SutjaD's avatar
SutjaD
npub1l2q9...7lzw
คนเก่าแต่แอคใหม่
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 3 months ago
#siamstr ถ้าคุณกลัวนักหนา ว่าคนอื่นจะมองคุณยังไง ? คุณตอบคำถามผมมา !!!! ว่าถ้าคุณเสียชีวิตไปแล้ว ในงานศพคุณ “ ใคร ”--- > จะเป็นคนเสียใจ ? และ ” ใคร ” !!!? --> จะเป็นคนที่มางานศพเพื่อ.. . . . -. เล่นไพ่ .- --- นี่คือประเด็นน่าสนใจที่ผมได้จาก " ความตายของ อีวาน อีลิช " โดย LEO DOLSTOY 1 ในวรรณกรรมคลาสสิคของโลกครับ --- ( มีการเปิดเผยเนื้อเรื่องของวรรณกรรม ) ( ไม่ใช้ AI เขียน ) #ทีมเทสพุ่ง #ยอดยาหม่อง --- อุปสรรคใหญ่ ๆ ของคนที่อยู่ในระยะเริ่มต้นพัฒนาตัวเอง คือพวกคุณกำลัง " หวาดกลัว " การตัดสินของคนรอบข้าง วรรรกรรมนี้จะบอกคุณว่า -. ต่อให้คุณตายวันนี้ หรือในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า คนรอบข้างก็ไม่สนใจความตายของคุณ คนที่สนใจคุณ จะมีเพียงคนที่รักคุณจริง ๆ .- --- ฉากที่แสดงว่าข้อความดังกล่าวเป็นจริงมากที่สุด ก็คือ หลังจากการตายของ อีวาน อิลิช ผู้คนในแวดวงการทำงานของ อีวาน อิลิช ก็ได้นัดกันมางานศพครับ เชื่อไหม ว่า 1 ในคนเหล่านั้น ยืนเคารพโค้งศพ อีวาน อีลิช อย่างมักง่าย และชักชวนเพื่อนฝูงของตน — " อย่าให้ความตายของใครบางคน มาเป็นข้ออ้างในการ ”ห้าม” ไขว่คว้าความสุขเกษม ของคนที่กำลังมีชีวิตอยู่ " ผมเชื่อว่าคนไทยหลายคนเข้าใจคำนี้ดี ดีมากเลยด้วย --- เวลามีงานศพเกิดขึ้นในไทย ญาติของคนที่เสียชีวิต ก็วิ่งเต้นไปเถอะ แค่เสียใจก็มากพออยู่แล้ว ยังจะต้องจัดงานศพ จัดแจงพิธี จัดแจงหาข้าวให้ไอ่พวกห่านี่แดก สรรหาเสนอหน้า อ้างว่ามาร่วมทุกข์ NO VALID จัด ๆ คนประเภทนี้ในงานศพ เขาเคยมองหาอะไรบ้าง ? นอกจาก " มา ตั้งวงไพ่ " " มา ไฮโล " " มึง ไปเอาข้าวเพิ่มดิ้ " --- ยิ่งในกรณีที่คนตาย ตายด้วยโรคร้าย ที่ต้องค่อย ๆ Palliative ( รักษาแบบประคับประคองชีวิต ) มาตลอด คนพวกนี้ หายไปไหน ?? เขากล้าพูดได้เต็มปากได้ยังไง ? ว่ามาเพื่อ " ไว้อาลัย " --- เห็นอะไรไหมครับ ? การดำรงอยู่ของคุณ จึงสำคัญแค่กับ คนที่รักคุณอย่างสุดหัวใจจริง ๆ ช่วงเวลาชีวิตที่คุณมีอยู่ตอนนี้ มันจึงมีค่ามากอย่างยิ่งที่คุณต้อง " ทำตามเสียงหัวใจตัวเอง " มากกว่าจะเอาเวลาไปกลัวคำตัดสินจาก **คนที่จะมาเล่นไพ่ในงานศพของคุณ** — เพราะคนพวกนี้เขาไม่เคยแคร์อะไรคุณเลยครับ ถ้าคุณเขินอายที่จะเริ่มพัฒนาตัวเอง เพราะกลัวลมปากคนเหล่านี้ มันไม่ได้อะไรขึ้นมาครับ เพราะถึงคุณตายไป เขาก็จะแค่แวะมาเล่นไพ่ในงานศพ แล้วก็จากไปอยู่ดี เขาไม่เคยสนอะไรคุณเลย แล้วเรื่องอะไรที่คุณต้องไปสนใจ คำพูด คำตัดสิน จากคนเหล่านั้น ????? --- แต่เชื่อมั้ยครับว่า ในวรรณกรรมนี้ อีวาน อีลิช เขาใช้ชีวิตแบบที่ไม่เคย ทำตามเสียงหัวใจตัวเองมาตลอดเลย.. --- เล่าโดยย่อ อีวาน อีลิช เป็นคนเรียนเก่ง ไต่เต้าจนรู้จักกับพวกชนชั้นสูง ได้เป็นผู้พิพากษาที่มีชื่อเสียง แต่งงานมีเมีย มีลูก ลีโอ ดอลสตอย ผู้เขียนเรื่องนี้ พยายามเล่าว่า ต่อให้เป็นชีวิตอันสุดแสนธรรมดา ที่ไขว่คว้าสูงขึ้นไปด้านฐานะการงานและครอบครัว ของ อีวาน อิลิช แต่ อีวาน อีลิช ไม่ได้มีความสุขเลย --- ในห้วงความคิดของอีวาน อีลิช เหมือนกับว่า เขาต้องคอยประจบเอาใจ ต้องแกล้งทำ " พฤติกรรมแบบที่ชนชั้นสูงเขาทำ " ก็เพียงเพื่อว่า " จะได้รับการยอมรับ " --- ภรรยาของเขาเป็นคนขี้บ่น คือตอนอ่านแล้วผมก็ยัง งง ว่า เชี่ย ลีโอ มึงเขียนตัวละครยังไง ให้ออกมานิสัย toxic ยังงี้วะ65555555 คือภรรยาของ อีวาน อีลิช คุณต้องไปอ่านในเล่มเอาเอง นิสัยแม้ง แค่อ่านผมยังหดหู่แทน ที่ทำงานก็ต้องแสร้งทำ กลัมมาบ้านแม้แต่ภรรยาก็ยังด้อยค่าตัวเขา สิ่งที่เขาต้องแสร้งทำอีกก็คือ — " ทำงานให้หนักขึ้น " --- ยิ่งทำงานเก่งเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้รับการยอมรับมากขึ้น การยอมรับที่เขาต้องการ... ที่เขาหาไม่ได้ ในครอบครัว... ที่ ๆ ควรจะเป็นเซฟโซนลำดับแรก... แม้จะต้องแสร้งทำก็ตาม... --- เคาะห์ร้ายที่อยู่ ๆ อีวาน อีลิช ก็ป่วย อาการทรุดลง --- อาการคนป่วยที่สภาพจิตใจ ก็อ่อนแอมากพอเดิมอยู่แล้ว อาการคนป่วย ที่รู้ดีว่าตัวเองเป็นหนักแค่ไหน กินยามานานแค่ไหน ก็ไม่หายเสียที --- ก็ยังไม่วายที่จะโดน . " ตัดสิน " . ว่า ไม่ยอมพักผ่อนให้พอไง ไม่ยอมกินยาให้ครบไง ไม่ยอมเชื่อหมอไง ไม่ยอมทำแบบนั้นแบบนี้ไง --- มุมมองจากคนที่ไม่ได้ป่วย ไม่สิ... ไม่ได้พบเจอปัญหานั้นกับตัวเอง ปัญหาของคนอื่นจะเป็นเรื่องเล็กเสมอ และอย่าลืมว่าขนาด อีวาน อีลิช ป่วย ยังโดนตัดสินได้โดยง่าย ! คนจะคอยหาคำพูดมาตัดสิน มันก็หาได้ตลอดเวลานั่นแหละ --- คนที่กำลังป่วยเจอปัญหาอะไรก็ตาม เขาจะอ่อนแอลงโดยอัติโนมัติ เพราะเขารู้ดีว่าปัญหาที่เขาเจอมีภาพรวมอย่างไรบ้าง มีความชิบหายในตัวมันเองยังไง การใช้อีโก้ การใช้คำสั่งสอน การใช้คำแนะนำ ที่คิดว่าอาจจะดีต่อตัวเขา ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย --- สิ่งที่จะช่วยอีวาน อีลิชได้ คือ " ความเข้าใจ " --- อีวาน อีลิช ใช้เวลามาทั้งชีวิตที่จะเข้าใจชนชั้นสูง เข้าใจสังคมการทำงาน เข้าใจเมียตัวเองมามากพอแล้ว ในตอนที่เขาป่วยหนัก เขาแค่ต้องการ " ความเข้าใจ " v " ความรัก " ก็เท่านั้นเอง --- ดังนั้นแล้ว สิ่งที่อีวาน อีลิช ทำมาตลอดชีวิต เพื่อที่จะได้รับการยอมรับ การเข้าใจ คนภายนอกอาจจะเห็นว่า เขาเติบโตและมั่งคั่งขึ้นทุกวัน แต่การใช้ชีวิตโดยที่ อีวาน อีลิช ไม่เคยใช้เพื่อตัวเองเลย มุมมองของอีวาน อีลิช จึงไม่ใช่ว่าเขามองตัวเองเติบโตขึ้นทุกวัน -. แต่เป็นการเข้าหาความตายมากขึ้นทุกวันต่างหาก .- --- โชคยังดีอยู่บ้างที่แม้ว่าเขาจะใช้ชีวิตแบบ " คนตาย " มาโดยตลอด แต่เขายังมีพื้นที่เล็ก ๆ ที่ทำให้เขารู้สึกว่า " เขาเองก็มีชีวิต " อยู่บ้าง --- นั่นคือ / เกราซิม / คนรับใช้ประจำตัวของ อีวาน อีลิช --- ก็นั่นแหละนะ คนเราไม่เคยป่วย พอป่วยที่ก็ต้องมีคนมาเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้ สิ่งเหล่านี้มีผลต่อ จิตใจ อีวาน อีลิชมาก เขาพยายามจะบอก เกราซิมว่า "เดี๋ยวฉันก็ตายแล้ว ! ช่วยแค่นี้แหละ ที่เหลือจัดการเอง! " --- รู้ไหมว่าเกราซิมตอบอะไรมา ? --- " คนเราทุกคนก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้นแหละครับท่าน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง…. ทำไม….