จับมือทํา โหลด ตั้งค่า ใช้งาน wallet Blink โอน BITCOIN ผ่าน Lightning Network - Sats And Sound Ep.68
https://youtu.be/2IuawzcjNz0
#siamstr #satsandsound #btc #bitcoin #wallet #bitcoinwallet #blink
Sats and Sound
npub1dhsn...xjvg
Sats and Sound: สร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืน ผ่านการเงินดิจิทัลและการพัฒนาตนเอง
ชื่อช่องสามารถตีความให้ครอบคลุมทั้งบิตคอยน์ (Sats), การเงิน (Sound Money), และการพัฒนาตัวเอง (การเรียนรู้ผ่าน "Sound" หรือเสียงที่เป็นความรู้ที่มั่นคง)
Notes (20)
เงินสํารองฉุกเฉิน เก็บใน BITCOIN มือใหม่ อย่า หา ทํา - Sats And Sound Ep.67
https://youtu.be/CgUKFJsp-UM
#siamstr #satsandsound #btc #bitcoin #stacksats #ออมbitcoin #เงินสำรองฉุกเฉิน #การเงินส่วนบุคคล
จับมือทํา วิธีจด Seed Phrase แบบสั้นๆ ทําง่าย ปลอดภัยขี้น - Sats And Sound Ep.66
https://youtu.be/2LAzh6vAvIU
#siamstr #satsandsound #btc #bitcoin #stacksats
จับมือทำ โอน BITCOIN ข้าม Exchange จาก BinanceTH ไป Bitkub - Sats And Sound Ep.65
https://youtu.be/csufx93S2ug
#satsandsound #siamstr #btc #bitcoin #โอนbitcoin #จับมือทำ #bitcoinnetwork
จับมือทำ สมัคร และ ซื้อ Bitcoin ใน BinanceTH - Sats And Sound Ep.64
https://youtu.be/qDO3yIA-DqA
#siamstr #btc #satsandsound #stacksats
แชร์ประสบการณ์ Bitcoiner หมดตัว เพราะ ความโลภ - Sats And Sound Ep.63
https://youtu.be/pBIkN51A2Sc
#siamstr #satsandsound #btc #bitcoin #stacksats
มีคนถามว่า จะออกจาก "โลกเงินเฟียต" ตอนนี้ใช้ Bitcoin ซื้อข้าวกินได้ยัง ?? - Sats And Sound Ep.62
https://youtu.be/DC1z4Z5VGwU
#satsandsound #siamstr #bitcoin #btc #stacksats #ออมbitcoin
สูตรโกง คนรวย กลยุทธ์ BUY BORROW DIE ด้วย BITCOIN ถ้าทำได้ สบายทั้งชาติ - Sats And Sound Ep.61
https://youtu.be/KmPwsdduCTQ
#siamstr #satsandsound #bitcoin #btc #ออมbtc #stacksats
1 BTC 4 ล้านบาท All Time High โคตรแพง ซื้อตอนนี้ ยังทันมั้ย? - Sats And Sound Ep.60
https://youtu.be/23U-Tc9x9Vg
ในช่วงสัปดาห์ก่อนผมเห็น เพจข่าวเรื่องเล่าเช้านี้
ลงข่าวว่า บิทคอยทำ ATH ใหม่ที่ 1 BTC = 4 ล้านบาท
กดไลค์เป็นพัน คอมเม้นและแชร์เป็นร้อย
ในคลิปนี้ ผมจะมาสรุป ความคิดเห็นของ คนไทย ว่ามีความรู้ความเข้าใจบิทคอยมากน้อยขนาดไหน
และ ท้ายคลิปผมจะมาตอบว่า ถ้าเราเพิ่งรู้จักบิทคอย ซื้อตอนนี้ 1BTC 4 ล้านบาท มันทันมั้ย
คอนเท้นนี้ อยากให้มือใหม่ที่เพิ่งรู้จัก หรือ เริ่มศึกษาบิทคอยได้ฟัง
เพราะคนที่อยู่มาสักพัก เข้าใจเงินเฟ้อ จะไม่ตกใจกับเหตุการณ์นี้มากนัก
ที่เลือกข่าวในเพจเรื่องเล่าเช้านี้เพราะว่า มันจะได้เห็นความคิดจริงๆ ของคนทั่วๆไปด้วยครับ
เพราะถ้าเราอยู่ในกลุ่มเฉพาะ หรือ nostr มันจะมีแต่คนเข้าใจบิทคอยแล้ว เราไปดูกันดีกว่าว่าคนทั่วไปเขาคิดยังไง
ผมนั่งอ่านเป็น ร้อยคอมเม้น มาแบ่งสิ่งที่แอบตกใจคือ
คนเข้าใจบิทคอย กับ คนที่ไม่เข้าใจบิทคอย แบ่งเป็นอย่างละครึ่งเลยครับ
เป็นนิมิตหมายที่ดีว่า มีคนเข้าใจบิทคอยและกล้าออกมาพูด มีมากกว่าที่ผมคิดไว้
มาดูคอมเมนฝั่งเข้าใจบิทคอยกันก่อน
- บิทคอยเปรียบเหมือนไฟ ใครไม่เข้าใจก็กินหญ้าต่อไป ซึ่งบางคนงง ผมจะขยายความคือ ไฟเปรียบเหมือนเทคโนโลยีที่เปลี่ยนชีวิตของมนุษยชาติมาแล้วในอดีต ซึ่งบิทคอยก็จะทําเช่นนั้นเหมือนกัน ถ้าใครไม่เข้าใจจะมั่งคั่งได้ยากกว่า
- ผ่านมา 16 ปีแล้ว เขาเลิกพูดเรื่องบิทคอยเป็นสแกมกันได้แล้ว ถ้ามันเป็นสแกม มันตายไปนานแล้ว
ถ้าไม่เชื่อลองพิสูจน์ด้วยตัวเอง ศึกษาบิทคอยเยอะๆ
- มันพึ่งถูกกฎหมายตอนราคา 3.5ล้านเอง ให้เวลาคนที่ยังไม่รู้ ศึกษาหน่อย
- เอาอคติออกแล้วลองทำความเข้าใจ การเงิน ความเข้าใจว่าเป้าหมายมันเกิดขึ้นมาทำไม
- อย่ากลัวมัน แล้วคุณจะเข้าใจเองว่า โลกเรามันถูกครอบงำด้วยอะไรอยู่ คำตอบมันเกินคาดกว่าที่คุณคิดไว้เยอะครับ
- มันค่อยๆได้รับการยอมรับจากคนหมู่มากแล้วครับ ระดับประเทศก้เข้ามาเก็บ
- เจตนาแรกที้ผู้สร้างประกาศไว้ ไม่ได้ให้เอามาฟอกเงิน แต่สร้างมาเป็นเงินที่ถูกต้องสมบูรณ์ และไม่ให้ใครแทรกแซงได้ครับ
- ควรมี bitcoin ตามความรู้ของคุณ ถ้าไม่มีเลยก็คิดเอาเองละกัน
- พูดยากครับ ยากพอๆความเชื่อเดิมที่ว่าพิมเงินต้องใช้ทองคำค้ำ 555. เขายกเลิกไปนานแล้วก็ไม่มีคนเชื่อ
- มันจะมาแทนที่ทองคำ
- คนหมู่มากมองบิตคอยน์ในแง่ลบ เพราะคนหมู่น้อยในโลกนี้คือคน ที่ประสบความสำเร็จ555
- ดูจากหลายคอมเม้น คงมีคนจนไปนาน หลายร้อยคน
- ถ้าทุกคนรวย จะมีใครดูดส้วมให้เราละ
- ถือมาตั้งแต่ 1.4ลบ. บายใจ๋
- รัฐบาลไทย ควรมีเก็บไว้บ้าง
- เคยซื้อตอน8พัน แต่ตอนนี้หมดแล้ว
- รู้งี้ซื้อไว้ตั้งแต่เมื่อ 15 ปีที่แล้ว ซื้อทิ้งไว้สัก 100US ป่านนี้ฉันคงมีกำไรกี่ล้านละไม่รู้ เสียดาย
- สิ้นปีนี่ขึ้น5ล้านแน่ๆๆ
- เป็น แบบนี้ มา 5 - 6 ปี แล้ว พวกบอกเงินหลอกลวง เดี๋ยวก็ดับ เป็นไงล่ะ ขึ้นมายืน เป็นสินทรัพย์หลักของโลก ได้
หลังจากมีแค่เงินดอลลาร์ น้ำมัน และทองคำ ปัจจุบันมี bitcoin เข้ามาเป็นลำดับที่ 4
เริ่มเก็บตั้งแต่เมื่อปีก่อนดีแล้วตอนนี้เริ่มเห็นผล
- นอยนิดหน่อยแต่ก็ค่อยๆสะสมต่อครับ
- เก็บบิตคอยเป็นเศษก็ยังดีครับดีกว่าไม่มีเก็บเลย
- สำหรับ คนที่ไม่เข้าใจนะครับ … หนีไป ส่วนคนที่เข้าใจแล้ว ก็สะสมความมั่งคั่งต่อไปครับ 💰🟠
- stack sats, stay humble 150 บาทต่อวัน ไม่สนราคา
- อ่านเม้นแล้วสบายใจ.....ยังมีรูมให้ไปต่อ ซื้อบิทคอยได้อีกสักพัก
สรุปประเด็นคอมเม้นเชิงบวก
- กลุ่มที่สนับสนุนเน้นย้ำว่า Bitcoin ได้รับการยอมรับในระดับสถาบัน และบริษัทขนาดใหญ่ในอเมริกา (เช่น การบรรจุเป็นทุนสำหรับเกษียณ)
- บิทคอยได้ก้าวขึ้นมาเป็น สินทรัพย์หลักของโลก ที่อยู่มานานกว่า 16 ปีจนพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่แชร์ลูกโซ่
- พวกเขาแนะนำให้ "ศึกษา" อย่างจริงจัง แทนที่จะใช้ความอคติหรือความไม่รู้ตัดสิน
- หลายคนมองว่าเป็นโอกาสในการ "สะสมความมั่งคั่ง" ยิ่งนานไปคนยิ่งรู้เยอะ ของยิ่งหายาก
- เชื่อว่ามันจะมา "แทนที่ทองคำ"หรือเปรียบเทียบกับทองคำในยุคที่ถูกปั่นราคาขึ้นมา
- ผู้สนับสนุนบางส่วนยังใช้คำว่า "หนีไป" หรือการแสดงความเห็นเชิงลบเป็นการประชดเพื่อกันไม่ให้คนเข้ามาแย่งซื้อ
มาดูคอมเมนฝั่งไม่เข้าใจกันบ้าง
ฝั่งนี้สนุกนะ เพราะว่า พอมีคอมเม้นที่ให้ความรู้ผิด จะมีบรรดาบิทคอยเนอร์หรือ
คนที่เข้าใจบิทคอย เข้าไปบอกความจริง บางคนก็พูดแซะ กัดๆเจ็บๆไปบ้าง
1. บิทคอยเหมือนพวกต้นไม้บอน คนเล่นกลุ่มเล็กๆ ปั่นกันเอง
ข้อโต้แย้ง มีดังนี้
-- รัฐบาลอเมริกา เขาเก็บบิทคอย์ แต่ไม่เก็บต้นไม้บอน นะครับ
-- อันนี้คือเขาไม่รู้เหรอครับว่าอเมริกาบรรจุbtcเป็นทุนสำหรับเกษียณของอเมริกา
-- กลุ่มเล็กบ้าไร เค้าซื้อขายกันทั่วโลกแม้แต่สภาบันการเงินมา 10 กว่าปีแล้ว
ไม่รู้ก็สักแต่พูด มีnetwork รับรองในการ Transfer ไปทั่วโลก มีระบบจัดเก็บ fee
-- เล็กกี่โมง อเมริกาเอย บ.ใหญ่ๆเอย เค้าเก็บกันจะหมดละ
-- เล่นกันกลุ่มเล็กๆไม่กี่ประเทศเอง marketcap ก็นิดเดียว นิดเดียวจะแซงtop5ละ 5555555
สรุป บิทคอยไม่ใช่ของเล่นของโปรแกรมเมอร์กลุ่มเล็กๆอีกต่อไปแล้ว
เมื่อมีรัฐชาติ สถาบัน บริษัทใหญ่เริ่มเข้ามาเก็บ นั่นหมายความว่า บิทคอยมี potential มากพอ
ในนี้ บิทคอยยังอยู่ในจุดเริ่มต้นเท่านั้น
2. สิ่งสมมุติที่มนุษย์สร้างกันขึ้นมา เงินปลอมๆมีแต่ราคา แต่ไม่มีมูลค่าอะไร สุดท้ายก็เอามาปั่นป่วนกันเอง
ข้อโต้แย้งมีดังนี้
-- เงินกระดาษก็สิ่งสมมติ เราทำงานแทบตายเพื่อให้ได้มันมา
-- คนก็พูดงี้ตั้งแต่ 3 แสน แต่ก็ดีแต่พูด ไม่เคยศึกษาหาอ่านว่ามันคืออะไร
-- เงินเฟียตนี่เทพจากที่ไหนสร้างหรือ? เงินกระดาษที่ปริ้นแบบไม่จำกัดค้ำเงินด้วยหนี้ กลายเป็นเงินกงเต๊กเพราะถ้าดูมูลค่าเป็นจะรู้เลยว่ามันเสียมูลค่าไป 99% แล้ว แต่ที่คนยังใช้อยู่เพราะรัฐบังคับให้ใช้มันเป็น Legal tender
สรุป ไม่ว่าสินทรัพย์อะไรก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างมาและให้ค่ามันเองทั้งนั้น
สาเหตุที่บิทคอยเกิดขึ้น เพราะเงินเฟียตมันเสื่อมค่าลง ถ้าหากเงินเฟียตมันเก็บมูลค่าได้ บิทคอยจะไม่จําเป็นอีกต่อไป
3.พวกขยะสังคมทั้งนั้น เอาเงินผิดกฎหมายไปซื้อ เงินสกปรก สมุนอาชญากร
คอมเม้นนี้เป็นสิ่งที่สื่อควบคุมข่าวให้ประชาชนรับรู้และถึงแต่ด้านแย่ๆของบิทคอยแบบนี้โดยไม่หาคําตอบที่แท้จริง
สรุป บิทคอยมีคุณสมบัติเป็นเงินที่ดีครับ ซึ่งหมายถึง ใครจะใช้เงินนี้ในการแลกเปลี่ยนก็ได้
ไม่ว่าจะเป็นคนดี คนไม่ดี เพราะหน้าที่ของบิทคอยคือใช้แลกเปลี่ยนสินค้า
4. บิตคอยเหมือนกล้วยด่าง ล่อเเมงเม่าบินเข้ากองไฟ สมัยจตุคามก็ราคาดีแบบนี้แหละ
ข้อโต้แย้งมีดังนี้
-- ไม่เหมือนครับ btc มีการยอมรับและกระจายทั่วโลก และในอนาคตจะมีการยอมรับและใช้งานมากขึ้นครับ
-- จตุคามที่เอามาเทียบ มันดับแล้วเกิดขึ้นมาใหม่ได้มั้ย?
-- รอดูต่อไปครับ วันไหนมีความรู้ ค่อยเก็บ เอาใจช่วยครับ
สรุป หลายๆคนยังคิดว่า บิทคอยคือเงินดิจิตอลที่ไร้มูลค่า ไม่รู้จะมูลค่าจะหายไปวันไหน เป็นแค่เทคโนโลยีที่
ผ่านมาสักวันก็ผ่านไป แต่อยากให้ศึกษาลึกๆจะรู้ว่า โลกของเราไม่มีเทคโนโลยีปฏิวัติการเงินมาก่อนนะครับ
บิทคอยคือตัวเดียวที่กําลังทําสิ่งนั้นอยู่
5 บิทคอยใช้เพื่อฟอกเงิน แหล่งฟอกเงินเทา ขึ้นแรงเพราะรัฐบาลแต่ละประเทศคุมเข้ม
ข้อโต้งแย้งมีดังนี้
-- ฟอกได้หมดแหละ เงินสด ที่ดิน ทองคํา ธุรกิจ
-- เงินสดก็ฟอกเยอะกว่าหลายเท่า
สรุป การฟอกเงินด้วยบิทคอยนั้น มันติดตามเส้นทางการโอนได้หมดนะครับ
เพราะบิทคอยมีระบบ network แบบกระจายศูนย์ ข้อมูลทุกอย่าง ทุกคนเปิดดูได้ตลอดเวลา ไม่ต้องไปขอธนาคารหรือตัวกลางไหนเลย ดังนั้นเหมือนที่คอมเม้นบอกเลย ถ้าจะฟอก ทําได้หมดไม่ว่าสินทรัพย์ไหน ยิ่งเงินเฟียตฟอกง่ายกว่าอีก แถมตามตัวยากกว่ามากด้วย ส่วนการขึ้นลงของบิทคอย ปัจจัยที่มีผลที่สุดไม่ใช่รัฐบาลนะครับ แต่เป็นเงินเฟ้อ และความตื่นรู้ของ คนในโลกที่นับวันยิ่งเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ
6 วันหนึ่ง จะมีคนเก่ง เขียนโปรแกรมหรือแฮก เพิ่มบิทคอยขึ้นมาเองได้ แล้วมันจะเหลือศูนย์
ข้อโต้งแย้งมีดังนี้
-- มันมีคนก็อปโค้ดบิทคอยน์มาทำเหรียญใหม่เป็นแสนๆเหรียญแล้วจร้าา
--คนเก่งๆทำได้เลยครับ ทำให้เหมือนยังได้ แต่ที่ไม่เหมือนคือกำลังขุด กับโหนด ที่กระจายไปทั่วโลก
--พูดแบบนี้แสดงว่าไม่ได้เข้าใจระบบฉันทามติของบิตคอยน์ (Proof of Work) เลย
-- ถ้าเก่งขนาดนั้น ไปแฮกบัญชีธนาคารไม่ดีกว่าเหรอ
สรุป ข้อมูลนี้คือความเข้าใจผิดที่คลาสสิคที่สุดแล้ว สักวันบิทคอยโดนแฮก มันจะเหลือศูนย์ เดี๋ยวก็มีบิตคอยสอง
ข้อนี้อยากให้ไปดูคลิป ความเสี่ยงของ BTC พูดจริงแบบไม่อวย EP33 น่าจะเข้าใจมากขึ้น
7.ถ้าบิทคอยดีจริง ทําไมคนฉลาดอย่าง วอเรน บัพเฟต ไม่ซื้อ? เขาไม่สนใจมันด้วยซํ้า
ข้อโต้แย้งมีดังนี้
-- วอเรนไม่ได้เก่งทุกเรื่องครับ บางเหตการณ์แกก็มีพลาดครับ แกจะลงทุนในสิ่งที่แกมั่นใจจริงๆ
สรุป การเอาบุคคลที่สําเร็จในระบบ TredFi มาวัดคุณค่าใน DeFi มันไม่ค่อย make sense นะครับ
แต่ละคนมีความรู้ ความเข้าใจ ความถนัดไม่เหมือนกัน อีกอย่าง ผมเคยพูดไปในคลิปก่อนๆแล้วว่า
คนที่รวยมากๆ หาเงินได้ชนะเงินเฟ้อมากๆอยู่แล้ว
คนที่ประสบความสําเร็จในโลกเงินเฟียต บิทคอยไม่จําเป็นเลยครับ
สรุปประเด็นคอมเม้นเชิงลบ
- กลุ่มคัดค้านมองว่า บิทคอย เป็นเพียง "สิ่งสมมุติ" ที่ไร้มูลค่า ไม่มีอะไรค้ำประกัน
- เป็นแค่ "แชร์ลูกโซ่"หรือ "สแกม"ที่มีแต่กลุ่มเล็กๆ ปั่นกันเอง
- บิทคอยถูกปั่นโดยพวกมีอิทธิพล/โจรระดับโลก
- ข้อกล่าวหาที่พบบ่อยคือ บิทคอยถูกใช้เป็น "แหล่งฟอกเงิน" เป็นความเข้าใจผิดจากสื่อหลักที่บิดเบือน
- คอมเมนต์เชิงเตือนเปรียบเทียบนักลงทุนเป็น "แมงเม่า"ที่บินเข้ากองไฟ
- บางคนเปรียบเทียบกับกระแสที่เคยดับไปอย่าง "จตุคาม" หรือ "กล้วยด่าง"
ข้อมูลนี้มันบอกอะไรเราบ้าง
1 ผมรู้สึกประหลาดใจอัตราส่วนของคนที่เข้าใจบิทคอยนะครับ เพราะคิดว่ายังไง ถ้ามีสัก 10% ก็เยอะมากแล้ว แต่นี่มีถึง
50% ที่ผมอ่านเม้นแล้วรู้เลยว่าพวกเขาคือบิทคอยเนอร์ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ที่ใช้ตอบ หรือ การถกเถียงประเด็นต่างๆ
2 บางคนอาจจะดีใจที่บิทคอย ราคาพุ่งขึ้นทำ ATH บางคนดีใจ/เสียใจ/เสียดายโอกาสในการถือในราคาที่ถูกกว่านี้
แต่สิ่งที่น่ากลัวที่แฝงอยู่ในข่าวนี้คือ สภาวะเงินเฟ้อ ที่นับวันยิ่งมากขึ้นไปเรื่อยๆ
ไม่กี่วันก่อนมีข่าวทองขึ้นไป 60k คนแห่งไปถอนกันเต็มเลย
ในหัวผมมีแต่คำถามว่า คนที่ไม่มีสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่าในอนาคตจะอยู่กันยังไง??
