Thread

Zero-JS Hypermedia Browser

Relays: 5
Replies: 2
Generated: 16:44:31
ทําไมผม ขายหุ้น ทิ้ง แล้วมาถือ Bitcoin - Sats And Sound Ep.59 https://youtu.be/OVCoi9is6Gk Disclaimer อันนี้เป็นความเห็นและประสบการณ์ส่วนตัวเท่านั้น ฟังแล้วอย่าเพิ่งเชื่อ don't trust , verify. ผมเป็นมนุษย์เงินเดือน เริ่มทํางานมา 10 ปีกว่าแล้วๆ ตั้งแต่เริ่มทํางาน ผมก็ศึกษาเรื่องการเงิน การลงทุน มาตลอด เนื่องจาก ผมเองอยากจะพัฒนาชีวิตตัวเองให้ดีขึ้น มีเงินเยอะขึ้น มั่นคงขึ้น ครอบครัวผมฐานะปานกลางค่อนไปทางจน เราก็อยากจะถีบตัวเองขึ้นมาให้มีชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ พอศึกษาเราจะได้ยินหลายๆคํา เช่น - เงินเฟ้อ - หุ้น กองทุนรวม ตราสารหนี้ - passive income - อิสระภาพทางการเงิน ผมก็ได้ไปฟังกูรูทางด้านการเงิน วางแผนการเงินส่วนบุคคล ทําให้ผมได้ความรู้ "พื้นฐานแบบเฟียตๆ" 3 ข้อดังนี้ 1 เงินเฟ้อในประเทศไทยเฉลี่ย 2-3% ทบต้น (มารู้ที่หลังว่ามันไม่จริง) 2 ในอดีตแค่ฝากธนาคารก็มีดอกเบี้ยเยอะมากจนเป็น passive income แต่ปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝาก แค่ 0.25% พอรู้เราจะดูถูกเงินออมก่อนเลย ได้น้อยเกิน ออมอย่างเดียวไม่รวย (มารู้ที่หลังว่า ต้องออมให้ถูกสินทรัพย์ มันก็เวิร์คนะ) ออมอย่างเดียวไม่ได้ เราต้อง "ลงทุน" ถึงจะชนะเงินเฟ้อ และรวยเหมือนที่หวัง วิธีคือ เราจะต้องหาสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนที่มากกว่า "เงินเฟ้อ" ยิ่งมากยิ่งดี ยิ่งรวยเร็ว อัตราผลตอบแทนต่อปีเฉลี่ยในระยะยาวของสินทรัพย์แต่ละประเภท - พันธบัตรรัฐบาล/ตราสารหนี้ 2-3% ต่อปี (เงินเฟ้อแบบเฟียตๆ) - ทองคํา 6-10% ต่อปี - กองทุนรวมหุ้นไทย 7-10% ต่อปี - หุ้นไทยรายตัว 7-12% ต่อปี 3 ยิ่งเราออมและลงทุนเร็ว เราจะมี passive income และ อิสระภาพทางการเงิน ในที่สุด เริ่มจากการ เก็บเงินสํารองฉุกเฉิน 3-6 เดือน และเริ่มลงทุนในหุ้น แบบ DCA ผ่านไป 10 ปีข้างหน้า เราจะรวย จากข้อมูลสามข้อนี้ บวกกับความรู้ทางการเงิน แบบเฟียตๆ พร้อมความมุ่งมั่น ความตั้งใจ ไฟในตัวอย่างเต็มที่ ผมจึงตัดสินใจเลือกลงทุนในหุ้นรายตัวทันที เพราะผลตอบแทนมากที่สุด ในระยะยาวถ้าทบต้นไปเรื่อย เราจะรวยอย่างคาดไม่ถึง ผมคิดว่าตัวเองจะเป็นสาย VI เก็บปันผลกินไปเรื่อยๆ สมัยก่อนมีพอร์ต 5-10 ล้านเกษียณได้แล้วนะ ฝันหวานอยู่ได้ไม่นาน คําถามแรกคือ เราจะเลือกหุ้นตัวไหนดีหล่ะ??? ตอนนั้นไม่มีโบรกเกอร์นอก ที่ราคาถูกเหมือนในตอนนี้ ทําให้ผมดูหุ้นไทยล้วน หุ้นใน SET มีหลายร้อยตัว ซึ่งเรามีหน้าที่ต้องไปศึกษาข้อมูลบริษัท - ดูเทรน ,ดูความสามารถในการแข่งขัน, ฟัง op day - ดูเอกสาร 56-1 , ข้อมูลทางบัญชี - อัตราส่วนที่ใช้วิเคราะห์มูลค่าหุ้นมากมาย เช่น EPS, ROE, P/E Ratio , P/BV Ratio, Dividend Yield, D/E Ratio จากการทําการบ้าน แบบมือใหม่ งูๆปลาๆ ผมก็ได้หุ้นมา 3 ตัว คนละ sector กะว่าแต่ละเดือนจะ dca เท่าๆกันไปเรื่อยๆ หลังจาก DCA ไปได้ 6 เดือน ผมพบว่า มูลค่าหุ้นมันมีขึ้น มีลง แล้วพอเราไปหาข้อมูลหุ้น ปรากฏว่า มันมีหุ้นตัวที่ดีกว่าตัวที่เราลงทุนนี่หว่า ด้วยการเป็นวัยรุ่นสร้างตัวใจร้อน FOMO ผมก็เลือกที่จะ ขายหุ้นตัวเดิม ไปซื้อหุ้นตัวใหม่ทันทีโดยไม่สนใจว่า กําไร-ขาดทุนเท่าไหร่ (ความชิบหายที่ 1) แล้วในชีวิต first jobber เราไม่เคยมีเงินใช้เองมาก่อน พอมีเงินใช้เอง ผมก็กิน เที่ยว ซื้อของ ซื้อความสุขบ้าง ถึงผมจะมีการวางแผนการเงินรายเดือน แต่พอเอาเข้าจริงบางเดือนเงินก็ไม่พอ เพราะไม่เคยทํารายรับรายจ่าย (ความชิบหายที่ 2) พอเราไม่รู้ เงินเข้าเงินออกที่แท้จริง ในบางครั้งต้องใช้เงินฉุกเฉิน เงินสํารองใช้หมดไปแล้ว ก็ต้องขายหุ้นออกมาเอาเงินไปใช้ก่อน (ความชิบหายที่ 3) พอเราไม่เห็นตัวเลข รายจ่ายรายเดือนรวมกับ ค่าใช้จ่ายมันคุมไม่ได้ ทําให้ แผนการ DCA หุ้นนั้น ทําได้อย่างไม่สมํ่าเสมอ ลงบ้าง ไม่ลงบ้าง ไม่มีเงินก็ไม่ได้ลง ทําให้ ผมไม่ค่อยได้ติดตามพอร์ตการลงทุนของตัวเองอย่างเคร่งครัด (ความชิบหายที่ 4) พอผ่านไปสัก 1 ปี ผมก็ได้ไปศึกษาเพิ่มเติมรู้ว่า ถ้าหุ้นรายตัวมันยาก เราไปลงกองทุนรวมหุ้นก็ได้ แนะนําตัวกองทุนหุ้นดัชนี SET50 ค่าธรรมเนียมตํ่า เหมาะกับการลงทุนระยะยาวเพื่อการเกษียณ ผมก็แบ่งเงินต่อเดือนนิดๆหน่อยๆ แบบสะเปะสะปะ ลงไป สรุป 1 ปีแรกของการเริ่มลงทุนในหุ้น - การลงทุนไม่สม่ำเสมอ ไม่ติดตามพอร์ตการลงทุน - ไม่ทํารายรับรายจ่าย ทําให้ไม่รู้ว่าเงินแต่ละเดือนเราใช้อะไรไปบ้าง - ยังสนุกกับชีวิต คล้ายๆกับวัยมหาลัย ใช้เงินไม่คิด - ยังเป็นมือใหม่ ที่ไม่มีความรู้ และประสบการณ์ แต่เลือกที่จะกระโดดเข้ามาในสนามลงทุน โดยคิดง่ายๆว่า "แค่ใส่เงินไปเรื่อยๆ 10 ปีเราจะรวย ไม่ต้องดูอะไรมาก ทั้งหุ้นทั้งกองทุนก็ใส่ๆไป เดี๋ยวดีเอง" เวลาผ่านไปเข้าปีที่ 3-5 ของการลงทุนในหุ้น ผมก็ยังทําตัวเหมือนเดิมเลย ไม่ค่อยได้ศึกษาอะไรมาก ลงทุนไม่สมํ่าเสมอ ไม่ติดตามพอร์ตการลงทุน แต่ผมเริ่มฟังข่าวมากขึ้น แล้วพอมันมีกูรูมาบอกว่า วิกฤตกําลังใกล้เข้ามา ให้ขายหุ้นเก็บเป็นเงินสดแทน ผมก็เชื่อและทําตามนั้น หรือ ถ้าเขาบอกว่า หุ้นตัวนี้ดี ผมก็เชื่อขายหุ้นที่มีแบบขาดทุน มาถือตัวที่ "เขาว่าดี" (ความชิบหายที่ 5) 5 ปี ชิบหายขนาดนี้ ถ้าไม่เจ๊งจะแปลกมาก แต่ยังไม่จบเท่านั้น.... พอเข้าช่วงปีที่ 10 ของการทํางาน ที่มาพร้อมโควิด19 - พอร์ตหุ้น 10 ปีของผม ไม่ได้โตขึ้นเลย แถมขาดทุนด้วย เพราะ ซื้อๆขายๆ ถือไม่นาน ปันผลก็ไม่ได้นํามา re-invest - ผมได้แต่นั่งโทษตัวเองว่าเราไม่เก่ง เราหาเงินไม่มากพอ - ช่วงนั้น เจอสินทรัพย์แบบใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น gamefi altcoin โดนรับน้องไปอีกหลักแสน ไปดูคลิปกันได้ 10 ปีที่คิดว่าตัวเองมีวินัย รู้เรื่องการเงิน การลงทุนพอตัว แต่พอพอร์ตหุ้นเจ๊งไม่เป็นท่าแบบนี้ ทําให้ผมกลับมาตั้งคําถามกับตัวเองใหม่ ความชิบหายทั้ง 5 ข้อบน รวมกับนิสัยการเงินผิดๆ ตลอด 10 ปี มันทําให้ผม ไม่ประสบความสําเร็จในการลงทุนในหุ้น แต่ในความเศร้า สิ้นหวัง ก็มีหนึ่งอย่างที่ผมอยากขอบคุณตัวเอง นั่นก็คือ ผมได้รู้จักและค่อยเริ่มศึกษาบิทคอย ช่วงแรกๆผมก็ไม่ได้รู้อะไรมาก แค่รู้สึกว่ามันเป็นเหรียญแรก ราคาแพง พอผ่านไป 1-2 ปี เมื่อลงไปในหลุมกระต่าย ผมได้พบความจริงเกี่ยวกับ หุ้น การลงทุน และ เงินเฟ้อ ที่เปลี่ยนความคิดผมไปตลอดกาล สิ่งที่เราคิดว่าเราทําถูก สิ่งที่เขาว่ามันดีอยู่แล้ว ที่แท้ มันมีเบื้องหลังที่เต็มไปด้วย หลอกลวง และผลประโยชน์มากมาย 1 เงินเฟ้อที่แท้จริงนั้น ไม่ใช่ 2-3% แต่เป็น 6-8% แบบทบต้น (โดนหลอกตั้งแต่แรกเลย) - ตัวเลข 2-3% เอามาจาก CPI ซึ่งเป็นตัวเลขที่รัฐบาลแต่งได้ เพื่อให้เงินเฟ้อดูไม่มาก - เงินเฟ้อจริงๆต้องดูที่ M2 หรือ money supply ดูง่ายๆในตอนนี้ ของโคตรแพงทุกอย่าง คุณเชื่อเหรอว่าเงินเฟ้อแค่ปีละ 2-3% 2 