ผมจะไม่ควรช่วยเหลือท่าน… ตั้งแต่เสียตอนนี้ล่ะครับ ? " --- 🙂 เห็นอะไรมั้ยครับ ? --- ผมเชื่อว่าใครหลายคนคงโตมากับคำว่า " ไหน ๆ คนเราก็ตายอยู่ดี ลองทำเรื่องเหี้ย ๆ ไปเลย " ผมถามกลับ… แล้วเราจะทำเรื่องแย่ทำไม ? ในเมื่อเราทำดีได้ ? --- เกราซิมจึงเป็นที่พึ่งทางใจของ อีวาน อีลิชในวาระสุดท้ายของชีวิต อีวาน อีลิช เริ่มที่จะเพ้อขึ้นเรื่อย ๆ จากอาการป้วยที่ทรุดลง เขาเพ้อถึงพระผู้เป็นเจ้า ว่าทำไมช่วงชีวิตที่ผ่านมาของเขา ที่พยายามทำในสิ่งที่สังคมบอกว่าดี แต่ทำไมจิตใจของเขาถึงว่างเปล่าเพียงนี้ ทำไมไม่ถูกเติมเต็ม ทำไมตอนใกล้จะตายจากโรคร้าย ถึงได้ปราถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อเหลือเกิน ยั งไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยความพึงพอใจ ยังไม่ได้ใช้ชีวิตตามเสียงเรียกหัวใจตัวเองเลย..... --- อีวาน อีลิช พูดถึงเสียงหัวใจตัวเองว่า จำไม่ได้ จำไม่ได้นานแล้ว ว่าเสียงที่คอยเรียกหา ให้เขาทำสิ่งนั้นสิ่งนี้จากในใจตัวเอง มันหายไปไหน เขาจำได้ว่าจุดที่เสียงหัวใจสว่างไสวที่สุดในชีวิต มันคือตอนที่เขายังเป็นวัยแรกเริ่มของชีวิต ที่เสียงรอบตัวมีแต่เสียงตัวเอง พ่อ แม่ แต่พอเวลาผ่านไป เสียงหัวใจเหล่านี้ลดลง ทดแทนด้วยเสียงสังคม เมื่อนั้นเองที่เสียงหัวใจตัวเองแคบลง มืดลง มืดเร็วชั่วทุกขณะ — " เหมือนดัชนีผกผันของรากแห่งระยะทาง ซึ่งแยกฉันไว้ด้วยความตาย " --- note****** นี่โคตรเป็น HOOK ของหนังสือ ไอเดียที่พยายามจะบอกว่า พวกเราทุกคนมีเสียงเรียกในใจตัวเอง ถ้าคุณอ่านหนังสือพัฒนาตัวเองมากพอ คุณจะเข้าใจว่า มีการพูดถึงเสียงเรียกนี้ด้วยกันหมดทั้งสิ้น !!! และนี่คือวรรณกรรมจากยุคศตวรรษที่ 18 !!! ( มาก่อนกาลจัด ๆ ) --- ชั่วขณะสุดท้ายก่อนที่ อีวาน อีลิช จะหมดลมหายใจ ในที่สุด อีวาน อีลิช ก็เข้าใจว่าถ้าหาก การใช้ชีวิตที่ผ่านมาของเขา มันคือการละเลยเสียงหัวใจตัวเอง มันก็ไม่ต่างจาก คนที่ตายมาทั้งชีวิตหรอก — ดังนั้นความตายจากโรคร้าย ที่กำลังจะพรากลมหายใจไปจากเขา จึงไม่ใช่ความน่ากลัวแต่อย่างใด — การจบลงของชีวิตที่ไม่ได้ทำตามเสียงหัวใจตัวเองนี่แหละ คือการปลดปล่อยเขาเป็นอิสระอย่างแท้จริง อีวาน อีลิช เข้าใจถึงสัจธรรมนี้ในวาระสุดท้าย และในที่สุดเขาก็ได้พบสิ่งที่เขาตามหามาตลอด --- " ความสงบ " --- หวังว่าโพสต์นี้ อาจเข้ามาช่วยคุณ ในเวลาที่คุณต้องการ — ขอบคุณครับ --- image
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 3 months ago
" พวกเราอยู่ในโลกที่มีทฤษฎีมากมาย แต่ไม่มีอะไรสำคัญ....เท่ากับตัวคุณเอง " ------------------------------------ #siamstr หรือสามารถอ่านได้ที่เฟส 👉🏻 นี่คือเรื่องที่น่าสนใจที่ผมได้จาก -. Mastery ศาสตร์แห่งการชำนาญขั้นสุด .- โดย Robert Greene คนดีคนเดิม ถ้าคนนี้เขียนออกมา เชื่อเลยว่า ต้องมีมุมมองบางอย่างที่ หนังสือพัฒนาตัวเองทั่วไป ไม่มี 5555555+ ขอบคุณไอ่บอสมาก ที่ให้ยืมอ่านหนังสือ CChotichai Chiantrakul -------------------- มา เริ่มเลย . #ไม่ใช้AIเขียน #ขี้เกียจอ่านข้ามไปพาทสรุปตอนท้ายได้เลย #ยาวหน่อยอร่อยแน่ #ทีมเทสพุ่ง #ยอดยาหม่อง . -------------------- [ 1. ] ทำไมเราต้องพัฒนาตัวเอง ? . คำตอบคือ เพราะมีแค่ 'คุณคนเดียวบนโลก ' ที่ทำได้ . ผมอยากให้คุณคิดย้อนไปว่า ช่วงชีวิตที่ผ่านมาคุณช่วยเหลือใครไปบ้าง ? . ลองคิดดูนะ ตอนอนุบาล ประถม คุณนั่งเขียนใบงานระบายสีอยู่เฉย ๆ ทันใดนั้น เพื่อนข้าง ๆ คุณก็พูดขึ้นมาว่า " ยอดคับ เค้าขอยืมบางลบหน่อยได้ม้าย " แล้วผมก็ยื่นยางลบไป เพื่อนผมของผม ได้รับการช่วยเหลือ . ถัดมาช่วงมหาลัย เป็นวัยที่ทุกคนต่างใฝ่หาความรัก การอกหัก เป็นเรื่องธรรมดาในวัยนี้ . " อียอดดดดด กูอกหัก มึงมากินข้าวกับกุด่วน ๆ กุจะเมาท์ " อะๆ ... ไป ๆ ... . ผมไม่ได้ทำอะไรเลยครับ แค่รับฟังอย่างเข้าใจ และผสมโรงด่าคนคุยของเพื่อน ตามสไตล์ แต่เพื่อนของผมก้ได้รับการช่วยเหลือ ได้รับการรับฟัง ได้มีคนเคียงข้าง . หรือแม้แต่คนไข้ที่มาหาหมอที่ OPD คนไข้ได้รู้จักอาจารย์หมอ อาจารย์หมอรักษาคนไข้จนหายดี คนไข้ได้รับการช่วยเหลือ . ผมพยาพยามจะบอกพวกคุณว่า ไม่ว่าจะความสัมพันธ์กับใคร รูปแบบไหนก็ตาม การรู้จักใครสักคน เราจะได้รับ " ส่วนหนึ่ง " ของเขา ติดตัวเราไปตลอดชีวิต คือผมไม่เคยคิดเรื่องนี้จริงจัง แต่พอมองลึกลงไป แม่ง โคตรน่าแปลกใจมาก ลองคิดดูว่า มีใครสักคนต้องการความช่วยเหลือ และคุณก็ช่วยเหลือเขา แม้เรื่องเล็ก ๆ น้อย แต่ ถ้าคุณไม่อยู่ในช่วงเวลานั้น คนคนนั้น ก็จะไม่ได้รับการช่วยเหลือนะเว้ยยยยยย !!!! . เพราะฉะนั้น แค่การมีอยู่ของคุณ ก็มีความหมายต่อคนรอบข้างมากพอแล้ว และจะมีความหมายมากขึ้นอีก หากคุณมีความเชี่ยวชาญขั้นสุด ! . ยิ่งคุณมีความสามารถ คุณจะยิ่งช่วยเหลือคนได้มากขึ้น ความหมายในชีวิตคุณ จะทะยานฟ้า เป็นโดปามีนของจริง ที่ไม่ได้มาจากความมักง่าย เหมื่อนกับไถติ่กต่อกไปวัน ๆ นี่จึงเป็นคำตอบ ว่าทำไมเราต้องพัฒนาตัวเอง ---------------------------- [ 2 ] . แล้วเราจะรู้ได้ไง ? ว่าเรามีความสามารถอะไร ? . ในหนังสือ Robert Greene ยกตัวอย่าง ผู้เชี่ยวชาญขั้นสุดในรอบ 3 ศตวรรษ เช่น ไอสไตน์ / โมซาร์ต / เกอเธ่ พวกคุณรู้มั้ยครับ ? ว่าสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสุดมีจุดร่วมกันคืออะไร ? . มันคือ " การฟังเสียงหัวใจตัวเอง " ครับ . " พวกเราอยู่ในโลกที่มีทฤษฎีมากมาย แต่ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับตัวคุณ " . นี่คือประโยค Hook สำคัญในหนังสือเล่มนี้ . คือแม่งแบบ พวกเราโตมากับคำสอนว่า ถ้าอยากพัฒนาตัวเองมึงต้องทำยังงั้นยังงี้ มึงต้องตื่นตี 5 มาคาดิโอ มึงต้องอ่านหนังสือทั้งวัน จบไปเป็นเจ้าคนนายคน ทำงานราชการ คำเหล่านี้แม่งไร้สาระจัด ๆ กุจะจบไปเป็นขี้ข้าในระบบทำไม ? ในเมื่อกูสร้างระบบของกูเองได้ ? . คนที่ออกกำลังกายหรือคนที่เคยอ้วนมาก่อนจะเข้าใจดี ถ้าคุณสามารถลดน้ำหนัก ปรับหุ่นตัวเองได้ คุณจะเข้าใจคำว่า " ถ้าอยากทำอะไร ขอแค่ลงมือ แม่งก็เป็นจริง " การลดความอ้วนทำให้เข้าใจว่า การสร้างระบบ การมีรูทีนของตัวเอง แม่งทำได้จริง แม่งเห็นผลจริง ๆ . กับดักที่ใครหลายคนติดกับ จนไม่มีแรงใจพัฒนาตัวเอง คือคิดว่า " มันเป็นเรื่องของโชคดี " . ชีวิตของคุณ ต้องเคยเจอปัญหาอะไรสักอย่าง คุณเครียด คุณคิดวิธีทางแก้ปัญหา