ายไปเช่าห้องพักไปอยู่ใกล้ๆที่ทํางาน ทําให้เราขับรถช้าๆได้ไม่ต้องรีบจนเกินไป อุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการขับรถเร็วหรือ มีจุดบังสายตาทําให้ชนนั่นเอง
3 เดินทางพร้อมครอบครัวหรือเพื่อนลำบาก
การเดินทางพร้อมกับครอบครัว โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือเด็กเล็ก จะไม่สะดวกสบายเท่าการมีรถยนต์ส่วนตัว เพราะอาจต้องต่อรถหลายต่อหรือเบียดเสียดกับผู้คนจำนวนมาก ใครจะต้องไปส่งลูก พาพ่อแม่ อากง อาม่าไปหาหมอ การไม่มีรถยนต์ มันก็ลําบากเหมือนกัน
กล่าวโดยสรุป
1 ถ้าเรายังจน การมีรถยนต์ที่เป็น ทรัพย์สิน Property ที่ไม่สร้างรายได้ มันไม่จําเป็น รถ=ลด ค่าใช้จ่ายเยอะมาก
2 เปลี่ยนจากการซื้อรถยนต์เป็น ย้ายที่อยู่มาใกล้ที่ทํางาน หรือ ขับมอเตอร์ไซต์ ระยะใกล้ๆ ลดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าที่คิด
3 ถ้าหากรถยนต์เป็นสินทรัพย์ Asset ที่สร้างเงิน สิ่งนั้นเป็นสิ่งจําเป็น
4 การไม่มีรถยนต์มันไม่สะดวกในบางด้าน ไม่เหมาะกับครอบครัวใหญ่ๆ แต่เราสามารถจัดการและวางแผนได้
5 เงินที่ประหยัดได้จากการไม่มีรถยนต์ สามารถเอาไปต่อยอด สร้างสินทรัพย์ที่มั่นคง อย่างอื่นได้อีก เช่นออมในบิทคอยเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินอย่างยั่งยืนในระยะยาว
6 รถยนต์ พร้อมจริงๆค่อยซื้อก็ได้ ไม่มีคําว่าสาย ถ้าไม่มีเงินพอจะซื้อรถยนต์ได้ 10 คันผมไม่ซื้อ
#siamstr #bitcoin #btc #รถยนต์ #สินทรัพย์ #รถ
โลกนี้ไม่มีอะไร ยากหรือง่ายมีแต่ เคยทําหรือไม่เคยทํา เท่านั้น - sats and sound EP36
https://youtu.be/KntnY6ekYwM
วลีนี้ ผมได้ยินมาจากคลิปจากช่อง the active ในยูทูป ได้ยินครั้งแรกรู้สึกว่ามันใช่เลย
ในชีวิตเราที่เติบโตมาได้ บ่นคําว่า "ยาก" คําว่า"ทําไม่ได้" กันกี่ล้านครั้งแล้ว
ซึ่งจากวลี "โลกนี้ไม่มียากหรือง่าย มีแต่ เคยหรือไม่เคย" แค่เราเปลี่ยนความคิดนิดเดียว
ว่าสิ่งที่ยาก เราแค่ยังไม่เคยทํามันมาก่อน ถ้าหากเราเริ่มทําครั้งแรกและ
ทําซ้ำๆจนชํานาญ สิ่งที่ไม่เคยทํา ก็จะกลายเป็นสิ่งที่ง่ายและเราจะทําได้อย่างรวดเร็ว
ตัวอย่างในวัยเด็ก เราหัดเดิน หัดพูด หัดปั่นจักรยาน หัดว่ายน้ำ แรกๆมันยากมาก แต่พอชํานาญ เราทํามันได้สบายๆ
เป็นเพราะ เราเคยทําและคุ้นชินกับสิ่งนั้นๆแล้วนั่นเอง
ตัวอย่างในวัยผู้ใหญ่ การพัฒนาตัวเองให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น บางคนก็มองว่ามันยาก ไม่มีทางทําได้ มีข้ออ้างต่างๆ
แต่ถ้าเราใช้ มายเซ็ต เคยทํา และ ไม่เคยทํา แทนความยากง่าย มันทําให้เรามีกําลังใจในการทําสิ่งนั้นนะเพราะเรารู้ว่าต่อไป
เมื่อเราทําจนชิน มันก็จะง่ายขึ้นมากๆ เช่น
1 การออกกําลังกาย (ร่างกายเริ่มแข็งแรงขึ้น อารมณ์ดีขึ้น)
อันนี้ชัดๆเลย คนที่ไม่เคยออก จะหาข้ออ้างในการไม่ทํา เหนื่อยบ้าง ไม่มีเวลาบ้างและในช่วงแรก จะรู้สึกทรมานมากๆที่ต้องฝืนตัวเอง ทุกอย่างมันยากไปหมด มีแต่อุปสรรค แต่ถ้าหากคนออกกําลังกายมาสักพัก เริ่มชินกับการออกกําลังกายแล้ว ทุกอย่างมันจะง่ายไปหมด คุณสามารถออกกําลังกายได้อย่างอัตโนมัติและเมื่อเห็นผลลัพธ์ว่าร่างกายเราดีขึ้น เราก็จะออกกําลังกายอย่างต่อเนื่องได้ด้วย
2 การออมเงิน (ความมั่นคงทางการเงินมากขึ้น)
คนที่ไม่เคยทําจะบอกว่า เงินแต่ละเดือนก็ใช้ไม่พอ จะออมได้ยังไง ยากมาก (มายเซ็ตที่สร้างกําแพงในจิตใจมาแล้ว)
ถ้าเจอคนแบบนี้ เราถามกลับไปเลยว่า ที่บอกว่ายาก ลองทําอย่างจริงจังแล้วยัง ถ้าคนที่ตั้งใจจริงๆจะรู้ว่า มันมีวิธีเยอะมากเลย
ที่จะทําให้เราออมเงินได้ เริ่มจากหลักสิบ หลักร้อย ก็ได้ ยกตัวอย่างคนที่มีวินัยทางการเงิน การออมเงินเป็นเรื่องง่าย เพราะเขาทําจนชินแล้ว ซึ่งถ้าหากเรามีเงินมากขึ้น เราจะยิ่งออมมากขึ้น เพราะมันเกิดผลดีกับตัวเอง
3 พัฒนาตัวเอง (ใช้ชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณค่ามากขึ้น)
ทุกอย่างในชีวิตที่เรายังไม่เคยทํา อย่าเพิ่งตั้งกําแพงว่า ฉันทําไม่ได้ มันยากเกินไป อยากให้ลองทําดูก่อน
เช่นในที่ทํางาน เราลองทําหลายๆอย่างดูเผื่อจะทําให้เราทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือ ต่อยอดเรื่องอื่นๆได้มากขึ้น
ผ่านประสบการณ์ของตัวเรานั่นเอง
ผมเคยอ่านเรื่องราวของ วิศวกรที่ได้ไปทํางานที่ญี่ปุ่น สักพักพอกลับมาไทย
นอกจากรับจ๊อบเกี่ยวกับวิศวะที่ตัวเองเชี่ยวชาญแล้ว ยังไปรับจ๊อบนอกที่เกี่ยวกับการใช้ภาษาญี่ปุ่นได้อีกด้วย
หรือกิจกรรมอะไรที่เราไม่เคยทําและมองว่ามันยาก ลองทําดูก่อน เราอาจจะชอบหรือสร้างประโยชน์ให้กับเราก็ได้
วลีนี้ทําให้เราเห็น "พลังของการลงมือทำ" ทุกสิ่งที่เราคิดว่ายากนั้นจะยังคงเป็นเรื่องยากตราบใดที่เรายังไม่ได้ลองทำมันอย่างจริงจัง เมื่อเราก้าวข้ามความกลัวและเริ่มต้นลงมือทำ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร การกระทำนั้นจะนำมาซึ่งประสบการณ์และบทเรียนอันล้ำค่า AI ฉลาดให้ตายก็เลียนแบบคนแบบเราไม่ได้
- ประสบการณ์จากการ "เคยทำ"
ทุกครั้งที่เราลองทำอะไรใหม่ๆ แม้จะล้มเหลว มันก็คือประสบการณ์ที่เราได้เรียนรู้ เราได้รู้ว่าอะไรที่ใช้ได้ อะไรที่ใช้ไม่ได้ และอะไรที่ต้องปรับปรุงแก้ไข สิ่งเหล่านี้คือรากฐานของการพัฒนาและความเชี่ยวชาญ
- การเอาชนะความกลัว
การลงมือทำคือวิธีที่ดีที่สุดในการเอาชนะความกลัวและความไม่มั่นใจ เมื่อเราก้าวออกจาก Comfort Zone เราจะค้นพบว่าขีดจำกัดที่เราคิดว่ามีอยู่นั้นเป็นเพียงภาพลวงตา
จากประสบการณ์ทําซํ้าและเอาชนะความกลัว ทําให้เราอาจจะพัฒนาทักษะที่เราไม่คิดว่าเราจะทําได้ก็ได้นะ
เปลี่ยนจาก "ไม่เคยทำ" ให้กลายเป็น "เคยทำ"
กุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของเราคือการเปลี่ยนความคิดจาก "ฉันไม่เคยทำ" ให้เป็น "ฉันจะลองทำ" ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ การเริ่มต้นธุรกิจ การออกกำลังกาย หรือแม้แต่การเปลี่ยนแปลงนิสัยส่วนตัว ขอเพียงแค่เรากล้าที่จะทําครั้งแรก ที่เหลือจะตามมาเอง
- เริ่มต้นจากก้าวเล็กๆ
ไม่จำเป็นต้องรีบเร่งหรือคาดหวังผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ในทันที การเริ่มต้นจากก้าวเล็กๆ จะช่วยให้คุณคุ้นชินและสร้างความมั่นใจไปทีละน้อย
- เรียนรู้จากความผิดพลาด
มองความผิดพลาดเป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนา อย่าให้ความล้มเหลวมาหยุดยั้งคุณ
- ค้นหาแรงบันดาลใจ
มองหาคนที่เคยประสบความสำเร็จในสิ่งที่คุณต้องการทำ ศึกษาเส้นทางของพวกเขาและนำมาปรับใช้
- ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ
ความสม่ำเสมอคือกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนสิ่งที่ไม่เคยทำให้กลายเป็นความเชี่ยวชาญ
ความสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่จําเป็นมากในการพัฒนาชีวิตเราในทุกๆด้าน ถ้าขาดไปชีวิตเราจะไม่ดีอย่างต่อเนื่อง
บทสรุป
แท้จริงแล้ว โลกนี้อาจไม่มีอะไรที่ "ยาก" อย่างถาวร มีเพียงสิ่งที่เรายังไม่ได้ลอง "ทำ" เท่านั้น เมื่อใดที่เราตัดสินใจที่จะก้าวข้ามความกลัวและลงมือทำอย่างจริงจัง สิ่งที่เคยดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ก็จะค่อยๆ กลายเป็นไปได้ และเราจะค้นพบว่าศักยภาพของเรานั้นไร้ขีดจำกัดอย่างแท้จริง
มายเซ็ตนี้มันดีมาก อยากให้ทุกคนไปปรับใช้ มันทําให้เรามองโลกด้านดี และ เอาไปใช้งานได้จริงๆด้วย
คุณคิดว่ามีสิ่งไหนที่คุณเคยคิดว่ายาก แต่สุดท้ายก็ทำมันได้สำเร็จบ้างไหม?
