"ไม่ถือ บิทคอย ไม่ใช่ไม่รวย แต่การันตีเลยว่าจนแน่ๆ"พูดเบาๆ แต่ทัวร์ลงฉ่ำ - sats and sound EP31
ประโยคนี้ อาจารย์พิริยะ ได้กล่าวในรายการ เรื่องเล่าดอยนี้ EP.69
โดย เพจ Bitcoin Addict Thailand ได้โพสเพื่อเป็นการ PR ให้เข้าไปฟังรายการกัน
ผมในฐานะบิทคอยเนอร์ ฟังแล้วก็เข้าใจว่าอาจารย์หมายถึงอะไร แต่ ประโยคนี้มันดันไป
กระทบชาวเน็ตบางกลุ่ม ที่ทําให้เกิดการถกเถียงอย่างดุเด็ดในเพจ แค่ 2 วันคอมเม้นเป็นร้อยแล้ว
วันนี้ผมจะมาสรุปประเด็นความคิดเห็น รวมถึง ภาพรวมของความเข้าใจของชาวเน็ตไทยเกี่ยวกับบิทคอยและเงินเฟ้อกันนะครับ
เริ่มจากคําพูดต้นเรื่องก่อน
"ไม่ถือ บิทคอย ไม่ใช่ไม่รวย แต่การันตีเลยว่าจนแน่ๆ"
- มันเป็นการเน้นย้ำถึงแนวคิดที่ว่า การไม่ถือ Bitcoin ในระยะยาวจะนำไปสู่ความยากจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงภาวะเงินเฟ้อและการเสื่อมค่าของเงิน Fiat (เงินกระดาษ)
- มุมมองนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ Bitcoiner ที่มองว่า Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่รักษามูลค่าที่แท้จริง ซึ่งสินทรัพย์อื่นๆ จะมีมูลค่าลดลงเมื่อเทียบกับ Bitcoin
จนลงหมายถึงเงินในมือจะเสื่อมค่าลง และอํานาจการจับจ่ายจะลดลงนั่นเอง
ดูง่ายๆก่อนโควิดกับหลังโควิดที่พิมเงิน และเงินเฟ้อฉ่ำ ของแพงขึ้นใช่มั้ย นั่นแหละความหมายของอาจารย์พิริยะ
แต่ว่าด้วยข้อความสั้นๆนี้บางคนที่ไม่เข้าใจก็เข้ามาเม้นดุเดือดมากมายเลย
จากคอมเมนเป็นร้อยเม้นแบ่งกลุ่มคนออกเป็น 2 กลุ่มคือ
1 กลุ่มที่เห็นด้วยและสนับสนุน Bitcoin (คอมเม้น 25%)
กลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ถือครอง Bitcoin อยู่แล้ว หรือมีความเข้าใจในปรัชญาของ Bitcoin อย่างลึกซึ้ง พวกเขามองว่าคำกล่าวของอาจารย์พิริยะเป็นความจริงที่หลายคนยังไม่เข้าใจ และสะท้อนถึงอนาคตทางการเงินที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป
2 กลุ่มที่ไม่เห็นด้วยและวิพากษ์วิจารณ์ ( คอมเม้น 75%)
กลุ่มนี้ส่วนใหญ่ตั้งคำถามถึงความสุดโต่งของคำกล่าว และมองว่าถ้าไม่ถือ Bitcoin แล้วการันตีความจน เป็นความคิดที่คับแคบและบิดเบือนความเป็นจริง
ทัวร์จะมันขนาดไหนมาดูกัน เริ่มที่กลุ่มแรกคือ
1 กลุ่มที่เห็นด้วยและสนับสนุน Bitcoin
1.1 Bitcoin คือทางรอดจากเงินเฟ้อ
- หลายคอมเมนต์มองว่าการถือเงิน Fiat เฉยๆ คือความจนที่แท้จริง เพราะเงินเฟ้อขึ้นทุกปี
- Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่มีจำนวนจำกัด ทำให้มูลค่าเพิ่มขึ้นในระยะยาว
1.2 กาลเวลาจะพิสูจน์
- มีความเชื่อมั่นว่าในอนาคตผู้ที่ไม่ถือ Bitcoin จะเสียดายที่ไม่ได้ซื้อตั้งแต่แรก อารมณ์รู้งี้