และสุดท้ายก็แก้ปัญหานั้นไปได้อย่างท่วงที และทันใดนั้นคุณก็พูดมาว่า " เห้อ โชคดีนะที่ จุดจุดจุด " เว้ยยยยยย มันไม่ใช่เว้ย . ผมพยายามจะบอกว่า เวลาที่คุณเจอปัญหาอะไรก็ตามเนี่ย สมองคุณจะปลดล้อคไปอีกขั้น คุณจะสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหา ไม่ให้เกิดความชิบหายตามมาในชีวิต . สิ่งนี้บ่งบอกว่า สมองคุณมีศักยภาพมากกว่าที่คิด มันไม่ใช่ความโชคดี และการพัฒนาตัวเอง คือการทำให้ศักยภาพสมองอันเต็มที่นั้นเนี่ย เป็นสภาวะปกติตลอดเวลา . ในหนังสือ Robert Greene เน้นย้ำมาก ๆ เกี่ยวกับเรื่องโชค . เราหลายคนติดกับดักในความคิดตัวเอง ! ว่าความเชี่ยวชาญขั้นสุดถือป็นเรื่องของโชค เป็นความอัจฉริยะตั้งแต่เกิด เรื่องเหล่านี้ถูกกำหนดมาไว้แล้ว เราคงทำอย่างเขาไม่ได้ . ถ้าจะเก่งอะไร มันเป็นเรื่องของ ฐานะตั้งแต่เกิด ว่าเกิดมาบ้านรวย เกิดมาไม่ได้เริ่มจากศูนย์ มีพรีวิลเลจ มีบิวตี้สแตนดาด เพราะเราเกิดเป็นคนไทย เพราะการเมืองเป็นแบบนั้น เพราะมีปัญหาเชิงโครงสร้างแบบนั้น เพราะมีชายแท้ในประเทศนี้ เพราะโตมาแบบนี้ สุดแต่จะข้ออ้างที่ในทวิตเต้อจะอ้างได้ . เห้ย เลิกเลย . สิ่งสำคัญในชีวิตที่ต้องทำให้ได้ คือ ลบ ทวิตเตอร์ สิ่งนี้มีผลต่อชีวิตมาก คุณอาจจะเห็นทวิตข้ออ้างโทษนั้นโทษนี่ผ่านตา แต่รู้ไว้เถอะครับ..... สมองคุณไม่เคยจะปล่อยผ่าน มันจะเก็บไว้ลงใต้จิตสำนึก . เมื่อจิตสำนึกถูกฝังไปแบบนั้น คุณจะทำอะไรก็ไม่สำเร็จ เพราะสมองคุณยึดกับสิ่งที่สังคมทวิตเตอร์แบบนั้นไปแล้ว อีกเรื่องคือคุณจะยึดติดกับคำตัดสินต่าง ๆ ในทวิตเตอร์ เล่นมากไปจะกลายเป็นบ้า แคร์ว่าคนอื่นจะมองตัวเองยังไง อันนี่ก็ทำไม่ได้เดี๋ยวโดนมองว่ายังงั้นยังงี้ . เห้ย คำพูดคนอื่นมันมันสำคัญขนาดนั้นหรอวะ . คนอื่นที่คุณเคยไม่เคยแม้จะเห็นหน้า วัน ๆ เอาแต่ด่า เอาแต่บ่นลงทวิต ขีวิตเขามีอะไรดี ถึงขนาดต้องเก็บมาแคร์หรอ . คุณโตขึ้้นคุณจะเข้าใจว่าปัญหาบนโลกมันเยอะมาก ถ้าถึงคราวต้องแก้ ชีวิตตกอับขาลง ยังไงมันก็ต้องแก้ มันไม่มีเวลาไปบ่นหรือเอาเวลาไปตัดสิน คนที่ชีวิตดีกว่าเหมือนที่คนในทวิตทำหรอกว่า เพราะเขาโชคดียังงั้นยังงี้ . ถ้าพูดหยาบ ๆ คุณจะเห็นเลยว่า เพื่อนคนไหนที่เล่นทวิต กับไม่เล่นทวิต คนไหนมีความน่าคบมากกว่า คนไหนมีความสุขกับชีวิตมากกว่า คนไหนมีความ TOXIC มากกว่า . เอาตัวเองออกจากสังคม ที่พูดแต่คำว่า " ทำไม่ได้ " แล้วชีวิตจะดีขึ้น ---อย่างก้าวกระโดด--- สังคมทวิตเตอร์ไม่สำคัญ ค่านิยมสังคมไม่สำคัญ เรื่องเล่าอะไร ชีวิตต้องไปทางไหนต่อ ไม่มีอะไรสำคัญเลย . ตัวคุณนั่นแหละที่สำคัญ . การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ คือการทำตามเสียงหัวใจ และรับผิดชอบผลการกระทำตัวเอง . เน้นย้ำอีกที " โลกนี้มีทฤษฎีมากมาย แต่ไม่มีสำคัญเท่ากับตัวคุณ " . สงสัยอะไร อยากทำอะไร ให้จดเอาไว้ และนำมาคิดต่อ ใช้เวลากับมันอย่างลึกซึ้ง . ไม่ต้องสนวิธีการว่าจะผิดแปลกไปอย่างไร เพราะผู้เชี่ยวชาญขั้นสุดที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ ต่างมีวิธีการของตัวเองไม่ซ้ำใครทั้งสิ้น . ทำตามเสียงหัวใจตัวเองเถอะ และคุณจะพบว่า วันเกิดคุณมีแค่ 2 วัน 1. คือวันที่ออกจากท้องแม่ 2. วันที่ออกจากเสียงสังคมและหันกลับมาฟังเสียงหัวใจตัวเอง . ---------------------------- [ 3. ] หนทางสู่ความเชี่ยวชาญขั้นสุด ไม่ใช่การหมกมุ่นศึกษาอยู่เรื่องเดียว แต่คุณต้องศึกษาเรื่องอื่นด้วย . และถ้าไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้อง กับสิ่งที่คุณต้องการจะเชี่ยวชาญ จะดีมาก . ฟังแล้วมันขัด ๆ กันใช่มั้ยครับ อะไรของมึงวะ ไหนบอกต้องการศึกษาอะไรให้ทุ่มเท แต่ทีนี้ดันมาบอกว่าให้ไปศึกษาเรื่องอื่น . มันเป็นอย่างนี้ครับ ตอนผมอ่านเจอในหนังสือผมก็อึ้งเหมือนกัน แต่มันเคาะกระโหลกทำให้ผมต้องเปลี่ยนไมน์เซตไปเลย . เวลาเราเจอปัญหาอะไรก็ตามอะครับ เราต้องมองภาพรวมของปัญหาให้ออก เพื่อที่จะแก้ไขให่้ถูกต้อง . ถ้าเราต้องมองภาพรวม แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่เราต้องศึกษาอยู่เรื่องเดียว ? . การเป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นสุด จึงไม่ใช่การหมกมุ่นศึกษาแต่เรื่องเดียว เพราะคุณจะรู้แค่เรื่องเดียว คุณต้องศึกษาโลกภายนอกด้วย การศึกษาศาสตร์ความรู้อื่น จะทำให้คุณสามารถนำเสี้ยวใดเสี้ยวนึง ของความรู้นั้น ๆ นำมาประกอบ เชื่อมโยง " สร้างสรรค์ " จนเกิดเป็นสิ่งใหม่ที่อาจจะเปลี่ยนแปลงอารยธรรมของมนุษย์ก็ได้ ! . ลองดูผู้เชี่ยวชาญขั้นสุดที่เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ จากอดีตที่ผ่านมาสิครับ พวกเขาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ก็เพราะความคิดสร้างสรรค์ การนำความเชื่อมโยงสิ่งหนึ่งกับสิ่งหนึ่งทั้งสิ้น ! -------------------------- [ 4. ] จงรับฟังอาจารย์ และจงเหนือกว่าอาจารย์ . โลกนี้มีผู้เชี่ยวชาญขั้นสุดอยู่มากครับ การเรียนแพทย์ทำให้ผมเห็นผู้เชี่ยวชาญขั้นสุดเยอะมาก เห็นตำตาก็คืออาจารย์กับพี่พยาบาลนี่แหละครับ . การมีอยู่ของอาจารย์ จะทำให้เราร่นระยะเวลาไปได้มาก จริงอยู่ว่าเราต้องใช้เวลาเพื่อความเชี่ยวชาญขั้นสุด . แต่ชีวิตเรามีจำกัดครับ . ผู้เชี่ยวชาญขั้นสุดที่่มีมาก่อนแล้ว เขาได้เรียนรู้ว่าสิ่งไหนสำคัญ สิ่งไหนไม่สำคัญ ในศาสตร์ความรู้นั้น ๆ จะดีกว่ามาก ถ้าเราได้เรียนรู้จากเขา เราจะได้ไม่เสียเวลาไปกับการลองผิดลองถูก . อาจารย์เขาเคยผ่านระยะผู้ฝึกหัดแบบเรามาก่อนแล้ว เขาย่อมมองเห็นตัวเขาในอดีตผ่านตัวเราที่กระตือรือร้นที่จะใฝ่รู้ ดังนั้นเขาย่อมเต็มใจสอนอย่างดี พี่ extern intern พพล staff เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมาก ที่่เขาตั้งใจสอน . และแน่นอนว่า ไม่มีสิ่งใดสำคัญเท่าเสียงหัวใจตัวเอง เมื่อคุณได้เรียนรู้จากอาจารย์ สิ่งต่อไปที่คุณต้องทำ . คือคุณต้องเหนือกว่าอาจารย์ . อาจารย์ของคุณ อาจจะมีรูปแบบตายตัวในสายอาชีพ เพื่อไปสู่ความชำนาญขั้นสุด แต่สิ่งที่อาจารย์ทำ ย่อมเหมาะกับอาจารย์เท่านั้น . คุณต้องมีหนทางของตัวเอง ที่เหมาะสมกับตัวคุณเอง เมื่อผสานกับศาสตร์ความรู้อื่น ๆ จากข้อที่ 3. คุณจะแปรสภาพศาสตร์ความรู้เดิม จนเหนือไปอีกขั้น จงรับฟังอาจารย์ และจงเหนือกว่าอาจารย์ ------------------------------------- [ 5. ] ภาพลักษณ์ อีคิว สำคัญมาก คุณอาจจะคิดว่าไม่สำคัญ แต่จริง ๆ สำคัญมาก ผมอึ้งอยู่นะตอนอ่านอะ5555555555555 Robert Greene บอกว่า ต่อให้คุณจะเป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นสุดก็ตาม แต่ถ้าภาพลักษณ์คุณแย่ อีคิวคุณแย่ ทักษะการสื่อสารของคุณแย่ คุณก็ไม่ถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นสุดครับ การผู้เชี่ยวชาญข้้นสุด ต้องได้รับการยอมรับจากคนอื่นเช่นกัน แต่ไม่ได้เกิดจากที่เราต้องพยายามให้คนอื่นยอมรับ แต่คือการที่สังคมยอมรับเรา เพราะเราเป็นตัวเราเอง มีหนทางของตัวเอง . เราต้องสร้างบุคลิกให้เหมาะสม สร้างบุคลิกให้สอดคล้องกับความเชี่ยวชาญของเรา แสดงให้สังคมเห็นจากภายใน ว่าที่ผ่านมาเราพยายามมากแค่ไหน มีความจริงจังมากเพียงใด ไม่ใช่เล่น ๆ กับชีวิตไปวัน ๆ . ความเชี่ยวชาญขั้นสุดของเรา ไม่ได้ถูกยอมรับจากผลงาน แต่เกิดจากบุคลิกด้วยว่าน่าเคารพหรือไม่ เพราะต่อให้คุณเก่งแค่ไหน แต่ถ้าคุณ toxic / ไม่น่าเคารพ สังคมก็จะมองไม่เห็นความเก่งของคุณ เขาจะมองแค่ว่า เรื่องง่าย ๆ อย่างการมีปฏิสัมพันธ์ การมีบุคลิกที่ดี ยังทำไม่ได้ ความเก่งที่มีก็คงจะ " งั้น ๆ " ( ผมคงต้องพูด สกิบิดี้ ให้น้อยลงสินะ ) ---------------------------------- สรุป : แค่การมีอยู่ของคุณก็มีความหมายต่อคนรอบข้างมากเหลือเกิน หากคุณเกิดมาในครอบครัวที่ดี การมีอยู่ของคุณย่อมมีความหมายต่อพ่อแม่ หรือต่อให้คุณเกิดมาในครอบครัวที่แย่ การมีอยู่ของคุณก็มีความหมายต่อเพื่อนของคุณ หรือต่อให้คุณไม่มีเพื่อนเลย การมีอยู่ของคุณย่อมมีความหมายต่อตัวคุณเอง You still got yourself cuz no body's perfect... เพราะฉะนั้น แค่การมีอยู่ก็มีความหมาย การเชี่ยวชาญขั้นสุดจะทำให้คุณแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ได้ บางปัญหามีอยู่เพื่อกำหนดไว้ว่ากำลัง " รอ " คุณเท่านั้นที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหานี้ มีแค่คุณคนเดียวเท่านั้น -- การค้นหาความเชี่ยวชาญมีเพียงแค่คุณต้องรับฟังเสียงหัวใจตัวเอง เหมือนในวัยเด็ก ที่คุณสนใจก้อนดิน สนใจท้องฟ้า สงสัยเรื่องราวต่าง ๆ แล้วหันไปถามพ่อแม่ พ่อจ๋า แม่จ๋า อันนี้คืออะรายยยย แล้วเก็บมาคิดสร้างสรรค์ แต่งเรื่องเป็นเรื่องเป็นราวให้พ่อแม่ฟัง สิ่งเหล่านี้บ่งบอกว่าสมองคุณกำลังใช้ความคิด คุณในวัยเด็กยังไม่มีความรู้มาก แต่ตอนนี้คุณโตมากพอแล้วที่จะมีนำศาสตร์ความรู้ต่าง ๆ มาเชื่อมโยงกันและกัน เรียนรู้สิ่งที่สนใจจากอาจารย์ที่ผ่านการเชี่ยวชาญขั้นสุดมาก่อน แปรสภาพให้เหนือกว่าอาจารย์โดยวิธีที่เหมาะสมกับตัวเอง ใช้เวลาและความพยายามกับมัน ผลลัพธ์จะไม่เกิดขึ้นในวันนี้ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการมีอยู่ของวันพรุ่งนี้จึงสำคัญ ผลลัพธ์จะไม่เกิดขึ้นในทันที ความสำเร็จจะเกิดขึ้นจาก sequence ดังนี้ คือ No ---> Not YET --> Grew UP --> YES คุณต้องเติบโตและผ่านประสบการณ์ให้มากพอ และวันนั้นเองความเชี่ยวชาญขั้นสุดจะออกมาจากตัวคุณเอง เหมือนกับอาจารย์หมอวอร์ดศัลย์ที่รู้ว่าต้องผ่าอะไร กรีดลึกแค่ไหน adviceคนไข้ยังไง เหมือนกับพี่พยาบาล SCRUB NURSE ว่าถ้าถึงขั้นตอนนี้จะต้องยื่นอะไรให้อาจารย์หมอโดยที่อาจารย์ไม่ต้องบอก บ่งบอกถึงเวลาและประสบการณ์ที่ได้ทุ่มลงไป จนคุณไม่ต้องผ่านสมองกลั่นกรอง " มันออกมาเอง มันทำไปได้่เอง " เราต่างแสวงหาเทคนิคและทางลัด จนละเรื่องการใช้เวลาและประสบการณ์ หันไปมองว่าเป็นเพราะโชค นี่ไม่ใช่เรื่องของโชค ไม่ใช่ข้ออ้างว่าคนที่ทำได้มาก่อน เพราะพวกเขาไม่ได้เริ่มจากศูนย์ เราทำไม่ได้เพราะเราเป็นคนไทย เรามีปัญหาเชิงโครงสร้าง เรามีชายแท้ในประเทศ คำบ่นในทวิตเตอร์เหล่านี้ไม่ได้สำคัญให้คุณเก็บมาคิดจนฝังสมอง โลกนี้มีทฤษฎีมากมาย แต่สิ่งที่สำคัญคือตัวคุณเองเท่านั้น ปล่อยเขา และหันกลับมาให้เวลากับตัวเองเถอะ ---------------------------------------- ขอให้คุณสนุกและท้าทายกับการพัฒนาตัวเอง มันจะเหนื่อย แต่ขอให้กินอะไรก็อร่อย นอนหลับสบาย ผ้าห่มไม่หลุด คอไม่ตกหมอน ------------------------------------------ ขอให้ทุกคนที่คุณจะได้พบเจอต่อจากนี้ ได้รับความรักและการช่วยเหลือ จากการเชี่ยวชาญขั้นสุดของคุณ ------------------------------------------ ขอบคุณครับ ------------------------------------------ image
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 4 months ago
#siamstr ฟังผมทีครับ ผมนั่งคิด จนตกตะกอน จนในที่สุดก็ได้คำตอบว่า "ความหมายของชีวิตคืออะไร" ผมนั่งจมกับความคิดตัวเองมา 3-4 วันแล้ว ตอนนี้ผมอายุ 21 ปี ผมคิดว่า สิ่งที่ผมตกตะกอนได้ ทุกคน "ต้องรู้" ในตอนนี้ ยิ่งรู้ไวยิ่งเข้าใจไว ยิ่งดี เหมือนกับที่หลายคนอยากป้ายยาส้มให้คนอื่น ผมอยากเล่าในสิ่งที่ผมตกตะดอนได้มาก แต่มันอาจจะยาวประมาณ7 min read ผมขอ...ความกรุณา แค่กดไลก์โพสนี้ก็พอครับ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า ต่อให้มันจะยาว คุณก็จะอ่านให้ผม...
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 5 months ago
#siamstr วันนี้ครบรอบ 4 ปีที่แม่ผมเสียครับ - สิ่งที่คิดได้ในปีที่ 4 : " ชีวิตจบลงตรงนั้น แต่คนที่ยังอยูู่... ทำอะไรได้บ้าง..? " - ตั้งแต่แม่เสีย ผมพัฒนาตัวเองเยอะมาก ผมไปแข่งทั้งยกน้ำหนัก ทั้งวิชาการ อ่านหนังสือพัฒนาตัวเอง ทำตัวเองให้ดีขึ้นหลายอย่าง แต่...บางครั้งก็...อดน้อยใจไม่ได้ ว่าที่เราพยายามทำอยู่ตอนนี้...เราทำไปทำไม ? ทำไป แม่ก็ไม่อยู่เห็น แม่ไม่ได้อยู่รับรู้ - ผมอยู่กับความคิดนี้มานาน เถียงกับตัวเองในหัว ทุกวัน จนวันนึง เชี่ย...กูเถียงตัวเองชนะ - นี่คือคำตอบที่ผมค้นพบ - แม่เสียไปแล้ว ผมยังคิดถึงแม่อยู่ทุกวัน ดังนั้น... แม่ผมยังมีชีวิต อยู่ในหัวใจ - ถ้า ! ผมยังเป็นใจที่ไร้แรงต่อไป.. ไม่พัฒนาตัวเองขึ้นในทุกวัน เพราะข้ออ้างว่าทำไปแม่ก็ไม่เห็น ณ เวลานั้น แม่ที่อยู่ในใจ...ก็จะตายเป็นครั้งที่ 2 - เมื่อตายครั้งนี้แล้ว จะไม่มีทางกลับมาได้อีก ทุกคำสอน ทุกความคาดหวัง ทุกสิ่งที่ฝากฝัง จะถูกหยุดไว้ตรงนัั่นชั่วกัลป์ - ดังนั้น ! คนที่ยังอยู่ จึงเป็นผู้กำหนด "ความเป็นความตาย" ในชีวิตที่ 2 ชีวิต...ความทรงจำ... ที่ยังเหลือในหัวใจของคนที่ยังอยู่ - แล้ว? คุณจะกำหนดอย่างไรล่ะ ? - คำตอบคือ... คุณทำตามสิ่งที่เขาฝากฝังไว้... ได้ดีแค่ไหน...? - นั่นแหละคือสิ่งที่ผมค้นพบ... - ยิ่งผมใช้ชีวิต ตามที่แม่บอก ตามที่แม่คาดหวัง ตามที่แม่สั่งเสียมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสัมผัสได้ว่า แม่มีชีวิตอยู่ในหัวใจผมมากขึ้นเท่านั้น ผมเดินหน้าเป็นคนที่ดีขึ้นในทุกวัน นี่เป็นสิ่งที่แม่ต้องการ - การทำตามความคาดหวังของคนที่ตายไปแล้ว คือการตอกย้ำว่าเศษเสี้ยวชีวิตของเขา... ไม่ได้ดับลงไปเสียหมด ตราบใดที่ยังมีคนคิดถึง ตราบใดที่ยังมีคนทำในสิ่งที่เขาต้องการ - เพื่อเป็นการอาลัยแด่คนที่จากไป ไม่จำเป็นต้องสร้างอนุเสาวรีย์ใดใด แค่....ต้อง " เป็น " ในสิ่งที่เขาอยากให้โลกนี้มี ( Credit :Benz Arnun ) - คนเราตายไป เพื่อเป็นอมตะในใจของคนที่ยังอยู่ ขอบคุณครับ image
