คอขวดแรกที่เถ่าแก่ผ่านกันไม่ค่อยได้คือ การมีลูกจ้าง สำหรับผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็นที่รู้กันดีว่าปัญหาหนักใจที่สุดในการดำเนินธุรกิจ ที่มีอยู่ตลอดและจะคงอยู่ต่อไปไม่ว่าขนาดไซส์ของกิจการคุณจะใหญ่แค่ไหน มันคือปัญหาเรื่อง”คน” ในวันที่คุณสร้าง POW อะไรซักอย่างมามากพอจนกลายเป็น product และมีคนเริ่มให้ค่ากับมันแล้ว คุณรู้ดีว่าคุณสามารถสร้างรายได้ได้แต่คุณไม่สามารถทำมันคนเดียวได้ คุณก็เลยเริ่มจ้างคนมาช่วยคุณทำงาน จากนั้นความวุ่ยวาย 108 ก็เกิดขึ้น พนักงานที่คุณเริ่มรับสมัครเข้ามา โดยส่วนใหญ่จะไม่กลับมาทำในวันที่สอง ที่กลับมาก็จะอยู่ได้ไม่เกินอาทิตย์ และที่เหลือทั้งหมดจะออกหลังจากรับเงินเดือน เดือนแรก คุณจะไม่สามารถคาดเดากำลังผลิตของคุณได้เลย เพราะเดี๋ยวก็มีคนช่วยเดี๋ยวก็ไม่มี หลังจากมีคนเข้าออกผ่านไปนับสิบ อาจจะมีซักคนที่พอจะทำงานกับเราได้ เราเริ่มสอนงานเค้ามากขึ้น เริ่มแบ่งเบางานได้มากขึ้น เริ่มกลายเป็นคนสำคัญขององค์กร แล้ววันนึงเค้าก็ลาออก… ออกไปเปิดเอง ได้ผัวรวย ถูกหวย พ่อไม่สบาย ต้องดูแลแม่ ปัญหาหาของพนักงานทั้งหมดแม่งกลายเป็นปัญหาของคุณทันที คนในครอบครัวพนักงานแทบจะกลายเป็นคนในครอบครัวเดียวกับคุณ ที่คุณต้องปวดหัวไปกับเค้าด้วย แล้วคุณก็ต้องเริ่มต้นนับ 1 กับกระบวนการหาพนักงานคนใหม่อีกครั้ง ยังไม่รวมปัญหาจุกจิกกวนใจ ประเภทพนักงานไม่ชอบหน้ากัน แอบจีบกัน กินแรงเพื่อน แอบอู้ ลักขโมย ไปจนถึงฉ้อโกงองค์กร ทั้งหมดมันไม่เกี่ยวกับโปรดักส์หรือบริการที่มาจาก POW ของคุณเลย แต่คุณต้องเอาเวลาและพลังงานมาจัดการกับเรื่องพวกนี้ มันชะลอ productivity ของคุณมาก เถ่าแก่ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ อาจจะเพราะเคยผ่านกระบวนการนี้มาหรือเคยได้ยินคนอื่นๆเล่าให้ฟังจนขยาดกับการมีพนักงาน บางคนไม่แม้กระทั่งเริ่มมีลูกจ้างคนแรกด้วยซ้ำ แม่ผมเริ่มทำขนมที่บ้านตั้งแต่ปี 40 โดยมีคุณพ่อเป็นลูกมือ ทำกันอยู่ 2 คนเป็นเวลาหลายปีมาก งานขนมเป็นงานที่หนัก ยิ่งช่วงปีใหม่นี่หนักมาก พ่อผมจำเป็นต้องนอนตี 2 ตื่นตี 4 แล้วทำขนมต่อไปจนถึงตี 2 อีกวันนึ ทำแบบนี้วนๆไปหลายวันในช่วงนั้น แล้วที่โหดร้ายก็คือ กำลังผลิตของ 2 คนที่ทำทั้งวันทั้งคืน ไม่สามารถสร้างรายได้พอเลี้ยงครอบครัวได้ ผมเคยถามอยู่บ่อยๆว่าทำไมไม่หาลูกจ้าง