#siamstr #พัฒนาตัวเอง #สร้างแรงบันดาลใจ #ความยาก #ความง่าย #เปลี่ยนความคิด
ถ้าชีวิตยังลำบาก ไม่มั่นคงมีบิทคอย สําคัญกว่า มีบ้าน - sats and sound EP35
https://youtu.be/41-VMEcXgsw
Disclaimer บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้น อ้างอิงจากมุมมองของผมเท่านั้นนะครับ
คอนเท้นนี้คิดว่าคงมีคนเห็นต่างมากมายแน่นอน เพราะมายเซ็ตของคนส่วนใหญ่จะเป็นระบบเฟียตที่ฝังรากลึก ต่างจากผมที่ออกมาจาก Matrix นั้นแล้ว
บ้านคือ หนึ่งในปัจจัยสี่ ที่เราท่องกันมาตั้งแต่เด็กว่า มันมีความจําเป็นต่อชีวิตใช่มั้ย
ปัจจัยสี่มี อาหาร เครื่องนุ่งหุ่ม ยารักษาโรค และที่อยู่อาศัย
ในปัจจุบันมีปัจจัยที่ห้า หรือหกไปแล้วเช่น ต้องมีอินเทอร์เน็ต ต้องมีมือถือไรงี้
แต่ถ้าให้รวบปัจจัยสี่หรือปัจจัยหกทั้งก้อนแล้ว
สิ่งสําคัญในการดํารงชีพของเราทุกคนในโลกนี้คือ "เงินที่ดี"
เพราะถ้าเรามีเงินที่ดี เงินที่ไม่เสื่อมค่าลง
เราสามารถซื้อปัจจัยทุกอย่างที่กล่าวมาเลย ยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีได้สบายๆ
แต่โชคร้ายที่ในปัจจุบันเราอยู่ในระบบเงินเฟียต ระบบที่ออกแบบมาให้ทุกคนจนลงเรื่อยๆแบบไม่รู้ตัว
สิ่งนี้แหละเมื่อเบิกเนตร ทําให้ผมเปลี่ยนความคิดใหม่ที่ว่า ถ้าชีวิตยังลําบาก ไม่มั่นคง มีบิทคอย สําคัญกว่า มีบ้าน
อยากให้ทุกคนลองอ่าน สิ่งนี้มีประโยชน์ครับ
ตัวผมในอดีตที่ยังเป็นมนุษย์เงินเฟียตที่เสื่อมค่า ก็ถูกปลูกฝังมาไม่ต่างจากทุกคนว่า
การมีบ้านนั้น เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่แสดงถึงความมั่นคงในชีวิต
ยิ่งมีบ้าน อยู่อาศัยในที่ดีด้วยแล้ว คุณภาพชีวิตก็จะดีขึ้นไปอีก
อันนี้จริงที่สุดครับ ผมจึงขวนขวายหาเงินทํางานอย่างหนักเพื่อจะมีบ้านดีๆสักหลัง
แต่ช่วงเวลาที่ผมเริ่มทํางานและเติบโตขึ้นมา มีการพิมเงินเกิดขึ้นตลอดเวลา
ส่งผลให้มูลค่าเงินเฟียตที่ผมทํางานหามาอย่างยากลำบาก การซื้อบ้านแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
จึงต้องเปลี่ยนแผนเป็น ผ่อนบ้าน แทน ซึ่งพอมาผ่อนจริงๆ มันตึงมือกว่าที่คิดนะครับ
เงินเรายังไม่ทันได้ใช้ หายไปแล้ว 30-60%
หาเงินเพิ่มก็แล้ว ขยันก็แล้ว สุดท้ายมานั่งคิดว่า การมีบ้านเป็นของตัวเองในยุคเงินเฟียตไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่ผมก็เป็นมนุษย์เงินเฟียตที่สู้ เก็บเงินตั้งหน้าตั้งตาผ่อน จนเวลาผ่านไป หลายปี
เกิดคําถามว่า บ้านก็ผ่อนไหว แต่ทําไมไม่รู้สึกมั่นคงเลยสักนิด
ผมเกิดคําถามเรื่องความรู้สึกไม่มั่นคงซ้ำๆ พยายามหาคําตอบจนได้มาเจอกับบิทคอย เมื่อได้ลงหลุมกระต่าย
ผมได้พบความจริงหลายอย่างที่เคยรู้ครับ
- การพิมเงิน เงินเฟ้อทําให้ทุกคนในระบบจนลงตลอดเวลา โดยมีคนไม่อยากบอกให้พวกเรารู้ แถมเราหยุดการพิมเงินและเงินเฟ้อไม่ได้ด้วย
- เงินเฟียตในมือมูลค่าลดลงทุกปี ผ่านไป 10 ปีเงินที่เก็บมา อํานาจการจับจ่ายลดลงครึ่งนึง ของไม่ได้แพงขึ้น แต่เงินในมือเรามันเสื่อมค่าลง
- เงินในบัญชีเราตัวเลขมันเท่าเดิม อาจจะเพิ่มขึ้นจากการขยันเก็บออม แต่ไม่ทันเงินเฟ้อ ประกาศเงินเฟ้อ 2-3% แต่ข้อมูลจริง
ปริมาณเงินที่เพิ่มเข้ามาในระบบ 7-8%
- การลงทุนในสินทรัพย์อย่างหุ้นที่เติบโตดีมาตลอด แท้ที่จริงแล้ว มันโตเพราะเงินที่พิมเข้ามาและอัดเข้าไปในระบบ ไม่ได้โตเพราะผลประกอบการของบริษัท ดังนั้นเราจะได้เห็นความมั่งคั่งปลอมๆที่สามารถขึ้นลงได้ตามใจของนายทุน และคนมีอํานาจ
นี่แหละเหตุผลที่ลงทุนหุ้นมา 10 ปี มันอยู่ที่เดิมแถมแพ้เงินเฟ้อด้วย
- เงินเฟียตที่เสื่อมค่า ทําให้คนซื้อบ้านกันไม่ได้แล้ว จึงต้องผ่อนธนาคารพร้อมภาระผูกพัน 30 ปี หลายคนมองว่า ก็ปกตินะ
แต่ผมมองว่า 30 ปีนี้มันทําให้เราเสียโอกาสในการนําเงินไปวางในสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า
ถ้าไม่รู้ค่าเสียโอกาสมหาศาล
ผมเห็นด้วยที่บ้านคือสินทรัพย์ที่เป็นแหล่งเก็บเงินหรือ Store of Value ที่คนรู้จักมายาวนาน แถมสามารถอยู่อาศัย
หรือ ปล่อยเช่า สร้างรายได้ให้กับเราด้วย
แต่เมื่อออกมาจากระบบเฟียต ผมได้รู้ว่าที่จริง มันมีสินทรัพย์ที่เป็นแหล่งเก็บเงินที่ดีกว่า บ้าน อยู่ในโลกนี้อีกนะ
สิ่งนั้นก็คือ บิทคอย ครับ
จากเงื่อนไขส่วนตัวและความคิดของผมเองบิทคอยมีข้อดีหลายๆข้อ ที่บ้านหรือบ้านปล่อยเช่าสู้ไม่ได้ครับ
ผมเคยทําคลิปบิทคอย VS อสังหาฯปล่อยเช่า ไปแล้วเข้าไปดูได้เลยครับ
ในวันนี้จะมาโฟกัส เปรียบเทียบ มีบิทคอย กับ มีบ้าน ทําไมผมคิดว่า ถ้าชีวิตยังลําบาก มีบิทคอยสําคัญกว่ามีบ้าน
1 อัตราการเติบโต หรือมูลค่าที่เพิ่มขึ้น
บ้านมีอัตราเติบโตไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับทําเล ส่งผลให้เจ้าของทรัพย์ก็ยังต้องวัดดวงอยู่ว่าบ้านที่เรามีจะมี มันจะโตเท่าไหร่ มูลค่าเท่าไหร่ อยู่ทําเลไม่ดีก็โตตํ่า ผลตอบแทนตํ่า
ต่างจากบิทคอยที่ทุกหน่วยเหมือนกัน และมันจะเติบโตตามเงินเฟ้อและการพิมเงินขึ้นไปเรื่อยๆเพราะตอนนี้มีคนบางกลุ่มเริ่มเข้าใจและเห็นผลตอบแทนที่ผ่านมา ส่งผลให้เงินในระบบที่สร้างขึ้นมาใหม่นั้น นอกจากเข้าไปในหุ้นและยังเข้ามาในบิทคอยด้วย
บิทคอยเหวี่ยงกว่าบ้านมาก แต่ในระยะยาวผลตอบแทนมันต่างชัดเจน ดูราคาได้เรียลไทม์ ไม่ต้องมาวัดดวงว่า
มันจะโตมากหรือโตน้อยกว่า บ้านในต่างๆทําเลกัน
เอาเป็นว่า บิทคอยมันโตเร็วกว่าบ้าน ผมว่าถือนานๆบิทคอยคุ้มค่ากว่ามาก
2 บ้านมีค่าใช้จ่ายแฝง มีเบี้ยหัวแตกระหว่างทางมากมาย
ที่ดินมันเพิ่มมูลค่าได้ แต่ตัวบ้านหรือคอนโด มันมีค่าเสื่อมที่เราต้องคิดด้วย มีส่วนที่เราต้องซ่อมแซมเป็นระยะๆ
ไม่ว่าจะอยู่เองหรือปล่อยเช่า ปล่อยเช่ายิ่งหนักเพราะก็ต้องวัดดวง เจอคนเช่าไม่ถนอมบ้าน ค่าซ่อมบานไปอีก
ยังไม่นับค่าภาษีโรงเรือนหรือภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เทศบาลจะเก็บทุกปี ถ้าใครอยู่บ้านหรือคอนโด แน่นอนว่าจะมีค่า
ส่วนกลาง ค่าเก็บขยะ ค่าซ่อมแซมลิฟต์ส่วนกลาง ปีนึงหลักหมื่นหรือหลายหมื่น ถ้าโครงการแพงค่าส่วนกลางก็จะแพงไปด้วย
อันนี้แค่ตอนอยู่ เราไปดูตอนจะขายกันบ้าง
ถ้าเราตั้งขายเองไม่เป็น ก็ต้องติดต่อเอเจ้น ซึ่งเขาจะเอาค่าคอมมิชชั่น 3% ของราคาขาย ถ้าเจอคนซื้อเหลี่ยมๆ เขาจะต่อราคาจนกําไรเราแทบไม่เหลือ นี่ยังไม่นับระยะเวลาดําเนินการถ้าหาก ผู้ซื้อต้องกู้แบงค์อีกนะ 1-2 เดือนกว่าจะดีลลงตัว บวกกับดําเนินการเอกสารต่างๆ พอไปกรมที่ดินโอนบ้าน จ่ายเบี้ยหัวแตกอีกเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นค่าภาษี อากรแสตม ค่าพยาน บ้านราคา 1-2 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเกือบแสนครับ นี่ยังไม่นับบ้านหรือที่ดินที่กำไรเยอะมาก แต่แพงจนขายไม่ออกอีกนะ
ถ้ากำไรลด 50% แต่ขายได้คุณจะยอมมั้ย วงการนี้บอกเลยว่า โลกมันกลม แต่สังคมมันเหลี่ยม มีอยู่จริงๆนะครับ
ตัดไปที่บิทคอย ถ้าจะขาย แบ่งย่อยได้ว่าจะขายกี่ sat เปลี่ยนเป็นเงินได้ใน 5 นาที จ่ายค่าธรรมเนียมให้ exchange นิดหน่อย
เอาเป็นว่า ถือบิทคอยไม่มีค่าใช้จ่ายแฝง แถมไม่ต้องปวดหัวกับการดูแลรักษา ระยะยาวบิทคอยถือสบายใจกว่า
อาจจะมีคําถามต่อไป อ้าว ไม่มีบ้านอยู่จะทําไง ผมเลือกเช่าบ้านครับ ค่านํ้า ค่าไฟแพงกว่าอยู่บ้านตัวเอง
แต่ เบี้ยหัวแตกต่างๆไม่ต้องยุ่งอีกเลย เราจ่ายแค่ค่าเช่า น้ำไฟ ค่าประกันแรกเข้าจบ เลือกบ้านได้ตามเงิน คุณภาพชีวิต
แถมย้ายที่อยู่ได้ตลอดด้วย สะดวกกว่ามาก
เงินที่ประหยัดจากรายจ่ายพวกนี้ผมก็เอาไป stack sats ครับ เพราะเป้าหมายของผมคือต้องการบิทคอยที่มากขึ้น
อย่างที่บอกผมมองว่า การครอบครองบ้าน กับ บิทคอย เมื่อมาคิดข้อดีข้อเสียแล้ว ผมสรุปได้ว่า สําหรับตัวเองในตอนนี้
ด้วยความที่มีเงินจํากัด ผมเลือกถือบิทคอย และคิดว่า มันสําคัญกว่าการมีบ้าน
บิทคอยคุ้มค่ากว่าในทุกๆด้านเลยครับ ทําให้ผมรู้สึกมั่นคงทางการเงินอย่างจริงใจ
ต่อไปบิทคอยจะแพงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเริ่มช้า จะได้จํานวนบิทคอยน้อยลง