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 6 months ago
#siamstr ใน EMOTION บทสุดท้าย บอกว่าคนเรามันต้องมีสักช่วงชีวิตแหละ... ที่ต้องเจอคนมีอีคิวต่ำ หรือบางที เรานั่นแหละที่เป็นคนที่อีคิวต่ำเสียเอง - เพราะอีคิวคือการเข้าใจคนอื่น เมื่อความสามารถในการเข้าใจกันต่ำลง ผลลัพธ์คือการแยกทางในความสัมพันธ์ - ผมอยากให้ทุกคนลองเช็ค Blocklist ในไอจี ในเฟสบุ้ค ของคุณตอนนี้ครับ เปิดยังครับ ? เปิดแล้วจำได้มั้ย ? ว่าคุณบล็อคเขาเพราะอะไร ? สิ่งที่เขาทำ ผิดขนาดไหน ? - มาในวันนี้คุณกับเขาโตขึ้นมาก นับตั้งแต่วันที่คุณกดบล็อค แม้โตขึ้นมาแล้ว แต่เมล็ดพันธ์แห่งความเกลียดชังจากความสัมพันธ์ในครั้งนั้น กำลังพันธนาการให้คุณมีนิสัยเสียบางอย่างจนถึงปัจจุบันหรือเปล่า ? - ถ้าเกิดว่ามี ผมไม่ได้บอกให้คุณให้อภัยเขา แต่คุณต้องให้อภัยตัวเอง ให้อภัย ว่านิสัยเสียบางอย่างของคุณตอนนี้ คุณจะไม่ทำอีกต่อไป เพราะโดนอดีตควบคุม - เสียงในใจคุณกู่ร้องเสียงดัง " ก็แม่งทำกูแบบนี้ ! กูเลยเป็นแบบนี้ไง ! " - เขาหายจากชีวิตคุณตั้งแต่กดบล็อคแล้ว แต่เขาไม่เคยหายไป เพราะคุณไม่ยอมให้เขาหายไป คุณเก็บเขามาเป็นสลากแปะกลางหัวไว้ กำหนดพฤติกรรมตัวเอง เก็บมาเป็นข้ออ้างเพื่อที่จะนิสัยเสียต่อคนอื่น - เก็บมาเป็นข้ออ้าง เพื่อขังตัวเอง ไม่ยอมให้ตัวเองออกไปเจออะไรที่ดีกว่าเดิม - ถึงเวลาวางสลากนั้นลงแล้วครับ เพราะผู้ฉลาดทางอารมณ์ จะไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ตัวเองในอดีต จะไม่ถูกยึดโยงโดยสลากใดๆอีกต่อไป - ถึงเวลาเริ่มต้นใหม่ ไร้ซึ่งพันธนาการใดอีกต่อไป คืนเสรีภาพให้กับตัวเองสักที - ขอบคุณครับ image
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 6 months ago
#siamstr ในโลกที่มองทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผล อย่างหนักแน่น ผู้คนมองข้ามสภาพจิตใจอันเบาบาง ผมขอใช้เวลานั่งข้าง ๆ เรียนรู้สิ่งที่คุณเผชิญอยู่ตอนนี้เอง ! - ถอด 4 บทเรียนเด็ด ๆ จากปรมาจารย์เหมียวเทพกระบี่ ใน EMOTION : เพราะผู้ฉลาด --> จะไม่พ่ายแพ้ต่ออารมณ์ #ไม่ใช้AIเขียน 2 นาทีอ่านจบ - ข้อ 3 จะทำให้คนรักคุณมากขึ้น - หัวข้อพิเศษในเม้น จะเปลี่ยนชีวิตคุณ ------ 1.ทุกคนเข้าใจคำว่าความฉลาดทางอารมณ์ผิดไป ⁉️🚫🚫🚫 หลายคนคิดว่า EQ คือการควบคุมอารมณ์ได้ แต่จริง ๆ EQ คือการ " เข้าใจ " ต่างหากครับ.. ----- เช่น คุณทักหาคนคุยว่า ทำอะไรอยู่ เขาตอบมาว่า ทำงาน คุณไม่ได้อยากรู้ว่าเขาทำอะไรอยู่หรอกครับ ถ้าคุยกันมานานคุณรู้อยู่ละ โอ้ยเวลานี้ อีนี่ ทำงานอยู่แน่ ๆ -- แต่ทำไมยังถามล่ะว่าทำอะไร ? เพราะความต้องการจริง ๆ คุณก็รู้ดี คือ "คิดถึงเขา" อยากคุยด้วย อยากโทรหา " อยากโดนสนใจอ่าาาาา" ------ 2.เมื่อมองเห็นความต้องการ ผู้มี EQ สูง จะตอบสนองได้ถูกต้อง ! 😎 ถ้าคนคุยของคุณมีความฉลาดทางอารมณ์มากพอ เขาจะมองออกว่าคุณต้องการ "โดนเอาใจใส่" " อยากโดนสนใจ" "คุณยังมีค่าสำหรับเขา" 🥹🥹🥺🥺 ---- คนคุยที่มี EQ มากพอ เขาจะตอบว่า " ทำงานอยู่นะครับบ วุ่นมากเลย คิดถึงมากๆๆ ทำวานเสร็จคงเหนื่อยมากแน่ ๆ อยากเลิกงานไปคุยกับเบ้บเบ๊บแล้ว😭😭 เค้าเลิกงานแล้วไปกินร้านโปรดเบ้บเบ๊บกันนะคับ🥰💖 เดี๋ยวเค้าทักหานะ " -- นอกจากคุณไม่ถูกมองข้าม คุณยังรู้ได้เลยว่า คนนี้ " เข้าใจคุณ " ถ้าคุยกับกรีนแฟกก็เป็นงี้ละ ----- 3.ผู้ฉลาดทางอารมณ์ "ไม่เคยมองข้ามความเสียใจ" 😢🫂🖐🏻🚫 เมื่อคืนทักไปบ่นกับวิล - " ไอ่วิล ไม่มีไรเดอร์ส่งอาหารเลย รอเป็นชม. สุดท้ายต้องลงมาซื้อข้าวข้างรพ.เลย " คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์อย่าง ชิษณุชา สันติอมรทัติ จะตอบผมว่ายังไง ? - ก.ไม่เป็นไรเพื่อน ซื้อใหม่ๆ ข.อืม ท้องร้องเลยดิ - แน่นอนครับ คำตอบที่ถูกต้อง คือ ข.อืม ท้องร้องเลยดิ สมมติคุณบ่นว่าหิวแล้วไม่ได้แดกสักที คุณรู้อยู่แก่ใจครับว่าวิธีการได้แดก คือเดินไปร้านเองไม่ต้องรอไรเดอร์ ความรู้สึกแย่ที่รอข้าวแม่งก็นานมากอยู่แล้ว ถ้าคุณบ่นกับเพื่อนแล้วเพื่อนตอบว่า ไม่เป็นไร -- ความรู้สึกที่คุณส่งไป *มันถูกปฏิเสธ*มันไม่ถูกมองเห็น แล้วคุณจะเบาใจขึ้นได้อย่างไร ? - ครั้งต่อไปก็คงจำไปเองว่า ความรู้สึกแย่ใด ๆ มันไม่สำคัญ ให้รีบปัดตก ไม่หยิบความทุกข์มาพิจารณา นานวันเข้า คุณจะรับมือกับความทุกข์ไม่เป็นเลย หันไปเพิ่งพาทางแก้อย่างความสุขระยะสั้น สิ่งมึนเมา ไถต้อก ๆ - เพราะคำว่า ไม่เป็นไร... บางที เราก็ยอมเถอะ.. ว่ามัน"เป็น" จริง ๆ - สิ่งที่ผมต้องการจาก ชิษณุชา สันติอมรทัติ คือการสร้างโลกที่เลิกใช้ตรรกะและเหตุผลเพียง 1 นาที เพื่อช่วยมองดูหัวใจที่เศร้าโศกสักแปปได้มั้ย ? แม้จะเป็นเรื่องที่แก้ไขปัญหาได้ง่ายก็ตาม ? 😢 - แค่ 1 นาที ก็มากพอที่จะแบ่งเบาความรู้สึกหิว แค่ 1 นาที ที่ช่วยทำให้รู้สึกว่า โลกนี้....ยังมีคนที่มองเห็นความรู้สึกของเราอยู่ แค่ 1 นาที ยังมีคนที่ช่วยยืนยัน ว่าเรายังมีค่ามากพออยู่... - ความรู้สึกเราไม่ได้หายไปไหนนะครับ 😉 คุยให้ถูกคน แล้วคุณ จะถูกมองเห็น ;;) รักนะครับ ขอบคุณครับ - ( Special in comment ผู้ฉลาดทางอารมณ์จะไม่ถูกอารมณ์ควบคุม ) image
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 6 months ago