คำตอบก็จะวนๆไปแบบที่เราเคยได้ยินกัน “วุ่นวาย ไว้ใจไม่ได้ เดี๋ยวเข้าเดี๋ยวออก เราจ้างไม่ไหวหรอก ของเรามันก็แค่ขนม มันไม่ใหญ่โตอะไรขนาดนั้นได้หรอก” สุดท้ายพ่อก็ยอมหาคนมาช่วยนะ แต่ตลอด 10 กว่าปีที่ทำกันมา ไม่เคยมีพนักงานเกิน 1 คน และไม่เคยมีคนไหนอยู่ 3 เดือน ทางออกส่วนใหญ่ของเถ่าแก่คือ เอาคนในครอบครัวมาทำ เพราะคิดว่าควบคุมได้ ไว้ใจได้ หารู้ไม่ ปัญหาหนักกว่าเดิมอีก พนักงานยังไล่ออกได้ แต่พ่อลูกเลิกเป็นไม่ได้ ยิ่งถ้าใช้ระบบกงสีแล้ว สุดท้ายพังในไม่เกินรุ่นที่ 3 ยิ่งคนในกงสีเริ่มเยอะ แทนที่จะมีคนช่วยกันสร้าง productivity กลับกลายมีแต่คนช่วยกันใช้เงิน ไม่นานรายได้ของกงสีก็เลี้ยงคนทั้งหมดไม่ไหว อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิด จริงๆแล้วธุรกิจครอบครัวรวมถึงระบบกงสีเป็นระบบที่ผมซื้อไอเดียนี้มาก ความผิดพลาดไม่ได้อยู่ที่ตัวระบบ แต่อยู่ที่ผู้นำที่บริหารจัดการ ระบบนี้ควรจะดี เพราะมันเป็นไปได้มากกว่าที่คนในตระกูลจะมีความเชื่อร่วมกัน ช่วยกันพัฒนากิจการ มากกว่าที่จะต้องพึ่งพาคนนอก แต่ไม่ต่างจากการบริหารประเทศเลย ผู้นำส่วนใหญ่เลือกที่จะรวบรวมอำนาจเบ็ดเสร็จและผลประโยชน์ไว้กับตนเองแต่ฝ่ายเดียว มันมีทางเลือกไม่มากนักสำหรับคนที่เหลือในองค์กร จะเลือกเดินตามผู้นำแบบจำยอม ทั้งในมิติเรื่องรายได้ แนวความคิด การเติบโต หรือจะเลือกแยกตัวออกไปรับความเสี่ยงเองทั้งหมด ที่บ้านผมเองก็ไม่ต่างกันนัก หลังจากช่วยกันทำงานมา 4-5 ปี ครอบครัวผมเองเริ่มขยาย ลูกสาวผมเริ่มโตขึ้น ผมกำลังจะมีลูกคนที่สอง ต้องการค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น และกังวลเรื่องความมั่นคงของครอบครัวในอนาคต ผมพยามคุยไอเดียการเติบโตของร้านและการแบ่งสรรค่าใช้จ่ายให้กับคนในครอบครัวกับพ่อ และมันทำให้เราทะเลาะกันบ่อยมากกกก สุดท้ายก็คงเหมือนๆกับบ้านอื่น ผมต้องออกมาทำร้านของผมเองแบบและก็ออกมาไม่สวยเท่าไหร่นัก ปัญหาหลักของผู้นำครอบครัวรวมถึงองค์กรต่างๆก็คือไม่เข้าใจ game theory ไม่สร้าง skin in game ให้กับคนที่เข้ามาช่วยกันทำงาน จริงอยู่ว่า POW ที่พวกท่านสร้างมามันสร้าง value ให้กลับตลาดได้แล้ว แต่โดยวิธีคิดของเถ่าแก่ส่วนใหญ่ ไม่เปิดโอกาสให้คนรุ่นต่อไปเอา POW ของพวกเค้ามาต่อหาง มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีสายของ POW ที่ยาวขึ้น