คิดดูแบบกาวๆนิดนึง 10ปีก่อน บ้าน 1หลังใช้เงิน 1000BTC ตอนนี้บ้าน1หลังใช้เงินเหลือแค่ 5 BTC
ในอนาคต บ้านหลังเดิมอาจจะมีมูลค่าแค่ 0.1 BTC ก็เป็นไปได้
แผนผมคือ ถ้ามีสินทรัพย์มูลค่ามากพอที่จะซื้อบ้านได้สัก 10 หลัง ซื้อมาอยู่เองสัก 1 หลัง ที่เหลือก็อยู่ในบิทคอย
ปล่อยให้มันโตต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้ น่าจะเรียกได้ว่าความมั่นคงทางการเงินที่แท้จริงนะครับ
บ้านที่ดีคือบ้านที่ไม่ต้องผ่อน
บ้านมีเมื่อพร้อมจริงๆจะดีที่สุด
สรุป
1 เมื่อเงินมันเสื่อมค่า เราต้องหาแหล่งเก็บมูลค่าของเงินที่ดีที่สุด ซึ่งบิทคอยทําได้ดีกว่าบ้าน
เป้าหมายของผมคือการ stack sat ให้ได้มากที่สุด จึงมองว่า บิทคอยสําคัญกว่าบ้าน
บิทคอยไม่ต้องดูแล ไม่มีค่าใช้จ่ายแฝง แต่ต้องเก็บให้ปลอดภัยใน HW
2 ผมเลือกเช่าบ้านตามเงินที่มีแทน เพื่อลดค่าใช้จ่ายแฝง ค่าดูแลรักษาบ้าน และสะดวกต่อการย้ายที่อยู่ใหม่
3 ถ้าไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อบ้านได้ 10 หลัง ผมจะไม่ซื้อบ้านครับ
4 ถ้าไม่มีบิทคอยเลย คุณจะติดอยู่ในระบบเฟียต ถึงจะมีสินทรัพย์อื่นๆ คุณก็ยังต้องวิ่งอยู่ในวงจรเงินเฟ้อจนเหนื่อยอยู่ดี
ประหยัดเก็บเงินให้ถูกที่ในวันนี้ เพื่อความมั่นคงทางการเงินที่แท้จริงในวันข้างหน้า
#siamstr #bitcoin #btc #เงินเฟ้อ #อสังหา #บ้าน
คนไทยส่วนมาก ยังไม่เข้าใจความสําคัญของ Privacy - sats and sound EP34
https://youtu.be/tANu7BUT1Wg
ผมเป็นคนหนึ่งที่ให้ความสําคัญกับข้อมูลส่วนบุคคลและ Privacy ความเป็นส่วนตัวมากๆ
สิ่งนี้มันล้ำค่า มันเป็นสิ่งที่เป็นของคุณ
Privacy เป็นข้อมูลที่สําคัญมากๆที่มีเพียงคุณคนเดียวเท่านั้นที่มี และใช้ยืนยันสิ่งนั้นๆได้
แต่เมื่อโลกโซเชียลมันมา ทุกคนสามารถคิด พูด แสดงออกให้คนทั้งโลกรู้ได้เพียงโพสสิ่งนี้ออกมา
ทําให้ผมคิดว่า คนไทย ส่วนมาก ยังไม่เข้าใจความสําคัญของ Privacy
ในโลกที่เจริญแล้ว ข้อมูล Privacy เป็นสิ่งที่มีค่ามหาศาล ที่ไม่มีใครเอาไปจากคุณได้ ถ้าหากคุณไม่ยินยอม
มันเลยธุรกิจมืดขายข้อมูลส่วนตัวกันไงครับ
1 โพสทุกอย่างในชีวิตให้โลกรับรู้
บางคนใช้ชีวิตแบบนี้จริงๆนะครับ แค่เข้าไปในไอจีเขา เราก็จะรู้ตลอดเวลาว่า เขาทําอะไร กินอะไร อยู่ที่ไหน
อารมณ์ดีมั้ย มีแฟน ทํางานอะไร บ้านอยู่ไหน ครอบครัวมีใครบ้าง ตารางเวลาเป็นยังไง รู้เรื่องราวในชีวิตเขาทุกอย่าง
สิ่งนี้อันตรายกว่าที่คิด คุณแทบจะไม่เหลือ Privacy อะไรแล้ว บางคนก็คิดว่า ไม่แปลกนะ ใครๆก็ทํากัน
ทั้งดารา อินฟลู คนทั่วไป ทํากันเยอะแยะ
อยากให้แยกแบบนี้ ดาราอินฟลู เขาเป็นที่รู้จัก ไลฟ์สไตล์ของเขา มันสร้างเงินสร้างชื่อเสียง
แต่อยากให้สังเกตุดีๆนะครับ มีคนมีชื่อเสียงหลายๆคนออกมาพูดเองเลยว่า ความเป็นส่วนตัวที่หายไป มาพร้อมกับสุขภาพจิต
ที่แย่ลง มันอาจจะไม่ค่อยดีกับคนทั่วไปที่ไม่ได้มีชื่อเสียงนะครับ ถ้ามีคนไม่รู้จัก รู้ชีวิต รู้ข้อมูลส่วนตัวของคุณทั้งหมด
บางคนก็เอาชีวิตตัวเองมาโพส หารายได้ผ่านเฟสบุ๊คด้วย เห็นแชร์กันเต็มเลยว่า ได้เงิน
อยากจะบอกว่าสิ่งนั้นมันไม่ยั่งยืนและเงินที่ได้ไม่คุ้มกับความเป็นส่วนตัวที่หายไป
2 โพสรูปลูก คนในครอบครัว ตลอดเวลา
อันนี้ก็แย่นะ ไม่โพสข้อมูลตัวเองนะ แต่โพสความเป็นส่วนของคนในครอบครัว คนในบ้าน ลูกหลานตลอดเวลา
เท่าที่เห็นจะเป็นแม่ๆ คนสูงวัยที่โพสเพราะความรัก ความเอ็นดู ลูกหลาน หรือคนในครอบครัวของตัวเอง
โดยเฉพาะในติ๊กตอก ที่ถ่ายกันทุกกริยาบท
แต่พอเด็กเริ่มโตเช่น สักประถม มัธยม พ่อแม่ที่ถ่ายคลิปลูกอย่างมีความสุข
บางคนไม่ได้ดูสีหน้าและแววตาเด็กเลย ผมรู้สึกได้ว่าเด็กไม่ได้เต็มใจถ่าย แต่ขัดไม่ได้
คิดกลับกัน ถ้าหากพ่อแม่ๆ โดนเอากล้องมาถ่ายแบบไม่ตั้งตัวแบบนี้บ้าง คงจะเกร็งเหมือนกัน
ไม่ต้องโพสทุกอย่างก็ได้ สิ่งที่โพสลงไปในอินเตอร์เน็ตแล้ว ไม่มีทางลบได้ ข้อมูลหลุดแล้วหลุดเลยนะครับ
3 เอาเด็กมาใช้ทําคอนเท้น หาเงิน
ข้อก่อนโพสแบบอาจจะไม่ตั้งใจ แต่อันนี้ตั้งใจโพส Privacy เพราะใช้หาเงิน
ในอดีค คอนเท้นเด็กสร้างรายได้มหาศาล ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็ก เด็กประถม ที่ชอบดูคอนเท้นเด็กๆได้ทั้งวัน
เมื่อดีมานสูง คอนเท้นเด็กก็เลยออกมามากมาย ในต่างประเทศเกิดเคสร้องเรียนว่า มีการเข้าข่ายใช้แรงงานเด็ก หรือบังคับให้เด็กถ่ายรูป หรือวิดีโอโดยไม่ยินยอม ซึ่งคนที่บังคับก็ไม่ใช่คนอื่นไกล พ่อแม่ หรือคนในครอบครัวนั่นเองครับ
ส่งผลให้ยูทูปต้องสร้างออกอริทึมออกมา ลดการสร้างรายได้จากคอนเท้นเด็กลง
เรื่องนี้เป็นประเด็นกันมาหลายปีแล้ว ฝรั่งเขาเข้าใจ ทําน้อยลงแล้ว แต่คนไทยแบบเราดูเหมือนจะไม่ได้สนใจเรื่องนี้
ทําให้ยังเกิดคอนเท้นเด็กเพื่อสร้างรายได้เข้ากระเป๋าผู้ใหญ่อยู่ตลอด
- ผมไปเจอคลิปที่ยิงแอดมา เป็นรูปเด็กโปรโมท โรงเรียนสอนภาษา พอเข้าไปดูน้องคนนี้เหมือนเป็นอินฟลูเด็ก
ที่รับงานรีวิวสินค้าต่างๆด้วย โดยจะมีแม่เป็นคนดูแลเพจ ควบคุม โพสรับงานทุกอย่าง เขาไปดูเพจไม่เกิน 20 นาที
ผมรู้ข้อมูลตัวน้องหมดเลยว่า เป็นใครอยู่ที่ไหน เรียนอะไร กิจวัตรทําอะไรบ้าง วันนี้จะไปไหน
น่ากลัวมั้ย (เคสที่ยกมาเพราะในรูปแรกที่เห็น ทุกรูปน้องเหมือนฝืนยิ้ม แต่นัยตาดูเหนื่อยและเศร้าบอกไม่ถูก)
- เคสที่คุณแม่เอาลูกตัวเอง มาทําคอนเท้น สอนการวิเคราะห์หุ้น ในคลิปจะมีแม่นั่งอยู่ข้างๆ เด็กไม่น่าเกิน 10 ขวบ ยืนอยู่ตรงกลางแล้วพูดข้อมูลบริษัทหุ้น แต่สิ่งที่ผมเห็นคือ เด็กเหมือนโดนบังคับให้พูดหน้ากล้องโดยที่เขาไม่เข้าใจสิ่งนั้น เหมือน ตอนประถมที่ผมโดนบังคับให้ท่อง อาขยานแล้วไปสอบท่องกับครู วิชาภาษาไทยเลย เคสนี้ไม่ต่างกัน ทุกกิริยาบทของน้อง ถูกบันทึกแล้วโพสลงในช่อง ผมรู้หมดเลยว่าน้องเป็นใคร เรียนที่ไหน เวลาว่างทําอะไรบ้าง ไปเรียนพิเศษอะไรบ้าง
ชอบกินอะไร แพ้อาหารอะไร
ทั้ง 2 เคสที่ยกมาเหมือนพ่อแม่อาจจะหวังดีกับลูก แต่สิ่งที่ผมรู้สึกได้ ผ่านการแสดงออกว่า เด็กโดนบังคับให้มาทําและรู้สึกอึดอัด ไม่มีความสุข แต่ขัดคําสั่งพ่อแม่ไม่ได้
ถ้าเป็นลูกผม ผมจะไม่ทําแบบนี้ เพราะ Privacy ของลูกผม มีค่ามากกว่าเงินที่ได้มา
ชีวิตในวัยเด็กที่ควรปล่อยให้เล่นสนุกตามวัย กลับต้องมาถ่ายคลิป อัดคลิป หาเงินแบบนี้
4 ถ่ายหน้าโดยไม่รับอนุญาต
- ผมเคยเจอเอง ผมใช้บริการรถสาธารณะข้ามจังหวัด เดินทางหลายชั่วโมง พอขึ้นไปนั่งเรียบร้อย พนักงานตรวจตั๋ว
ก็จะขึ้นมาบนรถ แล้ว ถ่ายรูปติดหน้าผู้โดยสารทุกคน เพื่อเอาไปลงเพจแบบไม่เบลอหน้า ยังไม่พอครับ พอนั่งรถไปสักพักมีการ
แจกของว่าง พนักงานคนเดิมจะมาถ่ายรูปเจาะผู้โดยสารแต่ละคน ตอนได้ของว่าง เพื่อไปลงเพจอีกรอบ เขาคงทำเป็นเรื่องปกติ
แล้วคนในรถทุกคน ยกเว้นผม ถ่ายหมด พอถึงผม ผมบอกว่าไม่สะดวกใจถ่ายรูปครับ เขาพูดกลับมาว่า ถ้างั้นไม่ได้ของว่างนะคะ
ผมสวนกลับเลยว่า ไม่เป็นไรครับ ซึ่งพนักงานจะเป็นคนวัย 40-50 ปี ที่ไม่ค่อยมีความเข้าใจเกี่ยวกับ ความเป็นส่วนตัว
คิดแค่ว่า จะเอารูปไปลงเพจ ว่ารถคนนั่งเต็ม แต่ไม่ได้ถามความสมัครใจเลยว่า คนที่ติดในภาพนั้น เต็มใจไหม
เข้าไปดูในเพจ โพสแบบนี้ทุกๆวัน คุณคิดว่าเอนเกจเม้นจะเยอะเหรอครับ มันแทบจะไม่มีประโยชน์เลย
ผมเลือกที่จะไม่นั่งรถของบริษัทนี้อีก
- คนรู้จักผม เพิ่งย้ายไปอยู่ญี่ปุ่น แล้วตอนกิจวัตรประจำวัน ออกไปข้างนอก เอากล้องออกไปถ่ายลง vlog
แบบฟิลเหมือนอินฟลูไทยชอบทํากัน คนญี่ปุ่นเดินมาบอกว่า ขอให้ลบออก เพราะเขาไม่สบายใจที่มีหน้าของเขาติดไปในวิดีโอ
ด้วยความที่คนไทยที่ไม่นึกถึง Privacy อยู่กันแบบสบายๆ นี่แหละ
บางครั้งเราก็ลืมที่จะเคารพสิทธิส่วนบุคคลของคนอื่นด้วย ทําให้เกิดเคส "ถ่ายแค่นี้ไม่เห็นเป็นไรเลย" ตลอดเวลา
นี่แหละที่ทําให้เกิดการแอบถ่ายรูป พนักงานสุดหล่อ ทหารสุดหล่อ คิ้วบอยบนรถไฟฟ้า
แค่คนแปลกหน้ามายืนจ้องก็รู้สึกแปลกแล้ว นี่ยกมือถือขึ้นแอบถ่ายอ่ะ มันจะอึดอัดขนาดไหน
ไปเจอเคสคนซีเรียส ผมบอกเลยว่าโดนด่านะ อยู่ดีๆไปถ่ายรูปเขา
เคสผู้หญิงจะเจอการแอบถ่ายแบบนี้น้อยกว่า เพราะสังคมอาจจะโฟกัสว่าผู้หญิงโดนแล้วเสียหาย แต่ที่จริงไม่ว่าเพศไหนโดนก็เสียหายเหมือนกัน ไม่ว่าจะแอบถ่ายไปชื่นชมก็ตาม
5 สแกนม่านตา รับเหรียญคริปโต
ผมได้ยินครั้งแรก ร้องเฮียหนักมาก น่ากลัวมาก
อันนี้ย้ำชัดเจนเลยครับว่า คนไทยส่วนใหญ่ ไม่เข้าใจความสำคัญของ Privacy
ถึงเขาจะพูดว่ามีนโยบายป้องกันอย่างดี แต่ถ้าเอาให้เงินแลกมา
นั่นหมายความว่า ข้อมูลที่สำคัญที่สุดของคุณที่ปลอมแปลงไม่ได้อย่าง ม่านตา มีค่าแค่หลักพัน
ข้อมูลที่ใช้ยืนยันตัวตนของคุณในโลกที่มี deep fake ได้ คุณได้ขายให้บริษัทไปแล้วครับ
น่ากลัวมาก มีคนแชร์พิกัดไปแสกนม่านตา รับเหรียญ แลกเงิน กันแบบหน้าตาเฉย
ผมเชื่อว่า สิ่งแบบนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ ถ้าหากเรายังไม่ได้ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว
ทุกวันนี้ข้อมูลส่วนตัวคนไทยอย่างเราๆหลุดไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ฟังแล้วรู้สึกเศร้าเลย
ถึงเวลาตระหนักถึงคุณค่าของ "ความเป็นส่วนตัว"
น่าเศร้าที่ข้อมูลส่วนตัวของคนไทยรั่วไหลออกไปสู่สาธารณะอยู่บ่อยครั้ง และเหตุการณ์เช่นนี้ก็มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากเรายังคงไม่ให้ความสำคัญกับ "ความเป็นส่วนตัว" อย่างจริงจัง
สิ่งที่เราสามารถทำได้
1 ปกป้องข้อมูลส่วนตัว ทั้งของตัวเอง และคนรอบตัว
พิจารณาให้รอบคอบก่อนที่จะเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลบนโซเชียลมีเดียหรือแพลตฟอร์มต่าง ๆ
2 ไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวใครไปง่ายๆ
เมื่อมีใครร้องขอข้อมูลส่วนตัวของเรา ให้ถามตัวเองว่ามีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด และเราได้รับประโยชน์อะไรจากการให้ข้อมูลนั้น
3 เข้าใจสิทธิของตนเอง
เรามีสิทธิที่จะปฏิเสธการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลหรือการถูกถ่ายภาพ หากไม่ได้รับความยินยอม
"ความเป็นส่วนตัว" ไม่ใช่เพียงแค่คำพูด แต่คือสิทธิพื้นฐานของเราในยุคดิจิทัล การตระหนักถึงคุณค่าของมันจะช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตในโลกออนไลน์ได้อย่างปลอดภัยและมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
อย่าแชร์ข้อมูลส่วนตัวของตนเองและครอบครัวออกไปในอินเดอร์เน็ต เพื่อความปลอดภัย
#siamstr #satsandsound #privacy #ความเป็นส่วนตัว
บทเรียนราคาหลักแสนในอดีต ทำให้ผมไม่ถือ Altcoin - sats and sound EP33
https://youtu.be/C3B4CZgLS7s
วันนี้ผมมาเล่าประสบการณ์ส่วนตัวให้ฟังกันครับ สิ่งที่ผมเจอมามันเป็นบทเรียนราคาแพงที่คอยเตือนใจผมอยู่ตลอด
บางทีก็อายนะมาเล่าความผิดพลาดจริงๆของตัวเอง
แต่ก็หวังว่าจะมีประโยชน์กับบางคนได้
ในช่วงปี 2020-2022 ผมเพิ่งรู้จักตลาดคริปโต vibe ของตลาดทําให้ผมรู้ว่านี่แหละ คือโลกใหม่ที่จะทําให้เรารวยขึ้น
คริปโตคืออนาคตที่จะพลิกชีวิตผมแน่นอน ทุกอย่างดูสวยงาม ดูดีไปหมด ช่วงนั้นคือโควิดที่ผมตกงานด้วย
ทุกอย่างมันโคตรแย่ เงินก็ฟืด ใช้เงินเก็บ เหรียญคริปโตเหมือนเป็นทางรอดเดียวของผมเลย
มีแต่คนมาแชร์ว่า ลงเหรียญนี้ๆ 1 เดือนคืนทุน หลายๆคนรวมถึงผม กระโดดเข้ามาในโลกคริปโต โดยที่ไม่รู้อะไรเลย
แค่ฟังก็ชิบหายแล้ว
1 gamefi
ผมเข้ามาเล่น gamefi โดยไม่รู้จัก พื้นฐานเหรียญอะไรทั้งสิ้น แค่อินฟลูบอกว่า เกมนี้เล่นแล้วรวย ผมใส่เงินเลย
ผมเล่นอยู่หลายเกมที่ดังๆช่วงนั้น ไม่ว่าจะเป็น เกม ระเบิด ยานอวกาศ รถยนต์
กลับมาคิดอีกทีผมเหมือนไก่อ่อนที่เข้ามาเอาเงินไปให้ตลาดฟรีๆ ไม่ได้รู้เลยว่าเหรียญจาก gamefi พวกนี้
มันต้องอาศัยเงินใหม่จากผู้เล่นใหม่ เพื่อจ่ายผู้เล่นเก่า ใช้ระบบเติมเงินเข้ามาในเหรียญเรื่อยๆ
มันคือการลุกช้าจ่ายรอบวงจริงๆ ยังไม่นับ gamefi อื่นๆจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามอีกมากมาย
เพราะทุกคนต้องหาเกมต้นนํ้า เพื่อที่จะทําให้ตัวเองได้เปรียบได้เหรียญนั้นมามากๆก่อนที่ราคามันขึ้น
"เหรียญต้นนํ้า"คำนี้ทำผมสยองมาจนถึงทุกวันนี้
ในยูทูปเชียร์เกม เชียร์เหรียญ แชร์ทริคกันเยอะมาก บางคนลงทุนไปเยอะมาก หลักแสนหลักล้านเลย
ผมในจุดที่ได้กำไรจากเหรียญใน gamefi แต่ไม่ได้ขายเหรียญ cash out ทํากําไรเลย
ในหัวคิดว่า เราต้องใส่เงินเพิ่มไปอีก เพราะจะทําให้เราได้เหรียญในเกมเพิ่มอีก แค่นี้มันยังไม่เปลี่ยนชีวิตโว้ยยย
แต่ละเกมก็จะมีคอมมู มีกลุ่มเทเลแกรม ที่แอดมินปั่นกันตลอดเวลา เป็นคอมมูที่ทําให้คนที่เป็นไก่อ่อนแบบผม
หลงกลและไม่ cash out ออกก่อนที่เหรียญจะราคาดิ่ง ในตอนนั้นผมก็เล่นเกมทุกวัน ซื้อเหรียญเพิ่ม คิดเลยว่า กําไรหลักล้าน
ต้องได้
- ตลาดมัน hive ขนาดไหน ลงค้นหาคําว่า เกม 100 จอดูครับ มีบางคนลงทุนจ้างคน สร้างบริษัท เพื่อเปิดจอรันเกมนี้ เป็นร้อยๆหน้าจอ เพื่อเอาเงินปลอมๆจากเหรียญในเกมกันอ่ะ
- เกมเปิดตัวใหม่ เกมต้นนํ้า มีคนแย่งกันเพื่อซื้อตัวละคร หรือ ไอเทม exclusive ในเกม เพื่อจะได้ทําเงินสร้างเหรียญในเกมไว้ก่อน ค่าแก๊ส ETH จ่ายกันหลักพันก็ยอม
- ค่ายทําโหนด ค่ายนี้ทํา gamefi ออกมา ใช้เหรียญใช้ในเกม ซึ่งเกมเขาทําดี ทําสนุกกว่าค่ายเพื่อนบ้านเราเยอะ
แต่เขาก็จะขาย node ที่จะทําให้ mint เหรียญออกมาได้มากขึ้น เล่นเกมได้มากขึ้น อินฟลูคนไทย โดนกันไปเยอะ
แล้ว node นึง ราคา 2ล้านนะครับ สยองมั้ยผ่านไป 5-6 ปี มูลค่าเหลือเท่าไหร่
สุดท้ายไม่เกิน 1 ปี เมื่อตลาดวาย เจ้าตลาด cash out เอาเงินออกไปหมดแล้ว คนใหม่ๆที่ตกหลุมพลางก็น้อยลง
คนเริ่มรู้ความจริง ราคาเหรียญมันไม่ใช่ค่อยๆซึมนะ มันดิ่งแล้วไม่ขึ้นมาอีกเลย เพราะไม่มีเงินใหม่เข้ามา
บทเรียนราคาหลักแสนนี้ ทําให้ผมรู้ความจริงว่า เกมพวกนี้ นอกจากจะไม่สนุกแล้ว เพราะเกมทําแบบง่ายๆ ใครลุกช้าจ่ายรอบวง และมันคือกลไกแชร์ลูกโซ่ที่ใครพลาดก็จะเสียเงินฟรีๆ คอมมู พวกเจ้ามันจะหลอกคนเข้าเรื่อยๆ
2 เชื่ออินฟลูที่ออกมาเชียร์เหรียญ ชิตคอย Altcoins โดยที่ไม่ศึกษาและกรองข้อมูล
ไม่ใช่แค่ gamefi เหรียญคริปโตผมก็ซื้อจ้า ชิตคอยต่างๆ นี่แหละทําผมพังไปเลย ตอนนั้นที่จริงผมรู้จักบิทคอยแล้ว แต่
พอไม่ได้ศึกษา ผมรู้สึกว่า บิทคอยราคาแพงมาก เราไปซื้อตัวอื่นที่ทําให้รวยเร็วกันดีกว่า สรุปมันก็จะไปอยู่ใน shitcoin
ต่างๆนี้แหละ ซึ่งด้วยความโง่ของผมเอง ที่เลือกเชื่ออินฟลูที่ออกมาเชียร์เหรียญชิทคอยพวกนี้ แล้วซื้ออย่างไม่ลังเล
แล้วเหรียญมันเยอะมาก บางเหรียญคือผมต้องไปเล่นแร่แปรธาตุ แลกเงินหลายขั้นตอนกว่าจะซื้อได้
เอาเงินไทยเข้า exchange เอาไปแลก eth แล้วเอา eth ไป swap ใน uniswap เพื่อให้ได้เหรียญใหม่ๆก่อนคนอื่น
โดยไม่ได้เข้าใจว่าเหรียญนั้นทําอะไร แล้ว ค่าธรรมเนียมมากมายที่เสียไปก็ไม่เคยคิด
บอกเลยว่าตอนนี้ อินฟลูชาวไทยพวกนั้น ก็ยังทําคลิปอยู่เลยดังด้วย ซับหลักแสนอ่ะ ใครไม่กรองดีๆ เงินหายไม่รู้ตัว
เขาแค่อัพเดท เอาข่าวมาเล่าอะ บางคนอยู่วงการอื่น แต่ก็มาทําคอนเท้นคริปโต เพราะมันไฮฟ์มากๆ
ผมลาขาดจากอินฟลูพวกนั้นไปเลย ถือว่าเป็นอีกบทเรียนราคาแพงผมเสียไปอีกหลายหมื่นบาท
ตอนนี้พวกเขาก็ยังอยู่ได้สบายดี ทําคอนเท้นไปเรื่อยๆ ใครเจอก็ขอให้โชคดีนะครับ
อัลคอยตัวดัง เหรียญแห่งอนาคต ETH killer ที่เหมือนว่าจะเป็นโลกใบใหม่ ในปี 2020
ผมก็ถือเหมือนกัน หลังจาก gamefi และ ชิทคอยที่ไม่มีพื้นฐาน เราก็จะมาหา เหรียญที่ดูดี มีอนาคต มีพื้นฐานกันบ้าง
ในตอนนั้นคือมีกลุ่มคน หรือ อินฟลูที่เชียร์เหรียญพวกนี้โดยเฉพาะด้วย ซึ่งเขาก็จะพูดแต่ด้านดีๆ โดยไม่บอกความเสี่ยงของเหรียญพวกนี้เลย
ตัวอย่างบางเหรียญที่เหมือนจะมีพื้นฐานที่ดี มี ecosystem เยอะมาก มีประมูลโปรเจคที่จะเข้าไปอยู่ในเชน
ผมเข้าไปอยู่ในกลุ่ม หรือในโซเชียลมีเดียของเขา เราก็จะเห็นข้อมูลที่ดี ตัวเลขการเติบโดมากขึ้นตลอด เช่น เติบโตอันดับหนึ่ง
มี developer ทํางานมากที่สุด เหรียญอนาคตที่จะเป็น ETH killer ผมเสียเวลาถือ Altcoin พวกนี้อยู่ 4 ปี ซื้อเพิ่มเรื่อยๆด้วย