อยู่กับลมหายใจมาทั้งชีวิต ลองสนใจมันสัก 5.5 วินาทีดีมั้ยครับ ? อ่านโพสต์ผมสองนาที เพื่อไม่ให้ลมหายใจทั้งชีวิต สูญเปล่าอีกต่อไป ⁉️ #ไม่ใช้AIเขียน James Newston ( ผมจะเรียกว่าคุณเจมส์ ) อธิบาย ถึงความสำคัญของลมหายใจ เคียงคู่กับประวัติศาสตร์มนุษย์ไว้ ผ่าน Breath : The New science of lost art ได้ความสั้น ๆ ดังนี้ครับ ----- มนุษย์กำลังวิวัฒนาการถอยหลัง 🙊🐒 ----- คุณเจมส์บอกว่า โครงกระโหลกของมนุษย์เปลี่ยนไปตั้งแต่ยุคปฏิวัติเกษตรกรรม มนุษย์เคี้ยวอาหารนุ่มขึ้น ทำให้ใบหน้าเรียว " ยู่" เข้ามา ไอ่การเรียวนี่แหละปัญหา มันดันไปเรียวตรงทางเดินหายใจพอดี วันเวลาผ่านไป จนถึงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม อาหารแปรรูปมากขึ้น ใบหน้าก็ยิ่งเรียวขึ้น ทุกคนเข้าไปเป็นแรงงาน ถวายเวลาให้กับงาน ไม่มีเวลาอยู่กับตัวเอง -- จนในที่สุด ทุกคนก็ลืมวิธีการหายใจ 😭 ในที่สุดทุกคนก็ใช้ปากหายใจมากกว่าจมูก เพราะวิวัฒนาการทางกระโหลกทำให้ทางเดินอากาศในจมูกตีบตันไปแล้ว -- มีอะไรแปลกปลอมเข้ามาในจมูกนิดหน่อย ระบบภูมิคุ้มกันก็ตกใจฟ้าถล่ม เป็นชื่อโรคประจำตัวยอดฮิตแลกลดแจกแถม " ภูมิแพ้ " กำเริบที จมูกแดงกันเป็นแถบ หนักสุดถ้าคุณมีภาวะอ้วน คุณก็เสี่ยงเป็นโรคภาวะหยุดหายใจขณะหลับ เลือดเป็นกรดอีก เฮ้ย... แค่หายใจผิดนะนี่ ทำไมเป็นหนักจัง... ----- พวกคุณไม่รู้ตัวหรอก ว่าตอนนี้พวกคุณกำลังหายใจอย่างไร แต่ให้ผมเดาว่าก่อนที่จะอ่านโพสต์ผม ก่อนที่จะมีสติรับรู้ว่าเราคุมการหายใจได้ การหายใจคุณถี่ สั้น ไม่เต็มอิ่ม ไม่เต็มปอด ไม่กลั้น ไม่พัก ไม่กักเก็บ ไม่หายใจออกมากพอ ลมเก่าที่ค้างในปอด คุณยังไม่เอาออกเลยด้วยซ้ำแล้วคุณก็วนรอบหายใจใหม่ซะละ แล้วถ้าเทียบในอัตราหายใจ 1 นาที คุณคิดว่าทุกรอบคุณหายใจทางไหน ? ทางจมูกเหมือนกันทุกรอบมั้ย ก็ไม่ เดี่๋ยวก็ปากบ้างจมูกบ้าง เดี๋ยวก็ลืมหายใจบ้างก็มี --- ถ้าวิธีนำอากาศเข้าไปไม่ดี ฟังก์ชั่นร่างกายคุณจะใช้งานเต็มประสิทธิภาพได้ยังไง ?💀 -- ในหนังสือ คุณเจมส์เล่าว่า เขาใช้เวลาเป็นสิบปีเพื่อออกทำการทดลอง ออกตามหาผู้เชี่ยวชาญศาสตร์การหายใจ จนในที่สุดเขาก็ได้วิธีการหายใจ ที่สมบูรณ์แบบที่สุด ชื่อ กฎ5.5วินาที🖐🏻.🖐🏻 -- 5.5 วินาทีหายใจเข้า ( ทำตามเดี๋ยวนี้ ) 5.5 วินาทีกลั้นลม 5.5 วินาทีหายใจออก ใน 1 นาที คุณจะพบว่า คุณหายใจด้วยอัตรา 5.5 ครั้ง / นาที คุณหายใจเข้าไปได้ทั้งหมด 5.5 ลิตร -- นี่เป็นตัวเลขที่สมบูรณ์แบบ ไม่ใช่ว่าทำแล้วมันจะรักษาหายได้ทุกโรค แต่สมบูรณ์เพราะมันง่ายที่จะเริ่มต้นทำ เพื่อทวงคืนทางเดินหายใจที่ตีบตันจากวิวัฒนาการถอยหลังของพวกเราทุกคนกลับมา เพื่อทวงคืนสุขภาพของมนุษยชาตกลับมาให้เข้าที่เข้าทาง เริ่มจากจุดเล็ก ๆ ที่พวกเราละเลยคือ... การหายใจ..... -- ศาสตร์แห่งการหายใจ อยู่คู่อารยธรรมมนุษย์ในทุกยุคสมัย ตั้งแต่ปฐมกาลไบเบิล คัมภีร์เต๋า โยคี โยคะ ทุมมา ทิเบต พุทธะ สุดาจันกริยะ ไม่ว่าจะชื่ออะไรก็ตาม ทุกศาสตร์ต่างดึงจิตใจอันฟุ้งซ่าน จิตใจอันกังวลในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ จิตใจอันโกลาหลของคุณ กลับมาควบคุมในสิ่งที่ควบคุมได้อย่างง่ายที่สุดก่อนจะแก้ปัญหาใด ๆ คือการควบคุมลมหายใจ -- เรียกสติกลับมาที่ตัว เรียกออกซิเจนเข้าไปในทางเดินอากาศในทางที่ถูกต้อง ( จมูก ) เมื่อร่างกายควบคุมการเข้ามาของก๊าซที่จำเป็นในการดำรงชีวิตได้ถูกต้อง สมองก็จะเห็นวิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้องตามมาเช่นกัน ----- ผู้ใดควบคุมลมหายใจได้ ผู้นั้นย่อมควบคุมโลกใบนี้ได้ ขอบคุณครับ ( มีเรื่องน่ารู้ต่อในเม้น ) image
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 6 months ago
#siamstr เรื่องนี้คิดได้ตอนกำลังกินข้าวกล่องที่ 3 ข้อคิดนี้เป็นประเด็นรองแต่สำคัญโคตร ๆ ผมขอถามพวกคุณทุกคน " คุณมีความฝันอันยิ่งใหญ่ คุณใช้เวลานับ 10 ปีเพื่อให้ได้มันมา เหลืออีกไม่กี่ก้าว คุณก็จะทำมันสำเร็จ " คุณพยักหน้าครับ ว่ามาต่อซิไอ่ยอด -- " ทันใดนั้นคุณมีความรัก คุณรู้ดีว่าความรักก็เป็น 1 ในความฝันที่คุณต้องการมาตลอด ใครหลายคนบนโลกที่ยังโสดอยู่ต้องการแค่คู่ชีวิต ตอนนี้คุณมีคู่ชีวิตตรงหน้าแล้ว ความรักนั้นมีพลานุภาพมาก แค่เห็นเวลาเธอยิ้ม ฉันไม่ต้องการใครอีก ( Polycat ) ไม่ต้องการใครคนอื่นไม่พอ มันดันรวมถึงความต้องการในการพิชิตความฝันของคุณด้วย ต่อหน้าความรัก ความทะเยอทะยานต่อความฝันก็จางลง ไม่ใช่ว่าใจคุณไม่แน่วแน่ แต่บางทีความรักมันทำให้คุณอ่อนข้อต่อเป้าหมายได้ อธิบายไม่ได้หรอกว่าทำไม แต่อธิบายได้ว่าเพราะ ----รัก--- " -- " ติด H**** สินะ " " เออ มึงเข้าใจถูก " เป็นเรื่องดี ในที่สุดคู่ชีวิตคุณก็โผล่หน้ามา แต่เป้าหมายในชีวิตที่คุณตั้งไว้ คุณยังไม่ได้ไปรับเลย จุดสำคัญอยู่ตรงนี้ คุณควรตั้งคำถาม คู่ชีวิตของคุณ เป็นคู่ชีวิตจริง ๆ มั้ย ? -- จากหนังสือ The Alchemist ล่าขุมทรัพย์ สุดขอบฟ้า Paulo Coelho มีสปอย แต่พวกคุณคงไม่คิดไปหานั่งอ่าน เพราะงั้นอ่านโพสต์ของผมต่อเถอะ --- -- คือไอ่เด็กหนุ่มแม่งออกตามหาขุมทรัพย์มาหลายปี จนไปถึงโอเอซิสระหว่างทาง มันไปเจอสาวชื่อ ***ฟาติมา*** ความรักมันมากมันทะล้น มันแทบจะล้มเลิกเป้าหมายในการตามล่าขุมทรัพย์ แต่สุดท้าย เด็กหนุ่มเลือกตามหาขุมทรัพย์ต่อครับ " เอ้า อะไรทำให้เด็กหนุ่มเลือกเช่นนั้น ? เขาอาจจะไม่ได้เจอสาวงามดังฟาติมาอีกแล้วก็ได้ ? ตอนเขาหาขุมทรัพย์เจอ ฟาติมาอาจไม่อยู่รอเขาแล้วก็ได้ ? " คุณถามผม ผมว่าคนเราเรียนวิทย์-คณิตมากไป จนทุกวันนี้คนแม่งบ้า ใช้เหตุผลกับทุกเรื่องเป็นสิ่งที่ดี แต่คุณจะใช้มันหาเหตุผลกับเรื่องความรักไม่ได้ ! คุณคิดหรือว่าในความสัมพันธ์ที่คาราคาซัง เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เต็มไปด้วยการแข่งขันเพื่อให้ได้ใจเขามา เต็มไปด้วยความพยายามว่าไม่อยากให้รักที่เขามีให้หายไปไหน ---> มันจะเป็นความสัมพันธ์ที่ดี ? ถ้าในความสัมพันธ์ปัจจุบันทำให้คุณมีคำถามในใจ และต้องเป็นฝ่ายที่พยายาม โง่หนำซ้ำคุณยังฝืนอยู่ต่อ ก็คงถือได้ว่ามึงแม่งโคตร Mental retardation ชิบหายเลย -- ความรักที่แท้จริงมัน Quietly Simple มันจะ Healthy มาก / Simple แบบที่ฟาติมะพูดประโยคหนึ่งกับชายหนุ่ม ประโยคเดียวที่ทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจเลือกขุมทรัพย์ก่อน มันเป็นคำที่ง้ายง๊าย --- -- ฟาติมะบอกว่า ฉันเป็นผู้หญิงแห่งทะเลทราย แม่ของฉันก็เป็นเจ้าหญิงแห่งทะเลทรายเช่นกัน ทะเลทรายนั้นกว้าง มีอันตรายมากมายที่ไม่รู้จัก แต่พ่อของฉันมักออกเดินทางจากโอเอซิสนี้บ่อย ๆ แต่พ่อก็กลับมาหาแม่เสมอ แม่รอพ่ออย่างไร ฉันก็จะรอคุณอยู่แบบนั้น ไปเถอะค่ะ ออกไปตามหาความฝันเถอะค่ะ -- ความสัมพันธ์ที่ดีจะไม่ทำให้เป้าหมายในชีวิตคุณลาดชันกว่าเดิม เมื่อเรารักใครจริง ๆ เราจะส่งเสริมให้ทั้งเราและเขา รับผิดชอบต่อเป้าหมายตัวเอง -- เห้ยไอ้ยอด ชีวิตจริงมันไม่ง่ายแบบนั้น ใจคนเราเปลี่ยนไปได้ทุกวัน มึงเพ้อเจ้อ ยกนิยายเอามาโพสต์โยงชีวิตจริงทำไม ? ถ้าคุณมองแบบนั้น เพราะตั้งแต่เกิดมา ตัวคุณเองไม่เคยได้รับความรักที่ดีมาก่อน ก็ไม่แปลกที่คุณจะไม่เชื่อว่าความรักดี ๆ นั้นมีจริง ขอบคุณครับ ขอให้คุณเจอฟาติมะของคุณนะครับ ;) image