และสุดท้ายมันจะแพ้ให้องค์กรที่มีสาย POW ที่ยาวกว่า ผมโชคดีผ่านเรื่องนี้ไปได้เพราะได้พิสูจน์อะไรหลายๆอย่างให้ที่บ้านเห็น พร้อมๆกับพยามขายไอเดียเรื่องความเป็น unity อยู่ตลอดเวลา สิ่งที่แก้ไขปัญหาเรื่องนี้ของผมได้คือบริหารธุรกิจครอบครัวแบบบริษัท คือจดบริษัทกันจริงๆเลย ทุกคนมีสัดส่วนหุ้นที่ชัดเจน จัดส่งรายได้และเสียภาษีถูกต้องทั้งหมด ตัดเรื่องที่พี่น้องต้องมาทำงานกันด้วยความเชื่อใจออกไปได้เกือบหมด ผมสร้างระบบการจ่ายรายได้แก่พนักงานเป็นแบบปันผล ทำให้ทุกๆตำแหน่งต้องมี skin in the game กับงานที่ตัวเองรับผิดชอบ มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมกัน ปัญหาเรื่องคนที่ผมเล่ามาข้างต้นหายไปเกือบหมด(ไม่หมดหรอก แต่ดีขึ้นเยอะมาก) turn over ของพนักงานน้อยลงไปมาก ผมเหลือเวลาไปสร้าง POW ของผมได้อีกมากมาย ทำแบบนี้มันกำไรน้อยมาก แต่ยั่งยืนกว่า สบายใจกว่า “time preferences ของคุณต่ำแค่ไหนล่ะ” หวังว่าใครที่อยู่ใน position เดียวกับผม หรือกำลังเจอปัญหาคล้ายๆกับที่ผมเจอคงจะได้ไอเดียบ้าง อยากได้ละเอียดๆเจอกัน #east101 ผมเล่าได้ทุกเรื่อง ถามได้แบบไม่ต้องเกรงใจ GN Countdown 432 blocks left until #east101 #Siamstr image --- Wherostr | Duck Duck Go Maps | https://w3.do/Yia0wmO5 Google Maps | https://w3.do/ddcAvJxk

Replies (39)

ขอบคุณที่แชร์ประสบการณ์ให้ฟังครับ มันมีคุณค่ากับผมมากเลยครับ^3^
พี่เขียนดีมาก เป็นประโยชน์กับทุกๆ คน | โน๊ตนี้ผมจะไม่ขโมยซีนพี่ 555
Bosthai's avatar
Bosthai 2 years ago
มีลูกน้องดี ทีมดี เป็นศรีแกชีวิต ทุกวันนี้ผมแทบอยากจะกราบทีมงานตัวเองที่คัดมามากๆ ถึงมันจะมีเรื่องงี่เง่าบ้าง แต่เทียบกับValueที่พวกเขาทำให้กับร้านมันช่างคุ้มค่า #siamstr View quoted note →
Wooodyy's avatar
Wooodyy 2 years ago
เข้าใจเลยครับ family และ business 🫂
บทความดีมาก สะท้อนความเป็นจริงได้ดีมากๆครับ
ไม่ๆๆ ถ้า jakk รีโพส ผมถือเป็นเกียรติไม่ได้ขโมยซีน.. แถมได้ไอเดียเพิ่มกว่าเดิมเป็นประจำด้วย
ใช่ครับ ลูกน้องส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ว่าเรารักเค้าเหมือนคนในครอบครับ หลายๆครั้งพนักงานลาออก ความรู้เหมือนกับตอนอกหักเลย
อกหักใช่เลยครับ โดยเฉพาะคนที่เรากำลังปั้นเลยนะ
