ความเสี่ยง ของ Bitcoin พูดความจริงแบบไม่กาว - sats and sound EP32
ช่องผมเป็นช่องพูดเนื้อหาเกี่ยวกับบิทคอย ทําให้บางคนอาจจะคิดว่า คงจะเสนอแต่ด้านบวกเท่านั้น
วันนี้จะมาพูดถึงความเสี่ยงของบิทคอย ที่มีโอกาสเกิดขึ้น พร้อมกับวิธีรับมือแบบไม่กาว ไม่ Bias
ผมคิดว่าเรื่องนี้ คนที่ถือบิทคอยควรจะรู้ไว้ เพราะบิทคอยเราจะถือกันในระยะยาว ดังนั้นอะไรที่อาจจะเป็นความเสี่ยงพวกเราต้องรู้ไว้ก่อน
วันนี้มี 7 ความเสี่ยงมาให้ดูกัน
1. คอมพิวเตอร์ควอนตัม (Quantum Computers)
- การเข้ารหัสของ Bitcoin อาศัยหลักการทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Public Key Cryptography (Elliptic Curve Digital Signature Algorithm - ECDSA) ซึ่งปัจจุบันถือว่าปลอดภัยโคตร
- คอมพิวเตอร์ในยุคนี้ไม่สามารถเจาะการเข้ารหัสได้
- แต่ทฤษฎีระบุว่าคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่มีความสามารถสูงในอนาคต (โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วย Shor's Algorithm)
อาจสามารถถอดรหัส Private Key จาก Public Key ได้ ซึ่งจะทำให้การเซ็นธุรกรรมและรักษาความเป็นเจ้าของ Bitcoin กลายเป็นช่องโหว่ร้ายแรง ทําได้เมื่อไหร่บิทคอยจะไม่มีค่าอีกเลย
สถานะปัจจุบันและการรับมือ
- ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ควอนตัมยังอยู่ในระยะเริ่มต้นของการพัฒนา มีจำนวนคิวบิตจำกัดและยังไม่สามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนในลักษณะที่คุกคาม Bitcoin ได้
- ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าอาจใช้เวลาอีกหลายทศวรรษ (เช่น 10-50 ปี) ก่อนที่เทคโนโลยีนี้จะก้าวหน้าพอที่จะเป็นภัยคุกคามที่แท้จริง ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นไม่ค่อยน่ากังวล ถ้าจะแฮกไปแฮกระบบธนาคารง่ายกว่าเยอะครับ ไม่ต้องมานั่งสุ่มเลขถอดรหัสอยู่
- ชุมชนนักพัฒนา Bitcoin และนักวิทยาศาสตร์ด้านการเข้ารหัสทั่วโลกกำลังวิจัยและพัฒนา "การเข้ารหัสแบบทนทานต่อควอนตัม" (Quantum-Resistant Cryptography หรือ Post-Quantum Cryptography - PQC) ซึ่งเป็นอัลกอริทึมเข้ารหัสใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อต้านทานการโจมตีจากคอมพิวเตอร์ควอนตัม เมื่อเทคโนโลยีเหล่านี้พร้อมใช้ จะมีการอัปเดตโปรโตคอลของ Bitcoin เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยในอนาคต
ควอนตัมมาจริง แต่กว่าจะถึงวันนั้น บิทคอยก็มีเทคโนโลยีรองรับควอนตัมไปแล้วครับ
2. การโจมตี 51% (51% Attack)
- การโจมตี 51% เกิดขึ้นเมื่อผู้ขุดเพียงคนเดียวหรือกลุ่มผู้ขุดรวมกันสามารถควบคุม "พลังประมวลผล" (Hash Rate) ของเครือข่าย Bitcoin ได้มากกว่า 50%