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 6 months ago
#siamstr เรื่องเกิดที่ห้องสมุดคณะแพทยศาสตร์ ศูนย์พุทธโสธร เวลา 18 : 00 น. “ อา….นาเชนก้า ” “ อา….อาซาโกะ” ผมครางขึ้นท่ามกลางความเงียบ ณ ห้องสมุดศูนย์แพทย์พุทธโสธร เพียงแต่วันนี้มันต่างออกไป ผมไม่ได้นั่งอ่านอยู่คนเดียว หากแต่ว่ามีพี่ผู้ชายใส่แว่น สวมเสื้อกาวน์สั้นสีขาว นั่งอ่านหนังสืออยู่เช่นเดียวกันกับผมอยู่ห่างออกไปอีก 2 ช่วงโต๊ะ จากการแต่งตัวและหน้าตา ผมขอตัดสินคนจากภายนอกว่านี่คงเป็นพี่ extern ( รุ่นพี่นักศึกษาแพทย์ ปีที่ 6 = extern ) “ อา… นาเชนก้า… อา…ซาโกะ ” ผมครางต่อ ลำคอผมเริ่มเจ็บ แต่ไม่ว่าพี่ข้าง ๆ เขาจะเป็นพี่ extern หรืออาจจะเป็นอาจารย์หรือไม่ พี่ extern คนนี่มีความสลักสำคัญเพียงใดต่อโลกใบนี่กันนะ ? แต่แน่นอนพี่เขาสลักสำคัญกับผม เดือนหน้าผมต้องขึ้นวอร์ดแล้ว พี่เขาจะต้องคอยสอนสิ่งต่าง ๆ ให้กับผม พี่เขายังมีความสลักสำคัญต่อผู้ป่วยมากมายในอนาคตอีกด้วย ผู้ป่วยคงจะดีใจที่รักษาหายดีจากการได้ตรวจรักษากับเขา แต่โอ้ ! นั่นคือความสลักสำคัญในด้านสถานภาพ แต่ในด้านจิตใจผมตอนนี้ พี่เขาไม่สามารถช่วยผมได้ ไม่ได้เลย ปัญหาในใจของผมมันไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรสำหรับพี่เขาด้วยซ้ำ มันไม่สลักสำคัญมากพอที่เขาจะหันมามอง ผมรู้ว่าผมกำลังทำผิด ผมกำลังเสียงดังในห้องสมุด ตาของผมเริ่มมองไม่ชัด น้ำตาผมไหลเอ่อออกมา พูดไม่เป็นภาษา พูดวน ๆ แต่คำว่า “นาเชนก้า…อาซาโกะ” มันเริ่มดังขึ้น ดังขึ้น พร้อมกับเสียงที่สั่นขึ้น หางตาผมสังเกตเห็นว่าพี่ extern หันมามองผมเช่นกัน โอได้โปรดเถอะพี่ extern ผู้น่าเคารพ โอได้โปรดอย่ามองผมด้วยสายตาสงสารเช่นนั้น ผมยังไม่รู้จักพี่ในตอนนี้ และเราอย่าได้รู้จักกันในครั้งแรกแบบนี้เลย พี่คงจะเรียนจริยธรรมทางการแพทย์มาก่อนผม เก็บความเห็นใจไปใช้กับผู้ป่วยเถอะครับ เลิกมองมาทางผมเสียที ผมในตอนนี้ไม่ต้องการได้รับ empathy จากใคร ความรู้สึกผม ให้ผมแบกรับมันไว้คนเดียวเถอะ ผมไม่คู่ควรกับความดีงาม ( ความเห็นใจ ) จากพี่หรอก แค่เมินเฉยผม เหมือนที่พี่เดินสวนคนที่ไม่รู้จักในทุกทุกวัน คิดเสียว่าผมเป็นคนแปลกหน้าเถอะครับ โชคดีเหลือเกินที่คำขอของผมเป็นจริง คงมีแต่พระเจ้าที่รับไว้ พระองค์ทรงบันดาลให้เกิดขึ้นทันตา สังเกตว่าพี่ extern คงรำคาญ หรืออาจจะทำตัวไม่ถูก พี่เขาจัดเก็บหนังสือและไอแพดลงกระเป๋าสะพาย รีบหนีออกจากห้องสมุดทันที ผมคงตกเป็นเรื่องเล่าในกลุ่มเพื่อนของเขาที่ห้องพักแพทย์คืนนี้ โอ้คุณผู้อ่านที่แสนน่ารักเอ๋ย ได้โปรดเถอะครับ ได้โปรดให้ผมเรียกคุณด้วยคำนามว่าผู้อ่าน เพราะอ่านมาได้ถึงตรงนี้คุณคงจะเป็นนักอ่านในระดับนึง อนึ่งขออนุญาจต่อด้วยคำคุณศัพท์ว่าน่ารัก คุณคงมีจิตใจอันแสนงดงามที่อยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในจิตใจผมตอนนี้ คุณกำลังห่วงใยผม หาได้ยากนะครับคนที่ห่วงใยคนอื่น คุณเป็นคนดีแน่แน่เลย มันอาจจะเป็นสิ่งแปลกใหม่บางอย่างที่เกิดขึ้นในใจผมหรือเปล่า ความรู้สึกต่าง ๆ ของผมมันจึงท่วมท้นออกมาร้องไห้กลางห้องสมุดจนไม่เกรงใจพี่ extern คนนั้น โอ้คุณผู้อ่านที่แสนน่ารัก เพื่อตอบสนองความดีงามที่อยู่ในใจของคุณที่ห่วงใยเพื่อนมนุษย์เช่นผม ผมจะเล่าให้คุณฟังในตอนนี้เลย เรื่องมันไม่ไร้สาระหรอกครับ คุ้มค่าเสียเวลาของคุณ เรื่องที่ผมพบเจอมันเกิดขึ้นกับตัวคุณเช่นกัน แต่คุณไม่รู้ตัว ฟังผมให้ดี การฟังปัญหาของผมอาจทำให้คุณแก้ปัญหาของคุณได้ เริ่มเลยแล้วกันนะครับ วันนี้ทั้งวันผมต้องอ่านอาการวิทยา หากแต่ว่าผมต้องเรียนรู้มันถึง 4 รอบ โดยเรียงลำดับดังนี้ 1.เรียนจากศูนย์แพทย์หลัก 2.ทำสรุปของศูนย์แพทย์หลัก3. เรียนจากศูนย์แพทย์ที่ผมเรียน และ4.ทำสรุปจากเนื้อหาศูนย์แพทย์ที่ผมเรียน ผมทำทั้งหมดนี้ตั้งแต่ 8 : 30 น. จนถึงเวลานี้ก็ 18 : 00 น. แล้วครับ หากจะคิดว่าผมเมื่อยล้าจากการอ่านเลคเชอร์แล้วจึงพร่ำพรรณาแล้วร้องไห้กลางห้องสมุด เรื่องนั้นไม่เกิดขึ้นกับผมหรอกครับการอ่านหนังสือ มันเป็นข้ออ้างเพื่อที่ว่าถ้าไอ่โอ้หรือมีนเดินมาที่ห้องสมุดพอดี ผมจะได้อ้างว่าแค่เหนื่อยอ่านสอบ ผมไม่อยากเล่าเรื่องในหัวผมให้กับเขา เขาคงไม่มีเวลาว่างเพื่อรักษาใจผมขนาดนั้น ในขณะเดียวกันการอ่านสือทั้งวันก็เป็นแค่เหตุ เหตุคือในตอนกลางวันเราตื่นมาพบความจริง เราตื่นมาเจอความรับผิดชอบ เราตื่นมาเจอสถานภาพที่เราต้องรับบทบาทไว้ คุณผู้อ่านที่น่ารักครับ เราทำงานหรือเรียนในช่วงเวลากลางวัน พอถึงช่วงเย็นคาบกลางคืน จิตใจกับสมองมันก็เหนื่อยล้าแล้วครับ สำหรับผมมันมากเกินไปแล้วครับที่จะเอางานหรือเลคเชอร์กลับมาตามอ่านที่ห้องนอน ถ้าจะอ่านต่อผมก็อ่านรอบดึกแต่ไม่อ่านที่ห้องนอนแน่ ๆ หลังจากใช้ชีวิตบนโลกแห่งความจริงมาค่อนวัน เวลาตกเย็นคาบดึกนี่แหละครับ ที่จะเป็นช่วงเวลาที่เสียงในหัวเปลี่ยนบทบาทจากที่คอยท่องเลคเชอร์ผ่านลูกตามาทั้งวัน สมองล้ามากครับ สมองจึงหันมารับฟังความรู้สึกกลั้นไว้ไม่ไหว ความรู้สึกที่กำลังเพรียกร้องจากหัวใจ ชักชวนให้คุณชวนค้นหาและสนใจมัน สมองกลับมารับฟังความรู้สึกของเราเอง ช่วงเวลาตกเย็นคาบดึกนี้เองครับ ที่เราเข้าใกล้ตัวเองมากกว่าพระเจ้าเสียอีก เราเข้าถึงตัวเราเองอย่างแท้จริง เราเข้าจิตเข้าใจตัวเองอย่างแท้จริง เรารับฟังตัวเองอย่างแท้จริง… โอ้กลางคืน กลางคืนที่เสียงหัวใจมันดังกว่าสมองนี้เองครับ ทำให้เราเข้าใจครับ ว่าเวลาที่เราตกหลุมรักใคร มันจะเกิดขึ้นตอนกลางคืน ช่วงเวลาที่เสียงแห่งงานเงียบลง ( เสียงแห่งความเป็นจริงของโลก ) ถูกทดแทนด้วยเสียงหัวใจ ( สิ่งที่เราอยากให้เกิดในอุดมคติ ) และเสียงหัวใจของผมมันดังมากในเย็นวันนั้น ผมถามหัวใจว่าต้องการอะไร หัวใจตอบกลับ ”ผมรักเธอคนนั้น” ผมคงรักเธอได้แค่ตอนกลางคืน พอเช้ามาเสียงแห่งงานและความจริง ก็ดึงเธอจางหายไปจากใจของผม ( แต่ก็แค่ชั่วคราว ) ไม่สลักสำคัญว่าผมรักใคร คุณถามตัวคุณเองเถอะ คุณผู้อ่านที่แสนน่ารักของผม คุณผู้อ่านที่กำลังเป็นห่วงเป็นใยผม