Thread

Zero-JS Hypermedia Browser

Relays: 5
Replies: 4
Generated: 19:12:41
👤: ต้องมีปัญญาระดับไหน ถึงจะคิดแบบ satoshi nakamoto ได้ ? 💬 : คำถามนี้น่าสนใจและลึกซึ้งมากครับ เพราะ "ความฉลาด" ของ Satoshi Nakamoto ไม่ได้วัดกันที่ IQ สูงเสียดฟ้าเพียงอย่างเดียว แต่คือ "การบูรณาการ" (Integration) องค์ความรู้ที่ดูเหมือนจะอยู่คนละโลกให้มาทำงานร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ หากจะถอดรหัสว่าต้องมี "ปัญญา" ระดับไหน ถึงจะคิดค้น Bitcoin ขึ้นมาได้ เราต้องมองผ่าน 4 มิติสำคัญดังนี้ครับ: 1. ความเป็นพหูสูต (Polymath): รู้ลึกและรู้กว้างในหลายศาสตร์ คนฉลาดส่วนใหญ่มักเก่งด้านใดด้านหนึ่ง แต่ Satoshi มีความเข้าใจระดับลึกซึ้งใน 3 ศาสตร์ที่ปกติไม่ค่อยคุยกัน: - วิทยาการเข้ารหัส (Cryptography): เข้าใจเรื่อง Digital Signature, Hash Function, และ Public/Private Key อย่างถ่องแท้ - ระบบกระจายศูนย์ (Distributed Systems): เข้าใจเรื่อง Network, P2P, และปัญหาคลาสสิกอย่าง Byzantine Generals Problem (ปัญหาที่คอมพิวเตอร์หลายเครื่องต้องตกลงกันให้ได้แม้จะมีเครื่องที่ไม่น่าไว้ใจ) - เศรษฐศาสตร์การเงิน (Monetary Economics): นี่คือจุดที่ทำให้ Satoshi ต่างจากโปรแกรมเมอร์ทั่วไป เขาเข้าใจเรื่องเงินเฟ้อ (Inflation), ภาวะเงินฝืด (Deflation), และประวัติศาสตร์การเงินว่าทำไมระบบธนาคารกลางถึงมีจุดอ่อน > ระดับปัญญา: คือความสามารถในการ "เชื่อมโยงจุด" (Connecting the dots) ข้ามศาสตร์ที่คนอื่นมองไม่เห็นความสัมพันธ์ 2. อัจฉริยะด้านทฤษฎีเกม (Game Theory & Incentives) นี่คือส่วนที่ "ฉลาด" ที่สุดของ Bitcoin ครับ ก่อนหน้านี้มีความพยายามสร้างเงินดิจิทัลหลายครั้งแต่ล้มเหลวเพราะหาคนดูแลระบบไม่ได้ (ถ้าไม่มีคนกลาง ใครจะตรวจสอบ?) Satoshi แก้ปัญหานี้ด้วย จิตวิทยาและผลประโยชน์ (Incentives): - เขาไม่ได้สร้างระบบที่บังคับให้คนทำดี - แต่เขาสร้างระบบที่ "การโกงมีต้นทุนแพงกว่าการซื่อสัตย์" - การออกแบบ Proof-of-Work ทำให้คนที่อยากได้ Bitcoin ต้องลงทุนค่าไฟและคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยดูแลระบบ แทนที่จะไปแฮ็กระบบ > ระดับปัญญา: คือความเข้าใจใน "สันดานมนุษย์" (Human Nature) และเปลี่ยนความโลภให้กลายเป็นความปลอดภัยของระบบ (Greed ensures Security) 3. นักวิศวกรรมผู้เน้นการใช้งานจริง (Pragmatic Engineering) นักวิชาการมักติดอยู่กับทฤษฎีที่สวยหรูแต่ทำจริงไม่ได้ แต่ Satoshi เป็นนักลงมือทำ: - โค้ดของ Bitcoin ในเวอร์ชันแรกเขียนด้วย C++ ซึ่งไม่ได้สวยงามสมบูรณ์แบบ แต่มัน "ทำงานได้จริง" (It worked) - เขารู้จักนำเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้ว (เช่น Hashcash ของ Adam Back หรือ B-money ของ Wei Dai) มาประกอบร่างใหม่ ไม่ได้เสียเวลาคิดค้นทุกอย่างใหม่หมดตั้งแต่ศูนย์ > ระดับปัญญา: คือความสามารถในการ "ลดทอนความซับซ้อน" ตัดสิ่งฟุ่มเฟือยออก จนเหลือแต่ระบบที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง 4. วิสัยทัศน์และการมองการณ์ไกล (Visionary) Satoshi เปิดตัว Bitcoin ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008 พอดี เขาฝังข้อความใน Block แรกว่า "The Times 03/Jan/2009 Chancellor on brink of second bailout for banks" - นี่แสดงว่าเขามีปัญญาระดับที่มองเห็น "ความล้มเหลวเชิงโครงสร้าง" ของโลกการเงินปัจจุบัน และต้องการเสนอทางเลือกใหม่ที่ไม่มีใครควบคุมได้ บทสรุป: ต้องมีปัญญาระดับไหน? คุณไม่จำเป็นต้องมี IQ 200 หรือเก่งคณิตศาสตร์ระดับรางวัล Fields Medal เพื่อคิดแบบ Satoshi แต่คุณต้องมี "System Thinking" (การคิดเชิงระบบ) ในระดับสูงสุด คือ: - มองเห็นปัญหาที่เป็นรากเหง้า (Root Cause) ไม่ใช่แค่เปลือก - เข้าใจกลไกของแรงจูงใจมนุษย์ (Incentives) - มีความถ่อมตัวพอที่จะยืนบนไหล่ยักษ์ (ใช้เทคโนโลยีเดิมมาประยุกต์) - มีความคิดสร้างสรรค์ในการจับแพะชนแกะให้เกิดสิ่งใหม่ Satoshi Nakamoto ไม่ใช่นักประดิษฐ์สิ่งที่ "ใหม่ถอดด้าม" แต่เขาคือ "สถาปนิก" ที่หยิบเอาชิ้นส่วนที่กระจัดกระจาย มาประกอบเป็นตึกระฟ้าที่ไม่มีวันพังทลายครับ #siamstr #satoshi #intelligent 🧠👤✨ image
2025-12-03 14:00:00 from 1 relay(s) 3 replies ↓
Login to reply

Replies (4)

ในยุคนั้น (ช่วงปลาย 90s ถึงปี 2008) บุคคลที่มี "ระดับปัญญา" และ "ชุดทักษะ" (Skill sets) ที่ใกล้เคียงกับ Satoshi Nakamoto ที่สุด มักจะรวมตัวกันอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า "Cypherpunk" (กลุ่มนักเคลื่อนไหวที่เชื่อในการใช้การเข้ารหัสเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัว) หากพิจารณาตามเกณฑ์ 4 ข้อที่กล่าวไปข้างต้น (Cryptography, Distributed Systems, Economics, Coding) มีบุคคลระดับ "เทพ" อยู่ 4-5 คน ที่วงการเชื่อว่า "ถ้าไม่ใช่ Satoshi ก็คือคนที่ใกล้เคียง Satoshi ที่สุด" ครับ 1. Hal Finney (ฮาล ฟินนีย์) - ผู้มีปัญญาด้าน "วิศวกรรมและการนำไปใช้จริง" ถ้า Satoshi คือสถาปนิก Hal Finney คือวิศวกรที่เก่งที่สุดในยุคนั้น * ทำไมถึงใกล้เคียง: ก่อนจะมี Bitcoin ฮาลเคยสร้างระบบ RPoW (Reusable Proof of