ไม่ๆๆ ถ้า jakk รีโพส ผมถือเป็นเกียรติไม่ได้ขโมยซีน.. แถมได้ไอเดียเพิ่มกว่าเดิมเป็นประจำด้วย
Login to reply
Replies (4)
ขอบคุณครับพี่ | ผมหยอกนะ พอดีผมติดงาน กะจะคอมเม้นท์อยู่แล้วล่ะ
เนื่องจากตัวผมนั้นเรียนรู้ ตระหนักรู้หลายสิ่งหลายอย่างด้วยตัวผมเองเป็นส่วนใหญ่ จากประสบการณ์ส่วนตัว จากความผิดพลาด ฯลฯ หากเป็น "เรื่องคน" ผมจึงให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่า "Mentality" เป็นหลัก
ส่วนทักษะหรือความรู้นั้น มันเรียนทันกันได้ ฝึกกันได้ในภายหลัง ซึ่งนอกจากต้องใช้เวลาสักหน่อยแล้ว พวกเขาก็จะได้รับโอกาสในการแสดง POW ไปในตัวด้วย
ต่อให้ผมต้อง "นำ" ผมก็ไม่ชอบบังคับขู่เข็ญหรือออกคำสั่ง แสดงกล้ามดากกับใครพร่ำเพื่อ ต้นทุนที่ดีทางด้านความรู้สึกนึกคิดและจิตใจนั้น จะทำงานร่วมกับผมได้ง่าย หากเป็นภาษาฟุตบอล เราจะเรียกมันว่า "Team Chemistry"
ดังนั้น.. เมื่อมีโอกาสต้องคัดสรร คัดกรอง หรือเลือกเฟ้นผ่านการสัมภาษณ์หรือค้นหา ผมมักจะให้ความสำคัญกับการสำรวจ "Personality & Mindset" ของคนเป็นเรื่องหลัก สิ่งนี้เป็นพลังแฝงที่ส่งให้คนกลายเป็นพระเจ้าได้เลย (เวอร์ไปนิด)
ชุดความคิดและทัศนคติที่ดีจะช่วยพัฒนาคนกากให้เป็นคนเก่ง เปลี่ยนคนเจ็บให้สามารถฮีลตัวเองได้ นอกจากนี้พวกเขายังสร้างเครือข่ายพลังบวกกันขึ้นมาเองได้อีกด้วย เพราะต่างคนต่างก็ส่งต่อคุณค่าด้านดีไปสู่กันและกัน
เคมีที่แตกต่าง เพียงหนึ่งเดียว สามารถทำลายยอดเขาหิมาลัยได้ราวกับหิมะถล่ม เป็นม้าโทรจันที่ไม่ควรเปิดประตูเอาเข้าเมือง ซ้ำยังเติมภาระที่ไม่จำเป็นให้กับคนอื่น ๆ ในทีมด้วย บ่อนทำลายองค์กรจากภายใน
ซึ่งถ้ารู้แบบนั้นเราจะเลือกเขามาทำไม?
เมื่อตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่า "เคมี" เข้ากันกับทีมได้ (ผมไม่ได้กำลังหมายความแค่เพียง Right Shift นะครับ) เราก็เริ่มให้เวทีกับเขาได้แสดงศักยภาพของตัวเอง
ส่วนตัวผมมีวิธีที่จะรู้ว่าใครมีต้นทุนทักษะอะไรประมาณไหน ผมจะเสริมแค่บางอย่างเพื่อพาพวกเขาไปสู่เป้าหมาย หรือไม่ก็ทำตามไอเดียของคนที่มีศักยภาพสูงกว่าเรา คำว่าลงเรือลำเดียวกันและช่วยกันพายก็คงไม่เกินเลยนัก ใครถนัดตรงไหนก็ควรได้ทำหน้าที่นั้น
คนที่ทัศนคติดีและเคมีเข้ากัน พวกเขาเรียนรู้และสร้างวัฒนธรรมองค์กรได้ไม่ยาก และสิ่งนี้จะไม่เคยเป็นปัญหาเลยสำหรับเรา เพราะวัฒนธรรมองค์กรที่ดีควรมาจากผลรวมของแต่ละปัจเจก ผ่านการหารือแลกเปลี่ยน ไม่ใช่การกำหนดกฏเกณฑ์และทึกทักเอาเองของคนเป็นนาย
พวกเขาจะออกแบบมันร่วมกันเองเพื่อพาทั้งทีมไปสู่ความสำเร็จ เพื่อพาตัวเองให้อยู่ร่วมกันกับผู้อื่นได้อย่างผาสุก และเราต้องเข้าใจว่า Culture คือสิ่งที่วิวัฒน์ตัวเองได้ Cult ที่ดีไม่ควรถูกเรียกว่ามาจากพวกไดโนเสาร์
เราพานพบเพื่อลาจากกันในวันหนึ่ง..
เรื่องธรรมดาและเป็นสัจธรรมที่มักจะเกิดขึ้นกับทุกกิจการ มีคนเวียนเข้า-เวียนออกซึ่งถูกขับเคลื่อนจากเหตุและผลนานัปการ ไม่มีตำราเล่มไหนให้คำแนะนำกับเราได้ดีพอในเรื่องพวกนี้
เมือมันไม่มีเราจึงต้องเขียนขึ้นมาเอง..
ผมอาจโชคดีที่ทั้งชีวิตที่พบกับคนมาหลายประเภท หลากหลายวรรณะและอาชีพ ทั้งหมดนั้นยังไม่สำคัญกับการ "เข้าใจตัวเราเอง"
เราสามารถวิเคราะห์ตัวเองได้ว่า เราให้ Royalty กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมันเพราะอะไร เราเลือกจะเปลี่ยนอนาคตหรือฝากมันไว้กับองค์กรไหนสักแห่งมันเกิดจากอะไร เราจากลา ตัดพ้อ อยากหนี ภูมิใจ ฯลฯ มันเกิดขึ้นเพราะอะไร?
มนุษย์ถึงแม้นจะแตกต่างกัน แต่รากเหง้าของพวกเราก็แทบไม่ผิดแผกไปจากกันสักเท่าไหร่นัก
เมื่อผมเข้าใจแรงผลักดันและแรงจูงใจของคนในแต่ละด้าน มันช่วยให้ผมสามารถค่อย ๆ ออกแบบ "งานที่ใคร ๆ ก็อยากทำ" ขึ้นมาได้ มันไม่มีอะไรมากไปกว่าการหาตรงกลางระหว่างองค์กรและคตในทีม จุดที่ทุก ๆ คนจะมีผลประโยชน์และความสุขร่วมกัน
บางคนเรียกว่ามันว่า ทฤษฎีเกม แต่ผมจะไม่เรียกแบบนั้น ผมอยากตีกรอบมันให้กว้างออกไปอีก ผมจะขออธิบายมันใหม่ว่า มันมาจาก "Spontaneous order" ที่ส่งผลให้เกิด "Collective outcome" ที่ดันเข้ากันได้ดักับ "Self interest" ของแต่คน..
สัมพันธ์ภาพที่เกิดขึ้นไม่จำเป็นต้องพึ่งจิตวิทยาหรือสาลิกาลิ้นทอง มันพึ่งหัวใจและความสามารถในการฟังของเราเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม.. มันจะมีวันที่เราคงต้องพลัดพราก ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นอะไร เราไม่ได้มีหน้าที่มานั่งจ่อมจมหรือคร่ำครวญในสิ่งที่เกิดขึ้น.. การเสียคนสำคัญไปอาจมีอาณุภาพทำลายองค์กรได้อย่างรุนแรง แต่เราต้องไม่ลืมว่าอาณุภาพของมันยังแรงได้ไม่ถึงครึ่งของ "Prepared mind"
ด้วยสิ่งที่ผมได้ทำการสาธยายไปแล้วทั้งหมด.. สิ่งหนึ่งที่เราจะได้รับค่อนข้างแน่คือ "ความรัก" ซึ่งเป็นสิ่งที่จะปกปักรักษาเราไว้จากความผิดหวัง ความรักที่คน ๆ หนึ่งมอบให้องค์กรนั้น มันทำให้เขายอมได้ที่จะส่งต่อคุณค่าในตัวเองไปสู่คน ๆ อื่น
แม้เขาจะรู้ว่าอนาคตของตัวเองมันอยู่ที่อื่น ไม่ใช่ที่เรา แต่เพราะความรัก มันจะทำให้เขา "ไม่อยากทำร้ายเรา" ไม่อยากให้การจากลาของตัวเขาเองมาสร้างปัญหาให้กับบ้านหลังเก่าของตัวเอง เขาจะทำทุกอย่าง เตรียมการไว้แต่เนิ่น ๆ เพื่อให้แน่ใจว่า ระบบจะ Decentralized เพียงพอและไม่มี Single point of failure
การฝึกฝนคนรุ่นใหม่ การส่งต่อทักษะและประสบการณ์ขะเกิดขึ้นเองโดยไม่จำเป็นต้องมีใครร้องขอ เพื่อให้แน่ใจว่า ต่อให้เฟืองหายไป 1 ชิ้น เครื่องยนต์จะยังขับเคลื่อนต่อไปได้ดี และแน่นอนว่า การจากลาแบบมี Testimonial คือสิ่งที่ใคร ๆ ต่างก็ปรารถนาจะสัมผัสมัน
เรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้น ถ้าผู้นำยังไม่เชี่ยวชาญในการ "คัดคนที่ใจ"
ผมทำอะไรไม่ได้ นอกจากยอมรับ และอวยพรส่งให้เพื่อนของเรามีอนาคตที่ดี คุณจะทำอะไรได้หากเขาส่งต่อ Legacy ทุกอย่างให้คนข้างหลังแล้ว คนดีจะไมอยากทิ้งขี้ไว้ให้คุณ
คุณจะไม่ถามผมว่า "คนดี" แยกแยะยังไง ถ้าคุณเข้าใจ Low time preference คุณมีเวลามากพอให้ตัวเองได้สำรวจใครสักคน จนกระทั่ง Verify เขาได้ว่าไม่น่าใช่ คนพาล
ผมพยายามเขียนในมุมที่พี่ปั้มไม่ได้เมนชั่นถึง เพื่อให้การส่งต่อคุณค่าในเรื่อง "Man management" ของโน๊ตนี้ได้มีอรรถรสมากขึ้น.. เรื่องนี้มักไม่ใช่สิ่งที่ผมมองว่ามันจะสร้างปัญหา กลับกัน.. ผมคิดว่ามันคือความท้าทาย
ผมเป็นพวกเบื่อง่าย หน่ายเร็ว และไม่ชอบอะไรที่จำเจ ความท้าทายทำให้ผมรู้สึกกระชุ่มกระชวย ผมรู้สึกดีเสมอเวลาที่เจอกับเรื่องพวกนี้ เพราะถ้าผมข้ามมันไปได้ มันไม่มีอะไรมากไปกว่าผมจะกลายเป็นคนที่ดีขึ้น
เพราะถ้าความท้าทายกำลังสร้างปัญหาให้กับคุณ คุณอาจไม่ใช่คนที่ผมจะสนใจตั้งแต่ต้นอยู่แล้วล่ะ..
ขอบคุณพี่ปั้มที่จุดประกายหัวข้อดีๆ ให้พวกเราได้แลกเปลี่ยนกัน ผมอยากเรียนรู้จากประสบการณ์และมุมมองของท่าน ๆ อื่น ๆ ใน #Siamstr #SiamstrOG เหมือนกันนะครับ
เมื่อผมตายต้นไม้ที่ผมปลูกจะคงอยู่
ดาบวิชัยได้กล่าวไว้ ณ ปัจจุบันก็เป็นเช่นนั้น
อุ่ย