มันต้องได้เจอกันซักวันครับ “งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกลา แต่ meetup ไม่มีวันเลิกจัดครับ” 5555
ขอบคุณที่แชร์เรื่องราวดีๆ ผมก็เข้าใจนะพี่เครื่องพนักงานเข้าๆออกๆ ถึงผมจะไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการแต่ก็อยู่ในส่วนที่ได้รับผลกระทบจากคนที่เข้าออกบ่อย ทำให้เราต้องสอนงานพนักงานใหม่หรือบางทีการได้ลูกน้องใหม่้หมือนกับการสุ่มกาชาปองได้คนขยันพร้อมเรียนรู้มันก็ดีไปได้มาแบบสอนอะไรไม่เอาแอบหลบแอบอู้ มันทำให้ performance เราตกงานล้าช้าไม่ทันความต้องการของลูกค้าหรืออาจจะเกิดข้อผิดพลากในงานได้ 💪💪⚡⚡🥰🥰 #siamstr View quoted note →
ขอบคุณครับพี่ | ผมหยอกนะ พอดีผมติดงาน กะจะคอมเม้นท์อยู่แล้วล่ะ
เป็นไอเดียที่แจ่มมากครับ.. ให้ทุกคนที่ร่วมกันทำงานมีส่วนได้ส่วนเสียร่วมกัน 🌱😊
การมีลูกน้องดีเป็นลาบร้านลุงประเสริฐ แต่ถ้าเราเหี้ยกับเขาหรือบริหารแบบราชการ ใครมันจะไปอยู่ ปล. ใครจะมาสมัครงานท้อฟฟี่เค้ก คุณเลือกตำแหน่งอะไรก็ได้ เว้นแต่ตำแหน่งไข่ข้างซ้าย ผมจองแล้ว
ผมเป็นคนนึง ที่เคยอยู่ในธุรกิจครอบครัวมาก่อน และรู้ซึ้งถึงความเห็นไม่ตรงกันระหว่างรุ่น (จบที่รุ่น 3 จริงๆ) แต่ละฝ่ายต่างหวังดีต่อบริษัทและอยากบริหารตามแนวทางที่ตัวเองต้องการ ผมเดินออกมาเพราะไม่อยากให้เกิดความขัดแย้ง และคิดว่าเราไม่มีสิทธิ์ไปอยากได้ในสิ่งที่เค้าสร้างมากับมือแล้วไม่เต็มใจที่จะให้ คนข้างนอกอาจมองว่าเราอกตัญญที่ไม่ช่วยเหลือ พ่อ แม่ แต่จริงๆ เค้าไม่รู้หรอกว่าเราผ่านอะไรมา ช่วยเหลือมามากแค่ไหน และเสียอะไรไปบ้าง แข่งขันกับคู๋แข่ง+โลกเฟียต ไม่พอ ยังต้องมาทะเลาะกับคนในบ้านตัวเองอีก ซึ่งผมไม่ชอบชีวิตช่วงนั้นเลย
ไปวุ่นวายงูเข้าบ้านมา เพิ่งได้อ่าน ทรงคุณค่าอีกแล้วครับพี่ปั้ม อยากไป #East101 แล้วววววว
เนื่องจากตัวผมนั้นเรียนรู้ ตระหนักรู้หลายสิ่งหลายอย่างด้วยตัวผมเองเป็นส่วนใหญ่ จากประสบการณ์ส่วนตัว จากความผิดพลาด ฯลฯ หากเป็น "เรื่องคน" ผมจึงให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่า "Mentality" เป็นหลัก ส่วนทักษะหรือความรู้นั้น มันเรียนทันกันได้ ฝึกกันได้ในภายหลัง ซึ่งนอกจากต้องใช้เวลาสักหน่อยแล้ว พวกเขาก็จะได้รับโอกาสในการแสดง POW ไปในตัวด้วย ต่อให้ผมต้อง "นำ" ผมก็ไม่ชอบบังคับขู่เข็ญหรือออกคำสั่ง แสดงกล้ามดากกับใครพร่ำเพื่อ ต้นทุนที่ดีทางด้านความรู้สึกนึกคิดและจิตใจนั้น