Work) ซึ่งเป็นการทดลองสร้างเงินดิจิทัลรูปแบบหนึ่ง เขาเป็นนักเขียนโค้ด C++ ระดับปรมาจารย์ (ทำงานกับ PGP Corporation) และเป็นคนแรกที่ Satoshi ส่ง Bitcoin ให้ทดสอบ (The First Transaction) * จุดที่เหมือน: เข้าใจ Cryptography ลึกซึ้ง และมีทัศนคติแบบ Libertarian (เสรีนิยม) ที่ต้องการปลดแอกการเงิน * ระดับปัญญา: เขาคือคนที่เปลี่ยนทฤษฎีให้เป็นโค้ดที่รันได้จริง เหมือนที่ Satoshi ทำ 2. Nick Szabo (นิค ซาโบ) - ผู้มีปัญญาด้าน "ประวัติศาสตร์การเงินและนิติกรรม" ชายผู้นี้คือเจ้าของแนวคิด "Bit Gold" ซึ่งถือว่าเป็น "บรรพบุรุษโดยตรง" ของ Bitcoin (โครงสร้างคล้ายกันมากจนน่าตกใจ) * ทำไมถึงใกล้เคียง: นิคไม่ได้เป็นแค่นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ แต่เป็นนักกฎหมายและนักประวัติศาสตร์การเงิน เขาคือผู้คิดค้นคำว่า "Smart Contract" ตั้งแต่ปี 1994 * จุดที่เหมือน: เขาเขียนวิเคราะห์เรื่อง "ที่มาของเงิน" (Origins of Money) ไว้ลึกซึ้งมาก เข้าใจว่าทำไมเปลือกหอยหรือทองคำถึงมีค่า ซึ่งเป็นฐานคิดเดียวกับ Bitcoin * ระดับปัญญา: สไตล์การเขียนของเขาและการใช้เหตุผลเรื่อง Economics ใกล้เคียงกับ Satoshi มากที่สุด (Elon Musk เคยให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าให้เดาว่าใครคือ Satoshi เขาเดาว่าเป็น Nick Szabo) 3. Adam Back (อดัม แบ็ก) - ผู้มีปัญญาด้าน "ระบบความปลอดภัย" ชื่อของเขาปรากฏอยู่ใน Bitcoin Whitepaper ในฐานะผู้อ้างอิง (Citation) * ทำไมถึงใกล้เคียง: เขาคือผู้คิดค้น Hashcash ในปี 1997 ซึ่งเป็นกลไก Proof-of-Work ที่ Satoshi นำมาใช้เป็น "หัวใจ" ในการขุด Bitcoin * จุดที่เหมือน: เป็น Cryptographer ระดับแนวหน้าของโลก และปัจจุบันเป็น CEO ของ Blockstream ที่พัฒนา Bitcoin ต่อ * ระดับปัญญา: เขาคือคนต้นคิด "จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่สุด" (Proof-of-Work) ที่ทำให้ Bitcoin ปลอดภัย ถ้าไม่มีปัญญาของ Adam Back ก็อาจไม่มี Bitcoin ในวันนี้ 4. Wei Dai (เหว่ย ได) - ผู้มีปัญญาด้าน "ปรัชญาและระบบกระจายศูนย์" ชื่อของเขาอยู่ใน Whitepaper เช่นกัน และหน่วยย่อยที่สุดของ Ethereum ก็ตั้งชื่อว่า "Wei" เพื่อให้เกียรติเขา * ทำไมถึงใกล้เคียง: เขาเสนอแนวคิด "b-money" ในปี 1998 ซึ่งพูดถึงระบบเงินสดกระจายศูนย์ที่คนในเครือข่ายช่วยกันดูแลบัญชี (แนวคิด Blockchain ในยุคเริ่มแรก) * จุดที่เหมือน: เป็นอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์และ C++ (ผู้สร้างไลบรารี Crypto++) และมีอุดมการณ์เรื่อง Crypto-anarchy สูงมาก * ระดับปัญญา: เขามีความสามารถในการมองเห็นภาพรวมของระบบ P2P (Peer-to-Peer) ได้ชัดเจนมาก่อนกาล 5. Len Sassaman (เลน แซสซาแมน) - ผู้มีปัญญาด้าน "วิชาการและการเจาะระบบ" เป็นอัจฉริยะที่เสียชีวิตไปในช่วงที่ Satoshi หายตัวไปพอดี (2011) ทำให้เกิดทฤษฎีสมคบคิดมากมาย * ทำไมถึงใกล้เคียง: เชี่ยวชาญเรื่อง Remailer (ระบบส่งข้อมูลนิรนาม) และทำงานใกล้ชิดกับ Hal Finney มาก เป็นคนที่มีทักษะรอบด้านทั้งวิชาการและแฮกเกอร์ * ระดับปัญญา: เป็นระดับมันสมองของกลุ่ม Cypherpunk ที่ได้รับการยอมรับในวงการวิชาการอย่างสูง บทสรุป ในยุคนั้นไม่ได้มีแค่ Satoshi คนเดียวที่ฉลาด แต่มีกลุ่ม "ยักษ์" (Giants) เหล่านี้ยืนอยู่ด้วยกัน ความเก่งกาจของ Satoshi (ไม่ว่าเขาจะเป็นคนเดียวหรือกลุ่มคน) คือการ "ร้อยเรียง" สิ่งที่: * Adam Back คิด (Proof-of-Work) * Wei Dai และ Nick Szabo ร่างแบบไว้ (B-money/Bit Gold) * Hal Finney พยายามสร้าง (RPoW) ให้กลายเป็นระบบเดียวที่สมบูรณ์แบบและแก้ปัญหา Double Spending ได้สำเร็จครับ ดังนั้นคนเหล่านี้คือผู้มีปัญญาในระดับ "ระนาบเดียวกัน" กับ Satoshi อย่างแน่นอน
2025-12-03 14:04:46 from 1 relay(s) ↑ Parent Reply
งานเขียนของบุคคลระดับตำนานเหล่านี้ ส่วนใหญ่ "ไม่ใช่หนังสือเล่ม" ที่วางขายตามร้านหนังสือทั่วไปครับ แต่จะอยู่ในรูปแบบของ Whitepaper (เอกสารทางเทคนิค), บทความในบล็อกส่วนตัว (Blog Post), และอีเมลโต้ตอบใน Mailing List ข่าวดีคือ เกือบทั้งหมดอ่านฟรี ครับ และนี่คือ "ลายแทงขุมทรัพย์" ทางปัญญาที่คุณสามารถไปตามอ่านได้ครับ: 1. แหล่งรวมคัมภีร์: Satoshi Nakamoto Institute (สำคัญที่สุด) ถ้าคุณไม่อยากหาทีละที่ ให้ไปที่เว็บไซต์ nakamotoinstitute.org ครับ นี่คือห้องสมุดที่กลุ่ม Bitcoin Maximalist ช่วยกันรวบรวมงานเขียนที่เป็น "รากฐาน" ของ Bitcoin ทั้งหมดไว้ * สิ่งที่มี: งานเขียนของ Satoshi Nakamoto (ครบทุกโพสต์), Nick Szabo, Hal Finney, Wei Dai และงานวิจัยด้าน Cryptography ยุค 90s * เมนูแนะนำ: เข้าไปที่หมวด "Literature" จะเจอขุมทรัพย์ทางปัญญาที่คุณตามหาครับ 2. เจาะจงรายบุคคล (ต้นฉบับ) Nick Szabo (นิค ซาโบ) คนนี้คือนักคิดที่เขียนงานได้ลึกและกว้างที่สุด งานของเขาเหมือนอ่านตำราประวัติศาสตร์ผสมกฎหมายและคอมพิวเตอร์ * แหล่งศึกษา: บล็อกส่วนตัวชื่อ "Unenumerated" (unenumerated.blogspot.com) * บทความต้องอ่าน (Must Read): * "Shelling Out: The Origins of Money" (อธิบายว่าทำไมมนุษย์ถึงต้องการเงิน และทำไมของสะสมถึงมีค่า - บทความนี้เปลี่ยนมุมมองเรื่องเงินของหลายคนไปตลอดกาล) * "Bit