สัญญาณแบบนี้ ผมได้กลิ่นความชิบหายในอนาคตเลย ต่อไปอาจจะเกิดสภาวะ hyperinflation
3 ส่วนคอมเม้นที่ไม่เห็นด้วย หรือ เข้าใจบิทคอยแบบผิดๆ ผมคิดว่าในอีก 5-10ปีข้างหน้า ความเชื่อพวกนี้ก็ยังอยู่
อยากให้ลองศึกษาและเปิดใจดู มุมมองของโลกการเงินทั้งใบอาจจะเปลี่ยนก็ได้นะครับ แต่เรื่องนี้เป็นทางเลือกของแต่ละคน
คุณจะไม่สนใจหรือยังคงอคติต่อบิทคอยต่อไป ก็ไม่มีใครว่าอะไร
สุดท้าย ซื้อบิทคอยตอนนี้ทันมั้ย
- บอกเลยว่าถ้าไม่ซื้อนั้นแหละ จะซวย เงินเฟ้อหนักขนาดนี้ ฝั่งอเมริกาพิมพ์เงินมากขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าไม่ออมบิทคอย เหมือนคุณกำลังว่ายน้ำในมหาสมุทรโดยไม่มีเสื้อชูชีพเลยนะ
- อยากให้มองบิทคอย คือทางรอดจากระบบเงินเฟียตที่เสื่อมค่าลงตลอดเวลา
ถ้าใครหาสินทรัพย์ที่ชนะเงินเฟ้อ 6-8% ได้ทุกปี ก็ไปสิ่งนั้น
แต่ผมเลือกบิทคอย เพราะทําให้ชีวิตง่ายขึ้นมาก แถมไม่จนลงด้วย
- มีคําพูดในช่องที่ผมชอบมาก ขออนุญาตพี่เจ้าของมาแล้ว เขาบอกว่า
"โลกนี้มันเพี้ยนตรงที่ตัวเงินมันออมไม่ได้ ต้องไปออมเป็นสินทรัพย์อื่น"
โคตรเห็นภาพชัดเจน คือ ถ้าเงินเฟียตมันไม่เสื่อมค่า เราจะต้องออมสินทรัพย์อื่นให้เหนื่อยทำไม
บิตคอยก็จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย
- ถ้าคุณเริ่มเห็นความเพี้ยนของระบบการเงินโลก คุณจะรู้ว่า ซื้อบิทคอย ทันเสมอ เพราะเงินในมือคุณ
ที่เปลี่ยนเป็นบิทคอยแล้ว มันจะไม่เสื่อมค่าลงเหมือนเงินเฟียต และสินทรัพย์ที่อ้างอิงกับเงินเฟียต
- ถ้าเทียบกับเงินเฟียต 1BTC 4 ล้านบาทมันแพงมาก แต่ในโลกที่ยังพิมพ์เงินกระหนํ่าแบบนี้ต่อไป
รัฐไม่มีท่าทีจะหยุดพิมพ์เงิน ต่อไปเงินเฟ้อจะมากขึ้นไปอีก ผมว่าในอีก 5-10 ปี ข้างหน้า ถ้าหากเรากลับมาดูคลิปนี้
หลายๆคนอาจจะคิดว่าบิทคอยราคา 4 ล้านบาท อาจจะถูกมากก็ได้นะ
สรุป
1 จากข่าว บิทคอยทำ ATH ที่4ล้านบาทไทยนั้น แสดงให้เห็นว่า คนที่เข้าใจบิทคอย และถือบิทคอยอยู่มีมากขึ้น
กว่าแต่ก่อน หลายๆคนเข้าไปให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน และตรงประเด็นมากๆ
ผมว่าคนไทยรู้จักบิทคอยมากขึ้นหลายเท่าเลย เป็นนิมิตหมายอันดี
2 ความชัดเจนที่เริ่มในการอนุมัติ Bitcoin ETF ในปี 2024 เป็นจุดเริ่มต้นของการเกิด bitcoin adoption
ไม่ว่าจะเป็นรัฐชาติ สถาบัน บริษัทเริ่มเก็บบิทคอย มลรัฐในอเมริกาเริ่มมีกฏหมาย bitcoin reserve ผ่าน
ทําให้หลายๆคนเริ่มมีความมั่นใจที่จะถือบิทคอยมากขึ้น
3 ด้วยราคาของบิทคอยที่พุ่งขึ้นมาเรื่อยๆทำให้ดึงดูดความสนใจของคนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคนที่รู้จักอยู่แล้ว หรือไม่รู้จัก
4 อคติหรือความเข้าใจผิดๆ ยังคงมีอยู่ต่อไป สิ่งที่พอทําได้คือให้ข้อมูลที่ถูกต้อง แต่เขาจะเปิดใจรับมั้ย นั่นเป็นเรื่องของเขาเอง
5 สิ่งที่น่ากลัวที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ไม่ใช่แค่ เราจะได้ซื้อบิทคอยที่แพงขึ้น แต่มูลค่าของบิทคอย มันสะท้อนถึง
เงินเฟียตที่เฟ้อมากขึ้นเรื่อยๆด้วยเช่นกัน เราจะต้องเตรียมรับมือกับ ข้าวของแพงขึ้นไปอีก
6 ในสภาวะเงินเฟ้อมากขนาดนี้ ในเมื่อบิทคอยคือทางรอดเดียว ดังนั้นคําถามไม่ใช่ ซื้อตอนนี้ทันมั้ย
แต่ถ้าไม่ซื้อ คนจะกลายเป็นคนที่จนลงไปเรื่อยๆ ใช้ชีวิตลําบากขึ้น ถ้าคุณมั่นใจว่าตัวเองสามารถหาเงินได้ชนะเงินเฟ้อที่แท้จริง
6-8% ทบต้นได้ตลอด บิทคอยไม่จําเป็น แต่ถ้าไม่ใช่ ถือบิทคอยเลยครับ ไม่ต้อง all-in ค่อยๆเริ่ม ค่อยศึกษา
7 อยากที่บอกว่า ไม่ว่าจะเริ่มออม หรือซื้อบิทคอยที่ราคาเท่าไหร่ เงินจํานวนนั้นของคุณก็จะไม่เสื่อมลงไปเหมือนเงินเฟียต
แค่นี้ คุณก็ใช้ชีวิตได้สบายกว่า คนที่ยังติดอยู่ในโลกเงินเฟียตมากแล้ว
8 บิทคอยซื้อตอนไหนก็ทัน เพราะเงินคุณมันไม่เสื่อมค่าอีกต่อไป แต่ถ้าซื้อช้า ก็จะได้บิทคอยน้อยกว่าคนที่ซื้อก่อน
เพราะเงินเฟ้อมันไม่รอใคร
#siamstr #satsandsound #btc #bitcoin #ATH
ทําไมผม ขายหุ้น ทิ้ง แล้วมาถือ Bitcoin - Sats And Sound Ep.59
https://youtu.be/OVCoi9is6Gk
Disclaimer อันนี้เป็นความเห็นและประสบการณ์ส่วนตัวเท่านั้น ฟังแล้วอย่าเพิ่งเชื่อ don't trust , verify.
ผมเป็นมนุษย์เงินเดือน เริ่มทํางานมา 10 ปีกว่าแล้วๆ ตั้งแต่เริ่มทํางาน ผมก็ศึกษาเรื่องการเงิน การลงทุน มาตลอด
เนื่องจาก ผมเองอยากจะพัฒนาชีวิตตัวเองให้ดีขึ้น มีเงินเยอะขึ้น มั่นคงขึ้น ครอบครัวผมฐานะปานกลางค่อนไปทางจน
เราก็อยากจะถีบตัวเองขึ้นมาให้มีชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่
พอศึกษาเราจะได้ยินหลายๆคํา เช่น
- เงินเฟ้อ
- หุ้น กองทุนรวม ตราสารหนี้
- passive income
- อิสระภาพทางการเงิน
ผมก็ได้ไปฟังกูรูทางด้านการเงิน วางแผนการเงินส่วนบุคคล ทําให้ผมได้ความรู้ "พื้นฐานแบบเฟียตๆ" 3 ข้อดังนี้
1 เงินเฟ้อในประเทศไทยเฉลี่ย 2-3% ทบต้น (มารู้ที่หลังว่ามันไม่จริง)
2 ในอดีตแค่ฝากธนาคารก็มีดอกเบี้ยเยอะมากจนเป็น passive income แต่ปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝาก แค่ 0.25%
พอรู้เราจะดูถูกเงินออมก่อนเลย ได้น้อยเกิน ออมอย่างเดียวไม่รวย (มารู้ที่หลังว่า ต้องออมให้ถูกสินทรัพย์ มันก็เวิร์คนะ)
ออมอย่างเดียวไม่ได้ เราต้อง "ลงทุน" ถึงจะชนะเงินเฟ้อ และรวยเหมือนที่หวัง
วิธีคือ เราจะต้องหาสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนที่มากกว่า "เงินเฟ้อ" ยิ่งมากยิ่งดี ยิ่งรวยเร็ว
อัตราผลตอบแทนต่อปีเฉลี่ยในระยะยาวของสินทรัพย์แต่ละประเภท
- พันธบัตรรัฐบาล/ตราสารหนี้ 2-3% ต่อปี (เงินเฟ้อแบบเฟียตๆ)
- ทองคํา 6-10% ต่อปี
- กองทุนรวมหุ้นไทย 7-10% ต่อปี
- หุ้นไทยรายตัว 7-12% ต่อปี
3 ยิ่งเราออมและลงทุนเร็ว เราจะมี passive income และ อิสระภาพทางการเงิน ในที่สุด
เริ่มจากการ เก็บเงินสํารองฉุกเฉิน 3-6 เดือน และเริ่มลงทุนในหุ้น แบบ DCA ผ่านไป 10 ปีข้างหน้า เราจะรวย
จากข้อมูลสามข้อนี้ บวกกับความรู้ทางการเงิน แบบเฟียตๆ พร้อมความมุ่งมั่น ความตั้งใจ ไฟในตัวอย่างเต็มที่
ผมจึงตัดสินใจเลือกลงทุนในหุ้นรายตัวทันที เพราะผลตอบแทนมากที่สุด
ในระยะยาวถ้าทบต้นไปเรื่อย เราจะรวยอย่างคาดไม่ถึง
ผมคิดว่าตัวเองจะเป็นสาย VI เก็บปันผลกินไปเรื่อยๆ สมัยก่อนมีพอร์ต 5-10 ล้านเกษียณได้แล้วนะ
ฝันหวานอยู่ได้ไม่นาน คําถามแรกคือ
เราจะเลือกหุ้นตัวไหนดีหล่ะ???
ตอนนั้นไม่มีโบรกเกอร์นอก ที่ราคาถูกเหมือนในตอนนี้ ทําให้ผมดูหุ้นไทยล้วน
หุ้นใน SET มีหลายร้อยตัว ซึ่งเรามีหน้าที่ต้องไปศึกษาข้อมูลบริษัท
- ดูเทรน ,ดูความสามารถในการแข่งขัน, ฟัง op day
- ดูเอกสาร 56-1 , ข้อมูลทางบัญชี
- อัตราส่วนที่ใช้วิเคราะห์มูลค่าหุ้นมากมาย เช่น EPS, ROE, P/E Ratio ,
P/BV Ratio, Dividend Yield, D/E Ratio
จากการทําการบ้าน แบบมือใหม่ งูๆปลาๆ ผมก็ได้หุ้นมา 3 ตัว คนละ sector กะว่าแต่ละเดือนจะ dca เท่าๆกันไปเรื่อยๆ
หลังจาก DCA ไปได้ 6 เดือน ผมพบว่า มูลค่าหุ้นมันมีขึ้น มีลง
แล้วพอเราไปหาข้อมูลหุ้น ปรากฏว่า
มันมีหุ้นตัวที่ดีกว่าตัวที่เราลงทุนนี่หว่า ด้วยการเป็นวัยรุ่นสร้างตัวใจร้อน FOMO
ผมก็เลือกที่จะ ขายหุ้นตัวเดิม ไปซื้อหุ้นตัวใหม่ทันทีโดยไม่สนใจว่า กําไร-ขาดทุนเท่าไหร่ (ความชิบหายที่ 1)
แล้วในชีวิต first jobber เราไม่เคยมีเงินใช้เองมาก่อน พอมีเงินใช้เอง ผมก็กิน เที่ยว ซื้อของ ซื้อความสุขบ้าง
ถึงผมจะมีการวางแผนการเงินรายเดือน แต่พอเอาเข้าจริงบางเดือนเงินก็ไม่พอ เพราะไม่เคยทํารายรับรายจ่าย
(ความชิบหายที่ 2)
พอเราไม่รู้ เงินเข้าเงินออกที่แท้จริง
ในบางครั้งต้องใช้เงินฉุกเฉิน เงินสํารองใช้หมดไปแล้ว ก็ต้องขายหุ้นออกมาเอาเงินไปใช้ก่อน (ความชิบหายที่ 3)
พอเราไม่เห็นตัวเลข รายจ่ายรายเดือนรวมกับ ค่าใช้จ่ายมันคุมไม่ได้ ทําให้ แผนการ DCA หุ้นนั้น ทําได้อย่างไม่สมํ่าเสมอ
ลงบ้าง ไม่ลงบ้าง ไม่มีเงินก็ไม่ได้ลง ทําให้ ผมไม่ค่อยได้ติดตามพอร์ตการลงทุนของตัวเองอย่างเคร่งครัด
(ความชิบหายที่ 4)
พอผ่านไปสัก 1 ปี ผมก็ได้ไปศึกษาเพิ่มเติมรู้ว่า ถ้าหุ้นรายตัวมันยาก เราไปลงกองทุนรวมหุ้นก็ได้ แนะนําตัวกองทุนหุ้นดัชนี SET50 ค่าธรรมเนียมตํ่า เหมาะกับการลงทุนระยะยาวเพื่อการเกษียณ ผมก็แบ่งเงินต่อเดือนนิดๆหน่อยๆ แบบสะเปะสะปะ
ลงไป
สรุป 1 ปีแรกของการเริ่มลงทุนในหุ้น
- การลงทุนไม่สม่ำเสมอ ไม่ติดตามพอร์ตการลงทุน
- ไม่ทํารายรับรายจ่าย ทําให้ไม่รู้ว่าเงินแต่ละเดือนเราใช้อะไรไปบ้าง
- ยังสนุกกับชีวิต คล้ายๆกับวัยมหาลัย ใช้เงินไม่คิด
- ยังเป็นมือใหม่ ที่ไม่มีความรู้ และประสบการณ์ แต่เลือกที่จะกระโดดเข้ามาในสนามลงทุน โดยคิดง่ายๆว่า
"แค่ใส่เงินไปเรื่อยๆ 10 ปีเราจะรวย ไม่ต้องดูอะไรมาก ทั้งหุ้นทั้งกองทุนก็ใส่ๆไป เดี๋ยวดีเอง"
เวลาผ่านไปเข้าปีที่ 3-5 ของการลงทุนในหุ้น
ผมก็ยังทําตัวเหมือนเดิมเลย ไม่ค่อยได้ศึกษาอะไรมาก ลงทุนไม่สมํ่าเสมอ ไม่ติดตามพอร์ตการลงทุน
แต่ผมเริ่มฟังข่าวมากขึ้น แล้วพอมันมีกูรูมาบอกว่า วิกฤตกําลังใกล้เข้ามา ให้ขายหุ้นเก็บเป็นเงินสดแทน
ผมก็เชื่อและทําตามนั้น หรือ ถ้าเขาบอกว่า หุ้นตัวนี้ดี ผมก็เชื่อขายหุ้นที่มีแบบขาดทุน มาถือตัวที่ "เขาว่าดี"
(ความชิบหายที่ 5)
5 ปี ชิบหายขนาดนี้ ถ้าไม่เจ๊งจะแปลกมาก แต่ยังไม่จบเท่านั้น....
พอเข้าช่วงปีที่ 10 ของการทํางาน ที่มาพร้อมโควิด19
- พอร์ตหุ้น 10 ปีของผม ไม่ได้โตขึ้นเลย แถมขาดทุนด้วย เพราะ ซื้อๆขายๆ ถือไม่นาน ปันผลก็ไม่ได้นํามา re-invest
- ผมได้แต่นั่งโทษตัวเองว่าเราไม่เก่ง เราหาเงินไม่มากพอ
- ช่วงนั้น เจอสินทรัพย์แบบใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น gamefi altcoin โดนรับน้องไปอีกหลักแสน ไปดูคลิปกันได้
10 ปีที่คิดว่าตัวเองมีวินัย รู้เรื่องการเงิน การลงทุนพอตัว แต่พอพอร์ตหุ้นเจ๊งไม่เป็นท่าแบบนี้
ทําให้ผมกลับมาตั้งคําถามกับตัวเองใหม่
ความชิบหายทั้ง 5 ข้อบน รวมกับนิสัยการเงินผิดๆ ตลอด 10 ปี มันทําให้ผม ไม่ประสบความสําเร็จในการลงทุนในหุ้น
แต่ในความเศร้า สิ้นหวัง ก็มีหนึ่งอย่างที่ผมอยากขอบคุณตัวเอง นั่นก็คือ ผมได้รู้จักและค่อยเริ่มศึกษาบิทคอย
ช่วงแรกๆผมก็ไม่ได้รู้อะไรมาก แค่รู้สึกว่ามันเป็นเหรียญแรก ราคาแพง
พอผ่านไป 1-2 ปี เมื่อลงไปในหลุมกระต่าย ผมได้พบความจริงเกี่ยวกับ หุ้น การลงทุน และ เงินเฟ้อ ที่เปลี่ยนความคิดผมไปตลอดกาล สิ่งที่เราคิดว่าเราทําถูก สิ่งที่เขาว่ามันดีอยู่แล้ว ที่แท้ มันมีเบื้องหลังที่เต็มไปด้วย หลอกลวง และผลประโยชน์มากมาย
1 เงินเฟ้อที่แท้จริงนั้น ไม่ใช่ 2-3% แต่เป็น 6-8% แบบทบต้น
(โดนหลอกตั้งแต่แรกเลย)
- ตัวเลข 2-3% เอามาจาก CPI ซึ่งเป็นตัวเลขที่รัฐบาลแต่งได้
เพื่อให้เงินเฟ้อดูไม่มาก
- เงินเฟ้อจริงๆต้องดูที่ M2 หรือ money supply
ดูง่ายๆในตอนนี้ ของโคตรแพงทุกอย่าง คุณเชื่อเหรอว่าเงินเฟ้อแค่ปีละ 2-3%
2 ระบบการเงินโลกมันถูกออกแบบมาให้ทุกคนในระบบ "จนลง" อย่างอัตโนมัติ ใครที่จะไม่รู้ก็ติดอยู่ในโลกเงินเฟียตตลอดชีวิต
เงินในมือที่มีมันเสื่อมค่าลงเรื่อยๆ
FED พิมพ์เงินออกมามหาศาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จ่ายหนี้ ทําสงคราม
ธนาคารพาณิชย์ ใช้ระบบ fractional reserve banking ทําให้เกิดเงินในอากาศออกมามากมาย ไม่ว่าคุณจะฝากเงิน หรือ กู้เงิน
มันจะเป็นเงินใหม่ที่เขาพิมพ์ออกมาทั้งนั้น อยากให้เข้าไปดูคลิป ระบบการเงินโลก ที่มีบางคนไม่อยากให้เรารู้
คลิปนั้นจะเบิกเนตรใครหลายๆคนได้เลยครับ
3 ระบบการเงินโลก การพิมพ์เงิน เงินเฟ้อ มันเฮีย แต่มันก็จะไม่หยุด เพราะมันมีกลุ่มคนที่อยู่ใกล้แหล่งพิมพ์เงินได้ประโยชน์
ระบบเงินเฟียตมันฝังรากลึกในทุกอย่างในสังคมไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น อาหาร สุขภาพ การศึกษา การใช้ชีวิต หรือแม้แต่ในสื่อต่างๆ
เราเกิดมาพร้อมสิ่งนี้ ทําให้เราคิดว่ามันถูกต้อง ควรจะเป็น และไม่เคยตั้งคําถาม กับเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นเลย
4 เมื่อเงินเฟ้อมากขึ้น เงินในมือเสื่อมค่า ทําให้ทุกคนที่ไม่อยากจน ดูถูกการออม และต้องกระโดดเข้ามาในโลกของการลงทุน
ทั้งๆที่ไม่มีทักษะ ประสบการณ์ (เหมือนกับผมที่ลงทุน 10 ปี คืนตลาดไปหมด)
5 อัตราผลตอบแทนหุ้น ที่เขาบอกว่าเฉลี่ย 7-12% นั้น สําหรับผมมันหาได้ยากมากๆ เพราะใน 10 ปีผลได้ไม่ถึง 3-4%
เท่านั้นซึ่งแพ้เงินเฟ้อขาดลอย นั่นหมายความว่า เราต้องมีความสามารถในการเลือกหุ้นที่ดีในราคาเหมาะสมให้เป็นด้วย
ซึ่งผมสอบตกในข้อนี้ ผมไม่เหมาะกับการลงทุนในหุ้น
ถ้าหากคุณหาข้อมูลหุ้นเป็น จับจังหวะ การลงทุนเป็น คุณก็ยังทํากำไรจากหุ้นได้อยู่นะครับ
ไม่ว่าจะเป็น VI หรือ day trade แต่ผมไม่ได้มีทักษะแบบนั้น ผมจึงเลือกทางเดินอื่นแทน
6 ในตลาดหุ้นนั้นมี "เจ้าตลาดคอยควบคุม" ราคาให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ หลายๆครั้งที่เราเห็นข่าวความไม่ชอบมาพากล
ของราคาหุ้นในตลาด หรือ ข่าวการตกแต่งบัญชี หรือ การทุจริตต่างๆของบริษัทในตลาดหุ้น
คําถามคือ คุณจะเอาเงินคุณไปเสี่ยงกับปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้อย่างนี้เหรอ?
7 เมื่อเรากลับไปดู อัตราเงินเฟ้อที่แท้จริง อยู่ประมาณ 6-8% ซึ่งใกล้เคียงกับผมตอบแทนเฉลี่ยของ หุ้น หรือ กองทุนดัชนี SET50 นั้นหมายความว่า การที่คุณถือ หุ้นหรือกองทุนที่ผลตอบแทนเท่าเงินเฟ้อ คุณเสมอตัวนะ ไม่ได้กําไรเลย
ซึ่งการที่หุ้นราคาเติบโตไปตามเงินเฟ้อ มันไม่ได้เกิดจาก บริษัทเติบโต แต่มันเกิดจาก เงินเฟ้อที่อัดเข้ามาในระบบ
พอคนไม่รู้เอาเงินไปไว้ไหน ก็จะไปซื้อหุ้น ซื้อกองทุน SET50 หรือ S&P500 อะไรแบบนี้
8 กราฟมูลค่าหุ้นที่มันพุ่งขึ้น สูงขึ้น ตลอดเวลายิ่งเป็น หุ้นอเมริกาอะ คุณลองเอามูลค่าหุ้นเทียบกับทองคํา หรือ บิทคอยดู
จะพบความจริงที่ว่า หุ้นไม่โตมาหลายปีแล้ว
เท่ากับว่า
- ถ้าเลือกหุ้นถูกตัว ชนะเงินเฟ้อ รวยขึ้น (ยากที่สุด)
- ถ้าคุณซื้อหุ้นทั่วไป ถึงจะไม่แพ้เงินเฟ้อ ไม่รวย เท่าทุน
- ถ้าคุณซื้อหุ้นแย่มาก แพ้เงินเฟ้อ คุณจะจนลง (ง่ายที่สุด)
(แถมเสียโอกาสในการถือสินทรัพย์ที่ดีกว่าด้วย)
9 ในปีหลังๆในการถือหุ้น ผมสนใจพวกกองทุนส่วนบุคคลที่ เราแค่ใส่เงินเข้าไป แล้ว โรบอทจะจัดการพอร์ทให้เราเอง
ซึ่งผลออกมา ขาดทุนยับ
ระบบเงินเฟียต ฝังหัวเราให้เชื่อใจตัวกลางครับ ไม่ว่าจะเป็นแบง ฝากเงิน ทําธุรกรรม ซื้อขายหุ้น
หรือ ผจก กองทุน ที่มีความรู้ ความสามารถ มันทําให้เราไม่ตั้งคําถามเลยว่า แท้ที่จริงแล้ว เขาดูแลเงินเราดีแค่ไหน
ด่าหุ้นมาเยอะ แล้ว บิทคอยที่อวยหนักหนา มันดีกว่าหุ้นรายตัวยังไง
ทําไมผมถึงขายหุ้น มาถือบิทคอยแทน
1 บิทคอยไร้ตัวกลาง ไม่มีใครสามารถควบคุมได้ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และที่สําคัญ มันเป็นสินทรัพย์เดียวที่ไม่เฟ้อ
เพราะมีโค้ดที่ทําให้ถูกสร้างได้อย่างจํากัดแค่ 21 ล้านเหรียญ
ต่างจากหุ้น ที่มีทั้งเจ้า ทั้งคนควบคุมราคา
2 ผลตอบแทนของบิทคอย ชนะทุกสินทรัพย์บนโลก ในตอนนี้
สินทรัพย์ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี (CAGR)
- ทองคํา ประมาณ 5-10%
- S&P 500 ประมาณ 12- 15%
- Bitcoin 80-105%
ถึงในอนาคตผลตอบแทนบิทคอยจะลดลง แต่อย่างไรก็ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ
3 บิทคอยทําความเข้าใจง่ายกว่า แค่ศึกษา ซื้อและเก็บให้ปลอดภัย เท่านี้เลย แต่หุ้นนั้นเราต้องทําการบ้านเยอะมาก
ไหนจะมีความเสี่ยงเรื่องอื่นๆอีก
- เราต้องไปเลือกหุ้น ไม่กี่ตัวใน หลายพันตัว
- ถ้าถือกองทุนหุ้น กระจายความเสี่ยงมากกว่า ผลตอบแทนน้อยกว่า และมีค่าธรรมเนียมกองทุน
ในเมื่อเราเข้าใจแล้วว่า บิทคอยดีกว่าหุ้นในหลายๆเเรื่อง
- ผลตอบแทนระยะยาวดีกว่า
- ทําความเข้าใจง่ายกว่า ไม่ต้องสแกนหุ้นหลายพันตัว
- ไร้การควบคุม โปร่งใส ตรวจสอบได้
- ระบบการเงินใหม่ที่ดีกว่าระบบเงินเฟียตแบบเดิมๆ
4 เราจะเป็นเจ้าของบิทคอยได้อย่างแท้จริงด้วยการเก็บใน HW เวลาจะซื้อ ขาย โอน ทําได้เองไม่ต้องพึ่งพา ตัวกลางหรือ ความเชื่อใจจากใคร ต่างจากหุ้น ที่เราต้องทําธุรกรรมผ่านตัวกลางทั้งหมด บิทคอยแค่จํา seed 12-24 คํา นําไปใช้ได้ทั่วโลก
แต่หุ้นนั้นทําแบบนี้ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนเป็นเงินเฟียตก่อน
5 การถือหุ้น คือ การถือเงินเฟียตที่จะทําให้คุณติดกับดักที่ต้องวิ่งตามเงินเฟ้อจนเหนื่อย
แต่การถือบิทคอย คุณได้ออกมาจากโลกของเงินเฟียต ไปสู่อิสระในการใช้ชีวิตอย่างแท้จริง
ตั้งแต่ผมถือบิทคอย มันทําให้ผม มีกําลังใจ และ เห็นอนาคตของตัวเองในการใช้ชีวิตไปข้างหน้า
ต่างจาก 10 ปีที่ถือหุ้น ผมไม่เคยรู้สึกหายเหนื่อย และรู้สึกว่า เราไม่มั่นคง เราเงินไม่พอใช้อยู่ตลอดเวลา หาเงินยังไงก็ไม่ทัน
เพราะเงินมันเสื่อมค่านั่นเอง
แล้วหุ้นไทย อย่างที่รู้ๆกันว่า 10 ปี มูลค่าเท่าเดิม ในตอนนี้คนไทย ไปถือหุ้นอเมริกากันเยอะมาก
เพราะมี โบรคเกอร์ ที่สะดวกมาก แต่ผมไม่ได้ซื้อหุ้นนอกนะ เพราะอย่างที่บอกว่า หุ้นมันโตมาเงินเฟ้อ ไม่ได้โตตามผลประกอบการ ดังนั้นมูลค่าปลอมๆของมันจะขึ้นๆลงๆตาม ข่าว วิกฤต หรือ คําพูดของผู้นำ การประกาศเพิ่ม-ลด ดอกเบี้ยของ FED
ลองคิดง่ายๆว่า เงินที่เราหามาอย่างยากลําบาก สินทรัพย์ของเรา มาขึ้นๆลงๆ ง่ายๆ ด้วยคําพูดของคนพวกนี้เนี้ยะนะ??