สุดท้ายพอตลาดมันซึมลงมา มูลค่าเหรียญพวกนี้ก็ดิ่งเหว และไม่เคยกลับไปเหมือนช่วง โควิดอีกเลย
ข้อเตือนใจจากความผิดพลาด
- อัลคอยคือการลงทุน ไม่ใช่การเก็บออม มันมี season ของมัน มีมันข้อดีข้อเสีย มีขึ้นมีลง ไม่ศึกษาเองรับความเสี่ยงมหาศาล
- ข้อมูลต่างๆที่เชียร์นั้น เราต้องไปดูลึกๆอีกเช่น เติบโตอันดับหนึ่ง
เราไปดู market cap ไปดูข้อมูล onchain จริงๆว่ามันเป็นแบบนั้นมั้ย บางเหรียญถึงขั้นจ้างคนมาเชียร์เหรียญของตัวเอง
ดังนั้นข้อมูลปลอมๆพวกนี้เชื่อถือไม่ได้นะ สุดท้ายเหรียญพังหรือโตไม่ทันเงินเฟ้อ
gamefi ประมาณ 1 ปีมันพังใช่มั้ย แต่ชิทคอยและ altcoin พวกผมเสียเวลาถือมา 4 ปี (ค่าเสียโอกาสมหาศาล)
เป็นคลิปที่เหมือนจะบอกความโง่ของตัวเอง ที่ต้องจ่ายเงินให้กับตลาดไปฟรี
ค่าเสียหายทั้งหมดประมาณ 150,000 บาท
หลังจากกลับมาทบทวนตัวเองพบว่า เราไม่ได้เหมาะกับการลงทุนเลย แถมยังไม่ได้มีเวลาศึกษาและมีความรู้มากพอ
ที่จะถือ Altcoin พวกนี้ด้วย ดังนั้นเมื่อรู้ตัวและเสียเงินหลักแสนไปแล้วผมเปลี่ยนตัวเองใหม่ครับ
ศึกษาบิทคอย อันนี้ผมใช้เวลาเป็นปี ค่อยๆเบิกเนตรทีละนิด เพื่อเข้าใจมันจริงๆ ทําให้รู้ว่า
- บิทคอยคือ Store of Value ที่ถือแล้วเงินเราไม่เสื่อมค่า ซึ่งไม่มีเหรียญ Altcoin ไหนทําได้
Altcoin ตัวอื่นๆเขาจะเน้นสร้างขึนมาเพื่อประโยชน์อย่างอื่นเช่น การใช้งานหลากหลาย แต่ในแง่เก็บมูลค่า ไม่มีตัวไหนดีเท่าบิทคอย
- เราต้องแยกการออมและการลงทุนออกจากกันอย่างชัดเจน ดังนั้นบิทคอยที่เป็น Store of Value เราสามารถเก็บออมอย่างเดียวได้เลย ถึงแม้มันจะผันผวนมากๆเมื่อเทียบกับทองคํา แต่ในระยะยาวอนาคตของบิทคอยมันทําให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
- Altcoin ทุกตัวมันมีนักลงทุน และ ผู้ควบคุมเหรียญอยู่ ซึ่งกลไกแบบนี้ ไม่ต่างกับเงินเฟียต ที่เสื่อมค่าลง ดังนั้น
Altcoin คือสินทรัพย์ที่เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยง ไม่ใช่แหล่งเก็บออม ถ้าใครจะถือตัวไหนก็ต้องศึกษาพื้นฐานของมันให้ดีและเข้าใจธรรมชาติของมัน
- ระวัง Altcoin ที่เป็น Scam ไร้พื้นฐาน หรือ โครงการที่ล้มเหลว เหรียญที่ผมเคยถือ ไม่ใช่ scam แต่เป็นโปรเจคที่ล้มเหลว หรือโตไม่ทันเงินเฟ้อ ดังนั้น ใครจะถือต้องเข้าใจและเลือกดีๆ
- คนที่ทํากําไรจาก Altcoin Memecoin พวกนี้มีเยอะมาก แล้วได้กันเยอะมากๆด้วย แต่ผมไม่ได้มีเวลาและทักษะแบบนั้น
เลยไม่เสี่ยงครับ สิ่งนี้เป็น มายเซ็ตแบบ high time preference
ที่ไม่ได้เหมาะกับผมเลย
- ส่วนตัวผม แปลงสินทรัพย์จาก Altcoin ที่ขาดทุนยับๆมาเป็นบิทคอยหมดแล้ว เพราะผมเองไม่ได้ต้องการจะลงทุน
แค่อยากเก็บออมไว้เฉยๆ เก็บไว้ใน HW ที่ปลอดภัย
สรุป
1 แยกสินทรัพย์ที่ออมและลงทุนออกจากกันอย่างชัดเจน
2 Altcoin ไม่ได้แย่ทั้งหมด ตัวที่ดี มี network effect ที่ดี มีอนาคตก็มีเหมือนกัน
3 Altcoin คือสินทรัพย์ลงทุน มีความเสี่ยง ใครจะถือก็ต้องศึกษาให้ดีก่อน กรองกันดีๆ โปรเจคไม่โตหรือ Scam เหรียญไม่มีพื้นฐานมันเยอะมาก
4 Altcoin มีทั้งคนควบคุมและนักลงทุน ดังนั้น มันไม่ได้ต่างจากการถือเงิน เฟียต
บทเรียนราคาหลักแสนในอดีตที่ผ่านมา 4 ปี ทําให้ผมรู้ตัวว่าเราไม่ได้เหมาะกับการลงทุน ถ้าเรายังใช้ชีวิตแบบเดิม
ไม่มีทางจะสบายได้เพราะ เราเลือกสินทรัพย์ลงทุนไม่เป็น มันคือชีวิตแบบเงินเฟียตที่เราต้องเหนื่อยไปเรื่อยๆอ่ะ
ดังนั้น คําตอบของผมคือ บิทคอย ผมจะใช้มันออมเงินของผมได้อย่างสบายใจ ปล่อยให้มูลค่ามันโตขึ้นไปเรื่อยๆ
โดยไม่ได้สนความผันผวนต่อราคา
#siamstr #bitcoin #btc #altcoin #eth
ความเสี่ยง ของ Bitcoin พูดความจริงแบบไม่กาว - sats and sound EP32
https://youtu.be/DR7n8hettXY
ช่องผมเป็นช่องพูดเนื้อหาเกี่ยวกับบิทคอย ทําให้บางคนอาจจะคิดว่า คงจะเสนอแต่ด้านบวกเท่านั้น
วันนี้จะมาพูดถึงความเสี่ยงของบิทคอย ที่มีโอกาสเกิดขึ้น พร้อมกับวิธีรับมือแบบไม่กาว ไม่ Bias
ผมคิดว่าเรื่องนี้ คนที่ถือบิทคอยควรจะรู้ไว้ เพราะบิทคอยเราจะถือกันในระยะยาว ดังนั้นอะไรที่อาจจะเป็นความเสี่ยงพวกเราต้องรู้ไว้ก่อน
วันนี้มี 7 ความเสี่ยงมาให้ดูกัน
1. คอมพิวเตอร์ควอนตัม (Quantum Computers)
- การเข้ารหัสของ Bitcoin อาศัยหลักการทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Public Key Cryptography (Elliptic Curve Digital Signature Algorithm - ECDSA) ซึ่งปัจจุบันถือว่าปลอดภัยโคตร
- คอมพิวเตอร์ในยุคนี้ไม่สามารถเจาะการเข้ารหัสได้
- แต่ทฤษฎีระบุว่าคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่มีความสามารถสูงในอนาคต (โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วย Shor's Algorithm)
อาจสามารถถอดรหัส Private Key จาก Public Key ได้ ซึ่งจะทำให้การเซ็นธุรกรรมและรักษาความเป็นเจ้าของ Bitcoin กลายเป็นช่องโหว่ร้ายแรง ทําได้เมื่อไหร่บิทคอยจะไม่มีค่าอีกเลย
สถานะปัจจุบันและการรับมือ
- ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ควอนตัมยังอยู่ในระยะเริ่มต้นของการพัฒนา มีจำนวนคิวบิตจำกัดและยังไม่สามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนในลักษณะที่คุกคาม Bitcoin ได้
- ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าอาจใช้เวลาอีกหลายทศวรรษ (เช่น 10-50 ปี) ก่อนที่เทคโนโลยีนี้จะก้าวหน้าพอที่จะเป็นภัยคุกคามที่แท้จริง ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นไม่ค่อยน่ากังวล ถ้าจะแฮกไปแฮกระบบธนาคารง่ายกว่าเยอะครับ ไม่ต้องมานั่งสุ่มเลขถอดรหัสอยู่
- ชุมชนนักพัฒนา Bitcoin และนักวิทยาศาสตร์ด้านการเข้ารหัสทั่วโลกกำลังวิจัยและพัฒนา "การเข้ารหัสแบบทนทานต่อควอนตัม" (Quantum-Resistant Cryptography หรือ Post-Quantum Cryptography - PQC) ซึ่งเป็นอัลกอริทึมเข้ารหัสใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อต้านทานการโจมตีจากคอมพิวเตอร์ควอนตัม เมื่อเทคโนโลยีเหล่านี้พร้อมใช้ จะมีการอัปเดตโปรโตคอลของ Bitcoin เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยในอนาคต
ควอนตัมมาจริง แต่กว่าจะถึงวันนั้น บิทคอยก็มีเทคโนโลยีรองรับควอนตัมไปแล้วครับ
2. การโจมตี 51% (51% Attack)
- การโจมตี 51% เกิดขึ้นเมื่อผู้ขุดเพียงคนเดียวหรือกลุ่มผู้ขุดรวมกันสามารถควบคุม "พลังประมวลผล" (Hash Rate) ของเครือข่าย Bitcoin ได้มากกว่า 50%
ทำให้พวกเขามีอำนาจในการ:
- อนุมัติธุรกรรมที่ขัดแย้งกับกฎ (แต่ไม่สามารถสร้าง Bitcoin ใหม่ หรือขโมย Bitcoin ที่ไม่ได้เป็นของตนเองได้)
- ปฏิเสธการยืนยันธุรกรรมจากผู้ใช้อื่น
- ย้อนกลับธุรกรรมของตนเองที่เคยส่งไปแล้ว (Double Spending) ซึ่งเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อความน่าเชื่อถือของเครือข่าย
การโจมตีแบบนี้มันแก้ได้เฉพาะธุรกรรมของเราเองนะ ไม่สามารถไปแก้ไขข้อมูลส่วนอื่นๆในบล็อคเชนได้ตามใจ
51% Attack ในทางปฏิบัติก็ทํายากมากๆเหมือนกัน
ความเป็นไปได้และการรับมือ
- การโจมตีมันได้ไม่คุ้มเสียนะ เครือข่าย Bitcoin มีพลังประมวลผลรวมกันมหาศาล (ณ ปัจจุบัน Hash Rate สูงมาก
941.55 ล้าน TH/s )
- การจะควบคุม 51% ของพลังงานทั้งหมดต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมหาศาลในการซื้อเครื่องขุด ASIC และค่าไฟฟ้าในการดำเนินการ ซึ่งไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ
- บิทคอยออกแบบมาให้รางวัลผู้ที่เล่นตามกฏ และไม่ยอมรับคนโกง สมมติว่าถ้าเข้าทำ 51% Attack ได้จริง
ชุมชน Bitcoin สามารถรวมตัวกันเพื่อเปลี่ยนแปลงโปรโตคอล (Hard Fork) เพื่อแยกตัวออกจากส่วนที่ถูกควบคุมได้
บิทคอยที่โกงมาได้ก็จะไร้มูลค่าทันทีเพราะมันไม่ปลอดภัยอีกต่อไป ดังนั้นเงินมหาศาลที่ทุ่มไปก็จะไร้ค่าไปเปล่าๆ
โกงไปยังไงก็ไม่คุ้ม ทําตามกฏดีกว่า