Gold" (ต้นแบบแนวคิด Bitcoin) Hal Finney (ฮาล ฟินนีย์) งานเขียนของฮาลจะอ่านง่ายกว่า มีความเป็นมนุษย์และมองโลกในแง่ดี * แหล่งศึกษา: ส่วนใหญ่เป็นอีเมลใน Cypherpunks Mailing List และโพสต์ในเว็บบอร์ด BitcoinTalk * บทความต้องอ่าน: * "Bitcoin and Me" (โพสต์สุดท้ายใน BitcoinTalk ก่อนเขาเสียชีวิต เล่าถึงวันที่เขารัน Bitcoin เป็นคนแรกของโลก) * "RPOW - Reusable Proofs of Work" (หน้าเว็บเก่าปี 2004 ที่เขาพยายามสร้างโทเคนจาก Hashcash) Wei Dai (เหว่ย ได) * แหล่งศึกษา: เว็บไซต์ส่วนตัว weidai.com * บทความต้องอ่าน: * "b-money" (เอกสารสั้นๆ ไม่กี่หน้า แต่คือพิมพ์เขียวของระบบการเงินแบบกระจายศูนย์ที่ Satoshi อ้างถึง) Satoshi Nakamoto (ซาโตชิ นากาโมโตะ) นอกจาก Whitepaper แล้ว สิ่งที่สะท้อนวิธีคิดของเขาได้ดีที่สุดคือ "การตอบคำถาม" * หนังสือแนะนำ: "The Book of Satoshi" เขียนโดย Phil Champagne * เล่มนี้ไม่ได้แต่งขึ้นเอง แต่เป็นการรวบรวม อีเมลและโพสต์ทั้งหมด ที่ Satoshi เคยพิมพ์ตอบโต้กับคนอื่นมาจัดหมวดหมู่ ทำให้เราเห็นวิธีคิด การแก้ปัญหา และความอดทนของเขา (มีแปลไทยชื่อ The Book of Satoshi: รวบรวมงานเขียนของ ซาโตชิ นากาโมโตะ) 3. หนังสือเล่มที่ "ย่อย" แนวคิดเหล่านี้มาแล้ว หากการอ่าน Source Code หรือ Email ยุค 90s ยากเกินไป ผมแนะนำหนังสือ 2 เล่มที่สังเคราะห์ปัญญาของกลุ่มคนเหล่านี้ออกมาได้ดีที่สุด: * The Bitcoin Standard (มาตรฐาน Bitcoin) โดย Saifedean Ammous * เล่มนี้ไม่ได้พูดเรื่องเทคนิค แต่ขยายความแนวคิดของ Nick Szabo เรื่อง "Shelling Out" และประวัติศาสตร์การเงินแบบเจาะลึก เป็นเล่มที่ปูพื้นฐาน "Economic Logic" ของ Bitcoin ได้ดีที่สุด * Digital Gold โดย Nathaniel Popper * เล่มนี้เป็นแนวประวัติศาสตร์กึ่งนิยาย (Narrative Non-fiction) ที่เล่าไทม์ไลน์ตั้งแต่ Hal Finney, Nick Szabo มาจนถึงวันที่ Bitcoin ถือกำเนิด ทำให้เห็นภาพความสัมพันธ์และบรรยากาศในยุคนั้นชัดเจนมาก คำแนะนำในการเริ่มศึกษา 💡 ถ้าคุณอยากเข้าใจวิธีคิดระดับ Satoshi ผมแนะนำให้เริ่มตามลำดับนี้ครับ: * อ่าน "Shelling Out" ของ Nick Szabo (เพื่อเข้าใจ "เงิน") * อ่าน "Bitcoin Whitepaper" (เพื่อเข้าใจ "ระบบ") * อ่าน "The Book of Satoshi" (เพื่อเข้าใจ "ปรัชญาและการตัดสินใจ") การอ่านงานเหล่านี้จะทำให้คุณเห็นภาพชัดเจนว่า Bitcoin ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลึกทางปัญญาที่สั่งสมมานานกว่า 30 ปีครับ
2025-12-03 14:05:00 from 1 relay(s) ↑ Parent 1 replies ↓ Reply