ระบบการเงินโลกมันถูกออกแบบมาให้ทุกคนในระบบ "จนลง" อย่างอัตโนมัติ ใครที่จะไม่รู้ก็ติดอยู่ในโลกเงินเฟียตตลอดชีวิต เงินในมือที่มีมันเสื่อมค่าลงเรื่อยๆ FED พิมพ์เงินออกมามหาศาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จ่ายหนี้ ทําสงคราม ธนาคารพาณิชย์ ใช้ระบบ fractional reserve banking ทําให้เกิดเงินในอากาศออกมามากมาย ไม่ว่าคุณจะฝากเงิน หรือ กู้เงิน มันจะเป็นเงินใหม่ที่เขาพิมพ์ออกมาทั้งนั้น อยากให้เข้าไปดูคลิป ระบบการเงินโลก ที่มีบางคนไม่อยากให้เรารู้ คลิปนั้นจะเบิกเนตรใครหลายๆคนได้เลยครับ 3 ระบบการเงินโลก การพิมพ์เงิน เงินเฟ้อ มันเฮีย แต่มันก็จะไม่หยุด เพราะมันมีกลุ่มคนที่อยู่ใกล้แหล่งพิมพ์เงินได้ประโยชน์ ระบบเงินเฟียตมันฝังรากลึกในทุกอย่างในสังคมไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น อาหาร สุขภาพ การศึกษา การใช้ชีวิต หรือแม้แต่ในสื่อต่างๆ เราเกิดมาพร้อมสิ่งนี้ ทําให้เราคิดว่ามันถูกต้อง ควรจะเป็น และไม่เคยตั้งคําถาม กับเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นเลย 4 เมื่อเงินเฟ้อมากขึ้น เงินในมือเสื่อมค่า ทําให้ทุกคนที่ไม่อยากจน ดูถูกการออม และต้องกระโดดเข้ามาในโลกของการลงทุน ทั้งๆที่ไม่มีทักษะ ประสบการณ์ (เหมือนกับผมที่ลงทุน 10 ปี คืนตลาดไปหมด) 5 อัตราผลตอบแทนหุ้น ที่เขาบอกว่าเฉลี่ย 7-12% นั้น สําหรับผมมันหาได้ยากมากๆ เพราะใน 10 ปีผลได้ไม่ถึง 3-4% เท่านั้นซึ่งแพ้เงินเฟ้อขาดลอย นั่นหมายความว่า เราต้องมีความสามารถในการเลือกหุ้นที่ดีในราคาเหมาะสมให้เป็นด้วย ซึ่งผมสอบตกในข้อนี้ ผมไม่เหมาะกับการลงทุนในหุ้น ถ้าหากคุณหาข้อมูลหุ้นเป็น จับจังหวะ การลงทุนเป็น คุณก็ยังทํากำไรจากหุ้นได้อยู่นะครับ ไม่ว่าจะเป็น VI หรือ day trade แต่ผมไม่ได้มีทักษะแบบนั้น ผมจึงเลือกทางเดินอื่นแทน 6 ในตลาดหุ้นนั้นมี "เจ้าตลาดคอยควบคุม" ราคาให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ หลายๆครั้งที่เราเห็นข่าวความไม่ชอบมาพากล ของราคาหุ้นในตลาด หรือ ข่าวการตกแต่งบัญชี หรือ การทุจริตต่างๆของบริษัทในตลาดหุ้น คําถามคือ คุณจะเอาเงินคุณไปเสี่ยงกับปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้อย่างนี้เหรอ? 7 เมื่อเรากลับไปดู อัตราเงินเฟ้อที่แท้จริง