ทำให้พวกเขามีอำนาจในการ:
- อนุมัติธุรกรรมที่ขัดแย้งกับกฎ (แต่ไม่สามารถสร้าง Bitcoin ใหม่ หรือขโมย Bitcoin ที่ไม่ได้เป็นของตนเองได้)
- ปฏิเสธการยืนยันธุรกรรมจากผู้ใช้อื่น
- ย้อนกลับธุรกรรมของตนเองที่เคยส่งไปแล้ว (Double Spending) ซึ่งเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อความน่าเชื่อถือของเครือข่าย
การโจมตีแบบนี้มันแก้ได้เฉพาะธุรกรรมของเราเองนะ ไม่สามารถไปแก้ไขข้อมูลส่วนอื่นๆในบล็อคเชนได้ตามใจ
51% Attack ในทางปฏิบัติก็ทํายากมากๆเหมือนกัน
ความเป็นไปได้และการรับมือ
- การโจมตีมันได้ไม่คุ้มเสียนะ เครือข่าย Bitcoin มีพลังประมวลผลรวมกันมหาศาล (ณ ปัจจุบัน Hash Rate สูงมาก
941.55 ล้าน TH/s )
- การจะควบคุม 51% ของพลังงานทั้งหมดต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมหาศาลในการซื้อเครื่องขุด ASIC และค่าไฟฟ้าในการดำเนินการ ซึ่งไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ
- บิทคอยออกแบบมาให้รางวัลผู้ที่เล่นตามกฏ และไม่ยอมรับคนโกง สมมติว่าถ้าเข้าทำ 51% Attack ได้จริง
ชุมชน Bitcoin สามารถรวมตัวกันเพื่อเปลี่ยนแปลงโปรโตคอล (Hard Fork) เพื่อแยกตัวออกจากส่วนที่ถูกควบคุมได้
บิทคอยที่โกงมาได้ก็จะไร้มูลค่าทันทีเพราะมันไม่ปลอดภัยอีกต่อไป ดังนั้นเงินมหาศาลที่ทุ่มไปก็จะไร้ค่าไปเปล่าๆ
โกงไปยังไงก็ไม่คุ้ม ทําตามกฏดีกว่า
- กฎถูกออกแบบมาให้ทุกคนร่วมมือกัน แต่ไม่ต้องเชื่อใจกัน ไอเดียนี้โคตรของความเจ๋ง เครือข่ายการขุด Bitcoin กระจายตัวไปทั่วโลกในกลุ่มผู้ขุดและพูลการขุดจำนวนมาก ทำให้ยากที่จะรวมศูนย์พลังงานขนาดใหญ่ได้ ใครอยู่ในชุมชนบิทคอยเนอร์จะเข้าใจข้อนี้ ทุกคนไม่เชื่อใจกันและพร้อมจะตรวจสอบกันอยู่ตลอดเวลา เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง
- แถมให้อีกข้อเรื่อง บิทคอย2 หลายคนคิดว่า เดี๋ยวก็มีบิทคอย 2 ออกมา บิทคอย 1 ก็คงตายไปเอง
ด้วยระบบการทํางานร่วมกัน ระหว่าง คนขุด คนรันโหนด คนใช้งาน ทุกกลุ่ม ตรวจสอบกันตลอดเวลา มีระบบที่แข็งแกร่ง และยืนระยะมานานมากพอนี่แหละ ที่ทําให้บิทคอย 2 ไม่เกิด เพราะในช่วงแรกที่ระบบอ่อนแอ การทําลายบิทคอยมันง่ายมากเพราะโหนดมันน้อย จะจะทํา 51% Attack ถ้าทํามันก็ทําได้ แต่ตอนนี้ทําไม่ได้แล้ว เพราะระบบมันแข็งแกร่งมากๆแล้ว
- ตอนนี้มีโหนดอยู่ 20000-200000 โหนดทั่วโลก บางทีก็เป็นโหนดไม่เปิดเผยข้อมูลด้วย ทุกคนที่รันโหนดเพื่อรักษาและปกป้องบิทคอยที่ตัวเองถืออยู่ ความแข็งแกร่งจริงๆของบิทคอยไม่ใช่ระบบบล็อคเชนนะ แต่คือ การรันโหนดจากผุ้คนจํานวนมากที่มีฉันทามติเดียวกันเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเองนี่แหละ บอกเลย ซาโตชิโครตจีเนียส