- กฎถูกออกแบบมาให้ทุกคนร่วมมือกัน แต่ไม่ต้องเชื่อใจกัน ไอเดียนี้โคตรของความเจ๋ง เครือข่ายการขุด Bitcoin กระจายตัวไปทั่วโลกในกลุ่มผู้ขุดและพูลการขุดจำนวนมาก ทำให้ยากที่จะรวมศูนย์พลังงานขนาดใหญ่ได้ ใครอยู่ในชุมชนบิทคอยเนอร์จะเข้าใจข้อนี้ ทุกคนไม่เชื่อใจกันและพร้อมจะตรวจสอบกันอยู่ตลอดเวลา เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง
- แถมให้อีกข้อเรื่อง บิทคอย2 หลายคนคิดว่า เดี๋ยวก็มีบิทคอย 2 ออกมา บิทคอย 1 ก็คงตายไปเอง
ด้วยระบบการทํางานร่วมกัน ระหว่าง คนขุด คนรันโหนด คนใช้งาน ทุกกลุ่ม ตรวจสอบกันตลอดเวลา มีระบบที่แข็งแกร่ง และยืนระยะมานานมากพอนี่แหละ ที่ทําให้บิทคอย 2 ไม่เกิด เพราะในช่วงแรกที่ระบบอ่อนแอ การทําลายบิทคอยมันง่ายมากเพราะโหนดมันน้อย จะจะทํา 51% Attack ถ้าทํามันก็ทําได้ แต่ตอนนี้ทําไม่ได้แล้ว เพราะระบบมันแข็งแกร่งมากๆแล้ว
- ตอนนี้มีโหนดอยู่ 20000-200000 โหนดทั่วโลก บางทีก็เป็นโหนดไม่เปิดเผยข้อมูลด้วย ทุกคนที่รันโหนดเพื่อรักษาและปกป้องบิทคอยที่ตัวเองถืออยู่ ความแข็งแกร่งจริงๆของบิทคอยไม่ใช่ระบบบล็อคเชนนะ แต่คือ การรันโหนดจากผุ้คนจํานวนมากที่มีฉันทามติเดียวกันเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเองนี่แหละ บอกเลย ซาโตชิโครตจีเนียส
ตราบใดที่คุณไม่มีพลังจิตที่ทําให้คนอื่นทําตามใจคุณได้ บิทคอยจะไม่พังเพราะเหตุผล 51% Attack
3. ข้อผิดพลาดของซอฟต์แวร์ (Software Bugs)
- เช่นเดียวกับซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อนอื่นๆ โค้ดของ Bitcoin (Bitcoin Core) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของโปรโตคอล อาจมีข้อผิดพลาด (bugs) หรือช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่อาจนำไปสู่ปัญหา เช่น การสร้าง Bitcoin เกินจำนวน การทำงานผิดปกติของธุรกรรม หรือการถูกโจมตีทางไซเบอร์ อันนี้พูดถึง ซอฟแวร์ที่ใช้รันโหนดนะ ตัวโค้ดหลักของบิทคอยเองไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
การรับมือ
- Open-Source และ Peer Review
โค้ดของ Bitcoin เป็นแบบ Open-Source ซึ่งหมายความว่านักพัฒนาและผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทั่วโลกสามารถตรวจสอบ ตรวจจับ และแก้ไขข้อผิดพลาดได้อย่างเปิดเผย ทำให้เกิดกระบวนการ Peer Review ที่แข็งแกร่ง
- มีการทดสอบอย่างเข้มงวด การเปลี่ยนแปลงโค้ดใดๆ จะต้องผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวดและรอบด้านก่อนที่จะนำมาใช้งานจริงในเครือข่าย เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดข้อผิดพลาดร้ายแรง เหมือนในอดีตที่มีคนแก้โค้ดให้บิทคอยผลิตได้เกิน 21 ล้านเหรียญ สุดท้ายพอคอมมูรู้ก็ทำการแก้จุดอ่อนตรงนี้ ส่วนบิทคอยที่ถูกเสกเพิ่มมาโดยไม่ทําตามกฏ ก็ไม่มีโหนดไหนยอมรับธุรกรรมที่เกิดขึ้น สุดท้ายธุรกรรมนั้นก็ไร้ค่าไปหมด
- ชุมชนนักพัฒนาจะคอยตรวจสอบและออกแพทช์เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดหรือช่องโหว่ที่ค้นพบอย่างรวดเร็ว ซอฟแวร์รันโหนดจริงๆมีอีกหลายตัว ซึ่งผู้รันโหนดสามารถเลือกรันตัวไหนก็ได้ที่ตัวเองรู้สึกโอเค ถ้าอัพเดทแล้วไม่ชอบก็เปลี่ยนซอฟแวร์ได้ทันที
4. Blockchain Bloat
- Blockchain Bloat หมายถึงขนาดของบล็อกเชน Bitcoin ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อมีการเพิ่มบล็อกและธุรกรรมใหม่ๆ เข้าไป ซึ่งอาจทำให้การดาวน์โหลด จัดเก็บ และรัน Full Node ของ Bitcoin (ซึ่งมีความสำคัญต่อการกระจายอำนาจ) ทำได้ยากขึ้นสำหรับผู้ใช้ทั่วไป เนื่องจากต้องใช้พื้นที่จัดเก็บข้อมูลและแบนด์วิดท์มากขึ้น
การรับมือ
- SegWit (Segregated Witness) การอัปเดตโปรโตคอลนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บข้อมูลในแต่ละบล็อก ทำให้สามารถบรรจุธุรกรรมได้มากขึ้นโดยไม่เพิ่มขนาดบล็อกเกินจำเป็น
- โซลูชัน Layer 2 (เช่น Lightning Network): เครือข่าย Lightning เป็น "Layer 2" ที่สร้างขึ้นบน Bitcoin blockchain ช่วยให้สามารถทำธุรกรรมขนาดเล็กจำนวนมาก "นอกเครือข่ายหลัก" (Off-Chain) และบันทึกเฉพาะผลรวมสุทธิลงบนบล็อกเชนหลัก ซึ่งช่วยลดภาระของเครือข่ายหลักได้อย่างมาก
- มีการพัฒนาเทคนิคต่างๆ เพื่อช่วยบีบอัดข้อมูลบล็อกเชน ทำให้การจัดเก็บมีประสิทธิภาพมากขึ้น
5. สกุลเงินดิจิทัลคู่แข่ง (Competing Cryptocurrencies)
มีสกุลเงินดิจิทัลจำนวนมาก (Altcoins) ที่พยายามนำเสนอคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เช่น ความเร็วในการทำธุรกรรมที่สูงขึ้น (เช่น Solana), ค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่า (เช่น Litecoin), หรือความสามารถในการรองรับ Smart Contracts (เช่น Ethereum) ซึ่งอาจดึงดูดนักลงทุนและผู้ใช้งานบางกลุ่มไปจาก Bitcoin
จุดแข็งของ Bitcoin ในการแข่งขัน
- ความปลอดภัยและกระจายอำนาจสูงสุด: Bitcoin ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นเครือข่ายที่ปลอดภัยและกระจายอำนาจมากที่สุด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ "ความเป็นเงิน" ที่เชื่อถือได้
- Store of Value: การออกแบบของ Bitcoin เน้นความหายากและคุณสมบัติที่ไม่ถูกแทรกแซง ทำให้มันเป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่งที่สุดสำหรับการเป็น "แหล่งเก็บมูลค่า" ระยะยาว
ถ้าคุณหนีเงินเฟียตมาแล้วถือ Altcoin อยากบอกว่ามันไม่ได้ต่างกันเลยครับ เพราะมีระบบรวมศูนย์ มีนักลงทุน
ดังนั้น ต้องการถือสินทรัพย์ที่มี Store of Value ยังไงก็ต้องบิทคอยครับ
- ผลกระทบของเครือข่าย (Network Effect Bitcoin มีชุมชนผู้ใช้ นักพัฒนา และโครงสร้างพื้นฐานที่ใหญ่ที่สุดและเป็นที่ยอมรับมากที่สุดในโลกคริปโต
- การยอมรับในระดับสถาบัน สถาบันการเงินและบริษัทขนาดใหญ่จำนวนมากได้เริ่มยอมรับและลงทุนใน Bitcoin มากกว่า Altcoins ส่วนใหญ่
ผมคิดว่าวัตถุประสงค์ของคนที่ถือ BTC หรือ Alt Coin ไม่เหมือนกัน เอามาเทียบความเสี่ยงกันได้ยาก
6. สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC - Central Bank Digital Currencies)
CBDC เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ออกและควบคุมโดยธนาคารกลางของประเทศ ซึ่งแตกต่างจาก Bitcoin ตรงที่มันเป็น "รวมศูนย์" และ "มีผู้ดูแล" รัฐบาลหรือธนาคารกลางจะสามารถควบคุมการไหลเวียนของเงิน ตรวจสอบธุรกรรมทั้งหมด และอาจถึงขั้นระงับบัญชีหรือตั้งเงื่อนไขการใช้จ่ายได้ ซึ่งอาจจำกัดเสรีภาพทางการเงินและความเป็นส่วนตัวของประชาชน
ความแตกต่างกับ Bitcoin
- CBDC ถูกรวมศูนย์และควบคุมโดยรัฐบาล ในขณะที่ Bitcoin ถูกกระจายอำนาจและไม่มีหน่วยงานกลางควบคุม
- CBDC อาจเป็นระบบที่ตรวจสอบได้ทุกธุรกรรม ในขณะที่ Bitcoin ให้ความเป็นส่วนตัวในระดับที่สูงกว่า (แม้จะไม่ใช่การนิรนามสมบูรณ์)
- CBDC เปิดโอกาสให้รัฐบาลใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดและควบคุมได้มากขึ้น ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ในด้านการจัดการเศรษฐกิจ แต่ก็มีความเสี่ยงต่ออำนาจของประชาชนในการใช้เงินของตนเอง
CBDC มันคือเงินเฟียตที่ tokenize มาในรูปแบบดิจิตอล
ดังนั้น ถ้าหากต้องการหนีเงินเฟ้อยังไงก็ต้องถือบิทคอย
การถือ CBDC ไม่ต่างกับการถือเงินเฟียต
7. ความเสี่ยงในการดูแลตนเอง (Self-Custody Risks)
- เป็นความเสี่ยงที่ผมโฟกัสเพราะสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายที่สุด เกิดได้กับทุกคน
- การดูแล Bitcoin ด้วยตนเอง (Self-Custody) หมายถึงการที่คุณเป็นผู้ควบคุมคีย์ส่วนตัว (Private Key) ของกระเป๋าเงินดิจิทัลของคุณเองทั้งหมด หากคุณทำคีย์ส่วนตัวหาย ถูกขโมย หรือทำกระเป๋าเงินเสียหายโดยไม่มีการสำรองข้อมูลที่ถูกต้อง คุณจะสูญเสีย Bitcoin ไปอย่างถาวรโดยไม่มีทางกู้คืนได้ (ไม่ใช่หน่วยงานใดที่จะช่วยคุณได้)
ความสำคัญและการรับมือ
- ข้อนี้คือความเสี่ยงที่ผมโฟกัสที่สุด ที่พยายามเน้นยํ้าว่าให้ศึกษาแล้วเก็บแบบ self custody เพราะไหนๆเราจะหนีออกจากระบบเงินเฟียตแล้ว ก็ต้องเก็บบิทคอยด้วยตัวเอง ดังคําพูดที่ว่า not your key ,not your coin.