ผมศึกษาบิทคอยอยู่1-2 ปี แล้วค่อยๆทะยอยเปลี่ยนหุ้นที่มีมาเป็นบิทคอยหมดเลยครับ
ตอนนี้ผมไม่เคยต้องกังวลว่า FED จะขึ้น-ลดดอก แล้วหุ้นจะขึ้นจะลง เพราะผมออกมาจากระบบเงินเฟียตเรียบร้อยแล้ว
สรุป
1 การถือหุ้น คุณก็ยังติดอยู่ในโลกเงินเฟียตที่เสื่อมค่า อาศัยตัวกลาง อาศัยความเชื่อใจ
ต่างจากบิทคอย ที่คุณจะได้ออกมาจากโลกเงินเฟียต ไร้ศูนย์กลาง ไม่ต้องเชื่อใจใครอีกต่อไป
2 ผลตอบแทนของหุ้น ขึ้นลงตามเงินเฟ้อที่อัดเข้าไปในระบบ ไม่ได้ขึ้นกับผลประกอบการของบริษัท
ดังนั้น ราคาหุ้นที่ขึ้นๆลงๆ ขึ้นกับปัจจัยที่เราไม่รู้เลยว่า ในระยะยาว หุ้นนี้จะโต หรือ ไม่โต เวิร์คไม่เวิร์ค
ซึ่งบิทคอยเองก็โตตามเงินเฟ้อ มีเงินอัดเข้ามาซื้อทําให้มูลค่ามันเพิ่มขึ้นเหมือนกัน
แต่คนซื้อบิทคอย เพราะเขาเข้าใจระบบการเงินโลก และใช้บิทคอยต่อต้านเงินเฟ้อ ไม่ได้ซื้อ
เพราะไม่รู้จะเอาเงินไปไว้ที่ไหน เหมือนซื้อหุ้นตัวใหญ่ๆ หรือ กลุ่ม SET50 S&P500 อะไรแบบนี้
3 บิทคอยในระยะยาวโตแน่นอน ไม่ต้องเลือกตัวให้สับสน ชนะเงินเฟ้อแน่นอน
ส่วนหุ้น คุณต้องวัดดวงเลือกหุ้นให้ถูกตัวด้วย และ การเติบโต ต้องหาตัวที่ผลตอบแทนมากกว่า 8%ทบต้น
ในระยะยาวให้ได้ ถึงจะชนะเงินเฟ้อ
การคัดหุ้นที่ดี มันยากมากๆ ลองเทียบมูลค่าหุ้นเป็นทองคํา หรือ บิทคอยดู แล้วคุณจะรู้ว่า หุ้นที่ดีมันน้อยมากๆ
4 การออมคือแม่ของทุกสถาบัน
บิทคอยทําให้การออมกลับมามีประโยชน์อีกครั้ง ต่างจากหุ้นที่บีบให้ทุกคนที่อาจจะไม่ได้มีความรู้ ประสบการณ์มากพอ (เหมือนผม) เข้ามาลงทุนแบบผิดๆ สุดท้าย เงินคืนให้ตลาดไปหมด
5 ทุกคนไม่จําเป็นต้องลงทุน แค่ออมในสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่าอย่างบิทคอยก็พอ
ชีวิตของพวกเรา มีสิ่งที่เป็นความฝัน สิ่งที่เราอยากทํา มากกว่าวันๆมานั่งวิ่งตามเงินเฟ้อ หาเงินงกๆ แล้วกลับบ้าน
บิทคอยมันทําให้ชีวิตคุณมีอิสระได้
ตัวผมเองตอนนี้ ไม่ได้รวยเลยนะครับ ยังต้องทํางาน หาเงิน stack sats ตามเป้าหมายเหมือนกัน
แต่การออมเป็นบิทคอย มันทําให้ผมมั่นใจว่า สินทรัพย์นี้จะไม่เสื่อมค่าลง มันเป็นของเราอย่างแท้จริง
ในวันข้างหน้า ถ้าเราต้องการใช้มัน ไม่มีใครมาอายัด หรือห้ามได้
การพิมพ์เงิน ยังคงมากขึ้น เงินเฟ้อมากขึ้น ทําให้การถือบิทคอยระยะยาว มูลค่าจะเพิ่มขึ้น
อํานาจการจับจ่ายของเราก็จะมากขึ้นนั่นเอง
ว่ากันว่า ทองคําคือเงินของพระเจ้า
เฟียต คือ เงินของรัฐบาล
บิทคอย คือ เงินของประชาชน
ผมจึงไม่เสียเวลาซื้อหุ้นที่อยู่ในโลกของเงินเฟียต ออมเงินของประชาชนอย่างบิทคอยดีกว่า
#siamstr #satsandsound #bitcoin #btc #หุ้น
อยากเปลี่ยนชีวิต ต้องคิด 3 steps ล่วงหน้า- Sats And Sound Ep.58
https://youtu.be/SARumOY73x8
คอนเท้นวันนี้ผมได้แรงบันดาลใจมาจากคลิป
วิดีโอ "Long-Term Thinking, 2nd Order Consequences & Effect Horizons" โดย Sam Ovens
Founder ของ Skool ซึ่งเป็น แพลตฟอร์ม community + learning ที่ประสบความสำเร็จมากๆในตอนนี้
ในคลิปนั้น เขาจะพูดถึงการคิด 3 ขั้น ที่จะเปลียนชีวิตคุณให้ดีขึ้น
1 Long-Term Thinking คิดระยะยาว
2 Second Order Consequences ผลกระทบจากการกระทําของเรา ขั้นที่ 2
ยกตัวอย่าง กินของหวานมากๆในวันนี้ ผลกระทบแรก อาจจะแค่เสียเงิน และ นํ้าหนักเพิ่ม
ผลกระทบขั้นที่สองคือ ภาวะดื้ออินซูลิน และ เป็นเบาหวานในที่สุด เป็นต้น
3 Effect Horizons คาดเดาผลลัพท์ในอนาคต โดยมองหลายๆมิติ
จากตัวอย่างเดิม ผลกระทบที่ต่อจาก การเป็นเบาหวาน คือ โรคเรื้อรังอื่นๆ ร่วมกับ ร่างกายอ่อนแอ
ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว แถมต้องรักษาด้วยการกินยา และคุมอาหาร ซึ่งยากกว่าการป้องกันตั้งแต่แรก
ถ้าย่อยเป็นวลีสั้นๆก็คือ
อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น ต้องคิดระยะยาว วางแผน และดูผลลัพท์ของสิ่งที่เราทําล่วงหน้า
ถ้าคุณอยากสบายในมิติไหนก็โฟกัสเรื่องนั้น
วันนี้ผมก็จะมายกตัวอย่างการคิด 3 steps เพื่อเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นใน 2 ด้านคือ สุขภาพ และ การเงิน
เป็นตัวอย่างให้ ท่านผู้ฟังทุกคน นําไอเดียวันนี้กลับไปประยุกต์ใช้กับตัวเอง
1 สุขภาพ
1.1 Long-Term Thinking (Step 1)
การสร้างนิสัยและการกินที่ดี ออกกําลังกายอย่างสม่ำเสมอในวันนี้ จะส่งผลต่อสุขภาพไม่ว่าจะเป็นทางกายและทางจิต
- ร่างกายของเราไม่เคยหยุดทํางาน ตั้งแต่เราเกิดมา
- การใช้งานร่างกายหนัก ไม่ดูแลสุขภาพเลย ร่างกายของเราก็จะเสื่อมโทรมลงไปเรื่อยๆ
- เราจะต้องอยู่กับร่างกายนี้ตั้งแต่เกิดจนตาย ดังนั้น ใส่ใจและดูแลมันให้ดี เพื่อให้เราไม่เป็นทุกข์ด้วยโรคภัยต่างๆที่ป้องกันได้
1.2 Second Order Consequences (Step 2)
ว่ากันว่า ชีวิตของพวกเรามีทางเลือก 2 ทางเสมอ นั้นคือ ทางเลือกที่ง่าย และ ทางเลือกที่ยาก
ทางเลือกที่ง่าย (Wheelchair Path) สบายก่อนลําบากทีหลัง
เช่น ผ่อนจ่ายสินค้า, กิน Junk food/UPF กินตามใจปาก
ทางเลือกที่ยาก (The Hill) ลําบากก่อนสบายทีหลัง
เช่น ออกกําลังกาย, การศึกษา/การออมเงิน ,พัฒนาตัวเอง , การกินอาหารสุขภาพ
ทุกครั้งที่เราเลือกเส้นทางยาก
มันเหมือนเราฝึกซ้อมปีนเขา เพื่อความแข็งแกร่งไปเรื่อยๆ
ส่งผลให้ในอนาคต "ภูเขาที่เราปีน” จะเตี้ยลงเรื่อย ๆ
เปรียบคล้ายๆกับ ชีวิตเราก็จะง่ายขึ้นเรื่อยๆนั่นเอง
กลับมาที่หัวข้อสุขภาพของเราต่อ
1.2 Second Order Consequences (Step 2)
ทางเลือกง่าย
ถ้าเรากินอาหารไม่ดี กลุ่ม UPF สูบบุหรี่ แอลกอฮอล์ ไม่ออกกําลังกาย
---- ขั้นแรก อาจจะแค่เสียเงิน และติดนิสัยกินของอร่อย หาง่าย ตามใจปาก ติดสบาย
---- ขั้นที่สอง มันจะสร้างนิสัยและความเคยชินที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ตามมาด้วยโรคเรื้อรังต่างๆเช่น ความดัน เบาหวาน ไขมัน
การกิน UPF ส่งผลเสียต่อร่างกายมากๆ แนะนำคลิป fiat food/UPF ที่ผมเคยทํา
ทางเลือกยาก
ถ้าหากเรา สร้างนิสัยและการกินที่ดี ลดอาหารแปรรูป UPF ไม่กินตามใจปาก
เลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ร่วมกับการออกกําลังกายสมํ่าเสมอ
---- ขั้นแรกอาจจะรู้สึกว่ามันยากลําบาก ไม่สะดวกสบาย ยุ่งยากไปหมดไม่ว่าจะเป็นการกินอาหาร หาเวลาออกกําลังกาย
---- ขั้นที่สอง เมื่อเริ่มทําไปสัก 6 เดือน เราจะเริ่มสังเกตุเห็นการพัฒนาของสุขภาพโดยรวม ไม่ว่าร่างกาย จิตใจ แถมยังสร้างวินัยระยะยาวที่ดีต่อตัวเองในด้านสุขภาพด้วย สังเกตคนที่รักสุขภาพ ทําแล้วเกิดผลดีต่อตัวเอง เขาจะเลือกทําสิ่งนั้นต่อไปเรื่อยๆ
1.3 Effect Horizons (Step 3)
ผลของทางเลือกง่าย
---- ขั้นที่สาม ถ้าเราใช้ชีวิตปล่อยประละเลย สุขภาพ มาเป็นเวลานาน จะเกิดปัญหาที่แก้ไขได้ยาก รวมถึง เกิดโรค NCD ภาวะน้ำหนักเกิน ซึ่งส่งผลต่อ คุณภาพชีวิตของเราจะแย่ในระยะยาว การต้องกินยาตลอดชีวิตมันไม่สนุกเลย แถมร่างกายจะทรุดโทรมลงไปเรื่อย ตามอายุ โรคภัยจะทําให้คุณมีภาวะเครียด ตามมาได้ กันดีกว่าแก้นะ
คําพูดเล่นที่ว่า "กินของหวาน อร่อย มีความสุขวันนี้ อีก 30 ปี ตัดขา (เพราะเบาหวาน) ไม่เป็นไร"
การถูกตัดขาเพราะเป็นเบาหวานก็คือ Effect Horizons นั่นเอง
ผลของทางเลือกยาก
---- ขั้นที่สาม ถ้าหากเราดูแลสุขภาพของตัวเองมีดี ไม่ว่าจะเป็นการกิน การออกกําลังกาย วินัยที่ดีตัวนี้แหละที่จะทําให้เรา รักตัวเองอย่างถูกทาง ผลลัพท์พวกนี้ เราจะไม่เห็นมันในข้ามวัน แต่อาจจะต้องใช้เวลานับ 10 ปี ง่ายๆเวลาเราไปงานแต่งงาน งานเลี้ยงรุ่นอ่ะ เทียบได้เลยว่า จะมีเพื่อนที่สุขภาพดี ดูสดใส กับ เพื่อนที่ดูแก่กว่าวัย มีปัญหาสุขภาพ ลองไปคุยดูจะได้คําตอบว่า แต่ละคนใช้ชีวิตยังไง คุณอยากเป็นคนแบบไหน คุณเลือกได้
ผมเป็นคนติดนิสัย ชอบเลือกทางยาก (The Hill) หรือทําอะไรยากๆก่อน
เพราะความยาก สิ่งที่ท้าทาย เป็นการเทสตัวเองได้ด้วยครับ
ถ้าเราทําได้ ชีวิตเราก็จะง่ายขึ้น เปรียบเหมือน ภูเขาอุปสรรคที่เราต้องปีนมันเตี้ยลงนั่นเอง
2 การเงิน
2.1 Long-Term Thinking (Step 1)
- เรื่องเงินสําคัญกับทุกคน การมีเงินเท่ากับเรามีทางเลือก มีชีวิตที่ดีได้ ซื้อความสะดวกสบายได้
- การหาเงินมาได้ต้องใช้ทั้งความสามารถ เวลา ของเรา เมื่อได้เงินมาแล้ว ขึ้นอยู่กับเราที่จะบริหาร
หรือใช้จ่ายเงินในมือไปกับอะไร
- ในโลกการเงินปัจจุบันที่เราอยู่ใน fiat standard ที่เกิดการพิมพ์เงินมหาศาล เกิดเงินเฟ้อขึ้นตลอดเวลา
- เมื่อเงินในระบบมีมากขึ้น ส่งผลให้เงินเฟียตในมือของทุกคนเสื่อมค่าลง ส่งผลให้เกิดความคิดแบบ High Time Preference
- ระบบการเงินโลกมันทําให้คนที่ไม่รู้เรื่องนี้ ใช้ชีวิตแบบคนจนที่ต้องหาเงิน หมุนเงินตลอดเวลา
ดังนั้นนอกจากจะมีวินัยในการออมเงินอย่างสมํ่าเสมอแล้ว คุณจะต้องมีความรู้เรื่องการเงิน
และระบบการเงินโลกที่ถูกต้องด้วย ถึงจะหลุดจากสภาวะจนหรือเงินไม่พอใช้อย่างแท้จริง
แนะนำคลิป ระบบเงินโลก ที่ผมได้เล่าถึง เงินเฟ้อที่โคตรแย่ แต่กลุ่มคนมีอํานาจไม่อยากให้คนส่วนใหญ่รู้ แค่เข้าใจเงินเฟ้อ และออกจากระบบเฟียตได้ คุณจะรวยกว่าคนทั่วไป
2.2 Second Order Consequences (Step 2)
ทางเลือกง่าย
ไม่ศึกษาเรื่องการเงิน อยากมีความสุขตอนนี้ คิดระยะสั้น ใช้ให้หมดไปเลย เดือนหน้าหาใหม่ High Time Preference
---- ขั้นแรก เกิด fast dopamine มีความสุขสั้นๆตรงหน้า ใช้เงินตามอารมณ์ เช่น ชินกับการซื้อของเงินผ่อน ที่ไม่รู้จะผ่อนครบมั้ย
---- ขั้นที่สอง มันจะสร้างนิสัยและความเคยชินที่ ทําให้คุณไม่สามารถออมเงิน เพื่ออนาคตได้ โทษทุกอย่างไปเรื่อย ไม่มีทางรวยขึ้นได้
ทางเลือกยาก
ศึกษาเรื่องการเงิน วางแผน คิดระยะยาว เก็บออมเงินเพื่ออนาคต Low Time Preference
---- ขั้นแรก ประหยัด อาจจะไม่ได้ใช้ชีวิต ไปกิน เที่ยว ซื้อของที่อยากได้ การผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ที่สังคมบอกว่าดี มันเหมาะสมกับเรามั้ย สิ่งสําคัญที่สุดคือการทํารายรับรายจ่าย รู้สถานะการเงินที่แท้จริงของเรา
---- ขั้นที่สอง มันจะสร้างนิสัยและความเคยชินที่ ทําให้คุณจะหาความรู้เรื่องการเงิน ออมเงินอย่างสมํ่าเสมอ เก็บไว้ในสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่า เช่น บิทคอยครับ บิทคอยนั้นเป็นสินทรัพย์ที่ต้านเงินเฟ้อ ไม่มีใครควบคุมได้ คุณจะออกมาจากโลกของเงินเฟียต แล้วพบกับอิสระที่แท้จริง
2.3 Effect Horizons (Step 3)
ผลของทางเลือกง่าย
---- ขั้นที่สาม เมื่อเวลาผ่านไปเงินเฟ้อมากขึ้นเรื่อยๆ เงินเก็บมูลค่าลดลง คุณจะจนอย่างอัตโนมัติ ต้องวิ่งตามหาเงินไปเรื่อยๆ ชีวิตไม่มีหลักประกัน พอแก่ตัวไม่มีแรงทํางาน คุณก็จะไม่มีเงินใช้จ่าย ซื้อคุณภาพชีวิตอีกต่อไป
ผลของทางเลือกยาก
---- ขั้นที่สาม เมื่อเวลาผ่านไป 5-10 ปี บิทคอยที่คุณมี จะทําให้คุณรู้สึกมั่นคง และไม่ต้องวิ่งตามหาเงินเฟียตที่เสื่อมค่าอีกต่อไป
ชีวิตง่ายขึ้น และมีทางเลือกมากขึ้น เนื่องจากเรามีสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่าลง ทั้งที่การพิมพ์เงิน และ เงินเฟ้อก็ยังมีอยู่ และไม่มีใครหยุดมันได้ ในยุคหลังจากนี้ เงินในมือที่เราออมจะมียิ่งมีมูลค่าน้อยลงเรื่อยๆ ใครยังถือเงินเฟียตอยู่เท่ากับว่า
คุณจะติดอยู่ในกับดักความจนตลอดชีวิต
จะเห็นได้ว่า อยากเปลี่ยนชีวิตต้องคิด 3 steps ล่วงหน้า
ทั้งเรื่องสุขภาพและการเงินที่ผมยกตัวอย่างมา มันเป็นทางเลือกของบุคคล ที่เราจะต้องมองภาพระยะยาว
และวางแผน รวมถึงคํานึงถึงผลที่จะตามมา
สิ่งที่สําคัญที่สุดคือ เวลา
ซึ่งในความจริง ไม่มีใครคาดเดาว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ แต่อย่างน้อยเราจะลดความเสี่ยงของปัญหาที่เราป้องกันไม่ให้เกิดจากการวางแผนได้ ซึ่งก็จะทําให้ชีวิตคุณดีขึ้นกว่าเดิม
ยกตัวอย่าง Effect Horizons เกี่ยวกับการสร้างระบบ network ของบิทคอย
- ระบบการเงินโลกแบบเก่า ต้องพึ่งตัวกลาง อาศัย trust ที่โกงกันง่ายมาก
- ทําให้การออกแบบ network ของบิทคอย จะเป็นระบบ trustless ไม่ต้องเชื่อใจตัวกลาง หรือใครกันนั้น
เพื่อป้องกันการโกงตั้งแต่แรก เป็นการกําจัดที่ต้นเหตุเลย
สรุป
1 ทุกเรื่องในชีวิตขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ และ ผลการกระทําของเราเสมอ อยากเป็นคนแบบไหนคุณเลือกได้
2 อยากมีชีวิตที่ดีและง่ายขึ้น ให้คิดระยะยาว การวางแผนจะทําให้คุณ มองภาพไกลๆได้ง่ายขึ้น
ไม่มีใครรู้อนาคต แต่เราสามารถป้องกันความเสี่ยงที่คาดการณ์ได้
3 ชีวิตของทุกคน มีทางเลือก 2 ทางเสมอ นั้นคือ ทางง่าย กับ ทางยาก
ทางเลือกที่ยากก็เปรียบเหมือนภูเขาอุปสรรค์ที่เราต้องข้ามไป ความชํานาญ ความแข็งแรง จะส่งผลให้คุณก้าวข้ามผ่านอุปสรรค์นั้นไปได้ง่ายขึ้น เหมือนภูเขาที่เดินมันเตี้ยลงนั่นเอง
4 "เวลา" เป็นสิ่งที่หวนกลับมาไม่ได้ สิ่งที่คุณเป็นในตอนนี้ คือ สิ่งที่คุณเลือกทําในอดีต
ดังนั้น ถ้าคุณยังรู้สึกว่าชีวิตคุณยังแย่ในวันนี้ คุณก็ต้องเริ่มปรับปรุงให้ตรงจุด หาสาเหตุให้เจอ
ร่างกายแย่ รักษาสุขภาพ การเงินแย่ ศึกษาการเงิน ออมให้ถูกที่
5 ทุกอย่างที่พูดว่า คุณจะยังไม่เห็นผลภายใน 1 ปีนี้ แต่ให้ทําอย่างสมํ่าเสมอ มีวินัยสัก 5-10 ปี แล้วคุณจะขอบคุณตัวเอง
ที่คุณรักตัวเองอย่างถูกทาง ส่งผลให้ชีวิตคุณง่ายขึ้นและดีขึ้น
#siamstr #satsandsound #btc #bitcoin #stacksats #ออมbitcoin
มี 0.1 BTC คุณรวยกว่า คนครึ่งโลกไปแล้ว - Sats And Sound Ep.57
https://youtu.be/8Q3Ie5rOLX4
คลิปนี้พูดจากความเห็นส่วนตัวร่วมกับข้อมูลสถิติที่ไปหามานะครับ
ใครจะมองว่ากาว หรือ เว่อ อยากให้ฟังให้จบก่อน ผมมีเหตุผลสนับสนุนที่มีน้ำหนัก
ในสังคมปัจจุบันที่หลายคนเหนื่อยกับการใช้ชีวิต เงินแต่ละเดือนหาแทบไม่พอ ข้าวของแพงขึ้น
ค่าครองชีพแพงขึ้นตลอด และมันพุ่งขึ้นหลังจากที่อเมกาทํา QE ช่วงโควิด
ทุกอย่างมันแย่มาเรื่อยๆ จนคําว่า รวย อาจจะไม่อยู่ในความคิดของใครหลายๆคน
ในโลกที่มืดมน เต็มไปด้วยความสิ้นหวังจากเงินเฟียตที่เฟ้อตลอดเวลาเป็นอัตราเร่ง
ความเฮียของเงินเฟ้อที่เสื่อมค่า มันกัดกินคุณภาพชีวิตของคนทุกวัยในระบบ
แค่หาเงินใช้จ่าย ก็เดือนชนเดือน จะออมก็ลําบากแล้ว อย่าคิดจะรวยเลย
เรายังมีสินทรัพย์ที่ถูกสร้างขึ้นมา ต่อต้านเงินเฟ้อ อย่างบิทคอย
มันเปรียบเสมือนความหวังของคนในยุคนี้ ที่โลกการเงินเต็มไปด้วยอํานาจมืดจากเงินเฟียตที่ควบคุมทุกอย่าง
บิทคอย lunch ครั้งแรกในวันที่ 3 มกราคม 2009 โดยคนที่ใช้นามแฝงว่า ซาโตชิ นากาโมโตะ
ถือว่าเป็นเงินดิจิตอลเหรียญแรกที่ทําสําเร็จ
ก่อนหน้านี้มีคนรู้ปัญหาเงินเฟ้อมาตั้งแต่ปี 1971 ที่เกิด Nixon shock ริบทองคําจากประชาชน
กลุ่มคนที่ชื่อว่า Cypherpunk ก็ได้พยายามคิดค้น เงินดิจิตอลที่จะแก้ไขเงินเฟ้อ ป้องกันการถูกรวบศูนย์ และถูกควบคุม
40 ปี ผ่านไป จากหลายๆเทคโนโลยีมาผสมกัน ก็เกิด บิทคอยที่ใช้งานได้จริงในปี 2009 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ในช่วงวิกฤต hamburger ที่ตลาด อสังหาฯในอเมริกา พังระแนระนาด
จากปี 2009 - 2025 เป็นเวลา 16 ปี ที่บิทคอยเกิดมาและ run อยู่ใน network มันก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย
แต่สิ่งที่หลายๆคนเห็นชัดเจนคือ มันต้านเงินเฟ้อได้จริง ไม่มีใครควบคุมได้ และ ยิ่งโดนโจมตี ยิ่งแข็งแกร่ง
ระบบ network ของบิทคอย ที่ต้องอาศัยการรันโหนด ซึ่งในช่วงเริ่มต้น มันอ่อนแอเพราะคนรันโหนดน้อย
ในตอนนี้ network มันแข็งแกร่งจนแทบไม่มีใครสามารถโจมตีได้แล้ว
16 ปีที่ผ่านมาเกิดเงินเฟ้อขึ้นมหาศาล จากการ FED ที่พิมพ์เงิน เพื่อใช้หนี้ ทําสงคราม กระตุ้นเศรษฐกิจ
รวมถึง แบงค์เอกชน ที่ใช้ระบบ fractional reserve banking ปล่อยกู้จนเกิดเงินที่ไม่มีอยู่จริงเยอะมาก
ว่ากันว่าทุกครั้งที่คุณไปฝากเงิน ไปกู้เงินแบ้งก็จะเสกเงินนั้นจากอากาศขึ้นมาได้
แต่เมื่อมีบิทคอย มันทําให้ผมมีความหวังที่จะ รวย ขึ้นมาอีกครั้ง
คําถามคือ เราจะต้องมี บิทคอย มูลค่าเท่าไหร่?