จะทำงานร่วมกับผมได้ง่าย หากเป็นภาษาฟุตบอล เราจะเรียกมันว่า "Team Chemistry" ดังนั้น.. เมื่อมีโอกาสต้องคัดสรร คัดกรอง หรือเลือกเฟ้นผ่านการสัมภาษณ์หรือค้นหา ผมมักจะให้ความสำคัญกับการสำรวจ "Personality & Mindset" ของคนเป็นเรื่องหลัก สิ่งนี้เป็นพลังแฝงที่ส่งให้คนกลายเป็นพระเจ้าได้เลย (เวอร์ไปนิด) ชุดความคิดและทัศนคติที่ดีจะช่วยพัฒนาคนกากให้เป็นคนเก่ง เปลี่ยนคนเจ็บให้สามารถฮีลตัวเองได้ นอกจากนี้พวกเขายังสร้างเครือข่ายพลังบวกกันขึ้นมาเองได้อีกด้วย เพราะต่างคนต่างก็ส่งต่อคุณค่าด้านดีไปสู่กันและกัน เคมีที่แตกต่าง เพียงหนึ่งเดียว สามารถทำลายยอดเขาหิมาลัยได้ราวกับหิมะถล่ม เป็นม้าโทรจันที่ไม่ควรเปิดประตูเอาเข้าเมือง ซ้ำยังเติมภาระที่ไม่จำเป็นให้กับคนอื่น ๆ ในทีมด้วย บ่อนทำลายองค์กรจากภายใน ซึ่งถ้ารู้แบบนั้นเราจะเลือกเขามาทำไม? เมื่อตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่า "เคมี" เข้ากันกับทีมได้ (ผมไม่ได้กำลังหมายความแค่เพียง Right Shift นะครับ) เราก็เริ่มให้เวทีกับเขาได้แสดงศักยภาพของตัวเอง ส่วนตัวผมมีวิธีที่จะรู้ว่าใครมีต้นทุนทักษะอะไรประมาณไหน ผมจะเสริมแค่บางอย่างเพื่อพาพวกเขาไปสู่เป้าหมาย หรือไม่ก็ทำตามไอเดียของคนที่มีศักยภาพสูงกว่าเรา คำว่าลงเรือลำเดียวกันและช่วยกันพายก็คงไม่เกินเลยนัก ใครถนัดตรงไหนก็ควรได้ทำหน้าที่นั้น คนที่ทัศนคติดีและเคมีเข้ากัน พวกเขาเรียนรู้และสร้างวัฒนธรรมองค์กรได้ไม่ยาก และสิ่งนี้จะไม่เคยเป็นปัญหาเลยสำหรับเรา เพราะวัฒนธรรมองค์กรที่ดีควรมาจากผลรวมของแต่ละปัจเจก ผ่านการหารือแลกเปลี่ยน ไม่ใช่การกำหนดกฏเกณฑ์และทึกทักเอาเองของคนเป็นนาย พวกเขาจะออกแบบมันร่วมกันเองเพื่อพาทั้งทีมไปสู่ความสำเร็จ เพื่อพาตัวเองให้อยู่ร่วมกันกับผู้อื่นได้อย่างผาสุก และเราต้องเข้าใจว่า Culture คือสิ่งที่วิวัฒน์ตัวเองได้ Cult ที่ดีไม่ควรถูกเรียกว่ามาจากพวกไดโนเสาร์ เราพานพบเพื่อลาจากกันในวันหนึ่ง.. เรื่องธรรมดาและเป็นสัจธรรมที่มักจะเกิดขึ้นกับทุกกิจการ มีคนเวียนเข้า-เวียนออกซึ่งถูกขับเคลื่อนจากเหตุและผลนานัปการ ไม่มีตำราเล่มไหนให้คำแนะนำกับเราได้ดีพอในเรื่องพวกนี้ เมือมันไม่มีเราจึงต้องเขียนขึ้นมาเอง.. ผมอาจโชคดีที่ทั้งชีวิตที่พบกับคนมาหลายประเภท หลากหลายวรรณะและอาชีพ ทั้งหมดนั้นยังไม่สำคัญกับการ "เข้าใจตัวเราเอง" เราสามารถวิเคราะห์ตัวเองได้ว่า เราให้ Royalty กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมันเพราะอะไร เราเลือกจะเปลี่ยนอนาคตหรือฝากมันไว้กับองค์กรไหนสักแห่งมันเกิดจากอะไร เราจากลา ตัดพ้อ อยากหนี ภูมิใจ ฯลฯ มันเกิดขึ้นเพราะอะไร? มนุษย์ถึงแม้นจะแตกต่างกัน แต่รากเหง้าของพวกเราก็แทบไม่ผิดแผกไปจากกันสักเท่าไหร่นัก เมื่อผมเข้าใจแรงผลักดันและแรงจูงใจของคนในแต่ละด้าน มันช่วยให้ผมสามารถค่อย ๆ ออกแบบ "งานที่ใคร ๆ ก็อยากทำ" ขึ้นมาได้ มันไม่มีอะไรมากไปกว่าการหาตรงกลางระหว่างองค์กรและคตในทีม จุดที่ทุก ๆ คนจะมีผลประโยชน์และความสุขร่วมกัน บางคนเรียกว่ามันว่า ทฤษฎีเกม แต่ผมจะไม่เรียกแบบนั้น ผมอยากตีกรอบมันให้กว้างออกไปอีก ผมจะขออธิบายมันใหม่ว่า มันมาจาก "Spontaneous order" ที่ส่งผลให้เกิด "Collective outcome" ที่ดันเข้ากันได้ดักับ "Self interest" ของแต่คน.. สัมพันธ์ภาพที่เกิดขึ้นไม่จำเป็นต้องพึ่งจิตวิทยาหรือสาลิกาลิ้นทอง มันพึ่งหัวใจและความสามารถในการฟังของเราเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม.. มันจะมีวันที่เราคงต้องพลัดพราก ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นอะไร เราไม่ได้มีหน้าที่มานั่งจ่อมจมหรือคร่ำครวญในสิ่งที่เกิดขึ้น.. การเสียคนสำคัญไปอาจมีอาณุภาพทำลายองค์กรได้อย่างรุนแรง แต่เราต้องไม่ลืมว่าอาณุภาพของมันยังแรงได้ไม่ถึงครึ่งของ "Prepared mind" ด้วยสิ่งที่ผมได้ทำการสาธยายไปแล้วทั้งหมด.. สิ่งหนึ่งที่เราจะได้รับค่อนข้างแน่คือ "ความรัก" ซึ่งเป็นสิ่งที่จะปกปักรักษาเราไว้จากความผิดหวัง ความรักที่คน ๆ หนึ่งมอบให้องค์กรนั้น มันทำให้เขายอมได้ที่จะส่งต่อคุณค่าในตัวเองไปสู่คน ๆ อื่น แม้เขาจะรู้ว่าอนาคตของตัวเองมันอยู่ที่อื่น ไม่ใช่ที่เรา แต่เพราะความรัก มันจะทำให้เขา "ไม่อยากทำร้ายเรา" ไม่อยากให้การจากลาของตัวเขาเองมาสร้างปัญหาให้กับบ้านหลังเก่าของตัวเอง เขาจะทำทุกอย่าง เตรียมการไว้แต่เนิ่น ๆ เพื่อให้แน่ใจว่า ระบบจะ Decentralized เพียงพอและไม่มี Single point of failure การฝึกฝนคนรุ่นใหม่ การส่งต่อทักษะและประสบการณ์ขะเกิดขึ้นเองโดยไม่จำเป็นต้องมีใครร้องขอ เพื่อให้แน่ใจว่า ต่อให้เฟืองหายไป 1 ชิ้น เครื่องยนต์จะยังขับเคลื่อนต่อไปได้ดี และแน่นอนว่า การจากลาแบบมี Testimonial คือสิ่งที่ใคร ๆ ต่างก็ปรารถนาจะสัมผัสมัน เรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้น ถ้าผู้นำยังไม่เชี่ยวชาญในการ "คัดคนที่ใจ" ผมทำอะไรไม่ได้ นอกจากยอมรับ และอวยพรส่งให้เพื่อนของเรามีอนาคตที่ดี คุณจะทำอะไรได้หากเขาส่งต่อ Legacy ทุกอย่างให้คนข้างหลังแล้ว คนดีจะไมอยากทิ้งขี้ไว้ให้คุณ คุณจะไม่ถามผมว่า "คนดี" แยกแยะยังไง ถ้าคุณเข้าใจ Low time preference คุณมีเวลามากพอให้ตัวเองได้สำรวจใครสักคน จนกระทั่ง Verify เขาได้ว่าไม่น่าใช่ คนพาล ผมพยายามเขียนในมุมที่พี่ปั้มไม่ได้เมนชั่นถึง เพื่อให้การส่งต่อคุณค่าในเรื่อง "Man management" ของโน๊ตนี้ได้มีอรรถรสมากขึ้น.. เรื่องนี้มักไม่ใช่สิ่งที่ผมมองว่ามันจะสร้างปัญหา กลับกัน.. ผมคิดว่ามันคือความท้าทาย ผมเป็นพวกเบื่อง่าย หน่ายเร็ว และไม่ชอบอะไรที่จำเจ ความท้าทายทำให้ผมรู้สึกกระชุ่มกระชวย ผมรู้สึกดีเสมอเวลาที่เจอกับเรื่องพวกนี้ เพราะถ้าผมข้ามมันไปได้ มันไม่มีอะไรมากไปกว่าผมจะกลายเป็นคนที่ดีขึ้น เพราะถ้าความท้าทายกำลังสร้างปัญหาให้กับคุณ คุณอาจไม่ใช่คนที่ผมจะสนใจตั้งแต่ต้นอยู่แล้วล่ะ.. ขอบคุณพี่ปั้มที่จุดประกายหัวข้อดีๆ ให้พวกเราได้แลกเปลี่ยนกัน ผมอยากเรียนรู้จากประสบการณ์และมุมมองของท่าน ๆ อื่น ๆ ใน #Siamstr #SiamstrOG เหมือนกันนะครับ
สุดท้ายมันก็อยู่ที่คน..ความสำเร็จก็อยู่ที่คน การสร้าง Teamwork โดยทุกคนมุ้งเป้าหมายเดียวกันเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าทำได้จนสำเร็จมันโคตรรรรร มีความสุขเลยครับ ^^
ไม่มีคำว่ายาก.. มีแค่สิ่งที่เรายังไม่รู้ว่าทำยังไงให้มันออกมาดีครับ
ลำบากละ ผมมีไข่ขวาข้างเดียว อีกข้างไข่ขวาเหมือนกันแค่อยู่ทางซ้าย
เรียกช่างมาสังหารงูแล้วครับ คาดว่ามีพิษ ตอนอยู่ในสวนแยกกันอยู่ดี ๆ ผมโอเค แต่เข้ามาในบ้านแบบนี้โทษหนักสถานเดียว
90United's avatar
90United 2 years ago
เมนูวันนี้ snake steak + น้ำจิ้มแจ่ว ควบกับเบียร์บาวแดง บอกได้เลยว่า อาโหร่ยยยยยย
เมื่อผมตายต้นไม้ที่ผมปลูกจะคงอยู่ ดาบวิชัยได้กล่าวไว้ ณ ปัจจุบันก็เป็นเช่นนั้น
System is always more important than people but initially we need the right people to build up the system ... ระบบสำคัญมากกว่า ตัวบุคคล แต่ ในเบื้องต้น จำเป็นต้องมี บุคคลที่เหมาะสม ในการสร้างระบบ นั้น ก่อน :)
ทรงคุณค่ามากครับอชอบคำว่ากล้ามดาก