ตราบใดที่คุณไม่มีพลังจิตที่ทําให้คนอื่นทําตามใจคุณได้ บิทคอยจะไม่พังเพราะเหตุผล 51% Attack
3. ข้อผิดพลาดของซอฟต์แวร์ (Software Bugs)
- เช่นเดียวกับซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อนอื่นๆ โค้ดของ Bitcoin (Bitcoin Core) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของโปรโตคอล อาจมีข้อผิดพลาด (bugs) หรือช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่อาจนำไปสู่ปัญหา เช่น การสร้าง Bitcoin เกินจำนวน การทำงานผิดปกติของธุรกรรม หรือการถูกโจมตีทางไซเบอร์ อันนี้พูดถึง ซอฟแวร์ที่ใช้รันโหนดนะ ตัวโค้ดหลักของบิทคอยเองไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
การรับมือ
- Open-Source และ Peer Review
โค้ดของ Bitcoin เป็นแบบ Open-Source ซึ่งหมายความว่านักพัฒนาและผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทั่วโลกสามารถตรวจสอบ ตรวจจับ และแก้ไขข้อผิดพลาดได้อย่างเปิดเผย ทำให้เกิดกระบวนการ Peer Review ที่แข็งแกร่ง
- มีการทดสอบอย่างเข้มงวด การเปลี่ยนแปลงโค้ดใดๆ จะต้องผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวดและรอบด้านก่อนที่จะนำมาใช้งานจริงในเครือข่าย เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดข้อผิดพลาดร้ายแรง เหมือนในอดีตที่มีคนแก้โค้ดให้บิทคอยผลิตได้เกิน 21 ล้านเหรียญ สุดท้ายพอคอมมูรู้ก็ทำการแก้จุดอ่อนตรงนี้ ส่วนบิทคอยที่ถูกเสกเพิ่มมาโดยไม่ทําตามกฏ ก็ไม่มีโหนดไหนยอมรับธุรกรรมที่เกิดขึ้น สุดท้ายธุรกรรมนั้นก็ไร้ค่าไปหมด
- ชุมชนนักพัฒนาจะคอยตรวจสอบและออกแพทช์เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดหรือช่องโหว่ที่ค้นพบอย่างรวดเร็ว ซอฟแวร์รันโหนดจริงๆมีอีกหลายตัว ซึ่งผู้รันโหนดสามารถเลือกรันตัวไหนก็ได้ที่ตัวเองรู้สึกโอเค ถ้าอัพเดทแล้วไม่ชอบก็เปลี่ยนซอฟแวร์ได้ทันที
4. Blockchain Bloat
- Blockchain Bloat หมายถึงขนาดของบล็อกเชน Bitcoin ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อมีการเพิ่มบล็อกและธุรกรรมใหม่ๆ เข้าไป ซึ่งอาจทำให้การดาวน์โหลด จัดเก็บ และรัน Full Node ของ Bitcoin (ซึ่งมีความสำคัญต่อการกระจายอำนาจ) ทำได้ยากขึ้นสำหรับผู้ใช้ทั่วไป เนื่องจากต้องใช้พื้นที่จัดเก็บข้อมูลและแบนด์วิดท์มากขึ้น
การรับมือ
- SegWit (Segregated Witness) การอัปเดตโปรโตคอลนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บข้อมูลในแต่ละบล็อก ทำให้สามารถบรรจุธุรกรรมได้มากขึ้นโดยไม่เพิ่มขนาดบล็อกเกินจำเป็น