จากรายงานความมั่งคั่งระดับโลก (Global Wealth Report) ของ Credit Suisse และ UBS
ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่มีการอ้างอิงอย่างกว้างขวาง ข้อมูลการแบ่งชั้นความมั่งคั่งจะอ้างอิงจาก "ความมั่งคั่งสุทธิ" (Net Worth) ซึ่งคือมูลค่าของสินทรัพย์ทั้งหมด (เช่น เงินสด, หุ้น, อสังหาริมทรัพย์, สินทรัพย์ดิจิทัล, ฯลฯ) หักด้วยหนี้สินทั้งหมด
กลุ่ม Top 1% ของโลก: ต้องมีทรัพย์สินสุทธิประมาณ $1 ล้าน หรือประมาณ 36 ล้านบาท ขึ้นไป
กลุ่ม Top 5% ของโลก: ต้องมีทรัพย์สินสุทธิประมาณ $250,000 หรือประมาณ 9 ล้านบาท ขึ้นไป
กลุ่ม Top 10% ของโลก: ต้องมีทรัพย์สินสุทธิประมาณ $100,000 หรือประมาณ 3.6 ล้านบาท ขึ้นไป
กลุ่มที่มีความมั่งคั่งสุทธิต่ำกว่า $10,000 (ประมาณ 360,000 บาท)
เป็นกลุ่มประชากรที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ครอบคลุมผู้ใหญ่ประมาณ 50-60% ของประชากรโลก
คุณเห็นตัวเลขพวกนี้แล้วยังครับ ถ้าคุณมีสินทรัพย์ ประมาณ 360,000 ไทยบาท
คุณก็จะรวยกว่า "คนครึ่งโลก" ไปแล้ว ซึ่งมันก็เทียบเท่ากับ 0.1 BTC ในวันนี้นั่นเอง
0.1 BTC มูลค่า 360,000 บาท ไม่น้อยเลยนะ แต่เราไม่จําเป็นต้องเก็บก้อนใหญ่ทีเดียว
เราสามารถทยอยสะสมทีละน้อยๆได้ อยากให้เริ่มจาก เป้าหมายแรก 0.01 BTC ก่อนครับ
ผมเคยทําคลิป ลองไปดูกันได้ ดูจบวางแผนออมได้เลย
เมื่อเป้าหมาย 0.01 BTC สําเร็จ ก็มาถึงเป้าหมาย 0.1 BTC ที่ท้าทายขึ้น
แต่ถ้าเราทําได้ เท่ากับว่า เราจะรวยกว่า คนครึ่งโลกนี้เลยนะ
ประชากรโลกมี 8พันล้านคน ถ้าคุณมี 0.1 BTC คุณรวยกว่าคน 4พันล้านคน แล้วนะ
มันน่าตกใจเหมือนจะเกินความจริง แต่มันเป็นจริงไปแล้วครับ
ผมเชื่อว่า ถ้าหากคุณทําเป้า 0.01 BTC สําเร็จได้ คุณจะมีวิธีของตัวเองในการทําเป้า 0.1 BTC
สําเร็จได้เหมือนกัน
เงินเหมือนจะเยอะ แต่ถ้าเราทยอยเก็บ stack sats ไปเรื่อยๆ สัก2-3 ปี ก็ถึง
ยิ่งหลังจากนี้อาจจะเป็นช่วงบิทคอยราคาลงในช่วงตลาดหมี คุณก็จะเก็บบิทคอยได้มากขึ้นอีกด้วย
อาจจะมีคําถามว่า ทําไมต้องเก็บเป็นบิทคอย
เก็บเป็นหุ้น ทองคํา อสังหาฯ เงินสด altcoin อื่นๆ ไม่ได้เหรอ
มันก็มีมูลค่าเหมือนกัน???
- เงินสด ตัดออกไปก่อนเลย เพราะมูลค่าของมันจะลดลงตามเงินที่พิมพ์ออกมาเรื่อยๆ
เงินเฟ้อในปัจจุบันเฉลี่ย 6-8% ทบต้น เท่ากับว่าใครเก็บเงินสดหรือเงินเฟียตไว้เฉยๆ
ผ่านไป 10 ปี อํานาจการจับจ่ายจะลดลงครึ่งนึง จํานวนเงินเท่าเดิมแต่มันจะซื้อของได้น้อยลง
- หุ้น สําหรับคนที่มีความรู้ มีเวลาศึกษา สามารถหาหุ้นที่ชนะเงินเฟ้อจริงๆได้เหมือนกัน
แต่ที่ผมไม่ลงทุนในหุ้นเพราะผมมี บิทคอยที่เข้าใจง่ายกว่า ซับซ้อนน้อยกว่า ผลตอบแทนดีกว่ามาก
และไม่ต้องมานั่งอ่านงบการเงิน ตามข่าวบริษัทย่อยๆอยู่
พวกกองทุนก็ช่วยลดภาระตรงนี้แต่เราจะไปเสียค่าธรรมเนียมกองทุนแทน
หุ้นเช่น s&p 500 มูลค่าของมันไม่ได้โตตามผลประกอบการของบริษัท เพราะบริษัทพวกนี้โตมากๆแล้ว
มูลค่าหุ้นมันแค่โตตามเงินเฟ้อที่อัดเข้าไปในระบบ ดังนั้นเมื่อ การวิกฤต มีการประกาศเพิ่ม-ลด ดอกเบี้ย
มูลค่าปลอมๆของหุ้นเหล่านี้ก็จะขึ้นลงตามคําพูดของคนมีอํานาจ
คําถามคือ สินทรัพย์ของเราที่หามาอย่างยากลําบาก
ทําไมต้องมาขึ้นอยู่กับคําพูดของคนพวกนี้?
อยากปลดแอกจากระบบเงินเฟียต
ถ้าถือหุ้น คุณจะต้องทําผลตอบแทนให้ชนะเงินเฟ้อ
(ใช้พลังชีวิตเยอะเหมือนกันนะ) ศึกษาที่เหมาะกับตัวเอง
- เหรียญ altcoin อยากให้เทียบเป็นบริษัท start up ที่เสี่ยงสูง มีคนดูแล คนควบคุม
และไม่ต่างจะโลกของเงินเฟียตที่เราอยู่ แค่มันถูก tokenize ให้เข้าไปในดิจิตอลเท่านั้น
อยากให้ไปดูคลิป ผมขาดทุน altcoin หลักแสน คลิปนั้นเล่าละเอียดเลยว่าทําไมผมไม่ลง altcoin
- อสังหาฯ ข้อนี้ผมมี 2 คลิปที่พูดถึง บิทคอยทําไมถึงดีกว่า อสังหาฯปล่อยเช่า และ ถ้าชีวิตยังไม่มั่นคง
การมีบิทคอยถึงสําคัญกว่าการมีบ้าน ทั้งสองคลิปนี้จะเฉลยความยุ่งยากและผลตอบแทนที่ไม่แน่นอนของอสังหาฯ
ที่ผูกติดอยู่กับโลกการเงินแบบเดิมๆ
- ทองคํา ข้อนี้น่าจะดีที่สุดในที่เทียบมาแล้ว ทองคําเก็บรักษามูลค่าได้ แต่การเก็บทองจริงๆนั้นยากนะ
เพราะต้องไปถอนมาเก็บในเซฟที่บ้านเอง
ถ้าหากซื้อทองแล้วต้องอาศัยตัวกลางในการจัดการ และเก็บรักษาให้ มันก็มีความเสี่ยงอยู่นะ
ถ้าเกิดวิกฤตทุกคนไปแห่ถอนทองคําพร้อมกันหมด เราไม่มีทางรู้เลยว่า โบรกเกอร์จะมีทองคําให้เราไหม
ทองคําไม่เก็บเอง มันก็ไม่ได้เป็นของเราอยู่ดี
และอีกหนึ่งข้อเสียของทองคําคือ มันเป็น physical product ที่ถูกระบบเงินเฟียตควบคุมมานาน
การขนย้ายทองคํา จํานวนมากๆ ยิ่งย้ายข้ามประเทศ จะต้องขออนุญาตรัฐ และ จํากัดจํานวนด้วย
คําถามคือ ทองคําของเรา ซื้อมา เก็บอย่างดี แต่พอจะขนย้าย หรือ ใช้งาน กลับมีรัฐมาควบคุม
มันเป็นสินทรัพย์ของเราจริงๆเหรอ?
สรุปสั้นๆว่า ทําไมผมถึงเลือกบิทคอย แทนสินทรัพย์ตัวอื่นๆ
เพราะสินทรัพย์ที่กล่าวมาขั้นต้นไม่ว่าเป็น เงินสด หุ้น กองทุน อสังหาฯ ทองคํา altcoin ล้วนแต่เป็นสินทรัพย์ที่เป็นระบบเงินเฟียตที่มีอํานาจเบื้องหลังควบคุม ผ่านการดูแลโดยตัวกลาง ผมถือว่าสินทรัพย์เหล่านั้น ไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง
เพราะเรายังต้องพึ่งระบบในการเก็บหรือ ดูแลอยู่ เขาสามารถยืดหรืออายัดสินทรัพย์เราได้ตลอดเวลา
ถ้าสินทรัพย์นั้นถึงเราจะมีมากเท่าไหร่ แต่ถ้ายังอาศัยตัวกลางในการดูแล ควบคุม
ย่อมมีความเสี่ยงเสมอ สินทรัพย์นั้นอาจจะไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง
ดังนั้น ถ้าจะรวย ผมจะไม่รวยจากสินทรัพย์ที่เราควบคุมเองไม่ได้ครับ
บิทคอย คือคําตอบของทุกอย่างครับ
- ต่อต้านเงินเฟ้อ มูลค่าไม่ลดลง มีแต่เพิ่มขึ้น
- ไร้ศูนย์กลาง ไม่มีใครควบคุม หรือ อายัดบิทคอยของเราได้
- แค่จํา seed phrase 12-24 คําเราก็สามารถพกบิทคอยออกไปใช้ที่ไหนก็ได้ทั่วโลก โดยที่ไม่มีใครขโมยมันไปได้
- ต้องมีความรู้เรื่องการเก็บบิทคอยด้วยตัวเอง เก็บ seed phrase อย่างปลอดภัยด้วยนะ
ผมเคยมีคลิปสอน โอนเข้า HW แบบจับมือทําเข้าไปดูได้ เท่านี้ คุณก็จะเป็นเจ้าของบิทคอยของคุณอย่างแท้จริง
- บิทคอยคือความรับผิดชอบส่วนตัว ถ้าคุณเผลอทํา seed phrase หลุด โอนผิด บิทคอยที่มีอาจจะหายไปตลอดกาลได้เหมือนกัน ดังนั้น ต้องศึกษาและทําทุกอย่างอย่างมีสติ
เป้าหมาย 0.1 BTC คุณจะรวยกว่าคนตั้งครึ่งโลก ใครจะทําได้ระยะสั้นๆก็ดี
ถ้าใครมีสินทรัพย์เก่าที่แพ้เงินเฟ้อ เปลี่ยนมาเป็นบิทคอยก็ได้นะ เป้าจะถึงเร็วขึ้น
แต่ถ้าใครยังไม่ไหว ก็ขยายเป้าหน่อยก็ได้ครับ
แนะนําเป้าระยะกลาง 1-3 ปี ที่อยากให้เก็บให้ได้ภายใน cycle นี้ เพราะ เงินเฟ้อและราคาบิทคอยครับ
จากสถิติ ราคามันจะพุ่งไปเรื่อยๆ ยิ่งแผนนานเช่นสัก 10 ปี ผมว่า เราจะเก็บบิทคอยยากขึ้น เพราะราคามันอาจจะแพง
ไปมากแล้วครับ แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ทยอยเก็บไป 10 ปี ก็ดีกว่าไม่เก็บเลยนะครับ
สรุป
1 แค่มีบิทคอย 0.1 BTC คุณก็จะรวยกว่าคนอีกครึ่งโลกไปแล้ว
2 ปริมาณ 0.1 BTC เหมือนจะน้อย แต่ด้วยความที่บิทคอยไม่เสื่อมมูลค่า ผ่านไปนานเท่าไหร่ มูลค่ามันก็ไม่ลดลง
มีแต่เพิ่มขึนเรื่อยๆ สิ่งแบบนี้หาไม่ได้ ถ้ายังถือเงินเฟียต
3 สินทรัพย์อย่างอื่นที่ยังอยู่ในระบบเงินเฟียตเดิมนั้น ก็ทําให้เรารวยขึ้นได้เหมือนกัน แต่ต้องอาศัยทั้งประสบการณ์
ความรู้ และพลังชีวิตที่มากกว่า
ในเมื่อผมเจอบิทคอยแล้ว สินทรัพย์ในโลกเงินเฟียตที่ทําให้ชีวิตเรายากขึ้น แถมได้ผลตอบแทนน้อยกว่าไม่รู้จะไปถือให้เสียเวลาชีวิตทําไม
4 รวยไม่รวยอยู่ที่มายเซ็ตและความรู้ทางการเงิน "ที่ถูกต้อง"
ศึกษาเงินเฟ้อก่อนเลย มันจะนําทางต่อเอง
5 บิทคอยนั้น ยิ่งซื้อช้า ยิ่งแพง ดังนั้นใครมีเป้าหมาย 0.01 BTC หรือ เป้ารวย 0.1 BTC พยายามทําให้สําเร็จใน 1-3 ปี
ใน cycle ช่วงตลาดหมีที่จะมาถึงนี้ เพราะ ถ้าเป้าที่นานเกินไปสัก 5-10 ปี คุณอาจจะเก็บบิทคอยปริมาณนี้ได้ยากกว่าเดิมหลายเท่า แต่เหมือนที่บอก ถ้าไม่ไหวจริงๆค่อยเก็บก็ได้ ทยอยเก็บ 10 ปี ดีกว่าไม่ได้เก็บเลย
แต่ผมเชื่อว่าคนที่ศึกษาบิทคอย และเข้าใจความเลวร้ายของเงินเฟ้อ
เราจะมีแรงพลักดันให้เก็บบิทคอยสําเร็จ เพราะยิ่งช้ายิ่งโดนเงินเฟ้อทําร้ายไปเรื่อยๆ
6 การเก็บบิทคอยด้วยตัวเองใน HW ถือเป็นการรับผิดของเรา ถ้าหากเราทําหาย seed phrase หลุดบิทคอยอาจจะหายไปทั้งหมดได้เหมือนกัน ต้องระวังให้ดี
7 คุณจะรวยได้จริง ก็ต่อเมื่อ สินทรัพย์ที่คุณครอบครองอยู่นั้น เป็นของคุณ และมีคุณคนเดียวที่จัดการมันได้
#siamstr #satsandsound #btc #bitcoin #stacksats #0.1BTC
ออม Bitcoin แทน ซื้อหวย รวย แบบไม่ต้องลุ้น - Sats And Sound Ep.56
https://youtu.be/QtwNXE2AnCk
ใครๆก็อยากถูกหวย เสี่ยงดวงด้วยเงินหลักร้อย แต่ได้รับเงินหลักล้าน
เงินก้อนโต ที่จะพลิกชีวิตที่แสนเหนื่อยยากในโลกปัจจุบัน
ผมโตมาในสังคมที่บ้านไม่ได้มีฐานะอะไร ผมเห็นผู้ใหญ่ที่คนรู้จัก คนรอบตัว เล่นหวย ซื้อหวย มาตลอด
ทั้งบนดิน ใต้ดิน หวยหุ้น หวยต่างประเทศ มากมายไปหมด บางคนก็ได้ชื่อว่าเป็น เจ้ามือขายใต้ดิน
การตีเลข การทํานายฝัน การขอเลขเด็ด ไม่ใช่เรื่องที่แปลกใหม่อะไร
บางคนซื้อทุกงวด ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง บางคนซื้อเหมือนกันแต่ไม่เคยถูกเลย แต่ก็ไม่หยุดซื้อนะ
ที่หนักที่สุดน่าจะเป็นคนโชคดีที่ถูกรางวัลใหญ่ๆ ที่ผมเคยเจอเองคือถูกหลักแสน หรือหลายแสนบาท
คนพวกนี้หลังจากเงินหลักแสนนั่นหมด เขาซื้อหวยหนักกว่าเดิมอีก เพราะหวังลมๆแล้งๆว่าจะได้เงินก้อนใหญ่อีก
ในโซเชียล การซื้อหวย การถูกหวยกิน เป็นเรื่องขําขัน ทั่วไปที่เจอกันได้ตลอด
คนทํางานไม่ว่าจะอาชีพ ฐานะยังไง ก็ซื้อหวยอยากรวยเร็วกันหมด
หวย กับ คนไทย แยกกันแยกมากๆเลยนะ
คําถามคือ ทําไมคนไทยถึงซื้อหวยกันมากขนาดนี้??