อยู่ประมาณ 6-8% ซึ่งใกล้เคียงกับผมตอบแทนเฉลี่ยของ หุ้น หรือ กองทุนดัชนี SET50 นั้นหมายความว่า การที่คุณถือ หุ้นหรือกองทุนที่ผลตอบแทนเท่าเงินเฟ้อ คุณเสมอตัวนะ ไม่ได้กําไรเลย ซึ่งการที่หุ้นราคาเติบโตไปตามเงินเฟ้อ มันไม่ได้เกิดจาก บริษัทเติบโต แต่มันเกิดจาก เงินเฟ้อที่อัดเข้ามาในระบบ พอคนไม่รู้เอาเงินไปไว้ไหน ก็จะไปซื้อหุ้น ซื้อกองทุน SET50 หรือ S&P500 อะไรแบบนี้ 8 กราฟมูลค่าหุ้นที่มันพุ่งขึ้น สูงขึ้น ตลอดเวลายิ่งเป็น หุ้นอเมริกาอะ คุณลองเอามูลค่าหุ้นเทียบกับทองคํา หรือ บิทคอยดู จะพบความจริงที่ว่า หุ้นไม่โตมาหลายปีแล้ว เท่ากับว่า - ถ้าเลือกหุ้นถูกตัว ชนะเงินเฟ้อ รวยขึ้น (ยากที่สุด) - ถ้าคุณซื้อหุ้นทั่วไป ถึงจะไม่แพ้เงินเฟ้อ ไม่รวย เท่าทุน - ถ้าคุณซื้อหุ้นแย่มาก แพ้เงินเฟ้อ คุณจะจนลง (ง่ายที่สุด) (แถมเสียโอกาสในการถือสินทรัพย์ที่ดีกว่าด้วย) 9 ในปีหลังๆในการถือหุ้น ผมสนใจพวกกองทุนส่วนบุคคลที่ เราแค่ใส่เงินเข้าไป แล้ว โรบอทจะจัดการพอร์ทให้เราเอง ซึ่งผลออกมา ขาดทุนยับ ระบบเงินเฟียต ฝังหัวเราให้เชื่อใจตัวกลางครับ ไม่ว่าจะเป็นแบง ฝากเงิน ทําธุรกรรม ซื้อขายหุ้น หรือ ผจก กองทุน ที่มีความรู้ ความสามารถ มันทําให้เราไม่ตั้งคําถามเลยว่า แท้ที่จริงแล้ว เขาดูแลเงินเราดีแค่ไหน ด่าหุ้นมาเยอะ แล้ว บิทคอยที่อวยหนักหนา มันดีกว่าหุ้นรายตัวยังไง ทําไมผมถึงขายหุ้น มาถือบิทคอยแทน 1 บิทคอยไร้ตัวกลาง ไม่มีใครสามารถควบคุมได้ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และที่สําคัญ มันเป็นสินทรัพย์เดียวที่ไม่เฟ้อ เพราะมีโค้ดที่ทําให้ถูกสร้างได้อย่างจํากัดแค่ 21 ล้านเหรียญ ต่างจากหุ้น ที่มีทั้งเจ้า ทั้งคนควบคุมราคา 2 ผลตอบแทนของบิทคอย ชนะทุกสินทรัพย์บนโลก ในตอนนี้ สินทรัพย์ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี (CAGR) - ทองคํา ประมาณ 5-10% - S&P 500 ประมาณ 12- 15% - Bitcoin 80-105% ถึงในอนาคตผลตอบแทนบิทคอยจะลดลง แต่อย่างไรก็ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ 3 บิทคอยทําความเข้าใจง่ายกว่า แค่ศึกษา ซื้อและเก็บให้ปลอดภัย เท่านี้เลย แต่หุ้นนั้นเราต้องทําการบ้านเยอะมาก ไหนจะมีความเสี่ยงเรื่องอื่นๆอีก - เราต้องไปเลือกหุ้น ไม่กี่ตัวใน หลายพันตัว - ถ้าถือกองทุนหุ้น กระจายความเสี่ยงมากกว่า ผลตอบแทนน้อยกว่า และมีค่าธรรมเนียมกองทุน ในเมื่อเราเข้าใจแล้วว่า บิทคอยดีกว่าหุ้นในหลายๆเเรื่อง - ผลตอบแทนระยะยาวดีกว่า - ทําความเข้าใจง่ายกว่า ไม่ต้องสแกนหุ้นหลายพันตัว - ไร้การควบคุม โปร่งใส ตรวจสอบได้ - ระบบการเงินใหม่ที่ดีกว่าระบบเงินเฟียตแบบเดิมๆ 4 เราจะเป็นเจ้าของบิทคอยได้อย่างแท้จริงด้วยการเก็บใน HW เวลาจะซื้อ ขาย โอน ทําได้เองไม่ต้องพึ่งพา ตัวกลางหรือ ความเชื่อใจจากใคร ต่างจากหุ้น ที่เราต้องทําธุรกรรมผ่านตัวกลางทั้งหมด บิทคอยแค่จํา seed 12-24 คํา นําไปใช้ได้ทั่วโลก แต่หุ้นนั้นทําแบบนี้ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนเป็นเงินเฟียตก่อน 5 การถือหุ้น คือ การถือเงินเฟียตที่จะทําให้คุณติดกับดักที่ต้องวิ่งตามเงินเฟ้อจนเหนื่อย แต่การถือบิทคอย คุณได้ออกมาจากโลกของเงินเฟียต ไปสู่อิสระในการใช้ชีวิตอย่างแท้จริง ตั้งแต่ผมถือบิทคอย มันทําให้ผม มีกําลังใจ และ เห็นอนาคตของตัวเองในการใช้ชีวิตไปข้างหน้า ต่างจาก 10 ปีที่ถือหุ้น ผมไม่เคยรู้สึกหายเหนื่อย และรู้สึกว่า เราไม่มั่นคง เราเงินไม่พอใช้อยู่ตลอดเวลา หาเงินยังไงก็ไม่ทัน เพราะเงินมันเสื่อมค่านั่นเอง แล้วหุ้นไทย อย่างที่รู้ๆกันว่า 10 ปี มูลค่าเท่าเดิม ในตอนนี้คนไทย ไปถือหุ้นอเมริกากันเยอะมาก เพราะมี โบรคเกอร์ ที่สะดวกมาก แต่ผมไม่ได้ซื้อหุ้นนอกนะ เพราะอย่างที่บอกว่า หุ้นมันโตมาเงินเฟ้อ ไม่ได้โตตามผลประกอบการ ดังนั้นมูลค่าปลอมๆของมันจะขึ้นๆลงๆตาม ข่าว วิกฤต หรือ คําพูดของผู้นำ การประกาศเพิ่ม-ลด ดอกเบี้ยของ FED ลองคิดง่ายๆว่า เงินที่เราหามาอย่างยากลําบาก สินทรัพย์ของเรา มาขึ้นๆลงๆ ง่ายๆ ด้วยคําพูดของคนพวกนี้เนี้ยะนะ?? ผมศึกษาบิทคอยอยู่1-2 ปี แล้วค่อยๆทะยอยเปลี่ยนหุ้นที่มีมาเป็นบิทคอยหมดเลยครับ ตอนนี้ผมไม่เคยต้องกังวลว่า FED จะขึ้น-ลดดอก แล้วหุ้นจะขึ้นจะลง เพราะผมออกมาจากระบบเงินเฟียตเรียบร้อยแล้ว สรุป 1 การถือหุ้น คุณก็ยังติดอยู่ในโลกเงินเฟียตที่เสื่อมค่า อาศัยตัวกลาง อาศัยความเชื่อใจ ต่างจากบิทคอย ที่คุณจะได้ออกมาจากโลกเงินเฟียต ไร้ศูนย์กลาง ไม่ต้องเชื่อใจใครอีกต่อไป 2 ผลตอบแทนของหุ้น ขึ้นลงตามเงินเฟ้อที่อัดเข้าไปในระบบ ไม่ได้ขึ้นกับผลประกอบการของบริษัท