- โซลูชัน Layer 2 (เช่น Lightning Network): เครือข่าย Lightning เป็น "Layer 2" ที่สร้างขึ้นบน Bitcoin blockchain ช่วยให้สามารถทำธุรกรรมขนาดเล็กจำนวนมาก "นอกเครือข่ายหลัก" (Off-Chain) และบันทึกเฉพาะผลรวมสุทธิลงบนบล็อกเชนหลัก ซึ่งช่วยลดภาระของเครือข่ายหลักได้อย่างมาก
- มีการพัฒนาเทคนิคต่างๆ เพื่อช่วยบีบอัดข้อมูลบล็อกเชน ทำให้การจัดเก็บมีประสิทธิภาพมากขึ้น
5. สกุลเงินดิจิทัลคู่แข่ง (Competing Cryptocurrencies)
มีสกุลเงินดิจิทัลจำนวนมาก (Altcoins) ที่พยายามนำเสนอคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เช่น ความเร็วในการทำธุรกรรมที่สูงขึ้น (เช่น Solana), ค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่า (เช่น Litecoin), หรือความสามารถในการรองรับ Smart Contracts (เช่น Ethereum) ซึ่งอาจดึงดูดนักลงทุนและผู้ใช้งานบางกลุ่มไปจาก Bitcoin
จุดแข็งของ Bitcoin ในการแข่งขัน
- ความปลอดภัยและกระจายอำนาจสูงสุด: Bitcoin ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นเครือข่ายที่ปลอดภัยและกระจายอำนาจมากที่สุด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ "ความเป็นเงิน" ที่เชื่อถือได้
- Store of Value: การออกแบบของ Bitcoin เน้นความหายากและคุณสมบัติที่ไม่ถูกแทรกแซง ทำให้มันเป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่งที่สุดสำหรับการเป็น "แหล่งเก็บมูลค่า" ระยะยาว
ถ้าคุณหนีเงินเฟียตมาแล้วถือ Altcoin อยากบอกว่ามันไม่ได้ต่างกันเลยครับ เพราะมีระบบรวมศูนย์ มีนักลงทุน
ดังนั้น ต้องการถือสินทรัพย์ที่มี Store of Value ยังไงก็ต้องบิทคอยครับ
- ผลกระทบของเครือข่าย (Network Effect Bitcoin มีชุมชนผู้ใช้ นักพัฒนา และโครงสร้างพื้นฐานที่ใหญ่ที่สุดและเป็นที่ยอมรับมากที่สุดในโลกคริปโต
- การยอมรับในระดับสถาบัน สถาบันการเงินและบริษัทขนาดใหญ่จำนวนมากได้เริ่มยอมรับและลงทุนใน Bitcoin มากกว่า Altcoins ส่วนใหญ่
ผมคิดว่าวัตถุประสงค์ของคนที่ถือ BTC หรือ Alt Coin ไม่เหมือนกัน เอามาเทียบความเสี่ยงกันได้ยาก
6. สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC - Central Bank Digital Currencies)
CBDC เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ออกและควบคุมโดยธนาคารกลางของประเทศ ซึ่งแตกต่างจาก Bitcoin ตรงที่มันเป็น "รวมศูนย์" และ "มีผู้ดูแล" รัฐบาลหรือธนาคารกลางจะสามารถควบคุมการไหลเวียนของเงิน ตรวจสอบธุรกรรมทั้งหมด และอาจถึงขั้นระงับบัญชีหรือตั้งเงื่อนไขการใช้จ่ายได้ ซึ่งอาจจำกัดเสรีภาพทางการเงินและความเป็นส่วนตัวของประชาชน
ความแตกต่างกับ Bitcoin
- CBDC ถูกรวมศูนย์และควบคุมโดยรัฐบาล ในขณะที่ Bitcoin ถูกกระจายอำนาจและไม่มีหน่วยงานกลางควบคุม