- ราคา Bitcoin จะยังคงพุ่งขึ้นอีกไกล
1.3 ประสบการณ์ตรงจากการลงทุน
- บางคนเล่าประสบการณ์การลงทุนใน Bitcoin ที่ให้ผลตอบแทนสูง
1.4 ความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้
- การที่คนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจ Bitcoin แสดงให้เห็นว่ายังมีโอกาสในการออมอีกมาก
- ผู้ที่ต้องการหลุดพ้นจากวงจรเงินเฟ้อควรศึกษาเรื่องนี้
1.5 Bitcoin ไม่เกี่ยวกับอาชญากรรม
- มีการโต้แย้งว่าการโดนจับไม่ได้เกี่ยวกับตัว Bitcoin แต่ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้
คอมเม้นสนับสนุน จากบิทคอยเนอร์ ก็จะเป็นสิ่งที่รู้กันอยู่แล้วเพราะข้อโต้แย้งต่างๆ
ก็เคยมีคนให้คําตอบหรือไขความกระจ่างไปแล้ว
2 กลุ่มที่ไม่เห็นด้วยและวิพากษ์วิจารณ์
2.1 มีสินทรัพย์อื่นที่ทำให้รวยได้
- ผู้คนจำนวนมากชี้ให้เห็นว่าคนรวยระดับโลกอย่าง Warren Buffett หรือ Bill Gates ไม่ได้รวยจาก Bitcoin
- ยังมีสินทรัพย์อื่นๆ อีกมากมายที่สามารถสร้างความมั่งคั่งได้ เช่น หุ้น ทองคำ อสังหาริมทรัพย์
2.2 ความไม่มั่นคงและความเสี่ยงสูง
- หลายคนมองว่า Bitcoin มีความผันผวนสูง ไม่เสถียร ไม่มีอะไรอ้างอิงมูลค่าที่ชัดเจน
- เป็นเงินจากอากาศ
- ยังกังวลเรื่องการถูกแฮกและปัญหาทางเทคนิคอื่นๆ เน็ตล่มทั้งโลกจะทําไง เกิดสงครามบิทคอยกินไม่ได้
2.3 คำพูดเกินจริง/ปั่นราคา
- บางส่วนมองว่าอาจารย์พิริยะพูดเกินจริงและมีเจตนาปั่นราคา ฟิลลิ่งล่อเม่าให้เข้าไปซื้อราคาแพงๆ
- โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดในช่วงที่ราคา Bitcoin ทำจุดสูงสุด (All-Time High)
- ตัวเองถือเยอะ คนเข้าที่หลังก็ไม่มีทางรวย ตามไม่ทัน
2.4 การใช้งานในชีวิตประจำวัน
- ข้อโต้แย้งสำคัญคือ Bitcoin ยังไม่สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง เช่น ซื้อข้าวแกง หรือใช้ในร้านค้าทั่วไป
ข้อนี้เทียบกับพร้อมเพย์ มันยังไม่สะดวกเท่า แต่การใช้บิทคอยผ่าน lightning network มากขึ้นเรื่อยๆนะ
2.5 ขาดการรับรองจากรัฐบาลและปัญหาทางกฎหมาย
- ยังมีการตั้งคำถามถึงความชอบธรรมของ Bitcoin ที่ไม่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลส่วนใหญ่
- ปัญหาเรื่องการเสียภาษี
- บิทคอยมีการพูดถึงการเชื่อมโยงกับกิจกรรมผิดกฎหมาย
เงินที่รัฐคุมไม่ได้ มันดีขนาดไหนรู้มั้ย คุณจะเป็นอิสระอย่างแท้จริงไงหล่ะ
จะฟอกเงินผ่านบิทคอยมันยากนะ เพราะมันตามเส้นทางการเงินได้หมด
2.6 มุมมองเชิงเทรดดิ้ง vs การถือระยะยาว
- บางคนมองว่า Bitcoin เป็นเพียงสินทรัพย์หนึ่งที่ใช้ในการเทรด เก็งกำไร ไม่ใช่การถือเพื่อความมั่งคั่งระยะยาว