- ผู้ใช้ต้องมีความเข้าใจในการจัดการคีย์ส่วนตัว การสำรองข้อมูลอย่างปลอดภัย (เช่น การใช้ Seed Phrase) และการใช้ฮาร์ดแวร์วอลเล็ต (Hardware Wallets) เพื่อเพิ่มความปลอดภัย
- เงินเราเราต้องรับผิดชอบเอง seed 12-24 คํา หลุดหรือหาย เท่ากับว่า บิทคอยทั้งหมดของคุณก็จะหายไปในพริบตาเช่นกัน
- การดูแลตนเองเป็นรากฐานสำคัญของปรัชญา Bitcoin ที่เน้นการเป็นเจ้าของและควบคุมเงินของคุณเองอย่างสมบูรณ์โดยไม่ต้องพึ่งพาบุคคลที่สาม (ธนาคารหรือผู้ให้บริการแลกเปลี่ยน) เราจะทําได้สมบรูณ์ถ้าเก็บบิทคอยด้วยตัวเองได้ ศึกษาให้มากๆผมเชื่อว่า มันไม่ได้ยากเกินไป
โลกนี้ไม่ได้มีอะไรยากนะครับ
มันมีแต่สิ่งที่เรา "เคยทํา" กับ "ไม่เคยทํา"
อะไรที่ทําจนเคยชินแล้วมันจะ "ง่าย" ขึ้นเอง
ดังนั้นความเสี่ยงเรื่องนี้มันลดได้ด้วยการศึกษาการเก็บบิทคอยที่ถูกต้อง
บทสรุป
1 บิทคอย ไม่ใช่เทคโนโลยีที่สมบูรณ์แบบและย่อมมีความเสี่ยง
2 ผมพยายามแสดงให้ดูว่า ความเสี่ยงแต่ละข้อที่เราคิด มันมีคําตอบอยู่แล้วว่า
มันไม่ได้เสี่ยงขนาดนั้น
3 บิทคอยก็มีข้อดีเป็นที่ประจักษ์มากมาย เช่น เป็นสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่า
ดังนั้นไม่มีเหตุผลที่จะไม่ถือบิทคอย
#siamstr #btc #bitcoin #ความเสี่ยง #ความจน
"ไม่ถือ บิทคอย ไม่ใช่ไม่รวย แต่การันตีเลยว่าจนแน่ๆ"พูดเบาๆ แต่ทัวร์ลงฉ่ำ - sats and sound EP31
https://youtu.be/-RBW9HeBDzQ
ประโยคนี้ อาจารย์พิริยะ ได้กล่าวในรายการ เรื่องเล่าดอยนี้ EP.69
โดย เพจ Bitcoin Addict Thailand ได้โพสเพื่อเป็นการ PR ให้เข้าไปฟังรายการกัน
ผมในฐานะบิทคอยเนอร์ ฟังแล้วก็เข้าใจว่าอาจารย์หมายถึงอะไร แต่ ประโยคนี้มันดันไป
กระทบชาวเน็ตบางกลุ่ม ที่ทําให้เกิดการถกเถียงอย่างดุเด็ดในเพจ แค่ 2 วันคอมเม้นเป็นร้อยแล้ว
วันนี้ผมจะมาสรุปประเด็นความคิดเห็น รวมถึง ภาพรวมของความเข้าใจของชาวเน็ตไทยเกี่ยวกับบิทคอยและเงินเฟ้อกันนะครับ
เริ่มจากคําพูดต้นเรื่องก่อน
"ไม่ถือ บิทคอย ไม่ใช่ไม่รวย แต่การันตีเลยว่าจนแน่ๆ"
- มันเป็นการเน้นย้ำถึงแนวคิดที่ว่า การไม่ถือ Bitcoin ในระยะยาวจะนำไปสู่ความยากจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงภาวะเงินเฟ้อและการเสื่อมค่าของเงิน Fiat (เงินกระดาษ)
- มุมมองนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ Bitcoiner ที่มองว่า Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่รักษามูลค่าที่แท้จริง ซึ่งสินทรัพย์อื่นๆ จะมีมูลค่าลดลงเมื่อเทียบกับ Bitcoin
จนลงหมายถึงเงินในมือจะเสื่อมค่าลง และอํานาจการจับจ่ายจะลดลงนั่นเอง
ดูง่ายๆก่อนโควิดกับหลังโควิดที่พิมเงิน และเงินเฟ้อฉ่ำ ของแพงขึ้นใช่มั้ย นั่นแหละความหมายของอาจารย์พิริยะ
แต่ว่าด้วยข้อความสั้นๆนี้บางคนที่ไม่เข้าใจก็เข้ามาเม้นดุเดือดมากมายเลย
จากคอมเมนเป็นร้อยเม้นแบ่งกลุ่มคนออกเป็น 2 กลุ่มคือ
1 กลุ่มที่เห็นด้วยและสนับสนุน Bitcoin (คอมเม้น 25%)
กลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ถือครอง Bitcoin อยู่แล้ว หรือมีความเข้าใจในปรัชญาของ Bitcoin อย่างลึกซึ้ง พวกเขามองว่าคำกล่าวของอาจารย์พิริยะเป็นความจริงที่หลายคนยังไม่เข้าใจ และสะท้อนถึงอนาคตทางการเงินที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป
2 กลุ่มที่ไม่เห็นด้วยและวิพากษ์วิจารณ์ ( คอมเม้น 75%)
กลุ่มนี้ส่วนใหญ่ตั้งคำถามถึงความสุดโต่งของคำกล่าว และมองว่าถ้าไม่ถือ Bitcoin แล้วการันตีความจน เป็นความคิดที่คับแคบและบิดเบือนความเป็นจริง
ทัวร์จะมันขนาดไหนมาดูกัน เริ่มที่กลุ่มแรกคือ
1 กลุ่มที่เห็นด้วยและสนับสนุน Bitcoin
1.1 Bitcoin คือทางรอดจากเงินเฟ้อ
- หลายคอมเมนต์มองว่าการถือเงิน Fiat เฉยๆ คือความจนที่แท้จริง เพราะเงินเฟ้อขึ้นทุกปี
- Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่มีจำนวนจำกัด ทำให้มูลค่าเพิ่มขึ้นในระยะยาว
1.2 กาลเวลาจะพิสูจน์
- มีความเชื่อมั่นว่าในอนาคตผู้ที่ไม่ถือ Bitcoin จะเสียดายที่ไม่ได้ซื้อตั้งแต่แรก อารมณ์รู้งี้
- ราคา Bitcoin จะยังคงพุ่งขึ้นอีกไกล
1.3 ประสบการณ์ตรงจากการลงทุน
- บางคนเล่าประสบการณ์การลงทุนใน Bitcoin ที่ให้ผลตอบแทนสูง
1.4 ความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้
- การที่คนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจ Bitcoin แสดงให้เห็นว่ายังมีโอกาสในการออมอีกมาก
- ผู้ที่ต้องการหลุดพ้นจากวงจรเงินเฟ้อควรศึกษาเรื่องนี้
1.5 Bitcoin ไม่เกี่ยวกับอาชญากรรม
- มีการโต้แย้งว่าการโดนจับไม่ได้เกี่ยวกับตัว Bitcoin แต่ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้
คอมเม้นสนับสนุน จากบิทคอยเนอร์ ก็จะเป็นสิ่งที่รู้กันอยู่แล้วเพราะข้อโต้แย้งต่างๆ
ก็เคยมีคนให้คําตอบหรือไขความกระจ่างไปแล้ว
2 กลุ่มที่ไม่เห็นด้วยและวิพากษ์วิจารณ์
2.1 มีสินทรัพย์อื่นที่ทำให้รวยได้
- ผู้คนจำนวนมากชี้ให้เห็นว่าคนรวยระดับโลกอย่าง Warren Buffett หรือ Bill Gates ไม่ได้รวยจาก Bitcoin
- ยังมีสินทรัพย์อื่นๆ อีกมากมายที่สามารถสร้างความมั่งคั่งได้ เช่น หุ้น ทองคำ อสังหาริมทรัพย์
2.2 ความไม่มั่นคงและความเสี่ยงสูง
- หลายคนมองว่า Bitcoin มีความผันผวนสูง ไม่เสถียร ไม่มีอะไรอ้างอิงมูลค่าที่ชัดเจน
- เป็นเงินจากอากาศ
- ยังกังวลเรื่องการถูกแฮกและปัญหาทางเทคนิคอื่นๆ เน็ตล่มทั้งโลกจะทําไง เกิดสงครามบิทคอยกินไม่ได้
2.3 คำพูดเกินจริง/ปั่นราคา
- บางส่วนมองว่าอาจารย์พิริยะพูดเกินจริงและมีเจตนาปั่นราคา ฟิลลิ่งล่อเม่าให้เข้าไปซื้อราคาแพงๆ
- โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดในช่วงที่ราคา Bitcoin ทำจุดสูงสุด (All-Time High)
- ตัวเองถือเยอะ คนเข้าที่หลังก็ไม่มีทางรวย ตามไม่ทัน
2.4 การใช้งานในชีวิตประจำวัน
- ข้อโต้แย้งสำคัญคือ Bitcoin ยังไม่สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง เช่น ซื้อข้าวแกง หรือใช้ในร้านค้าทั่วไป
ข้อนี้เทียบกับพร้อมเพย์ มันยังไม่สะดวกเท่า แต่การใช้บิทคอยผ่าน lightning network มากขึ้นเรื่อยๆนะ
2.5 ขาดการรับรองจากรัฐบาลและปัญหาทางกฎหมาย
- ยังมีการตั้งคำถามถึงความชอบธรรมของ Bitcoin ที่ไม่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลส่วนใหญ่
- ปัญหาเรื่องการเสียภาษี
- บิทคอยมีการพูดถึงการเชื่อมโยงกับกิจกรรมผิดกฎหมาย
เงินที่รัฐคุมไม่ได้ มันดีขนาดไหนรู้มั้ย คุณจะเป็นอิสระอย่างแท้จริงไงหล่ะ
จะฟอกเงินผ่านบิทคอยมันยากนะ เพราะมันตามเส้นทางการเงินได้หมด
2.6 มุมมองเชิงเทรดดิ้ง vs การถือระยะยาว
- บางคนมองว่า Bitcoin เป็นเพียงสินทรัพย์หนึ่งที่ใช้ในการเทรด เก็งกำไร ไม่ใช่การถือเพื่อความมั่งคั่งระยะยาว
ซึ่งตรรกะมันไม่ค่อย make sense
สรุปประเด็นในวันนี้
ในฐานะผมเป็นคนกลุ่มที่เชื่อในบิทคอยและสะสมบิทคอย มันแสดงให้เห็นว่า คนไทยหลายคนยังไม่ค่อยเข้าใจ
เรื่องบิทคอยและความน่ากลัวของเงินเฟ้อ ยังมีความคิดแบบระบบเฟียต
1 คนส่วนใหญ่ยังอยู่ในวังวนของเงินเฟียต มายเซ็ตแบบเฟียตๆ ไม่เข้าใจ Cantillon Effect มีคอมเม้นนึงที่ยกตัวอย่างคนรํ่ารวย อย่างบิลเกต วอเรน บัพเฟต ที่เข้าใจและอยู่ใกล้แหล่งพิมเงินมาอ้างว่า คนพวกนี้ไม่ถือบิทคอยแต่เขารวยมากๆ