ผมเชื่อมโยงได้หลายๆปัจจัย
1 ความจนเป็นเหตุ อยากรวยเร็ว ได้เงินก้อน
บางคนรายได้น้อย หาเงินมาไม่พอใช้ เงินเฟ้อมันกัดกินคนทั่วโลกมาหลายสิบปี
เงินเฟ้อเป็นหนึ่งสาเหตุหลักที่ทําให้ คนทั่วไปคุณภาพชีวิตแย่ลง
ลองไปดูคลิป การโกงและการโหกคือธรรมชาติของมนุษย์ ผมได้เปรียบเทียบ อัตราเงินเฟ้อของไทยไว้
บางคนอาจจะสยองและขนลุกว่า พวกเราใช้ชีวิตกันมาได้ยังไง
2 ไม่มีความรู้ทางการเงิน
คนไทยส่วนใหญ่ ไม่รู้จักหรือเข้าใจสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนที่ชนะเงินเฟ้อ
คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น บอกเลย แพ้เงินเฟ้อทั้งสองอย่าง อยากชนะเงินเฟ้อต้องออกมาจากระบบเงินเฟียตก่อน
อยากให้ไปดูคลิป 1 ล้านsats รวยกว่า 1 ล้านบาท
3 เสพติดความสุขจากการได้ลุ้น (Fast Dopamine)
ทุกข้อทุกความรู้ทางคณิตศาสตร์ ความน่าจะเป็น เจอข้อนี้แพ้หมด
การลงเงินน้อย แต่มีโอกาสได้เงินรางวัลขนาดใหญ่ มันเปรียบเสมือน ความสุขแบบฉาบฉวย
ถ้า...เราได้มาเงินก้อนใหญ่มาจริงๆ ชีวิตคงจะดีกว่านี้ ความสุขเกิดจากการได้ลุ้น
ยิ่งคนที่เคยถูกรางวัลนะ ยิ่งหนักเลย เพราะเขาไม่เคยเรียนรู้ว่าการถูกหวยรางวัลใหญ่ มันเกิดซํ้าได้ยาก
อยากให้ไปดูคลิป ความสําเร็จที่แท้จริง ต้องยั่งยืนและทําซํ้าๆได้ การถูกหวยเป็นเคสกรณีศึกษาเลยที่ไม่ใช่ความสําเร็จที่แท้จริง
ผมรู้สึกว่า ไม่ว่าคนจนหรือคนรวย ก็ซื้อหวยกันหมด
ยิ่งมีข่าว มีคนโชคดี ถูกหวยรางวัลได้เงินล้าน หรือสิบล้าน
ผมได้ยินทุกเดือน ขนาดไม่ได้ซื้อยังรู้สึกอยากได้เงินนั้นบ้างเลย
ไม่แปลกที่คนที่ซื้อหวยเป็นประจําอยู่แล้วจะยิ่งซื้อหวยมากขึ้นไปอีก
ทําไมผมถึงไม่ซื้อหวย
เพราะโอกาสถูกหวยรางวัลที่หนึ่งมันตํ่ามากๆนั่นเอง
จากข้อมูลที่ไปหามานะครับ
ต่อหนึ่งงวด กองสลากฯ จะพิมพ์สลากกินแบ่งรัฐบาลออกมาประมาณ 100 ล้านฉบับ
มีตัวเลขตั้งแต่ 000000 ถึง 999999 ซึ่งมีทั้งหมด 1,000,000 ชุด
ดังนั้นในแต่ละงวดจะมีรางวัลที่หนึ่ง อยู่ 100 ฉบับ นั่นเอง
ตัวเลขนี้บอกว่า โอกาสที่เราจะถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง เท่ากับ
0.0001% เท่านั้นเองครับ มันคือ หนึ่งในล้าน ที่จะถูก
ใครยังไม่เห็นภาพว่า หนึ่งในล้าน มันถูกยากขนาดไหน ผมจะลองจําลองเหตุการณ์ให้ดูครับ
สมมติมี เม็ดข้าวสารที่อยู่ในกระสอบ จํานวนทั้งหมด 1 ล้านเม็ด
คุณมีโอกาสแค่ 1 ครั้ง ในการหยิบ เม็ดข้าวสาร 1 เม็ด โดยข้าวสารที่ถูกรางวัลซึ่งมีแค่ เม็ดเดียวในกระสอบ
เปรียบกับ ซื้อสลาก 1 ใบแล้วลุ้นรางวัลที่หนึ่ง ต้องอาศัยดวง อาศัยโชคขนาดไหน
วิชาความน่าจะเป็น ทําให้ผมรู้เลยว่า โอกาสถูกน้อยขนาดนี้ ไปหาทางอื่นดีกว่า
ความจริงจากชื่อ เขาก็บอกเราชัดเจนอยู่นะว่า สลาก "กิน - แบ่ง" รัฐบาล
เป็นสลากลุ้นโชคที่คุณจะโดนกินก่อน แล้วมาแบ่งทีหลัง ดังนั้นคนถูกต้องน้อยมากๆกว่าคนไม่ถูกอยู่แล้ว
ความ advance ของชาวไทย เราไม่ได้ลุ้นแค่หวยวันที่ 1 กับ 16
ยังมีหวยใต้ดิน หวยหุ้นที่ลุ้น จุดทศนิยม สองตําแหน่งของ set index ลุ้นกัน 4 รอบต่อวันเลย
ไม่ลุ้นหวย ไม่ลุ้นโชคแล้วจะรวยได้ยังไง
ออมบิทคอยสิ แค่นี้ในระยะยาว คุณก็จะรวยโดยที่ไม่ต้องลุ้น
บางคนอาจจะคิดว่า ใครก็พูดได้ ผมก็เลยมีหลักฐานมาสนับสนุนสิ่งที่พูด
- เงินเฟ้อที่มาขึ้นทุกวัน
จากปี 1997 ถึงปี 2025 ปริมาณเงินบาทเพิ่มขึ้น 300% หรือ 6-8% ทบต้น
ผมเคยพูดในคลิป บิทคอยเปลี่ยนโลก ใครออลอิน ใจเย็นก่อน คลิปนั้นบอกตัวเลขด้วย เข้าไปดูกันได้
และในช่วงหลังปี 2009 ที่มีการพิมพ์เงินเพิ่มของอเมริกา เพื่อใช้ในสงคราม ใช้หนี้เก่า
ทําให้เงินเฟ้อจะเพิ่มเป็นอัตราเร่ง ถ้าคุณยังอยู่ในระบบเงินเฟียตที่เฟ้อแบบนี้ คุณก็จะต้องวิ่งตามหาเงินไปตลอด
เพราะเงินในมือเสื่อมค่า เงินเก็บที่มีอยู่เดิมก็โดนเงินเฟ้อกัดกินจนอํานาจการจับจ่ายลดลงครึ่งหนึ่งทุก 10 ปี
การจนลงอัตโนมัติแบบนี้ อาจจะเป็นสาเหตุหลักที่ทุกคนอยากจะถูกหวย ได้เงินมากๆพลิกชีวิตก็ได้นะ
หวยคือหนึ่งในกลไกของเงินเฟียต ทุกคนต้องอยากได้เงินเร็วๆ high time preference
บิทคอยมาแก้ปัญหาเรื่องเงินเฟ้อ ดังนั้น ถ้าคุณถือบิทคอยระยะยาว อํานาจการจับจ่ายของคุณจะไม่ลดลง
อย่างในคลิป ถ้ายังลําบาก การมีบิทคอย สําคัญกว่ามีบ้าน ผมก็ได้เทียบให้เห็น
บ้านหลังเดียวกัน ราคาขึ้นตามเงินเฟ้อ ปี 2010 ราคา 1พัน BTC ปี 2025 ราคาเหลือ 5 BTC ลดลง 200 เท่า
แค่ตัวอย่างนี้ ถ้าคนเข้าใจ คุณจะหยุดซื้อหวยมาออมบิทคอยเลย
- รางวัลที่ได้จากหวย เป็นเงินเฟียต ถ้าไม่รีบใช้ รีบจัดการ จะเสื่อมค่า ต่างจากบิทคอยที่เปนเงินไม่เสื่อมค่า
แถมบางคนที่ถูกรางวัลใหญ่ ไม่มีความรู้เรื่องการเงิน กลายเป็น "ทุกขลาภ" ไม่กี่ปี เงินหลักล้านก็หมดเกลี้ยงเหมือนคําที่ว่า "สามล้อถูกหวย"
การที่เราอยู่ในโลกของเงินเฟียต ทุกอย่างต้องรวดเร็ว ต้องพลิกชีวิตในข้ามวัน ข้ามคืน หลักการถูกหวยรางวัลใหญ่ก็เป็นแบบนั้น
มันคือ high time preference เหมือนที่บอก แต่บิทคอย ตรงข้ามเลยครับ ทุกอย่างต้องอาศัยเวลา ก้าวช้าๆแต่มั่นคงกว่า
แบบ low time preference รางวัลที่คุณจะได้จากการออมบิทคอยระยะยาว 4 ปีขึ้นไป มันมั่นคงกว่า และจะไม่หายไปไหน
และถ้าคุณออม มันเกิดขึ้นแน่นอน รวยแบบไม่ต้องลุ้น
ถ้าหากคุณเริ่มสนใจบิทคอย แต่ก็ยังซื้อหวยทุกงวด คุณไม่ต้องหยุดซื้อหวย
แต่อยากให้เริ่มแบ่งเงินออกมาออมบิทคอยด้วย ยกตัวอย่างเช่น จากที่ซื้อหวย 1,000 บาททุกเดือน
แบ่งเป็น ซื้อหวย 500 บาท และ ออมบิทคอย 500 บาท ลองทําสัก 1 ปี มาดูกันว่า อะไรให้ผลตอบแทนดีกว่ากัน
ผมบอกได้เลยว่า ยังไงบิทคอยก็ชนะ อยากให้ไปดูคลิป 40 บาทก็เริ่มออมบิทคอยได้แล้ว เห็นได้ว่าเงินหลักสิบก็เริ่มทําให้เรารวยแบบไม่ต้องลุ้นได้
ลองดูก่อน คุณจะตกใจเมื่อรู้ว่า คุณออมเงินได้เยอะขนาดไหน พอเป็นบิทคอยมันโตเร็วขึ้นไปอีก
หวยซื้อแล้วถ้าไม่ถูกก็หมดมูลค่า ต่างจากบิทคอย ที่เราจะสะสม sats ไปเรื่อยๆ
เหมือนคําพูดที่ว่า sats พึงบรรจบให้ครบ bit
รากฐานการออม เป็นแม่ทุกสถาบัน อยากมั่งคั่ง ต้องออมให้เป็นก่อน
และต้องเลือกสินทรัพย์ให้ถูกตัวด้วยนะ
ถึงหวยจะแย่ แต่ผมจะไม่ได้บังคมให้ทุกคนหยุดซื้อทันที
เพราะบางคนที่ซื้อมาหลายสิบปี มันเลิกไม่ได้
แถมยังมีความเชื่อว่า สักวันจะถูกรางวัลใหญ่ พลิกชีวิต
ดังนั้น อยากให้เริ่มแบ่งเงินบางก้อนมาออมบิทคอย
และจากประสบการณ์ส่วนตัวอีกแล้ว บางคนแมร่งเล่นหวยเดือนๆนึง หลักพัน หลักหมื่น บาท
เงินหายไปเปล่าทุกเดือนๆ คิดดู เสียโอกาสรวยจากบิทคอยไปขนาดไหน
บางคนเขาแค่ยังไม่รู้ ผมก็เลยทําคลิปนี้มาบอก
คุณไม่ต้องชอบ หรือเปิดใจให้บิทคอยก็ได้
แต่อยากให้รู้ว่า ไม่ควรเอาเงินไปลงกับหวย
สรุป
1 โอกาสถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง มีแค่ 1 ใน ล้านเท่านั้น อยากให้มองภาพความจริงว่า เงินที่ซื้อหวยแล้วโดนกินเดือนๆนึงหายไปเท่าไหร่ จะไปลุ้นโอกาสยากขนาดนั้นอยู่ทําไม ถ้าเงินก้อนนั้นเปลี่ยนเป็นบิทคอย ในระยะยาวคุณก็รวยได้แบบไม่ต้องลุ้นเลย
2 รู้เท่าทันตัวเอง ลดการเสพติดการลุ้นรางวัล และ Fast Dopamine ความสุขที่ฉาบฉวย
ความ High Time Preference ไม่ใช่คําตอบที่แท้จริง การที่คุณหลุดออกจากระบบเงินเฟียตได้ คุณจะพบความสุขที่ยั่งยืนแบบ Low Time Preference
3 เมื่อเจอข่าวคนถูกหวย ให้นึกไว้ตลอดว่า มันเป็นคนส่วนน้อย ถ้าดูข่าวแล้วรู้สึกแย่ก็เลิกดู เลิกสนใจ
เราไปหาสินทรัพย์ที่ทําให้เรารวยได้อย่างยั่งยืนดีกว่า
4 คุณไม่ต้องหักดิบหยุดซื้อหวยวันนี้ แต่อยากให้ลองแบ่งเงินมาออมในบิทคอย ทําสัก 1 ปีแล้วลองเทียบดูว่า สิ่งไหนทําให้คุณรวยมากกว่า
5 บางคนเล่นหวยทั้งชีวิต ผมก็เห็นว่าเขายังคงจนเท่าเดิม ดังนั้นหวย หรือ โชคลาภ ไม่ใช่คําตอบของความมั่งคั่งนะครับ
แค่เปลี่ยนมาออมบิทคอยระยะยาว คุณก็รวยได้แบบไม่ต้องลุ้น ถึงจะช้าหน่อย แต่มันคุมค่ามาก
6 แทนที่หวังว่า "สักวันฉันจะถูกหวยรางวัลที่หนึ่งแล้วพลิกชีวิต" เปลี่ยนเป็น "ฉันจะออมบิทคอย แล้วชีวิตจะดีเองในระยะยาว"
ดีกว่า
ถ้ามีความรู้การเงินที่ถูกต้อง ความน่าจะเป็น และบิทคอย คุณจะรู้ว่า แค่ stack sats คุณก็จะรวยในระยะยาว
ต่างจากการซื้อหวยที่ละลายเงินคุณไปทุกเดือน อย่างอัตโนมัติ คุณไม่ได้อะไรกลับมาเลย
อย่างน้อยในคลิปนี้ อยากให้คุณรู้ว่า การซื้อหวย มันไม่ต่างจากการเสียเงินเปล่า เลย
#siamstr #satsandsound #btc #bitcoin #หวย #ซื้อหวย #สลากกินแบ่ง
เงินในธนาคารถูกอายัดได้แต่ BITCOIN ที่คุณถอนมาเก็บเองไม่มีใครอายัดได้นะ - Sats And Sound Ep.55
https://youtu.be/9f-EykxFK5A
คอนเท้นนี้ได้แรงบันดาลใจจากโพสของอาจารย์พิริยะเมื่อวาน
เป็นคำสั้นๆที่น่าจะเหมาะสมกับสถานการณ์ตอนนี้ได้ดีมาก
สปอยนิดหนึ่ง คลิปนี้พูดถึงบิทคอยน้อยมาก แต่จะมาเล่าถึงปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำๆ
จากระบบการเงินที่ "ใช้ตัวกลาง" ผ่าน "ความเชื่อใจ" ของประชาชนให้ฟัง
ก่อนหน้านี้ ช่วงต้นเดือนกันยายน 2025 มีเคส เงินในบัญชีติดลบ ถอนไม่ได้
ใครโดนโคตรซวยเลยนะ เพราะช่วงต้นเดือน อาจจะต้องใช้เงินจ่ายค่าเช่า นํ้าไฟ ค่าอื่นๆที่จําเป็น
แล้วพอมากลางเดือน ธนาคารก็ยังท็อปฟอร์มอีก
มีหลายคน ถูกอายัดบัญชี เนื่องจากมีข้อมูลว่าเกี่ยวข้องกับ "บัญชีม้า"
อันนี้พูดกันแฟร์ๆ ผมว่ามันมีเคสที่เป็นมิจฉาชีพที่เกี่ยวข้องกับบัญชีม้าจริงๆ
แต่ยังมีอีกหลายเคสที่ไม่ใช่ เช่น พ่อค้าออนไลน์ หรือ ร้านค้าที่มิจไปกินข้าวแล้วมันก็ใช้บัญชีนี้โอน
ซึ่งมีข่าวว่าเริ่มมีหลายๆร้านไม่รับเงินโอนกันแล้ว
สิ่งที่ธนาคารทํานั้นเป็นการแก้ปัญหาแบบตัดจบ ถ้ามองในมุมแบงค์ทำแบบนี้ง่ายสําหรับเขาที่สุด
แบงค์อาจจะไม่ได้รู้จริงๆว่าใครเป็นมิจฉาชีพบ้าง แค่เกี่ยวข้องกันโดนหมด
แต่ในมุมของลูกค้าทั่วไปที่ไม่ใช่มิจฉาชีพ เดือดร้อนมากนะ เพราะตอนนี้คนไทย โอนกันเป็นหลักแล้ว
เหตุการณ์นี้ทําให้บางคนเริ่มแห่ไปถอนเงินจากธนาคาร เมื่อคนไปถอดเงินสดออกมาพร้อมกัน
บรรลัยสิครับ ธนาคารไม่มีเงินสดเพียงพอกับทุกคน มีการแจ้งประชาชนว่า ให้นัดวันมาถอน เงินสดไม่พอ
คุณรู้มั้ยว่า สาเหตุนี้เกิดจากระบบ Fractional Reserve Banking ที่ธนาคารไม่ได้เก็บเงินฝากทั้งหมดไว้เขาสํารองแค่บางส่วน เช่น เราฝากไป 100 บาท แบ้งเก็บไว้ 10 บาท ปล่อยกู้ต่อ 90 บาท
เมื่อทําต่อเนื่องๆไปเรื่อย ทําให้เกิดเงินเฟ้อมหาศาล
ผมมีคลิป ความจริงของ เงินเฟียตและระบบการเงินโลก ที่บอกความจริงในสิ่งที่แบงค์ทํา
ใครยังไม่เข้าใจว่า Fractional Reserve Banking คืออะไรไปดูคลิปนนั้นได้เลย
ในสถานการณ์ปกติ ธนาคารจะจัดการสมดุลของการฝาก การถอน ได้ แต่เมื่อเกิดเหตุความวุ่นวายแบบนี้
ธนาคารไม่มีทางรับมือได้เลย เพราะเงินสดที่เขาสำรองพร้อมให้ประชาชนถอนมันน้อยกว่าความเป็นจริงมาก
ถ้าสถานการณ์มันบานปลายไปเหมือนกับ บางประเทศที่ระบบการเงินล้มเหลวไปแล้วอย่าง
เวเนซุเอล่า เลบานอน เราจะได้เห็นเหตุการณ์ Bank Run อย่างแน่นอนครับ
Bank Run พูดง่ายๆคือแบงค์เจ๊งอ่ะ ไม่มีเงินสดให้ประชาชนถอน
Fractional Reserve Banking มันเฮีย มีคนรู้เรื่องนี้ดี ย้อนกลับไปหลังวิกฤตการเงินปี 2008 เคยมีกลุ่มคนที่ต้องการ
ทํา Full Reserve Banking เหมือนในอดีตยุด Gold standard
Full Reserve Banking ก็คือ ธนาคารที่จะมีหน้าที่ดูแลเงินฝากให้ประชาชนเท่านั้น
ไม่เอาไปปล่อยกู้ แบงจะได้แค่ค่าธรรมเนียมจากการดูแลเงินฝากของลูกค้า
Full Reserve Banking จะไม่มีโอกาสเกิด Bank Run เพราะเงินเรามันอยู่ครบตามเดิมตลอดเวลา
แล้วก็เป็นไปตามคาด แผน Full Reserve Banking ล่มครับ เพราะมันมีคนที่อยู่ในโลก tradfi เดิม
และได้ประโยชน์จากระบบ Fractional Reserve Banking คัดค้าน
เท่าที่หาข้อมูลมาได้ ในโลกนี้มีแค่ที่ ภูฏาน ที่เดียวที่มี Full Reserve Banking
Fractional Reserve Banking เป็นสวรรค์ของเศรษฐศาสตร์แบบ "เคนเชียน" ที่ทำให้เกิดการพิมพ์เงิน การกู้มหาศาล เงินเฟ้อ
เพื่อทําให้เศรษฐกิจเติบโตและหมุนไปข้างหน้า เช็คได้จริงตามตัวเลข แต่อย่างที่เรารู้กันว่า ในบางประเทศที่ตัวเลข
เศรษฐกิจเติบโตมากๆแต่ผู้คนก็ยังลำบาก ไม่มีความสุข
ไม่ต่างจากการตกแต่งตัวเลขให้ดูดี แต่ปลอมเปลือกนั้นแหละ
Full Reserve Banking จะไม่เกิดการพิมพ์เงิน และการปล่อยกู้จะทําได้ยากมากๆ
แน่นอนพวกชนชั้นที่ได้ประโยชน์จากการพิมพ์เงิน ไม่มีทางยอมรับแน่นอน
มาแชร์ประสบการณ์ตัวผมเอง เคยเจอสถานการณ์ถอนเงินออกไม่ได้เหมือนกันครับ
ย้อนกลับไปเมื่อตอนโควิด เดือนมกราคม ปี 2020
ตัวผมเองได้ ซื้อกองทุนตราสารหนี้ เอาไว้ 1 กอง เขาลงทุนใน
- เงินฝาก
- ตราสารหนี้ภาครัฐ/สถาบันการเงิน
- ตราสารหนี้ภาคเอกชนชั้นดีทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ผมเอาไว้พักเงิน เพราะได้ดอกเบี้ยดีกว่า กองตราสารหนี้ทั่วไป (ตอนนั้นยังไม่รู้เรื่องเงินเฟ้อเลย )
ผมก็พักเงินอยู่ในกองนี้ 2-3 ปีก่อนหน้านี้แล้วไม่มีปัญหาอะไร
ผมมั่นใจมากๆว่า กองทุนตราสารหนี้พวกนี้ โคตรมั่นคง โอกาสเจ๊งน้อยมาก 0.0001%
พอโควิดมา 0.0001% ดันเกิดขึ้นจริง
ความชิบหายมาเยือนทั้งสุขภาพกาย ทั้งตลาดหุ้น ตราสารหนี้
คนเริ่ม panic เก็บเงินสดไว้กับตัว แล้วกองตราสารหนี้พักเงินแบบนี้น่าจะเป็นสิ่งแรกๆที่คนจะขายออก
เพราะมันถูกดีไซน์มาให้ใช้ได้รวดเร็วเกือบแทนเงินสดได้เลย
คนก็แห่ขายกองทุนที่ผมถือฉํ่า พอผ่านไป 2 เดือน มีนาคม 2020
มีอีเมลล์มาแจ้งจาก บลจ ว่า จะปิดกองทุนนี้ ผมแบบห๊ะ ชิบหาย ตังมีอยู่แสนกว่าบาท ถอนไม่ได้ทําไงดี
ในอีเมลล์เขาจะแจ้งว่าจะทยอยคืนเป็นรอบๆ โดยบอกว่าจะทยอยแจ้งให้ทราบภายหลัง
คําถามคือ ตอนนี้ลําบาก เงินที่คิดว่าจะไว้ใช้ตอนฉุกเฉินถอนไม่ได้อีก แล้วตอนนั้นผมตกงานอีก
โคตรเฮียเลย
สรุป กองทุน ใช้เวลา 8 เดือน ในการทยอยคืนเงินต้นจนครบ โอนมา 15 ครั้ง
หลังจากนั้นผมบอกตัวเองว่า กองทุนตราสารหนี้ที่เราคิดว่ามันมั่นคงมากๆ ยังเจ๊ง ยังปิดกองได้ 0.0001%
ดังนั้นเราต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ช่วงนั้นผมก็ศึกษาเหรียญคริปโต เล่นdefi ที่เจ๊งไปอีกหลักแสนที่เคยเล่าในช่องไปดูกันได้
ถึงชีวิตจะมีมรสุมมากมาย ชิบหายหลายเรื่อง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมขอบคุณตัวเองในวันนั้นก็คือ
ผมเริ่มแตะๆ สนใจบิทคอยแล้ว แต่ตอนนั้นรู้แบบพื้นๆ ยังไม่ลงหลุมกระต่าย
เมื่อย้อนคิด เหตุการณ์ครั้งนั้น ผมก็ตกผลึกได้ 2 อย่าง
1 เหตุการณ์ไม่คาดฝันมันเกิดขึ้นได้เสมอ อะไรก็ตามที่มีความเสี่ยงแม้แต่ 0.0001% เราก็ต้องระวัง
2 เราถูกสอนมาให้เชื่อใจธนาคาร เอาเงิน เอาความมั่งคั่งไปให้เขาดูแล โดยไม่ตั้งคําถามอะไรเลย
นี่แหละคือระบบการเงินเฟียต เงินสร้างทาส อยากให้ทุกคนเข้าไปดูคลิป
การโกงและโกหก คือธรรมชาติของมนุษย์ แค่ถือ BTC คุณก็ไม่ต้อง "เชื่อใจ" ใครอีก
คลิปนี้จะเป็นการสรุปเลยว่า การเชื่อใจตัวกลางมันมีความเสี่ยงอะไร
แล้วในโลกนี้มันมี บิทคอยที่เป็นสินทรัพย์ที่เราไม่ต้องเชื่อใจคนอื่นอยู่นะ
เกริ่นมาโคตรยาว เพิ่งเข้าหัวข้อ
เงินในธนาคารถูกอายัดได้
แต่ BITCOIN ที่คุณถอนมาเก็บเอง
ไม่มีใครอายัดได้นะ รู้ยัง?
สิ่งแรกทีผมคิดเลยก็คือ
1 ปัญหาถอนเงินไม่ได้ เกิดจากธนาคารที่ทําตัวเป็น "ตัวกลาง" ร่วมกับการเล่นแร่แปรธาตุอย่าง
ระบบ Fractional Reserve Banking ที่เอาเงินไปปล่อยกู้ทํากําไรหมด ทําให้เมื่อเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย
เงินสดไม่พอให้ทุกคนมาถอนพร้อมๆกัน
2 การอายัดเงินในธนาคารที่แก้ปัญหาเรื่องบัญชีม้า ก็เป็นสิ่งที่ทําให้เราเห็นว่า "ตัวกลาง" อย่างธนาคาร
สามารถทําอะไรกับเงินที่เรา "เชื่อใจ" ไปฝากไว้กับเขา มีประชาชนเดือดร้อนเสียหาย เราก็ทําได้แค่รอ
3 ทุกระบบที่มี "มนุษย์" เข้าไปเกี่ยวข้อง เกิดการโกง เกิดความผิดพลาดได้เสมอ
4 ถ้าคุณถือบิทคอย มันจะเป็นสินทรัพย์ที่เป็นของคุณอย่างแท้จริง ไม่มีตัวกลางใดๆ ระบบโปร่งใส ตรวจสอบได้
ทํางานได้ตลอดเวลา ดังนั้นคุณจะเอาไปใช้ โอนให้ใคร หรือแม้แต่ทําหาย มันก็เป็นสิ่งที่คุณต้องรับผิดชอบเอง
5 ถึงแม้ว่าจะถือบิทคอยแล้ว ถ้าหากเรายังฝากไว้กับ exchange ซึ่งเป็นตัวกลางในการจัดการคอยดูแล
บิทคอยของเรา มันก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ดี
เช่น FTX ที่ชิบหายกันทั่วหน้า หรือ Zipmex ที่เอาเงินฝากไปปล่อยกู้แล้วบริหารสภาพคล่องไม่ดี ฝั่งบริษัทแม่มีปัญหา ลูกค้าถอนเงินไม่ได้ สุดท้ายเจ๊ง เหมือน เคสผมที่ไปลงในกองทุน ก็ทํานองนี้นะครับ เกิดจากการบริหารสภาพคล่องรวมกับโควิด สรุปกองเจ๊ง ยังดีที่ของผมได้เงินคืน แต่ตอนนี้ลูกค้า Zipmex เหมือนยังไม่ได้คืนทั้งหมดนะ
ดังนั้นการเป็นเจ้าของบิทคอยอย่างแท้จริง เราต้องถอนบิทคอยมาเก็บด้วยตัวเองนะครับ
ผมมีคลิปสอน โอนบิทคอยจาก exchange เข้า HW แบบจับมือทํา ไปดูกันได้
สรุป
1 โลกการเงินแบบเฟียต ระบบการเงินเก่าที่เราต้องอาศัย "ตัวกลาง" อย่างธนาคาร มีความเสี่ยงที่มองไม่เห็น
หลายอย่าง เช่น ระบบ Fractional Reserve Banking ที่ทํากำไรให้แบงค์มหาศาล แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย
คนก็จะถอนเงินไม่ได้แบบที่เคยเห็น
2 พวกเราทุกคนถูกทําให้เชื่อ และ ไว้ใจธนาคารในการจัดการเงิน ดูแลความมั่งคั่งโดยไม่ตั้งคําถามมาหลายสิบปี
ธนาคารอาศัยช่องโหว่จากความเชื่อใจ ทําให้ระบบการเงินโลกเป็นไปตามที่คนมีอํานาจต้องการ
เงินเฟียตที่เฟ้อขึ้นแบบอัตราเร่งทุกปี ประชาชนจนลงแบบอัตโนมัติ
3 ถามว่ามีคนเห็นความไม่ชอบมาพากลนี้มั้ย บอกเลยว่ามี แต่ด้วยอํานาจของฝั่งเงินเฟียต มันยิ่งใหญ่มาก ทําให้แนวคิดดีๆอย่าง
Full Reserve Banking เกิดไม่ได้
4 บิทคอยคือคําตอบครับ ถ้าตัวกลางทําให้เกิดปัญหา มนุษย์ที่ใช้ความเชื่อใจโกงคนอื่นทําให้เกิดปัญหา บิทคอยตัดปัจจัยพวกนี้ออกไป ทุกอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ตลอดเวลา ระบบรันมาแล้ว 16 ปี ผ่านการกระจายศูนย์
มีคนพยายามโจมตีตลอดเวลาแต่ด้วยคุณสมบัติความเป็น Antifragile ของบิทคอย
ทําให้ทุกครั้งที่โดน บิทคอยจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
5 การถือบิทคอยดีแล้ว แต่การเก็บไว้ใน exchange ก็ยังคงมีความเสี่ยงเหมือนกัน
ดังนั้น ถ้าต้องการเป็นเจ้าของบิทคอยอย่างแท้จริง ต้องโอนมาเก็บด้วยตัวเองใน HW
6 ใครยังลังเลไม่ต้องเชื่อผมให้ลองศึกษาด้วยตนเองก่อน จะได้ไม่รู้งี้ทีหลัง
#siamstr #satsandsound #btc #bitcoin #ธนาคาร #ระบบการเงิน #อายัดบัญชี
Bitcoin คือสินทรัพย์เปลี่ยนโลก ดีขนาดนี้ All In ไปเลยใครคิดแบบนี้ ใจเย็นก่อน - Sats And Sound Ep.54
https://youtu.be/SYGnHlc24rM
ในตอนนี้สินทรัพย์อย่าง บิทคอย เป็นที่รู้จักและพูดถึงกันกว้างขวาง
- มันจะเปลี่ยนโลกการเงินใบใหม่ให้มีความแฟร์
- มันคือเงินของประชาชนที่ไม่เสื่อมค่า
- มันจะช่วยทําให้เราไปติดกับดักของโลกแห่งเงินเฟียตที่ทําร้ายทุกคนตลอดเวลา
ใครที่ศึกษาบิทคอยมาตลอด รู้ถึงข้อดีของมันอยู่แล้ว ยิ่งในช่องของผมที่พูดถึงบิทคอยเป็นหลัก
มันโคตรดีขนาดนี้ ก็ All In ไปเลย
ใครกําลังอยู่ในสเต็ปนี้ ผมทําคอนเท้นนี้มาเบรคหลายๆคนไว้ก่อน โดยเฉพาะมือใหม่
ไม่ใช่ว่าผมไปเจอบัคที่น่ากลัวของบิทคอย หรือ ข้อมูลที่ทําให้บิทคอยไม่ใช่เงินที่ดีอีกต่อไป
แต่อยากจะมาแนะนําให้ทุกคน ก่อนที่ออม จะ All In คุณต้องเข้าใจบิทคอยด้วยตัวเองก่อน
" เราจะมีบิทคอย เท่าที่ความรู้เรามี "
คําพูดนี้มันลึกซึ้งมากๆครับ อยากจะให้มือใหม่ทุกๆคนที่เพิ่งศึกษา ได้เข้าใจบิทคอยจริงๆก่อน ไม่ต้องรู้ทุกเรื่องแต่รู้เรื่องจําเป็นและถูกต้องก็พอ เช่น
- บิทคอยแก้ปัญหาอะไร
- เงินเฟ้อน่ากลัวขนาดไหน
- การออมและเก็บบิทคอยอย่างปลอดภัย
จากคลิป เริ่มออมบิทคอยเท่าไหร่ดี ผมก็จะบอกละเอียดมากเลยว่าต้องทําอะไรก่อนหลัง
เช่น ดูการเงินส่วนบุคคล เป้าออมเท่าไหร่ ซึ่งสรุปในคลิปก็คือ อยากให้เริ่มออมจริงๆด้วยจำนวนเงินน้อยๆ อย่างสม่ำเสมอก่อน
เมื่อเราเข้ามามีส่วนร่วมหรือ skin in the game ผมเชื่อว่ามันจะทําให้เราเริ่มศึกษา และเข้าใจบิทคอยมากขึ้น
ความรู้ที่มีนี่แหละจะเป็นตัวบ่งบอกว่า
- เราควรบิทคอยเท่าไหร่ ?