ซึ่งตรรกะมันไม่ค่อย make sense
สรุปประเด็นในวันนี้
ในฐานะผมเป็นคนกลุ่มที่เชื่อในบิทคอยและสะสมบิทคอย มันแสดงให้เห็นว่า คนไทยหลายคนยังไม่ค่อยเข้าใจ
เรื่องบิทคอยและความน่ากลัวของเงินเฟ้อ ยังมีความคิดแบบระบบเฟียต
1 คนส่วนใหญ่ยังอยู่ในวังวนของเงินเฟียต มายเซ็ตแบบเฟียตๆ ไม่เข้าใจ Cantillon Effect มีคอมเม้นนึงที่ยกตัวอย่างคนรํ่ารวย อย่างบิลเกต วอเรน บัพเฟต ที่เข้าใจและอยู่ใกล้แหล่งพิมเงินมาอ้างว่า คนพวกนี้ไม่ถือบิทคอยแต่เขารวยมากๆ
2 หลายคนไม่เข้าใจระบบการเงินโลก ไม่เข้าใจวังวนของการพิมเงิน ไม่รู้ว่าหุ้นที่ตัวเองถือ โตเพราะเงินเฟ้อ ไม่ใช่โตเพราะ productivity บางคน net worth เพิ่มจริงแต่ไม่รู้เลยว่า 7%ทบต้นที่ได้คือมาจากเงินเฟ้อ กับดักจากเงินเฟียตที่ไม่รู้ตัวนี่แหละจะทําให้คุณจนลงแบบไม่รู้ตัว
3 มีความคิดแบบ High Time Preference เช่นบางคนคิดว่า การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากๆ ได้เงินเร็วๆ ดีกว่าบิทคอย
ในบางคนที่ไม่เห็นด้วยบางคนก็มีทองคําติดพอร์ต ซึ่งมันก็ต้านเงินเฟ้อได้เหมือนกัน นักลงทุนระบบเงินเฟียตเขาจะแนะนําถือทอง 5-10% ที่เหลือกระจายไปหุ้น กองทุน อื่นๆกันหมด
ถ้าไม่เข้าใจข้อ 3 นี้คุณจะฟังคําพูดอาจารย์ตั้มแล้วปฏิเสธทันที
เหมือนกับหลายๆคอมเม้นที่ไม่เห็นด้วย บางคนใช้ถ่อยคำหยาบคายมากด้วย เห็นต่างได้แต่ไม่จําเป็นต้องถ่อยนะครับ
ที่ผมกล้าพูดแบบนี้เพราะ ผมเป็นมาก่อน ทั้ง 3 ข้อที่พูดมาเลย
อาจารย์ตั้มแกเคยพูดว่า โลกใน Nostr คือทุ่งลาเวนเดอร์ ทุกคนน่ารักหมด แต่โลกความจริงคือในเฟสบุ๊คครับโหดมาก
แกก็น่าจะโดนมาเยอะ
ก่อนลากันสิ่งที่ได้จากการทําคอนเท้นนี้คือ
1 บิทคอยไม่ได้มีไว้สําหรับทุกคน ดังนั้นคนที่ยังไม่ศึกษาหรือปฏิเสธก็เป็นเรื่องของเขา
เราไปเปลี่ยนความคิดใครไม่ได้
2 บิทคอยไม่ได้เหมาะกับทุกคน ใครถนัดออมอย่างอื่นที่ต้านเงินเฟ้อได้ก็ดีเหมือนกัน เช่นทองคํา อสังหาฯ* หุ้น(ชนะเงินเฟ้อ)**
3 ตัวผมเองที่เปลี่ยนความคิดได้เพราะโดนระบบเฟียตทําร้ายมาก่อน แล้วหาวิธีแก้จนมาเจอบิทคอยที่เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนชีวิตผมไปเลย
4 ข้อนี้อาจจะเห็นแก่ตัวแต่ผมมองว่า ยังมีคนไม่รู้อีกเยอะมากเลย นั่นหมายความว่า เรายังมีเวลา Stack sats
กันอยู่นะครับ ผมว่า 3-5 ปี แต่หลายๆคนก็มองว่าอีกสัก 10 ปี แต่แน่นอนยิ่งรู้ช้ายิ่งซื้อแพง
5 ดูจากคอมเม้นแล้ว บิทคอยยังอยู่สถานะที่ใหม่มากๆ คนทั่วไปยังคงกลัวและไม่เข้าใจมันอยู่ แต่สิ่งนี้จะเป็นไม่ได้อีกไม่นาน
เพราะความจริงมันช้าเสมอ
#siamstr #btc #bitcoin #เงินเฟ้อ #ความจน
Login to reply