2 หลายคนไม่เข้าใจระบบการเงินโลก ไม่เข้าใจวังวนของการพิมเงิน ไม่รู้ว่าหุ้นที่ตัวเองถือ โตเพราะเงินเฟ้อ ไม่ใช่โตเพราะ productivity บางคน net worth เพิ่มจริงแต่ไม่รู้เลยว่า 7%ทบต้นที่ได้คือมาจากเงินเฟ้อ กับดักจากเงินเฟียตที่ไม่รู้ตัวนี่แหละจะทําให้คุณจนลงแบบไม่รู้ตัว
3 มีความคิดแบบ High Time Preference เช่นบางคนคิดว่า การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากๆ ได้เงินเร็วๆ ดีกว่าบิทคอย
ในบางคนที่ไม่เห็นด้วยบางคนก็มีทองคําติดพอร์ต ซึ่งมันก็ต้านเงินเฟ้อได้เหมือนกัน นักลงทุนระบบเงินเฟียตเขาจะแนะนําถือทอง 5-10% ที่เหลือกระจายไปหุ้น กองทุน อื่นๆกันหมด
ถ้าไม่เข้าใจข้อ 3 นี้คุณจะฟังคําพูดอาจารย์ตั้มแล้วปฏิเสธทันที
เหมือนกับหลายๆคอมเม้นที่ไม่เห็นด้วย บางคนใช้ถ่อยคำหยาบคายมากด้วย เห็นต่างได้แต่ไม่จําเป็นต้องถ่อยนะครับ
ที่ผมกล้าพูดแบบนี้เพราะ ผมเป็นมาก่อน ทั้ง 3 ข้อที่พูดมาเลย
อาจารย์ตั้มแกเคยพูดว่า โลกใน Nostr คือทุ่งลาเวนเดอร์ ทุกคนน่ารักหมด แต่โลกความจริงคือในเฟสบุ๊คครับโหดมาก
แกก็น่าจะโดนมาเยอะ
ก่อนลากันสิ่งที่ได้จากการทําคอนเท้นนี้คือ
1 บิทคอยไม่ได้มีไว้สําหรับทุกคน ดังนั้นคนที่ยังไม่ศึกษาหรือปฏิเสธก็เป็นเรื่องของเขา
เราไปเปลี่ยนความคิดใครไม่ได้
2 บิทคอยไม่ได้เหมาะกับทุกคน ใครถนัดออมอย่างอื่นที่ต้านเงินเฟ้อได้ก็ดีเหมือนกัน เช่นทองคํา อสังหาฯ* หุ้น(ชนะเงินเฟ้อ)**
3 ตัวผมเองที่เปลี่ยนความคิดได้เพราะโดนระบบเฟียตทําร้ายมาก่อน แล้วหาวิธีแก้จนมาเจอบิทคอยที่เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนชีวิตผมไปเลย
4 ข้อนี้อาจจะเห็นแก่ตัวแต่ผมมองว่า ยังมีคนไม่รู้อีกเยอะมากเลย นั่นหมายความว่า เรายังมีเวลา Stack sats
กันอยู่นะครับ ผมว่า 3-5 ปี แต่หลายๆคนก็มองว่าอีกสัก 10 ปี แต่แน่นอนยิ่งรู้ช้ายิ่งซื้อแพง
5 ดูจากคอมเม้นแล้ว บิทคอยยังอยู่สถานะที่ใหม่มากๆ คนทั่วไปยังคงกลัวและไม่เข้าใจมันอยู่ แต่สิ่งนี้จะเป็นไม่ได้อีกไม่นาน
เพราะความจริงมันช้าเสมอ
#siamstr #btc #bitcoin #เงินเฟ้อ #ความจน
คนไทยครึ่งประเทศ "เสี่ยงจน"ภัยเงียบของเงินเฟ้อ ที่ไม่มีใครบอก - sats and sound EP30
https://youtu.be/_MyNk04-4CA
ผมได้ไปดูคลิปของรายการ ตรงประเด็น เป็นรายการน่าสนใจของช่อง The Active
เป็นช่องที่ทำ สารคดี "คนจนเมือง" ทั้ง 5 ซีซันของ Thai PBS
ที่บอกเล่าถึงเรื่องของคนจน หลายสิบครอบครัว บุคคลหลักร้อยคน
ในคลิปจะเล่าถึงการจัดนิทรรศการ บทสรุป สารคดี คนจนเมือง ที่ทำกันมากว่า 5 ปี
จัดขึ้นที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ใครสนใจไปดูได้
เมื่อดูคลิปนี้จบ ประเด็นที่ผมสรุปออกมาได้มีดังนี้
- คนไทยมี 70 ล้านคน มีคนจน กว่า 7 ล้านคน
- เส้นความยากจนที่ 3,034 บาทต่อเดือน (ประมาณ 101 บาทต่อวัน) ไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตในเมือง
- สิ่งที่น่ากลัวคือมีคน "เสี่ยงจน" สูงถึง 24 ล้านคน เท่ากับว่า 34% ของคนไทยเลยนะ
ถ้ารวมคนสองกลุ่มนี้เท่ากับว่า คนไทยเกือบครึ่งประเทศ เสี่ยงจน
- ปัญหาคนจนนั้นแก้ยากมาก เพราะเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและเรื้อรังมานาน
ทางรายการได้กลับไปติดตามชีวิตของคนที่เคยอยู่ในสารคดี 5 ปีผ่านไป ทุกคนยังจนเหมือนเดิม
ใช้ชีวิตไปวันๆ บางคนลำบากกว่าเดิมอีก จนต่อๆกันไปเป็นรุ่นสู่รุ่น
เป็นวงเวียนที่ดูไม่เห็นแสงสว่างเลย
- พอมีเงินไม่พอใช้ในชีวิตประจำวัน ทำให้เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา ทำงานใช้แรง พ่อแม่ที่ลำบาก
ก็ทำงานแบบ หาเช้ากินเช้า คำนี้น่ากลัวมากนะ มื้อไหนหาเงินไม่ได้ไม่มีกิน
- นโยบายทางการเมือง 20 ปีที่ผ่านมาที่ไม่ว่าจะรัฐบาลไหน ก็จะมีวาทะกรรมที่จะช่วยเหลือความยากจนแต่สุดท้ายมันก็แก้ไขอะไรไม่ได้เลย
วิธีแก้
- ต้องหารายได้เพิ่มขึ้น
ข้อนี้อาจจะเหมือนกําปั้นทุบดิน แต่เป็นความจริงที่เลี่ยงไม่ได้ ถ้าไม่อยากจน ยังไงก็ต้องหารายได้เพิ่ม
เราอาจจะไม่ได้มีทางเลือกมากนัก หาเงินได้ทําไว้ก่อน แต่ขอเป็นงานสุจริตนะครับ
- ต้องรู้จักเงินเฟ้อ
คนส่วนใหญ่ ไม่ว่ารวยหรือจน ยังไม่เข้าใจสิ่งชั่วร้ายที่การพิมพ์เงินและเงินเฟ้อทํากับพวกเราทุกคนมาตลอดเวลา 54 ปี
เงินเฟียตที่เราใช้กันอยู่ทุกวันมันเสื่อมค่าลง ทําให้ข้าวของต่างๆแพงขึ้นตลอดเวลา และจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ
ยิ่งเราเป็นคนหาเงินได้น้อย เงินเก็บเราน้อย ดังนั้นจะต้องเก็บในสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่าลง
เช่น ทองคํา หรือ บิทคอย ผมเชื่อว่ารู้แค่นี้คุณจะรวยขึ้น
- จัดการเงิน ทํารายรับ รายจ่าย ต้องเป้าต้องออมเงินทุกเดือนให้ได้
ถึงจะหาเช้ากินเช้า แต่ข้อนี้จะทําให้เรา รู้ว่าเราหาเงินได้เท่าไหร่ ใช้จ่ายอะไรไปบ้าง เมื่อเราเห็นตัวเลข
มันจะทําให้เราขยันขึ้น ไม่ว่าจะหาเงินเพิ่มแม้เพียงเล็กน้อย หรือ ประหยัดทุกทาง
พอประหยัดก็ออมให้ได้
- งดเหล้า บุหรี่ งดซื้อหวย
ลดค่าใช้จ่ายไร้สาระที่ไม่จําเป็นออกไปให้หมด ตัดได้ตัด การซื้อหวยโอกาสถูกเปลี่ยนชีวิต น้อยยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร บางคนซื้อทั้งชีวิต อาจจะเคยถูกบ้าง แต่สุดท้ายก็เอาไปซื้อหวยหมด ดังนั้นเลิกซื้อเอาเงิน 80 บาทนั้นมาเก็บออมดีกว่า
- โฟกัสการออมในสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่าอย่าง บิทคอย
ไม่ว่าจะออมแค่ 50 หรือ 100 บาท อย่าดูถูกเงินออมก้อนนี้ การเริ่มสร้างวินัยทางการเงิน มันเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งดีๆที่จะเข้ามาในชีวิต สร้างพลังบวก
- ศึกษาบิทคอยเพิ่มเติม
ข้อนี้จะทําให้คุณได้เห็นมุมมองโลกใหม่ เมื่อลงหลุมกระต่ายคุณจะเป็นคนใหม่ที่ดีขึ้น
สรุป
1 เงินมันเสื่อมค่าจากการพิมพ์เงินและเงินเฟ้อ โดยไม่มีใครหยุดได้ ไม่ว่าคนรวย คนจน ก็จะจนลง ถ้าไม่รู้จักเงินเฟ้อ
2 จัดการเงินเฟ้อด้วยการออมเงินของเราในสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่าอย่างบิทคอย หรือทองคํา
3 เงินที่เราออม ห้ามถอนออกมาใช้เด็ดขาด เพราะถ้าออมไม่นานพอ คุณจะไม่เห็นผลของลัพธ์ของมัน
4 กว่าจะออมได้ เราต้อง ทำรายรับรายจ่าย บันทึกการออม จะทําให้คุณรู้ว่าเงินหมดไปกับอะไร ยิ่งคนจน เงินน้อย รวมกับการศึกษาบิทคอยและเงินเฟ้อ มันจะทําให้คุณมีพลังในการหาเงินเพิ่ม เพื่อมาออมในบิทคอยเพื่ออนาคต
5 ออมได้ทีละ 50 บาท 100 บาท อย่าไปดูถูก มันเป็นการเริ่มต้นที่ดี
6 อย่าคาดหวังในรัฐบาลหรือคนอื่นมาช่วยเหลือ เพราะในความจริงแล้ว ไม่มีใครช่วยคุณได้นอกจากตัวคุณเอง
ไม่ว่าคุณจะรวย จะจน หรือ เสี่ยงจน
เงินเฟ้อก็จะกัดกินคุณอยู่ดี ดังนั้นกําจัดมันซะ
เงินเฟียตมีแค่จ่ายต่อเดือนก็พอ ที่เหลือโยกไปออมในบิทคอยหรือทองคํา
อย่ารอการช่วยเหลือจากภาครัฐที่ไม่ทั่วถึง
เริ่มศึกษา เก็บออมอย่างถูกที่ในวันนี้
ผมเชื่อว่าอีก 5-10 ปี คุณจะกลายเป็นคนที่ รวยขึ้นแบบยั่งยืน
#siamstr #btc #bitcoin #คนจน #คนไทย #ปัญหาคนจน #เงินเฟ้อ