- เราจะ All In ไปเลยมั้ย ?
ในบิทคอยคอมมูนิตี้มันก็จะมีคนหลายๆแบบอยู่ร่วมกัน
stereotype ของบิทคอยเนอร์ส่วนใหญ่เท่าที่ผมเห็นคือ เป็นคนประหยัด เป็นตัวของตัวเอง
ถ้าพูดถึงการ All In ก็ต้องพูดถึง Bitcoin Maxi ซึ่งคือคนที่ All In และเชื่อมั่นในบิทคอยมากๆ ทุ่มหมดตัว
ผมเชื่อว่าใครที่เป็น Bitcoin Maxi ต้องผ่านการศึกษา มี proof of work มามากมายจนมั่นใจ เราจะเห็นหลายๆคนที่เปิดตัวและไม่เปิดตัว
อีกกลุ่มที่น่าจะเป็นคนส่วนใหญ่ก็คือ คนที่เป็นบิทคอยเนอร์ที่ถือสินทรัพย์อื่นๆอยู่ด้วย เช่น คริปโต หุ้น อสังหาฯ
ในคอมมูก็จะมีการถกเถียงประเด็นต่างๆกัน ถึงแม้ทุกคนจะสนใจบิทคอย แต่ก็ไม่ได้จะมีความเห็นตรงกัน หรือ เข้าใจตรงกันทุกเรื่อง สิ่งนี้มันเป็นความจริงของสังคมของโลกเราเลยครับ
ใครที่เข้ามาศึกษาบิทคอย น่าจะมีมายเซ็ตในการยืนด้วยลําแข้งตัวเอง ไม่พึ่งพาคนอื่น
ดังนั้น การตัดสินใจที่จะถือบิทคอยเท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับความรู้ ความต้องการ และเงื่อนไขของแต่ละบุคคลเลยครับ
ใครจะ All In ใครจะแบ่ง เรื่องของคุณเลย เพราะสินทรัพย์ในมือคุณคือความรับผิดชอบของคุณเอง
ไม่ว่าจะรวยหรือเจ๊ง เป็นทางเลือกของคุณเอง
สิ่งที่อยากจะบอกในคลิปนี้ก็คือ
1 ถ้าสนใจและศึกษาบิทคอยมาระยะหนึ่ง ให้เริ่มจากการออมในสัดส่วนที่เราไม่ลําบากก่อน
พอเริ่มถือเราจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของราคา เป็นการเช็คตัวเราไปด้วยว่าทนความผันผวนระยะสั้นได้แค่ไหน
มีมือใหม่บางคนที่ยังคิดแบบระบบเงินเฟียต ที่บิทคอยลง5% ก็ขายแล้ว อันนี้ไม่ใช่นะครับ บิทคอยเป็นเกมระยะยาว
2 การที่เข้ามาถือ เราก็จะศึกษาและเรียนรู้ บิทคอยมากขึ้นโดยอัตโนมัติ พอทําไปถึงจุดหนึ่งจะเป็นจุดตัดสินใจว่า
คุณเหมาะกับบิทคอยมั้ย หรือ เราจะทยอยเก็บ หรือ เราจะ All In ไปเลย
ถ้าใครยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ผมแนะนําทําตามสเต็ปนี้
1 วางแผนการเงินส่วนบุคคล
2 ศึกษาเรื่องเงินเฟ้อ
3 หลังจากนั้นก็ศึกษาว่าบิทคอยมาแก้ปัญหาอะไร พยายามดูว่าบิทคอยแก้ปัญหาให้เราได้มั้ย?
4 วางแผนการออมบิทคอยระยะยาว โดยแผนเราจะต้องทําได้อย่างสมํ่าเสมอ
5 ถ้าหากเรามั่นใจอาจจะเริ่มทยอยเปลี่ยนสินทรัพย์เดิมที่มีและแพ้เงินเฟ้อมาเป็นบิทคอย
จะเห็นได้ว่า สเต็ปต่างๆที่ผมบอกมา ต้องอาศัยความรู้ เวลา และ การคิดมาอย่างดีแล้วนะครับ
ผมเชื่อว่า ทุกคนที่ถือบิทคอย ต้องผ่านจุดนี้มาก่อนเหมือนกัน
ถ้าคุณไม่เข้าใจบิทคอยจริงๆ คุณเข้ามาถือได้ แต่สักวันคุณก็จะขายบิทคอยออกไปอยู่ดี
แล้วมายเซ็ต All In มาจากไหน? ส่วนตัวคิดว่ามันจะเกิดกับคนที่อยู่ในโลกเงินเฟียตเดิม
มีความคิดแบบ high time preference เช่นคนที่ลงทุนใน Alt Coin ที่ต้องรีบซื้อ
พอเห็นโอกาส ต้อง All In เพราะต้องการรวยเร็ว พลิกชีวิต ต้องวิ่งให้ทันเงินที่เสื่อมค่าอยู่ตลอดเวลา
เหมือนที่ชอบออกข่าว มีคนลงทุน เหรียญคริปโตเล็กๆ ใช้เงินหลักหมื่น ได้กำไรทิพย์ 30ล้าน
แต่ในความจริง ถอนออกไม่ได้ โดนล็อคกระเป๋า ถ้าไม่ใช่ dev หรือเจ้า คุณทํากําไรขนาดนั้นไม่ได้จริงนะ
หรือล่าสุดที่ เหรียญ WLFI ที่วาฬโดนล็อคกระเป๋า เพราะเจ้าของกลัววาฬเทขายแล้วเหรียญราคาดิ่ง
นี่คือข้อเสียของเงินเฟียต หรือ Alt Coin ที่มีคนคุมระบบ มีเจ้าของ เขาทําได้ทุกอย่าง
ดังนั้นกลับมาที่บิทคอยต่างกันเลย บิทคอยที่ต้องออมระยะยาว ความคิดแบบ low time preference
ไม่ว่าคุณจะเริ่มออมบิทคอย หรือ จะ All In ในวันนี้ มันไม่มีทางทําให้คุณรวย หรือ เปลี่ยนชีวิตได้ในช่วงเวลาสั้นๆเช่น
6-12 เดือน ผมแนะนําว่าต้องถือสัก 4 ปีครับ ผมเชื่อว่าในระยะนี้ ถ้าคุณได้ศึกษาบิทคอยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ตัวคุณเอง มายเซ็ต วิธีชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
ศึกษาบิทคอยเรื่องเดียว คุ้มค่ามาก นอกจากมันแก้การเงินแล้ว มันแก้ชีวิตเราได้ดีขึ้นได้ด้วย
สรุป
1 คุณจะมีบิทคอยเท่ากับความรู้ที่มี และเวลาที่เหมาะสม
จะ All In หรือ ค่อยๆออม มีเป้าเท่าไหร่ มันเป็นทางเลือกของตัวคุณเอง
2 สําหรับมือใหม่ แนะนําให้ เริ่มจากการออมด้วยเงินน้อยๆ ร่วมกับการ ศึกษาบิทคอยไปด้วย
เมื่อเรามี skin in the game คุณจะเริ่มเรียนรู้ว่า บิทคอยเหมาะสมกับตัวเองมั้ย และ ตั้งเป้าหมายที่เหมาะสมกับตัวเองได้
3 การถือสินทรัพย์ใดๆ หรือ เท่าไหร่ ล้วนเป็นทางเลือกของตัวคุณเอง ความเสียดาย ความรู้งี้ในอดีตแก้ไม่ได้
แต่เราทําปัจจุบันเพื่ออนาคตที่ดีกว่าได้
4 การถือบิทคอย ถึงคุณจะ All In ในตอนนี้ มันก็ไม่ได้ทําให้คุณรวยขึ้นทันตาเห็น
เพราะบิทคอยคือเกมระยะยาว ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเห็นผลลัพท์
5 อะไรก็ตามที่เรารู้สึกว่ามันดีเกินไป ต้องระวังไว้เสมอ don't trust,verify
6 การที่คุณเริ่มสนใจถือบิทคอย ผมว่าคุณก็โชคดีกว่าคนอีกจํานวนมากที่ยังคงติดอยู่ในระบบเงินเฟียตที่ต้องวิ่งตามหาเงินที่เสื่อมไปเรื่อยๆตลอดเวลา
#siamstr #btc #bitcoin #satsandsound #allin #การออม #การเงิน
แนะนำ หนังสือ เล่มแรก สำหรับมือใหม่ ที่เริ่มสนใจ BITCOIN เงินเฟ้อคือคดีอาญา #เงินเฟ้อคือคดีอาญา
เอามาแชร์ใน nostr อาจจะเหมือน สอนจระเข้ว่ายน้ำ แต่เผื่อใคร อยากป้ายยาส้มให้มือใหม่
ให้อ่านหนังสือเล่มแรก เอาคลิปนี้ให้เขาดูได้เลยครับ
https://youtube.com/shorts/VTvPrU7NF-8?feature=share
#siamstr #satsandsound #btc #bitcoin
การโกงและโกหก คือธรรมชาติของมนุษย์ แค่ถือบิทคอยคุณก็ไม่ต้อง "เชื่อใจ" ใครอีก - Sats And Sound Ep.53
https://youtu.be/Lw9Lz6xnfKA
จากประสบการณ์การใช้ชีวิต ทํางานของผมเอง ผมตกผลึกว่า
คนเราล้วนเห็นแก่ตัว และสามารถโกหกเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง
เอาตัวรอด และเอาเปรียบคนอื่นได้ตลอดเวลา
ถ้ามีโอกาส เห็นช่องทางโกง ก็โกงกันได้หมด
เพราะมันคือธรรมชาติของมนุษย์ในการเอาตัวรอด
ยิ่งเป็นเรื่องเงินๆทองๆ ผลประโยชน์ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ไม่สนิทบิดหมด บอกเพื่อนกันแต่เก็บทุกเม็ด
ยิ่งโต ยิ่งรู้ว่า สัญญาปากเปล่า ไม่มีหลักฐาน น่ากลัวมาก
ดังนั้นเวลาเราต้องการทําธุรกรรมที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ต่างๆ
เราจะให้ "บุคคลที่สาม" ที่น่าเชื่อถือมาเป็นตัวกลาง เพราะเรา "เชื่อใจ" ว่ามีโอกาสถูกโกงน้อยกว่าดีลกันแค่ 2 คน
คีย์เวิร์ดที่น่าสนใจในคลิปนี้คือ
พวกเราทุกคน อยู่ในระบบที่ต้อง "เชื่อใจตัวกลาง หรือ บุคคลที่สาม" ในระบบการเงินโลกที่มีมาอย่างยาวนาน
เช่น ธุรกรรมทางการเงิน เราก็เชื่อใจ ธนาคาร
ซื้อขาย อสังหาฯ เราก็เชื่อใจ เอเจ้น เจ้าหน้าที่กรมที่ดิน
ซื้อขาย หุ้น สินทรัพย์อืนๆ เราก็เชื่อใจ โบรกเกอร์
จะเห็นได้ว่า การจัดการสินทรัพย์ต่างๆของเรา เราจะชินกับการเชื่อใจ ตัวกลางมาตลอด
ที่จริงระบบนี้มันดีมากนะ ช่วยป้องกันการโกง รักษาผลประโยชน์ของสองฝ่ายได้
แต่โลกความจริงมันไม่ได้สีขาว ไม่ใสสะอาดขนาดนั้น
เมื่อมี "คน" เข้ามาในระบบ การโกงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์นั่นเอง
คนบางกลุ่ม หาช่องโหว่ในการเอาผลประโยชน์จากการเป็นตัวกลางได้อยู่ดี
ประเด็นที่ผมเน้นยํ้าในวันนี้ คือหลอกลวงระดับโลกที่พวกเราชินชากันมานาน
นั่นคือระบบการเงินโลกนั่นเอง
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ธนาคารเปรียบเสมือน "ตัวกลาง" ในการทําธุรกรรมการเงิน
ไม่ว่าจะในระดับบุคคล หรือ ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นแบงค์เอกชน หรือ FED
"ความเชื่อใจ"ที่พวกเราให้ "อํานาจ" ธนาคารในการควบคุมระบบการเงินนี่แหละ
ที่ทําให้ชีวิตเราจนและลําบากจากรุ่นสู่รุ่นไปเรื่อยๆ
ต้นเหตุมี ข้อเดียวเลยคือ เงินเฟ้อ การเพิ่มเงินเข้ามาในระบบ ส่งผลให้เงินเฟียตในมือของคนทั้งโลกเสื่อมค่าลงไปเรื่อยๆ
- FED พิมพ์เงิน อัดเข้ามาเข้ามาในระบบ ทํา QE พิมพ์เงินใช้หนี้เก่า พยุงเศรษฐกิจ
- ธนาคารเอกชน Fractional Reserve Banking เอาเงินฝากไปปล่อยกู้ต่อ เกิดเงินปลอมๆทางบัญชีมากมาย
ใครสนใจไปดูคลิป ความจริงของเงินเฟียต และ ระบบการเงินโลกที่กลุ่มนายทุน "ไม่อยากให้พวกเรารู้"
ใน playlist sats ผมได้ ได้ขยี้ประเด็นนี้ไว้แล้ว
การปล่อยให้ธนาคารพิมพ์เงินเป็นว่าเล่น มา 50 ปีแบบนี้ มันก็เกิดจากการเชื่อใจ คําพูดสวยหรูของนักการเมือง
และความไม่รู้ถึงความเลวร้ายของเงินเฟ้อ
นับตั้งแต่ปี 1971 เงินดอลล่าเสื่อมค่าไป 99 เปอร์เซนแล้ว
จากคลิป 1 ล้าน Sats รวยกว่า 1 ล้านบาท จริงเหรอ?
ผมได้เอา M2 หรือปริมาณเงินในระบบของประเทศไทย เทียบตั้งแต่ปี 2009-2025 ให้ดู
สรุปได้ว่า เงินเฟ้อในระบบ 6.01% ทบต้น เฟ้อขึ้น 158% ในเวลาแค่ 16 ปี
ใครสนใจเข้าไปดูคลิปนั้นได้
ถ้ายังไม่น่ากลัว ไม่เห็นภาพ
จากข้อมูล ใน trading view ปริมาณ M2 หรือ money supply ในประเทศไทย
มีการใส่ข้อมูลครั้งแรกในปี 1997 หน่วย ล้านล้านบาท
มกราคม 1997 มีปริมาณเงินทั้งหมด 4.73T
มกราคม 2009 มีปริมาณเงินทั้งหมด 8.60T
เวลาผ่านไป 12 ปี
ปริมาณเงินทั้งหมดได้เพิ่มขึ้น 3.87 T หรือคิดเป็นประมาณ 81.82%
หน่วยล้านล้านบาทมันเยอะขนาดไหน เผื่อบางคนไม่เห็นภาพ
3,870,000,000,000
จากนั้นในปี 2009 - 2025
พวกเราได้ผ่านมาหลายวิกฤต เช่น Hamburger Crisis สงคราม ความไม่สงบทั่วโลก Covid19
(บิทคอยใช้งานจริง ปี 2009) ส่งผลให้รัฐบาลโลกต้องพิมพ์เงินออกมามากมายเพื่อผยุงและกระตุ้นเศรษฐกิจ พิมพ์เยอะกว่าเงินเก่าที่มีอยู่ในระบบ
มกราคม 2009 มีปริมาณเงินทั้งหมด 8.60T
มกราคม 2025 มีปริมาณเงินทั้งหมด 22.37T
เวลาผ่านไป 16 ปี
ปริมาณเงินได้เพิ่มขึ้น 13.77T หรือคิดเป็นประมาณ 160.12%
ปี 1997 - ปี 2009 ปริมาณเงินเพิ่มขึ้น 3.87 T
ป 2009 - ปี 2025 ปริมาณเงินเพิ่มขึ้น 13.77T
ปริมาณเงินเพิ่มขึ้น 3.55 เท่าในเวลา 16 ปี
เริ่มเห็นยังทําไมเงินเฟ้อ ขนาดนี้ น่ากลัวมาก
ตัวเลขนี้มันบอกว่า 16 ปีที่ผ่านมา เรามีการพิมพ์เงินเพิ่มขึ้นมาในระบบมากเป็นอัตราเร่ง พิมพ์มากกว่าเดิม 2-3 เท่าจากวิกฤตต่างๆมากมาย เหมือนที่บอกไปแล้ว ส่งผลทําให้เงินบาทในระบบมากขึ้นมหาศาล ผลที่ตามมาคือเงินเฟ้อ
- ทําให้ทุกคนจนลงอย่างอัตโนมัติ
เอาให้เห็นภาพชัด
ปี 1997 คุณมีเงิน 1แสนบาท
ปี 2025 คุณมีเงิน 5แสนบาท
ผ่านไป 28 ปี รวยขึ้น มีเงินเพิ่ม 5 เท่า แน่ใจเหรอ???
ปี 1997 คุณมีเงิน 1แสนบาท แต่เงินในระบบมี 4.73T
สัดส่วนของเงินคุณเมื่อเทียบกับระบบ
≈ 0.0000000211416488
ปี 2025 คุณมีเงิน 5แสนบาท แต่เงินในระบบมี 22.37T
สัดส่วนของเงินคุณเมื่อเทียบกับระบบ
≈ 0.0000000223513634
ในความจริง ถ้าเทียบกับปริมาณเงินในระบบ
ผ่านไป 28 ปี สินทรัพย์ของคุณเพิ่มแค่ 0.946 เท่า เท่านั้น ( ไม่ใช่ 5 เท่าอย่างที่คิดไว้ )
ถ้าเงินในระบบยิ่งมาก แล้วคุณหาเงินหรือเก็บเงินได้ไม่ทัน คุณจะยิ่งจนลงเรื่อยๆ
- คนที่แย่ที่สุดคือคนไม่มีความรู้ทางการเงินที่ถูกต้อง/หาเงินไม่ทันเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ในโลก จะจนลงอย่างไม่รู้ตัว
- เงินใหม่หายาก ข้าวของแพงขึ้น หาเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้สักที เงินเก่าที่เก็บก็เสื่อมค่าลงไปเรื่อยๆ
นี่คือสิ่งที่ทั้งคนไทย และคนทั่วโลกส่วนใหญ่เผชิญอยู่ในตอนนี้
- ความเฮียคือ การพิมพ์เงินและเงินเฟ้อมันหยุดไม่ได้ และยังคงพิมพ์เงินในอัตราเร่งที่มากขึ้นเรื่อยๆ คนรุ่นหลังจะจนลง และใช้ชีวิตลําบากขึ้นเรื่อยๆ
พวกเราปล่อยให้สิ่งเลวร้ายนี้เกิดขึ้นเพราะ ความเชื่อใจ และรู้ไม่เท่าทันคําโกหก หลอกลวง ของคนมีอํานาจนั่นเอง
พอมาเจอบิทคอย โลกผมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ในเมื่อ มีคนเท่ากับโกง เท่ากับเชื่อใจไม่ได้
เราก็ไม่ต้องเชื่อใจใครเลย บิทคอยทําให้เราไม่ต้องเชื่อใจใครอีกต่อไป
ในอดีตผมก็คือมนุษย์เงินเฟียต ที่ทํางาน ใช้ชีวิต ใช้จ่าย ลงทุนแบบไม่สมํ่าเสมอ ผ่านไป 10 ปี
มีคําถามขึ้นมาในหัวว่า ทําไมเรายังรู้สึกไม่มั่นคง ทั้งๆที่เราก็พยายามทุกอย่าง แล้ว??