- CBDC อาจเป็นระบบที่ตรวจสอบได้ทุกธุรกรรม ในขณะที่ Bitcoin ให้ความเป็นส่วนตัวในระดับที่สูงกว่า (แม้จะไม่ใช่การนิรนามสมบูรณ์)
- CBDC เปิดโอกาสให้รัฐบาลใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดและควบคุมได้มากขึ้น ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ในด้านการจัดการเศรษฐกิจ แต่ก็มีความเสี่ยงต่ออำนาจของประชาชนในการใช้เงินของตนเอง
CBDC มันคือเงินเฟียตที่ tokenize มาในรูปแบบดิจิตอล
ดังนั้น ถ้าหากต้องการหนีเงินเฟ้อยังไงก็ต้องถือบิทคอย
การถือ CBDC ไม่ต่างกับการถือเงินเฟียต
7. ความเสี่ยงในการดูแลตนเอง (Self-Custody Risks)
- เป็นความเสี่ยงที่ผมโฟกัสเพราะสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายที่สุด เกิดได้กับทุกคน
- การดูแล Bitcoin ด้วยตนเอง (Self-Custody) หมายถึงการที่คุณเป็นผู้ควบคุมคีย์ส่วนตัว (Private Key) ของกระเป๋าเงินดิจิทัลของคุณเองทั้งหมด หากคุณทำคีย์ส่วนตัวหาย ถูกขโมย หรือทำกระเป๋าเงินเสียหายโดยไม่มีการสำรองข้อมูลที่ถูกต้อง คุณจะสูญเสีย Bitcoin ไปอย่างถาวรโดยไม่มีทางกู้คืนได้ (ไม่ใช่หน่วยงานใดที่จะช่วยคุณได้)
ความสำคัญและการรับมือ
- ข้อนี้คือความเสี่ยงที่ผมโฟกัสที่สุด ที่พยายามเน้นยํ้าว่าให้ศึกษาแล้วเก็บแบบ self custody เพราะไหนๆเราจะหนีออกจากระบบเงินเฟียตแล้ว ก็ต้องเก็บบิทคอยด้วยตัวเอง ดังคําพูดที่ว่า not your key ,not your coin.
- ผู้ใช้ต้องมีความเข้าใจในการจัดการคีย์ส่วนตัว การสำรองข้อมูลอย่างปลอดภัย (เช่น การใช้ Seed Phrase) และการใช้ฮาร์ดแวร์วอลเล็ต (Hardware Wallets) เพื่อเพิ่มความปลอดภัย
- เงินเราเราต้องรับผิดชอบเอง seed 12-24 คํา หลุดหรือหาย เท่ากับว่า บิทคอยทั้งหมดของคุณก็จะหายไปในพริบตาเช่นกัน
- การดูแลตนเองเป็นรากฐานสำคัญของปรัชญา Bitcoin ที่เน้นการเป็นเจ้าของและควบคุมเงินของคุณเองอย่างสมบูรณ์โดยไม่ต้องพึ่งพาบุคคลที่สาม (ธนาคารหรือผู้ให้บริการแลกเปลี่ยน) เราจะทําได้สมบรูณ์ถ้าเก็บบิทคอยด้วยตัวเองได้ ศึกษาให้มากๆผมเชื่อว่า มันไม่ได้ยากเกินไป
โลกนี้ไม่ได้มีอะไรยากนะครับ
มันมีแต่สิ่งที่เรา "เคยทํา" กับ "ไม่เคยทํา"
อะไรที่ทําจนเคยชินแล้วมันจะ "ง่าย" ขึ้นเอง
ดังนั้นความเสี่ยงเรื่องนี้มันลดได้ด้วยการศึกษาการเก็บบิทคอยที่ถูกต้อง
บทสรุป
1 บิทคอย ไม่ใช่เทคโนโลยีที่สมบูรณ์แบบและย่อมมีความเสี่ยง
2 ผมพยายามแสดงให้ดูว่า ความเสี่ยงแต่ละข้อที่เราคิด มันมีคําตอบอยู่แล้วว่า
มันไม่ได้เสี่ยงขนาดนั้น
3 บิทคอยก็มีข้อดีเป็นที่ประจักษ์มากมาย เช่น เป็นสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่า
ดังนั้นไม่มีเหตุผลที่จะไม่ถือบิทคอย
#siamstr #btc #bitcoin #ความเสี่ยง #ความจน
Login to reply