ดังนั้น ราคาหุ้นที่ขึ้นๆลงๆ ขึ้นกับปัจจัยที่เราไม่รู้เลยว่า ในระยะยาว หุ้นนี้จะโต หรือ ไม่โต เวิร์คไม่เวิร์ค ซึ่งบิทคอยเองก็โตตามเงินเฟ้อ มีเงินอัดเข้ามาซื้อทําให้มูลค่ามันเพิ่มขึ้นเหมือนกัน แต่คนซื้อบิทคอย เพราะเขาเข้าใจระบบการเงินโลก และใช้บิทคอยต่อต้านเงินเฟ้อ ไม่ได้ซื้อ เพราะไม่รู้จะเอาเงินไปไว้ที่ไหน เหมือนซื้อหุ้นตัวใหญ่ๆ หรือ กลุ่ม SET50 S&P500 อะไรแบบนี้ 3 บิทคอยในระยะยาวโตแน่นอน ไม่ต้องเลือกตัวให้สับสน ชนะเงินเฟ้อแน่นอน ส่วนหุ้น คุณต้องวัดดวงเลือกหุ้นให้ถูกตัวด้วย และ การเติบโต ต้องหาตัวที่ผลตอบแทนมากกว่า 8%ทบต้น ในระยะยาวให้ได้ ถึงจะชนะเงินเฟ้อ การคัดหุ้นที่ดี มันยากมากๆ ลองเทียบมูลค่าหุ้นเป็นทองคํา หรือ บิทคอยดู แล้วคุณจะรู้ว่า หุ้นที่ดีมันน้อยมากๆ 4 การออมคือแม่ของทุกสถาบัน บิทคอยทําให้การออมกลับมามีประโยชน์อีกครั้ง ต่างจากหุ้นที่บีบให้ทุกคนที่อาจจะไม่ได้มีความรู้ ประสบการณ์มากพอ (เหมือนผม) เข้ามาลงทุนแบบผิดๆ สุดท้าย เงินคืนให้ตลาดไปหมด 5 ทุกคนไม่จําเป็นต้องลงทุน แค่ออมในสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่าอย่างบิทคอยก็พอ ชีวิตของพวกเรา มีสิ่งที่เป็นความฝัน สิ่งที่เราอยากทํา มากกว่าวันๆมานั่งวิ่งตามเงินเฟ้อ หาเงินงกๆ แล้วกลับบ้าน บิทคอยมันทําให้ชีวิตคุณมีอิสระได้ ตัวผมเองตอนนี้ ไม่ได้รวยเลยนะครับ ยังต้องทํางาน หาเงิน stack sats ตามเป้าหมายเหมือนกัน แต่การออมเป็นบิทคอย มันทําให้ผมมั่นใจว่า สินทรัพย์นี้จะไม่เสื่อมค่าลง มันเป็นของเราอย่างแท้จริง ในวันข้างหน้า ถ้าเราต้องการใช้มัน ไม่มีใครมาอายัด หรือห้ามได้ การพิมพ์เงิน ยังคงมากขึ้น เงินเฟ้อมากขึ้น ทําให้การถือบิทคอยระยะยาว มูลค่าจะเพิ่มขึ้น อํานาจการจับจ่ายของเราก็จะมากขึ้นนั่นเอง ว่ากันว่า ทองคําคือเงินของพระเจ้า เฟียต คือ เงินของรัฐบาล บิทคอย คือ เงินของประชาชน ผมจึงไม่เสียเวลาซื้อหุ้นที่อยู่ในโลกของเงินเฟียต ออมเงินของประชาชนอย่างบิทคอยดีกว่า #siamstr #satsandsound #bitcoin #btc #หุ้น
2025-10-03 10:03:48 from 1 relay(s) 1 replies ↓
Login to reply

Replies (2)

เจ็บกันเยอะครับ ตอนนั้น ในอนาคต เราก็จะมาเล่ากัน คล้าย ICO ในปี 2017
2025-10-10 17:07:53 from 1 relay(s) ↑ Parent Reply