ผมเคยแชร์ประสบการณ์ ในคลิป รู้จัก บิทคอย และ เป็น Bitcoiner ได้ยังไง แชร์ ปสก เข้าไปดูกันได้
ซาโตชิ ผู้คิดค้นบิทคอย มีความเข้าใจสันดานดิบของมนุษย์มากๆนะ เขารู้ดีว่า ระบบที่ผ่านตัวกลาง
ต้องอาศัยความเชื่อใจ และสามารถเกิดช่องโหว่ให้โกงกันได้ตลอด
ดังนั้นบิทคอยก็เลยถูกออกแบบมาให้ ป้องกันการโกงตั้งแต่แรก
บิทคอยเป็นการเงินแบบไร้ตัวกลาง กระจายศูนย์
มีหลายๆฝ่ายทํางานร่วมกันเช่น developer miner node user คอยตรวจสอบกันและกัน รักษาผลประโยชน์ของตัวเอง
ทํางานร่วมกันโดยไม่ต้องเชื่อใจกัน
ยิ่งมีกลุ่มคนมากขึ้น ก็จะยิ่งทําให้ระบบการตรวจสอบ ความเป็น Anti-Fragile ของบิทคอยทําให้ยิ่งถูกโจมตี
ยิ่งสร้าง Network ที่แข็งแกร่งขึ้นอีก
บิทคอยถูกสร้างมาให้ป้องกันการโกงตั้งแต่แรกเลย โดยใช้การตรวจสอบจากกลุ่มคนหลายๆกลุ่ม หลายๆหน้าที่
มันสุดยอดมากๆ เป็นระบบการเงินที่เหมาะสมกับโลกปัจจุบันมาก โกงยาก โปร่งใส ตรวจสอบ และใช้ได้จริง
และตัวผมเองที่ไม่เชื่อใจใครง่ายๆอยู่แล้ว ชอบบิทคอยมากๆ ทุกอย่างมันลงล็อคเลย
เราจัดการสินทรัพย์ที่มีด้วยตัวเราเองได้ ไม่ต้องพึ่งใคร ซึ่งสิ่งนี้มันกระตุ้นให้ผม ต้องศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับบิทคอยมากขึ้น
ทำให้รู้ว่า บิทคอย ระบบการเงินไร้ศูนย์ที่ถูกออบแบบมาโดยเข้าใจมนุษย์อย่างแท้จริงซึ่งแก้ไขจากความผิดพลาดในอดีต
และสามารถถูกพัฒนาได้เรื่อยๆ โดยอาศัย consensus ของทุกคนในระบบ
- บิทคอยเป็นสินทรัพย์เดียวบนโลกที่มีจํากัดอย่างแท้จริง
- ถูกทําให้เฟ้อไม่ได้ ต่างจากสินทรัพย์อื่นๆ
- ที่สําคัญไม่มีใครเปลี่ยนกฏข้อนี้ได้ถ้าคนในระบบไม่ยินยอม
สรุป
1 การโกงและโกหก คือ ธรรมชาติของมนุษย์ เพราะเราอยู่ในโลกเงินเฟียต ที่ต้องเอาตัวรอด High Time Preference
2 มองโลกแบบไม่สวย ระบบไหนมี "คน/ตัวกลาง" เข้าไปเกี่ยว ถ้ามีช่องโหว่ โกงได้ บางคนก็โกง ระบบไหนเอาเปรียบคนอื่นได้ เขาก็ทํา เช่น การเงินโลกที่อาศัยตัวกลาง สุดท้ายแบงค์ก็เป็นคนที่เพิ่มเงินเข้ามาในระบบจนเกิดเงินเฟ้อ
3 ในโลกการเงินเก่า การตัดสินใจครั้งใหญ่ ขึ้นอยู่กับคนมีอํานาจไม่กี่คน พวกเขาจะคิดถึงประโยชน์ของตัวเองก่อน
ดังนั้น ไปถามหาความเชื่อใจกับคําพูดของคนเหล่านั้นไม่ได้ การโกหกว่าจะช่วยพยุงเศรษฐกิจ ช่วยแก้ไขความยากจนนั้นเป็นของปลอม
4 เราถูกสอนให้เชื่อใจ กับระบบการเงินโดยไม่ตั้งข้อสงสัยมานานกว่า 50 ปี ส่งผลให้ตอนนี้เวรกรรมทีได้รับคือ เงินเฟ้อมหาศาล
ทุกคนจนลงอย่างอัตโนมัติ
5 บิทคอยคือทางรอด เพราะ มันคือเงินไร้ตัวกลาง ถูกออกแบบมาให้โกงไม่ได้ตั้งแต่แรก ขั้นตอนที่คนต้องเข้าไปเกี่ยวไม่สามรถเปลี่ยนแปลงกฏเหล็กของบิทคอยในการเป็นเงินที่ดี เงินที่ไม่เสื่อมค่าได้
6 บิทคอย คือ ความอิสระ เป็นสินทรัพย์ที่เราไม่ต้องเชื่อใจใคร แต่นั่นก็คือความรับผิดชอบของเราเอง ถ้าเราทํา seed หลุด โอนผิด บิทคอยทั้งหมด สามารถหายไปได้ทันที
อยากให้ตั้งคําถามเกี่ยวกับความเชื่อใจในระบบการเงินโลก ที่เกิดปัญหาการโกงในปัจจุบัน คุณยังอยากอยู่ในระบบนั้นมั้ย
แล้วถ้ามีบิทคอยที่มาแก้ปัญหาเรื่องนี้ คุณคิดอย่างไร?
คุณจะต้องโดนโกง โดนหลอก ให้ได้บทเรียนมาก่อน แล้วคุณจะเริ่มเข้าใจบิทคอยจริงๆ เหมือนกับผม
#siamstr #satsandsound #btc #bitcoin #การโกง #โกหก
สอนโอน Bitcoin จาก Exchange เข้า Hardware Wallet รู้หลักการ โอนได้หมด - Sats And Sound Ep.52
https://youtu.be/RUA84Qb7ZJs
อ่านอย่างเดียวอาจจะงง แนะนำให้ดูคลิปประกอบครับ เพราะมีพาทที่สอนโอนจริงๆด้วย
คลิปนี้จะมาสอนแบบจับมือทําแบบละเอียด ขั้นตอนการโอนบิทคอยออกจาก exchange
เข้า Hardware Wallet เพื่อเก็บ บิทคอยด้วยตัวเอง self custody ทําให้บิทคอยที่เรามีนั้นเป็นของเราจริงๆ
Not your key,Not your coins
ดียังไงผมเคยบอกไปหมดแล้วในคลิปเก่า สรุปว่า มันเป็นสิ่งที่คนที่ต้องการถือบิทคอยระยะยาว ต้องทำ
ถึงจะยังไม่มี HW ก็อยากให้ดูไว้เป็นไอเดียก่อนครับ ทําจริงง่ายและเร็วมาก แต่เราต้องเข้าใจ
เพราะบิทคอยถ้าโอนผิด บิทคอยของคุณก็จะหายไปตลอดกาล
ความสําคัญของคลิปนี้คือ หลักการโอนที่ถูกต้อง ถ้าคุณเข้าใจ ไม่ว่าจะโอนเข้า-ออก จาก กระเป๋าไหนไปไหน
คุณก็จะทําได้ exchange เข้า HW หรือ สลับกัน หรือแม้แต่การโอนระหว่าง wallet คุณก็จะทำได้ไม่งงและคุณจะไม่มีทางโอนผิดอีกเลย
สิ่งที่คุณต้องรู้จักมี 2 สิ่ง
1 Network ตัวนี้เปรียบเสมือน ธนาคาร
2 Address หรือ เลขกระเป๋าบิทคอย ตัวนี้จะเปรียบเสมือน เลขบัญชีธนาคาร
สาเหตุหลักของการโอนแล้วเหรียญหาย ถ้าไม่ใส่ Network ก็ Address ผิดนั่นเอง ผมก็เลยให้ความสําคัญมากๆ ถ้าผิดเหรียญหายทันที
1 Network ตัวนี้เปรียบเสมือน ธนาคาร
ในโลกของคริปโตการโอนเหรียญต่างๆเราจะต้องรู้ว่า มันสามารถรับเข้า-โอนออกผ่าน network อะไรได้บ้าง
ในส่วนของบิทคอยมันง่าย เพราะจะมีแค่ 2 network เท่านั้นคือ
- BTC (Bitcoin Network)
- Lightning Network
1 BTC (Bitcoin Network)
จะเป็นตัวหลักที่ผมใช้โอนให้ดูจริงในวันนี้ เป็นตัวที่ใช้โอนระหว่าง Address ของ exchange กับ HW
ที่บอกค่า fee 3000 sats รอ 7-10 นาที ก็คือโอนผ่าน Bitcoin Network นั่นเอง
2 Lightning Network
จะเป็นการโอนบิทคอยหรือ sats ในจํานวนน้อยๆ เพื่อไปใช้ประจําวัน
เช่น โอนจาก exchange ไปเข้า 3rd party wallet เช่น wallet of satoshi ไปซื้อของกิน เป็นต้น
โอนแล้วเข้าเลยเหมือน พร้อมเพย์ ค่าธรรมเนียมตํ่ากว่า
แต่ในบาง exchange เช่นบิทคับ ที่ผมเอามาสาธิตในวันนี้ยังไม่ support network นี้นะครับ
พวก binance โอนผ่าน lightning ได้นะ
ข้อสังเกตุ 2 Network ที่ใช้โอนบิทคอย มีการใช้งานที่ต่างกัน
- BTC (Bitcoin Network) ใช้กับการโอนบิทคอยจำนวนมาก (เช่น มูลค่า 5พัน-1หมื่นบาท ขึ้นไป) เพื่อเก็บใน HW หรือแยกกระเป๋า
- Lightning Network ใช้จ่าย sats จำนวนน้อยๆ สแกนเข้าเลย แต่ต้องใช้ผ่าน wallet อื่นๆอีกทีเช่น wallet of satoshi
มีคนอาจจะคิดว่า ใช้ Lightning Network ไปเลยสิ อยากบอกว่าใน third party wallet พวกนี้จะเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มอีก
ดังนั้นทั้งสอง Network ใช้กันคนละจุดประสงค์ แยกการใช้ให้ถูกต้อง เพื่อไม่ต้องเสีย fee โดยไม่จําเป็น
ที่บอกว่าบิทคอยง่าย เราไปดู network ของ ETH กัน
ขอบคุณรูปจาก Binance TH
ETH โอนได้ 5 network ขึ้นอยู่กับว่า เราใช้เหรียญอะไร เหรียญคู่เทรดเราคืออะไร และค่าธรรมเนียมเท่าไหร่
network ของ ETH เอง ERC20 อันนี้ดี แต่แพง
BEP20 ของไบแนน Base Artitrum Optimism
stable coin USDT มี 7 network
การมี network เยอะๆเป็นทางเลือกดีนะ แต่บางทีเราก็สับสน ตอนโอนต้องมีสติ
บิทคอย ถ้าจะโอนเก็บเข้า HW คุณจำแค่อันเดียว คือ BTC (Bitcoin Network) จบ
แล้ว exchange เหมือนบิทคับ เขาจะล็อคไม่ให้เราเลือก Network อื่นได้ได้วย ก็ช่วยป้องกันอีกขั้นหนึ่ง
สาเหตุหลักๆในการโอนเหรียญแล้วหายคือ การเลือก Network ผิด ( User Error )
2 Address หรือ เลขกระเป๋าบิทคอย ตัวนี้จะเปรียบเสมือน เลขบัญชีธนาคาร
รู้ network หรือ ธนาคารแล้ว คราวนี้ ต้องรู้เลขกระเป๋า หรือบัญชีธนาคารที่ต้องโอนเข้าไปด้วย
- รับบิทคอย
มีคนจะส่งบิทคอยมาให้เรา เขาจะต้องรู้ Address หรือ เลขกระเป๋า ของเรา
- โอนบิทคอย
คุณจะต้องรู้ Address หรือ เลขกระเป๋า ปลายทางที่ต้องส่งไป เช่น เลขกระเป๋า Hardware Wallet ของเราเอง
ข้อสังเกตุ คริปโตมีเป็นแสนเป็นล้านเหรียญ แต่ละเหรียญจะมี Address แยกเป็นของตัวเอง
คุณไม่สามารถเอา Address ของบิทคอยไปโอน ETH หรือเหรียญอื่นๆได้
บางเคสมันล็อคโอนไม่ได้ แต่บางเหรียญถึงใส่ผิดมันโอนไปนะ แล้วเหรียญจะหายไปตลอดกาล
ยกตัวอย่างใน บิทคับ กดไปที่ wallet ตอนนี้ ผมมีบิทคอยอยู่ 0.00227008 BTC หรือ 227,008 satoshi
ถ้ามีคนจะโอน บิทคอยเข้ามาให้ผมในกระเป๋าใน บิทคับ เราจะต้องรู้เลขกระเป๋าที่ใช้รับบิทคอยก่อน
กดไปที่ปุ่มสีเขียวฝาก จะขึ้นมาอีก หน้าจอนึง ดูที่ข้างล่างจะมีชุดตัวเลขที่ขึ้นด้วย bc1 ยาวๆ
ตัวนี้คือ Address กระเป๋าบิทคอยของเราในบิทคับ หรือ มันคือเลขบัญชีธนาคารนั่นเอง
เราสามารถก็อปโค้ดยาวๆนี้ส่งให้เพื่อนได้ ถ้าเขาต้องการส่งบิทคอยให้คุณ ส่งมาที่เลขกระเป๋านี้
แต่การก็อปโค้ดยาวๆแบบนี้ มันมีข้อเสีย ผิดพลาดก็อปไม่หมด มีปัญหาได้ ส่งผิดเหรียญหายซวยอีก
ชีวิตเราง่ายกว่านั้น เห็น QR code นี้มั้ย ส่งรูปนี้ไปเลย เพื่อนสามารถสแกน
และส่งบิทคอยมาให้เราได้เลย สะดวกและป้องกันการ ก็อปโค้ดยาวๆแล้วเกิดการผิดพลาด ส่งไม่ได้
กลับกันถ้าเราต้องการโอน บิทคอย ออกจาก exchange บิทคับ ไปยัง HW เราก็กดไปที่ปุ่มสีแดง ถอน
สังเกตุช่องแรก Address ผู้รับ เราสามารถ ก็อปปี้ Address HW ของเรามาวางเพื่อส่งบิทคอย หรือ กดที่ปุ่ม QR เพื่อสแกนก็ได้
หลักการนี้ใช้ได้กับทุก exchange นะครับ
- เข้าไป wallet บิทคอย ที่เรามีอยู่ใน exchange นั้นๆ
ฟังก์ชั่น ฝาก Deposit ใช้โอนเหรียญเข้ามา
ฟังก์ชั่น ถอน Withdraw ใช้ถอนเหรียญออกจาก exchange
- ใส่ Address ให้ถูก (แนะนำแสกน QR code )
- เลือก network ให้ถูก ( BTC หรือ Bitcoin network ส่วนใหญ่มันล็อคมาให้แล้ว)
ขั้นตอนการโอนบิทคอยจาก บิทคับ เข้า Hardware wallet
- มือถือ
- คอมพิวเตอร์
- Hardware wallet (ผมใช้ Trezor 3)
1 ไปที่แอฟบิทคับ กดที่ wallet ด้านล่าง
2 ตอนนี้ผมมี บิทคอยอยู่ 0.00227008 BTC หรือ 227,008 satoshi
3 เสียบ HW เข้ากับคอมพิวเตอร์ แล้ว เชื่อมต่อกับ โปรแกรม Trezor Suite โปรแกรมหน้าตาประมาณนี้
Trezor ต้องขึ้นว่า connected แบบนี้
4 เราต้องกาจะโอน บิทคอยมาไว้ใน HW ดังนั้นเราจะต้องรู้ Address บิทคอยใน HW
ไปกดที่ปุ่ม receive สีเขียวที่ขวาบน จากนั้นกดปุ่มสีเขียว "Show Full Address"
แล้วจะโชว์ QR code ที่เป็น Address ปลายทางที่เราจะโอนบิทคอยมาแล้ว
ซึ่งถ้า Trezor ไม่เชื่อมต่อมันจะไม่มี ปุ่มเขียว "Receive" นี้ขึ้นมา
ต้องแน่ใจว่า เชื่อมต่อ HW ก่อนนะ
5 ตัดไปที่โทรศัพท์ ที่หน้า wallet ใน แอฟ บิทคับ กดที่บิทคอย แล้วกดปุ่มแดง ถอน
6 มันจะขึ้นหน้า ให้กรอกข้อมูล Address เราจะก็อป Addressมาใส่ก็ได้
แต่ผมกลัวผิด และ มันมีวิธีง่ายกว่านั้น กดปุ่ม QR สแกนจาก โปรแกรมในคอมเลย
ตรงบันทึก address ไม่ต้องติ๊กนะครับ เพราะรับแต่ละครั้งเราจะไม่ใช้ address ซ้ำ เพื่อความปลอดภัย
7 จากนั้นใส่จำนวนบิทคอยที่ต้องการโอน ใส่หมดเลย
มีกำหนดถอนขั้นต่ำ 0.00006 BTC และมีค่าธรรมเนียม 0.00003 BTC
สรุปได้รับ 0.00224007999 กดตรวจสอบข้อมูล
แล้วหน้าต่างต่อไปก็เช็คข้อมูลอีกครั้ง แอดแดรดถูก เน็ตเวิร์คถูก จำนวนถูก กดยืนยัน สแกนหน้า แค่นี้เสร็จแล้ว
ตอนนี้ถ้าใครไปเช็คในwallet ทำไมบิทคอยยังไม่ไป ดูที่ Available 0 BTC
บิทคอยกับกำลังผ่านการคอนเฟิร์มเพื่อปิดบล็อคก่อนครับ ไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องทำอะไร
8 สักแป็บนึง พอไปเช็คใน Trezor Suite แจ้งมา ว่ากำลังจะรับบิทคอย แต่ที่จริงต้องรอคอนเฟริ์มประมาณ 10 นาที
เท่านี้เราก็เก็บบิทคอยด้วยตัวเองได้แล้ว โอนเข้า HW อ่ะง่าย แต่โอนออกอ่ะยากกว่า
สรุป
1 เข้าใจหลักการของการโอน เข้าใจ network และ address คุณก็จะไม่โอนผิดอีกต่อไป ใช้ได้ทุก exchange ใช้ได้ทุกเหรียญ
2 ยิ่ง Bitcoin network ที่ไม่ซับซ้อนเท่าพวก Altcoin รวมถีงการป้องกันการโอนผิดของ exchange ทําให้การโอนบิทคอยไปยัง HW ง่ายกว่าที่คิด
3 ถึงจะง่ายแต่เราก็ต้องมีสติทุกขั้นตอน เพราะอย่างที่บอกว่า การโอนผิดเหรียญหายทันที ไม่มีใครช่วยคุณได้
4 not your key,not your coins
ใครเริ่มมีบิทคอยมูลค่าเกิน 5พันบาท แนะนำให้เริ่มศึกษาการเก็บใน HW เลยครับ
5 ถ้าคุณถือบิทคอยด้วยตัวเองได้แล้ว คุณก็จะมีอิสระกับสินทรัพย์ในมือคุณอย่างแท้จริง
#siamstr #satsandsound #btc #bitcoin #hardwarewallet #trezor #ออมbtc
เงินเฟ้อ และ บิทคอย 2 สิ่งที่ คนธรรมดา อยากพลิกชีวิต ต้องรู้ - Sats And Sound Ep.51
https://youtu.be/mQ1hhVXtALY
ในสังคมเงินเฟียต High Time Preference มีแต่คนเก่ง คนรวย คนประสบความสําเร็จเต็มโลกโซเชียลไปหมด
ผมเชื่อว่าทุกคนเคยอ่านข่าว หรือโพส การพลิกชีวิตด้วยการถูกหวยรางวัลที่ 1 การทําธุรกิจที่รวย
พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ขายของได้วันละเป็นแสนเป็นล้าน ซื้อบ้านหลังใหญ่ ซื้อรถหรู ซื้อทองคําเก็บเดือนละ 5 ล้าน
ลูกก็เข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติแพงๆ
ความสำเร็จ ความรวย ใช้ชีวิตหรูหรา เต็มโลกออนไลน์ไปหมด
ตัดกลับมาที่ตัวเราเองที่เป็นคนธรรมดา ที่นั่งไถฟีด เงินเดือน 2หมื่นบาท คุณภาพชีวิตที่มีความสุขบ้าง ทุกข์บ้างตามอัตภาพ
ไหนจะภาระมากมายทั้งที่คาดเดาได้และคาดเดาไม่ได้ ความรู้สึกต่างกันราวฟ้ากับเหวเลย คิดไปเศร้าไป
การโดนโซเชียลยัดเยียดความสําเร็จของคนอื่นมากๆ มันโคตรเป็นพิษต่อตัวเราเองเลยนะ
เดี๋ยวนี้ algorithm ในไอจี เฟสบุ๊ค มันชอบเอาโพสของคนที่ไม่รู้จักมาขึ้นหน้าฟีคตลอด
โพสอวดความสําเร็จแบบนี้ ถ้าใครที่มองเป็นแรงผลักก็โชคดีไป ส่วนตัวผมแรกๆก็เป็นแรงผลักแหละ
แต่หลังๆทําไมเรารู้สึกเครียด กดดันตัวเอง
ผมก็ไม่ใช่พ่อพระขนาดที่จะยินดีกับทุกคนสําเร็จของใครก็ไม่รู้ในโซเชียล
ดูไปก็มีคําถามลึกๆในใจว่า "ทําไมเราตามไม่ทันคนอื่น ทําไมเรายังลําบากอยู่แบบนี้ เงินที่เขาใช้ได้สบายๆ ทั้งปีเรายังหาไม่ได้เลย"
สิ่งแรกคือคุณต้องแยกคอนเท้นประเภท อวดแบบไร้ประโยชน์ ออกไปให้ได้ก่อน
ดูแล้วเกิดแต่พลังงานลบ กดซ่อน กดบล็อคให้หมด ไม่ต้องไปดู เสียเวลาชีวิต
ดูทําไมเครียดกว่าเดิมอีก
ผมเคยทําคลิปเข้าไปดูกันได้
ตอนต้นคลิปผมได้พูดถึง สังคมปัจจุบันที่มีแต่ความ High Time Preference ความสําเร็จที่รวดเร็ว
ฉาบฉวย พลิกชีวิตข้ามคืน ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันเกิดมาจาก เราอยู่ในโลกของเงินเฟียต ที่เสื่อมค่า
เมื่อเงินรักษามูลค่าไม่ได้ ทําให้การเก็บเงิน การออมเงินระยะยาวเป็นเรื่องไร้สาระ
ทําให้เกิด มายเซ็ตที่ทุกอย่างต้องเร็วทันใจ ต้องพลิกชีวิตในไม่กี่ปี ต้องทําธุรกิจรวยเร็ว ซึ่งคนเก่ง คนทําได้มันมีนะครับ
ขอเรียกว่า คนเก่ง หรือ Top 1% แล้วกัน อยากให้คิดว่าคนพวกนี้มีอยู่จริง แต่จํานวนน้อยครับ
สิ่งที่เขาโพสมันเป็นสิ่งที่คนทั่วไป ทําได้ยาก มันก็เลยเรียกยอด engagement ได้ครับ
จากหัวข้อเลย ถ้าคุณไม่ใช่ Top1% คุณคือคนธรรมดา แล้วอยากพลิกชีวิตบ้าง
คุณต้องเข้าใจเงินเฟ้อและบิทคอย
1 เงินเฟ้อ และระบบการเงินที่แท้จริงของโลกก่อน
- คนทั่วไป คนธรรมดาแบบเรา ส่วนใหญ่จะไม่สามารถเก็บเงิน หรือออมเงินได้ทันกับการพิมพ์เงินแบบอัตราเร่ง
ส่งผลให้ ถ้าเราออมเงินผิดที่ผ่านไป 10 ปีเราจะเริ่มจนลง ยกตัวอย่างเคส ออมเดือนละ 1 แสนบาท ผ่านไป 10 ปียังแพ้เงินเฟ้อ
เรื่องเงินเฟ้อ ระบบการเงินโลกผมเล่าย่อยๆไว้หลายคลิป เข้าไปดูในเพลลิส Sats ได้เลยครับ
- คนรวย Top 1% พวกนี้บางคนหาเงินได้มากพอ หรือเร็วกว่าอัตราการพิมพ์เงิน ดังนั้นถ้าหากเขาออม หรือลงทุนผิดทางไปบ้างเขาก็จะไม่เจ็บตัวมาก กลุ่มนี้เขามีทางเลือกมากกว่าพวกเรานั่นเอง
2 บิทคอย
- คนทั่วไป ถ้าหากไม่รู้จักบิทคอย คุณจะเสียโอกาสมหาศาล บิทคอยคือเงินของประชาชนที่ทําให้เงินออมกลับมามีคุณค่า
และไม่ทําให้คุณจนลงเรื่อยๆเหมือนเงินเฟียต การออกแบบระบบที่รัดกุมรวมถึงถูกทําให้มีอย่างจํากัดแน่นอนแค่ 21 ล้านเหรียญ
ทําให้บิทคอยจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากการพิมพ์เงิน และเงินเฟ้อ ใครไม่มีบิทคอย เหมือนกับคุณวิ่งอยู่บนลู่ที่วิ่งสวนทาง
การจะไปข้างหน้าใช้แรงมหาศาลแล้วสุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไป คุณจะเหนื่อยไปเอง
- คนรวย Top 1% เหมือนที่ผมเคยพูดว่า คนกลุ่มนี้ไม่จําเป็นต้องออม หรือรู้จักบิทคอยก็ได้ เพราะเขามีเงินเฟียตมากพออยู่แล้ว แต่จากประสบการณ์ส่วนตัว ยิ่งคนมีเงินเยอะ เขาจะยิ่งออมหรือหาช่องทางลงทุนได้มากขึ้นไปอีก ทําให้ช่องว่างทางฐานะยิ่งห่างไปอีก
เห็นมั้ยมันเป็น Game theory ที่พอมีคนเห็นว่าถือแล้วดี คนก็จะเข้ามาถือเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่มีเหตุผลที่คนธรรมดาแบบเราจะไม่เข้ามามีส่วนร่วมถือบิทคอยเพื่อจะพลิกชีวิตให้ดีขึ้นด้วย
ผมก็เป็นคนธรรมดาคนนึงที่ยังต้องทํางานเพื่อเลี้ยงชีพ ที่อยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความสําเร็จที่โดนยัดเยียดมา
ก็เลยอยากจะมาแชร์วิธีจัดการกับมัน รวมถึง วิธีที่จะทําให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นจากเงินเฟ้อที่กัดกินทุกคนด้วยบิทคอย
สรุป
1 คนธรรมดาอย่างเราอย่างเพิ่งหมดหวัง แค่เดินในเส้นทางที่ถูกต้อง เราก็จะพลิกชีวิต ทําให้ทุกอย่างมันดีขึ้นได้
2 เส้นทางที่ว่าคือการเข้าใจเงินเฟ้อและบิทคอย แล้วคุณจะรู้ว่าระบบการเงินโลกมันถูกออกแบบมาให้พวกเราแพ้ตั้งแต่แรก
ไม่แปลกที่คนทั่วไปจะรู้สึกเหนื่อยและหาเงินตามเงินเฟ้อไม่เคยทัน ชีวิตแย่ในระยะยาว
3 คอนเท้นอวดไร้ประโยชน์ แชร์ความสําเร็จโดยที่เราไม่ได้อะไรจากมันเลย หยุดดู หยุดเสพ ชีวิตคุณจะดีขึ้น
4 เมื่อรู้จักบิทคอย คุณจะรอเป็น คุณจะรู้ว่าทุกอย่างมันไม่จําเป็นต้องได้มาในทันที ฝึกคิดแบบ Low Time Prefenece เอาไว้
อยากให้ลองถือบิทคอย ออมเฉยๆใน HW สัก 4 ปี คุณจะได้รู้ว่าที่จริงหลุมกระต่าย มันลึกกว่าที่คิด
5 ศึกษาแค่บิทคอยเรื่องเดียวคุ้มค่านะ นอกจากการเงินดีขึ้น มันทําให้ชีวิตคุณดีขึ้นในหลายๆมิตินะ ไม่ว่าจะเป็นความคิด การดําเนินชีวิต การกินอาหาร การรักตัวเองเงินเฟ้อ และ บิทคอย
2 สิ่งที่คนธรรมดา
อยากพลิกชีวิต ต้องรู้
ในสังคมเงินเฟียต High Time Preference มีแต่คนเก่ง คนรวย คนประสบความสําเร็จเต็มโลกโซเชียลไปหมด
ผมเชื่อว่าทุกคนเคยอ่านข่าว หรือโพส การพลิกชีวิตด้วยการถูกหวยรางวัลที่ 1 การทําธุรกิจที่รวย
พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ขายของได้วันละเป็นแสนเป็นล้าน ซื้อบ้านหลังใหญ่ ซื้อรถหรู ซื้อทองคําเก็บเดือนละ 5 ล้าน
ลูกก็เข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติแพงๆ
ความสำเร็จ ความรวย ใช้ชีวิตหรูหรา เต็มโลกออนไลน์ไปหมด
ตัดกลับมาที่ตัวเราเองที่เป็นคนธรรมดา ที่นั่งไถฟีด เงินเดือน 2หมื่นบาท คุณภาพชีวิตที่มีความสุขบ้าง ทุกข์บ้างตามอัตภาพ
ไหนจะภาระมากมายทั้งที่คาดเดาได้และคาดเดาไม่ได้ ความรู้สึกต่างกันราวฟ้ากับเหวเลย คิดไปเศร้าไป
การโดนโซเชียลยัดเยียดความสําเร็จของคนอื่นมากๆ มันโคตรเป็นพิษต่อตัวเราเองเลยนะ
เดี๋ยวนี้ algorithm ในไอจี เฟสบุ๊ค มันชอบเอาโพสของคนที่ไม่รู้จักมาขึ้นหน้าฟีคตลอด
โพสอวดความสําเร็จแบบนี้ ถ้าใครที่มองเป็นแรงผลักก็โชคดีไป ส่วนตัวผมแรกๆก็เป็นแรงผลักแหละ
แต่หลังๆทําไมเรารู้สึกเครียด กดดันตัวเอง
ผมก็ไม่ใช่พ่อพระขนาดที่จะยินดีกับทุกคนสําเร็จของใครก็ไม่รู้ในโซเชียล
ดูไปก็มีคําถามลึกๆในใจว่า "ทําไมเราตามไม่ทันคนอื่น ทําไมเรายังลําบากอยู่แบบนี้ เงินที่เขาใช้ได้สบายๆ ทั้งปีเรายังหาไม่ได้เลย"
สิ่งแรกคือคุณต้องแยกคอนเท้นประเภท อวดแบบไร้ประโยชน์ ออกไปให้ได้ก่อน
ดูแล้วเกิดแต่พลังงานลบ กดซ่อน กดบล็อคให้หมด ไม่ต้องไปดู เสียเวลาชีวิต
ดูทําไมเครียดกว่าเดิมอีก
ผมเคยทําคลิปเข้าไปดูกันได้
ตอนต้นคลิปผมได้พูดถึง สังคมปัจจุบันที่มีแต่ความ High Time Preference ความสําเร็จที่รวดเร็ว
ฉาบฉวย พลิกชีวิตข้ามคืน ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันเกิดมาจาก เราอยู่ในโลกของเงินเฟียต ที่เสื่อมค่า
เมื่อเงินรักษามูลค่าไม่ได้ ทําให้การเก็บเงิน การออมเงินระยะยาวเป็นเรื่องไร้สาระ
ทําให้เกิด มายเซ็ตที่ทุกอย่างต้องเร็วทันใจ ต้องพลิกชีวิตในไม่กี่ปี ต้องทําธุรกิจรวยเร็ว ซึ่งคนเก่ง คนทําได้มันมีนะครับ
ขอเรียกว่า คนเก่ง หรือ Top 1% แล้วกัน อยากให้คิดว่าคนพวกนี้มีอยู่จริง แต่จํานวนน้อยครับ
สิ่งที่เขาโพสมันเป็นสิ่งที่คนทั่วไป ทําได้ยาก มันก็เลยเรียกยอด engagement ได้ครับ
จากหัวข้อเลย ถ้าคุณไม่ใช่ Top1% คุณคือคนธรรมดา แล้วอยากพลิกชีวิตบ้าง
คุณต้องเข้าใจเงินเฟ้อและบิทคอย
1 เงินเฟ้อ และระบบการเงินที่แท้จริงของโลกก่อน
- คนทั่วไป คนธรรมดาแบบเรา ส่วนใหญ่จะไม่สามารถเก็บเงิน หรือออมเงินได้ทันกับการพิมพ์เงินแบบอัตราเร่ง
ส่งผลให้ ถ้าเราออมเงินผิดที่ผ่านไป 10 ปีเราจะเริ่มจนลง ยกตัวอย่างเคส ออมเดือนละ 1 แสนบาท ผ่านไป 10 ปียังแพ้เงินเฟ้อ
เรื่องเงินเฟ้อ ระบบการเงินโลกผมเล่าย่อยๆไว้หลายคลิป เข้าไปดูในเพลลิส Sats ได้เลยครับ
- คนรวย Top 1% พวกนี้บางคนหาเงินได้มากพอ หรือเร็วกว่าอัตราการพิมพ์เงิน ดังนั้นถ้าหากเขาออม หรือลงทุนผิดทางไปบ้างเขาก็จะไม่เจ็บตัวมาก กลุ่มนี้เขามีทางเลือกมากกว่าพวกเรานั่นเอง
2 บิทคอย
- คนทั่วไป ถ้าหากไม่รู้จักบิทคอย คุณจะเสียโอกาสมหาศาล บิทคอยคือเงินของประชาชนที่ทําให้เงินออมกลับมามีคุณค่า
และไม่ทําให้คุณจนลงเรื่อยๆเหมือนเงินเฟียต การออกแบบระบบที่รัดกุมรวมถึงถูกทําให้มีอย่างจํากัดแน่นอนแค่ 21 ล้านเหรียญ
ทําให้บิทคอยจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากการพิมพ์เงิน และเงินเฟ้อ ใครไม่มีบิทคอย เหมือนกับคุณวิ่งอยู่บนลู่ที่วิ่งสวนทาง
การจะไปข้างหน้าใช้แรงมหาศาลแล้วสุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไป คุณจะเหนื่อยไปเอง
- คนรวย Top 1% เหมือนที่ผมเคยพูดว่า คนกลุ่มนี้ไม่จําเป็นต้องออม หรือรู้จักบิทคอยก็ได้ เพราะเขามีเงินเฟียตมากพออยู่แล้ว แต่จากประสบการณ์ส่วนตัว ยิ่งคนมีเงินเยอะ เขาจะยิ่งออมหรือหาช่องทางลงทุนได้มากขึ้นไปอีก ทําให้ช่องว่างทางฐานะยิ่งห่างไปอีก
เห็นมั้ยมันเป็น Game theory ที่พอมีคนเห็นว่าถือแล้วดี คนก็จะเข้ามาถือเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่มีเหตุผลที่คนธรรมดาแบบเราจะไม่เข้ามามีส่วนร่วมถือบิทคอยเพื่อจะพลิกชีวิตให้ดีขึ้นด้วย
ผมก็เป็นคนธรรมดาคนนึงที่ยังต้องทํางานเพื่อเลี้ยงชีพ ที่อยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความสําเร็จที่โดนยัดเยียดมา
ก็เลยอยากจะมาแชร์วิธีจัดการกับมัน รวมถึง วิธีที่จะทําให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นจากเงินเฟ้อที่กัดกินทุกคนด้วยบิทคอย
สรุป
1 คนธรรมดาอย่างเราอย่างเพิ่งหมดหวัง แค่เดินในเส้นทางที่ถูกต้อง เราก็จะพลิกชีวิต ทําให้ทุกอย่างมันดีขึ้นได้
2 เส้นทางที่ว่าคือการเข้าใจเงินเฟ้อและบิทคอย แล้วคุณจะรู้ว่าระบบการเงินโลกมันถูกออกแบบมาให้พวกเราแพ้ตั้งแต่แรก
ไม่แปลกที่คนทั่วไปจะรู้สึกเหนื่อยและหาเงินตามเงินเฟ้อไม่เคยทัน ชีวิตแย่ในระยะยาว
3 คอนเท้นอวดไร้ประโยชน์ แชร์ความสําเร็จโดยที่เราไม่ได้อะไรจากมันเลย หยุดดู หยุดเสพ ชีวิตคุณจะดีขึ้น
4 เมื่อรู้จักบิทคอย คุณจะรอเป็น คุณจะรู้ว่าทุกอย่างมันไม่จําเป็นต้องได้มาในทันที ฝึกคิดแบบ Low Time Prefenece เอาไว้
อยากให้ลองถือบิทคอย ออมเฉยๆใน HW สัก 4 ปี คุณจะได้รู้ว่าที่จริงหลุมกระต่าย มันลึกกว่าที่คิด
5 ศึกษาแค่บิทคอยเรื่องเดียวคุ้มค่านะ นอกจากการเงินดีขึ้น มันทําให้ชีวิตคุณดีขึ้นในหลายๆมิตินะ ไม่ว่าจะเป็นความคิด การดําเนินชีวิต การกินอาหาร การรักตัวเอง
#siamstr #satsandsound #btc #bitcoin #ออมbtc #ออมbitcoin #เงินเฟ้อ
1 ล้าน Sats รวยกว่า 1 ล้านบาท จริงเหรอ? - Sats And Sound Ep.50
https://youtu.be/IIjJJXBIRyA
คลิปนี้ไม่ได้เรียกทัวร์ แต่คิดว่าคงมีคนเห็นต่างแน่นอนครับ
บ้าหรือเปล่า 1 ล้าน sats มูลค่าแค่ 3-4 หมื่นบาทไทย จะรวยกว่า 1ล้านบาทไทยได้ยังไง
ใครคิดแบบนี้อยากให้ดูคลิปให้จบก่อนครับ ผมอยากให้ทุกคนเห็นภาพความจริงของเงินที่ดีเมื่อเทียบกับเงินที่เสื่อมค่า
ย้อนกลับไปเมื่อ 10-15 ปีก่อน การวางแผนเกษียณมีสัก 5ล้านบาทก็เกษียณได้แล้ว
แต่ตอนนี้ปี 2025 ลองไปถามคนที่วางแผนเกษียณได้เลยทุกคนอาจจะตอบคล้ายๆกันคือ มีแค่ 5 ล้านบาทคงไม่พอแล้ว
สาเหตุเพราะเงินเฟียตในมือของเรามันเสื่อมค่า จากการพิมพ์เงินและเงินเฟ้อนั่นเอง
ผมจะมาบอกว่าทําไม การมี 1 ล้าน Sats ถึงรวยกว่า 1 ล้านบาท
เงินเฟ้อที่ประกาศประมาณ 2-3% ต่อปี ใครยังเชื่อตัวเลขนี้อยู่ อยากให้มาดูความจริงกันครับ
เราไปดูปริมาณ M2 ซึ่งคือปริมาณเงินที่อยู่ระบบในไทยก็ได้
M2 คือ ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ จะครอบคลุมปริมาณเงินที่อยู่ในมือประชาชนและภาคธุรกิจทั้งหมด
ง่ายๆคือใช้ดูเงินเฟ้อนั่นเอง แต่ละปีเงินเพิ่มขึ้นเท่าไหร่
ข้อมูลจาก treding view ปริมาณ M2 ของประเทศไทย
กรกฏาคม 2025 M2 = 23.43T
กรกฏาคม 2024 M2 = 22.68T
กรกฏาคม 2020 M2 = 20.14T
กรกฏาคม 2015 M2 = 14.57T
กรกฏาคม 2009 M2 = 9.07T
การคำนวณการเพิ่มขึ้นของ M2
จากปี 2024 ถึง 2025 (1 ปี)
ปริมาณที่เพิ่มขึ้น: 23.43T - 22.68T = 0.75T (3.31%)
อันนี้ดูไม่แย่นะ ไม่ถึง 4% แต่ยังไม่จบครับ
จากปี 2020 ถึง 2025 (5 ปี)
ปริมาณที่เพิ่มขึ้น: 23.43T - 20.14T = 3.29T (16.34%)
จากปี 2015 ถึง 2025 (10 ปี)
ปริมาณที่เพิ่มขึ้น: 23.43T - 14.57T = 8.86T (60.81%)
จากปี 2009 ถึง 2025 (16 ปี) ปีแรกที่บิทคอยเกิดขึ้น หลังจาก Hamburger crisis 2008
ปริมาณที่เพิ่มขึ้น: 23.43T - 9.07T = 14.36T (158.32%)
จากตัวเลข 16 ปีที่ผ่านปริมาณเงินในไทยเพิ่มขึ้น 158% นี่ไงครับใจความสําคัญของคลิปนี้
สาเหตุที่ว่ามีเงินเก็บเท่าไหร่ ก็ไม่เคยพอ ค่าใช้จ่ายมากขึ้นทุกอย่าง
มีตัวอย่าง ข้าวกะเพราะ 10 ปีก่อนยังได้เห็น 30-40 บาทต่อจาน ตอนนี้ 60-100 บาทต่อจานไปแล้ว
การถือเงินเฟียตที่อํานาจการจับจ่ายลดลงตลอดเวลา มันทําให้เราไม่สามารถหาเงินได้ทันอัตราเร่งของเงินเฟ้อ
เพราะรัฐบาลพิมพ์เงินเข้ามาในระบบเพื่อพยุงเศรษฐกิจที่แก้ผิดจุดตลอดเวลา รวมถึงอเมริกาที่พิมพ์เงินและขยายเพดานหนี้ขึ้นไปเรื่อยๆ เงินเฟ้อมันแย่ แต่เราไม่มีทางหลีกหนีมันได้เลย
มีคําพูดบอกว่า มี 2 สิ่งที่คนเราไม่มีทางหนีได้นั่นคือ ความตาย และ ภาษี
ผมขอเพิ่มไปอีก 1 อย่างนั่นก็คือเงินเฟ้อ ครับ
เก็บเงินเฟียตเดือนละแสนยังแพ้เงินเฟ้อในระยะยาวเลย น่ากลัวนะครับ
ไหนๆจะขยี้มันยังไม่จบครับ ผมก็ได้ไปคํานวณต่อว่า 16 ปีที่ผ่านมานั้น 158.32%
ถ้าคิด อัตราการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยต่อปีของ M2 จากข้อมูลนี้คือประมาณ 6.01%
มันจะตรงกับที่เราคาดการณ์กันเงินเฟ้อที่แท้จริง 6-8% ต่อปี
เห็นยังครับ มันไม่ใช่ 2-3% ตามค่า CPI นะครับ
จากคลิปอาจารย์พิริยะ ล่าสุดผมชอบมาก แกบอกว่า ถ้าใครอยากดูเงินเฟ้อคร่าวๆ ให้ไปดูอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของแบ้งค์
จากรูปขอบคุณข้อมูลจาก เวิร์คพ้อยทูเดย์นะครับ
ดู MRR 6.5-8% นี่แหละคือคําตอบว่า แบงค์เขารู้ตัวเลขเงินเฟ้อที่แท้จริงนะ
ถ้าเงินเฟ้อจริงมัน 2-3% ทําไมแบงค์ไม่สามารถลดอัตราเงินกู้ให้ถูกลงกว่านี้ได้
ถ้าใครดูมาถึงตรงนี้ น่าจะเริ่มเข้าใจและได้คําตอบแล้วครับว่า
การถือ 1ล้าน sats หรือ 0.01 BTC นั้นรวยกว่า การมีเงิน 1 ล้านไทยบาทในระยะยาว
ผมมีคลิป เป้าขั้นต่ำที่อยากให้ทุกคนมีบิทคอยไว้ 0.01 BTC เข้าไปดูกันได้นะครับ
ถ้าถามว่าบิทคอยมันมาแก้อะไร มันก็มาแก้เงินเฟ้อไง ตรงตัวเลย แก้แค่เรื่องนี้ ชีวิตเราจะง่ายขึ้นเยอะเลย
สมมติมี 1ล้าน sats มูลค่า 35,000 บาท ในวันนี้ ในอีก 10 ปีข้างหน้า คุณก็ยังมี 1ล้าน sats
หรือ 0.01 BTC เท่าเดิม
แต่การพิมพ์เงิน เงินเฟ้อ ตลอดเวลา จะทําให้มูลค่า 1 ล้าน sats เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเพราะบิทคอยไม่เฟ้อ
มันถูกโปรแกรมมาให้ไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้อีก
ตัดไปที่คุณถือเงินเฟียต 1 ล้านบาท เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี ด้วยอัตรเงินเฟ้อ 6-7% อํานาจการจับจ่าย
ของคุณจะเหลือเพียง 5แสนบาทเท่านั้น และมันจะลดลงไปเรื่อยๆ เพราะเงินเฟียตถูกพิมพ์ออกมาได้เรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด
เท่ากับว่า ใครยิ่งถือบิทคอยช้า เราจะยิ่งโดนเงินเฟ้อกัดกินอํานาจการใช้จ่ายไปเรื่อยๆ
ถ้าใครยังคิดว่า บิทคอยแพงขนาดนี้มันจะโตไปได้อีกเท่าไหร่ ผมมีรูปนี้มาอธิบายให้ฟัง
นี่คือรูปของ total global assets value สินทรัพย์แต่ละอย่างมีมูลค่าเท่าไหร่บ้าง ข้อมูลจาก onceinaspecies.com
- อสังหาฯ กับ พันธบัตร มีอยู่ประมาณ 300T
- เงินและหุ้น 130T
- ทองคํา 22T
- บิทคอยมีแค่ 2T เท่านั้น ตอนนี้น่าจะ 2.4T
ซึ่งเราจะเห็นว่า ยังมีช่องการเติบโตอีกมากเลย
มีคนกาวว่าในอีก 5-10 ปีข้างหน้า มูลค่าของบิทคอยจะแซงทองคําได้ คิดเร็วๆ ตอนนี้ราคา 3.5 ล้าน มูลค่าเพิ่มขึ้น 10 เท่า
ล้านsats หลักหมื่นในวันนี้ จะกลายเป็นหลักแสนในวันนั้น
อาจจะมีคําถามว่า ตอนนี้การเงินพังแล้ว อยากถือบิทคอยต้องทํายังไง
1 ทํารายรับรายจ่ายและเช็คสุขภาพการเงินของคุณก่อน
ข้อนี้จะทําให้เรารู้ว่า เรามีเงินเท่าไหร่ มีรายได้ รายจ่ายเท่าไหร่ ทําให้เราวางแผนการออมบิทคอยได้ในระยะยาว
ต้องออมบิทคอยอย่างสมํ่าเสมอทุกเดือน ทุกอย่างจะไม่มีประโยชน์ถ้าคุณออมได้เยอะๆมากแค่ 2-3 เดือนแรกแล้วเลิก
ถ้ายิ่งใครมีสินทรัพย์ที่โตแย่กว่า เงินเฟ้อ หรือเงินเก็บที่ยังไม่ได้จัดสรร รีบเปลี่ยนเป็นบิทคอยได้เลย
ถ้าปัญหาคือการหาเงินได้ไม่เยอะ
- ดูสินทรัพย์ที่มีก่อน เผื่อมีบางอย่างที่ยังไม่ได้จัดสรร
หรือ อยู่ในสินทรัพย์ที่โตช้ากว่าเงินเฟ้อก็เปลี่ยนมาเป็นบิทคอย
- หาเงินให้มากขึ้น เพื่อออมบิทคอยมากขึ้น
- กําหนดแผนและเป้าหมายที่ทําได้จริงอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน
- ศึกษาเรื่องการเก็บบิทคอยใน HW อย่างปลอดภัย
2 ในระหว่างจัดการการเงินตัวเอง ต้องศึกษาบิทคอยไปด้วย
ว่ากันว่า เราจะมีบิทคอยเท่ากับความรู้ที่มี เรื่องนี้เป็นเรื่องปัจเจคบุคคล เอาเป็นว่าศึกษาเยอะๆครับ
แล้วคุณจะรู้จุดของตัวเองว่าเราโอเค หรือ ต้องการออม หรือ ต้องการมีบิทคอยแค่ไหน
ผมเคยทำคลิปเกี่ยวกับบิทคอยเพื่อเกษียณลองไปดูกันได้
3 ทั้งสองข้อที่ผมบอกไปด้านบน ต้องทําเลยนะครับ
ถ้าผลัดวันประกันพรุ่งอยู่ คนก็จะไม่ได้เริ่มสักที ใครยังไม่มีไอเดียลองดูคลิป ออมด้วยหลักการสิบเท่าของผม
ดูได้ครับ บอกไอเดีย รวมถึงวิธีบันทึกการออมที่ทำง่ายๆ ทำได้ทุกคน
สรุป
1 บิทคอยคือเงินที่ดี ถือไปมันไม่เสื่อมค่าลง กลับกันเฟียตคือเงินที่ไม่ดี มูลค่าจะลดลงตามการพิมพ์เงินและเงินเฟ้อ
ดังนั้น ในระยะยาว 1 ล้าน sats ยังไงก็รวยกว่า มี 1 ล้านบาท
2 เงินเฟ้อมันเฮีย แต่เราก็หลีกหนีไม่พ้น ไม่อยากจนลงวิธีแก้คือ เปลี่ยนเงินเสื่อมค่าในมือให้กลายเป็นเงินไม่เสื่อมค่า
3 เงินเฟ้อที่ค่อยกัดกินเราไปเรื่อยๆ จะทําร้ายทุกคนที่รู้ไม่ทัน ดังนั้นถ้าคุณเข้ามาดูคลิปนี้ คุณรอดแล้วครับ
4 ทุกอย่างที่พูดเอามาจากข้อมูลจริงๆในอดีต ที่ถ้าเราเข้าใจความสําคัญของมัน จะทําให้เราเลือกทางเดินที่ถูกต้อง
การออมเงินผิดที่เสียเวลามากครับ กว่าจะรู้อีกทีเราอาจจะเสียโอกาสมหาศาลแล้ว
5 มองทุกอย่างให้เป็นภาพกว้าง และ ระยะยาว มันจะทําให้คุณตัดสินใจง่ายขึ้น ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยกังวลกับราคาบิทคอยระยะสั้นครับ แค่ออมง่ายๆโง่ๆ อย่างสม่ำเสมอ และเก็บไว้อย่างปลอดภัยใน HW แค่นี้พอแล้ว
6 บิทคอยยิ่งถือช้ายิ่งซื้อแพง ใครสนใจอยากเริ่มออมระยะยาว ต้องศึกษาบิทคอยและเช็คสุขภาพการเงินของตัวเองก่อน
แล้วเริ่มเลย
ทุกอย่างที่พูดในคลิป ถ้าใครไม่เชื่อไม่เป็นไรครับ คุณลองทดสอบด้วยตัวเองได้
บิทคอยเป็นทางเลือกที่ใครจะถือหรือไม่ถือก็ได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง
#siamstr #bitcoin #btc #satsandsound #ออมbtc #stacksats