ผมขอละลาบละล้วงในความสัมพันธ์ส่วนตัวของคุณทีเถอะนะครับ ผมขอถามว่า คุณกำลังคุยกับคนที่คุณชอบจริง ๆ หรือคุณกำลังคุยกับคนที่คุณถือว่าเป็นตัวแทนคนเก่าคนโปรด โอ้ ๆ มันคงจะกระแทกใจใครบางคนไปเล็กน้อย แต่ได้โปรด ฟังผมต่อเถอะครับ ขอดึงชายเสื้อคุณไว้ อย่าหนีผมไปไหนไกลเลย ขอพูดต่อนะครับ หากคุณไม่ใช่คนประเภทที่ถือว่าใครในความสัมพันธ์ ณ ปัจจุบัน เป็นตัวแทนคนเก่าคนโปรด ( ที่คุณไม่มีวันได้รับความรักจากเขาอีกแล้ว จึงต้องหาตัวแทน ) แล้วคุณแน่ใจในตัวเองแค่ไหน ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มองคุณเป็นตัวแทนคนเก่าคนโปรดของเขา ? คุณผู้อ่านที่น่ารักของผม ? ตอบสิ ! ว่าคุณแน่ใจได้อย่างไร ? โอ้ดาวบนฟ้าเหนือศูนย์แพทย์พุทธโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา ไม่พร่างพราวเหมือนชมดาว ณ ก้ำกึ่ง คำถามที่ผมถามคุณผู้อ่านเมื่อครู่ คุณยังไม่ตอบผมก็ได้ ผมขอพักไว้ก่อน เก็บไว้ตรงนั้น แล้วค่อยเปิดออกมา ตอนนี้ผมปาดน้ำตา เดินออกมาที่ริมน้ำหน้าโรงพยาบาล ตอนนี้ผมกล้าพูดมากเลยว่าผมเป็นนักศึกษาแพทย์ริมน้ำแล้วนะ หากแต่ว่าเป็นแม่น้ำบางปะกง อา…เอาเถอะ ดาวบนฟ้าแม้มีน้อยไม่ค่อยชัดหากมองจากแปดริ้ว แต่ดวงดาวย่อมโผล่มาตอนกลางคืน ช่วงที่เรารับฟังเสียงหัวใจเราได้ชัดที่สุด ดวงดาวนี้อยู่เป็นเพื่อนผม ผมหวังว่ามันคงจะได้ยินเสียงหัวใจของผมด้วย ถ้าเอา steth มาฟัง คุณไม่ได้ยินว่า “lub dub” หรอกครับ แต่มันคงจะเป็นเสียง murmur ว่า “รัก…คุณ” “รัก…คุณ” ยิ่งดึกดาวยิ่งสว่าง ยิ่งทำให้คำว่ารักมันชัดเจนมากขึ้นจริง ๆ ด้วย ผมเชื่อว่าคุณผู้อ่านที่น่ารักต้องเคยเจอคนคุยที่ไม่ฟูล ( แต่หน้าตาดี ) เข้ามาในชีวิตบ้างแหละครับ ถ้าถามว่าไม่ฟูลยังไง ก็คือเขาคุยกับคุณ จนคุณแน่ใจว่าคิดคิดไป ที่เธอคิดฉันคิดคิดว่าใจเราตรงกัน คิดแค่ไหนฉันว่าคงจะไม่ต่าง Baby let’s me know now ว่าใจเราไม่ต่างกัน คุณชอบเขา ! เขาชอบคุณ ! เวลาแห่งการได้คบใกล้มาถึง ! แล้วก็ บู๊ม !!! เขาเลือกกลับไปหาคนเก่า เรื่องราวของคนคุยคนนี้ก็ได้ตกเป็นท้อปปิคเมาท์ประจำเพื่อนคุณไปสักระยะนึง แน่นอนว่าคุณจะโดนล้อด้วย ฮ่า ๆ ผมคิดว่าคนคุยของคุณก็คงรู้ตัวจริง ๆ ว่ารักคนเก่ามากกว่าคุณ ก็ตอนที่เสียงของหัวใจมันชัดในตอนกลางคืนนี่แหละครับ คนรักเก่าที่ฝังใจ การหนีคนคุยปัจจุบันเพื่อกลับไปคบกับแฟนเก่า หรือแม้แต่ลุงๆป้าๆที่แต่งงานแล้ว ก็ยังมีให้พบว่านอกใจไปหาคนเก่าอยู่ ฉะนั้น เรื่องอุบาทว์พรรค์นี้ มันไม่ได้เพิ่งมามี แต่มันมีมานานแล้ว ผมสามารถที่จะอธิบายได้ว่าเพราะอะไรทำไมมนุษย์จึงเหนี่ยวรั้งกับคนเก่ามากนัก คุณผู้ฟังที่แสนน่ารักครับ ความน่ารักของคุณมีมากจริง ๆ นะครับ คุณผู้อ่านที่น่ารักครับ เพราะคุณเป็นห่วงเป็นใยผม ความดีงามของคุณกำลังจะถูกตอบแทน ตอนนี้คุณกำลังจะได้คำตอบแล้วนะครับ ใจความมีอยู่ว่า ทุกวันนี้เราได้รับข้อมูลมาก ทำให้เราตัดสินใจสร้างสเปคคนรักในฝัน ( ช่วงกลางคืน ) เราเพ้อฝันในอุดมคติ เราเพ้อฝันในการมูขอแฟน เราเพ้อฝันในดินแดนอุดมคติของเราว่าเราต้องมีแฟนที่ทรีตเราอย่างดี หน้าตาดี มีความสุข เป็นคนที่ไม่ทำเราเสียใจ เป็นคนที่คบเป็นแฟนแล้วใคร ๆ ต่างอิจฉา เป็นคนที่เราอวดเพื่อนได้อย่างภาคภูมิ จริง ๆ แล้วอวดในความนิสัยดีในอุดมคติ เพื่อนคุณก็อิจฉามากกว่าการได้คนหน้าตาดีเป็นแฟนแล้วครับ บางทีคนหน้าตาดีก็ดูไม่ norm และไม่ฟูล ฮ่าๆ แต่ดินแดนอุดมคตินี้ ช่วงเวลาที่เรามีความสุขกับฝันเหล่านี้ ช่างแสนสั้น ( ช่วงเวลาที่เสียงหัวใจดังกว่าเสียงงานในตอนกลางคืน ) แปปเดียวเราก็เดินไปที่เตียง ล้มตัวลงนอน คุณอาจจะฝันอย่างมีความสุขต่อก็ได้ถ้าหากว่าคืนนั้นคุณฝันดี แต่เช้ามา ช่วงเวลากลางวันมาถึง เสียงของงานดังกว่าหัวใจมันก็ลากคุณกลับเข้าความเป็นจริงอยู่ดี แต่โอ้ ! คุณผู้อ่านที่รัก หากคุณได้ยินสิ่งที่ผมพูดต่อไปนี้คุณคงจะรับไว้ไม่ไหว ใจคุณบอบบางเกินไป ผมขออนุญาตจูบลงบนที่มือของคุณ เพื่อเป็นการแน่ใจว่าต่อให้คุณจะรู้สึกจุกทางใจแค่ไหนผมก็ยังอยู่ข้างคุณไม่ว่าคุณรู้สึกอย่างไร ผมหวังดีให้คุณได้ฟังมัน ฟังผมต่อให้ดีเถอะครับ คุณอาจอยู่คนเดียวมานานหรืออาจมีความสัมพันธ์ครั้งเก่าที่ดูแย่ แต่บางช่วงเวลาของชีวิต พระเจ้าก็ดันเกิดใจดีกับคุณขึ้นมา ไม่รู้สาเหตุหรอก คงมีแต่พระองค์ที่รู้ พระองค์ทรงเปิดดินแดนแห่งความฝันและดินแดนแห่งความเป็นจริงของคุณมาบรรจบกัน ทำให้คุณพบเจอกับคนรัก ( ที่จะกลายเป็นคนเก่า ) แต่ก่อนที่เขาคนนั้นจะกลายเป็นคนเก่า โอ้คุณผู้อ่านเอ๋ย ทั้งผมและพวกคุณ พวกเราช่างน่าสงสารเหลือเกิน เรื่องราวความรักที่คุณฝันในอุดมคติ เรื่องราวความรักที่คุณเคยสัมผัสในความฝันยามนิทรา ได้เกิดขึ้นบนโลกความเป็นจริงแล้ว ( กลางวัน ) คุณมีความสุขแม้จะต้องตื่นมาทำงานและเจอกับความจริงที่ว่าคุณมีคนรักที่ตามหาจนเจอ คุณมีความรักที่คุณเฝ้าฝันหามันมาตลอด คุณอยากได้มันมาตลอด มันเกิดขึ้นจริงแล้ว หัวใจคุณได้รับการตอบกลับทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน ใจอันว่างเปล่าถูกเติมเต็มเสียที คุณ On top of the world แต่อาจจะด้วยอะไรบางอย่าง ทำให้คุณกับเขาต้องเลิกรา ผมอนุญาตให้คุณเศร้าเต็มที่เลยนะครับ ผมจะไม่พูดว่าอย่าเศร้าไปเลย คุณต้องเศร้า คุณจะเศร้า จนกว่าคุณจะเหนื่อยที่เศร้า แต่คุณผู้อ่านครับ ใจที่ถูกเติมเต็มในคราวนั้น มันถูกเติมเต็มไปเพราะเขาแล้วนะครับ นึกมองย้อนไปก็มีความสุขมาก ( โดยเฉพาะหากคุณพบความสัมพันธ์ที่ดีมาก ๆ ) จนถึงว่าแม้ความสัมพันธ์จบไป คุณก็ยังอยากมีความรู้สึกที่ได้รักเขาอยู่ ไม่อยากให้ความรู้สึกนี่หายไป ผมจึงถามไงครับ ว่าหลังจากเลิกเราจากเขาไป คนคุยของคุณตอนนี้ คุณกำลังยึดถือมาเป็นตัวแทนหรือเปล่า ถ้าคนเก่าคุณกลับมา คุณจะกล้าทิ้งคุณที่กำลังคบตอนนี้หรือไม่ ? การกลับไปหาคนเก่ายังแสดงออกมาในรูปแบบภาพยนตร์และวรรณกรรมอีกด้วย โอ้…นาเชนก้า ที่ผมครางออกมาในตอนแรก ก็เป็น 1 ในตัวละครในวรรณกรรมคลาสสิครัสเซียนั่นแหละ ผมอยากให้ทนอ่านเรื่องย่อสักเล็กน้อย เรื่องสั้นครับวางใจได้ จบใน 1 ย่อหน้า เริ่มที่พระเอกพบกับนาเชนก้าที่สันเขื่อนในเมืองเซนต์ปีเตอร์สเปิร์ก นาเชนก้ายังคงคิดถึงคนรักเก่า แต่คนรักเก่าไม่กลับมาสักทีทั้งที่สัญญากันไว้ว่าจะกลับมา พระเอกจึงตัดสินใจสารภาพรักกับนาเชนก้า นาเชนก้าตกลงปลงใจที่จะคบหากับพระเอกในคืนนั้น แต่แล้วขากลับจากสันเขื่อนในคืนเดียวกัน พวกเขาเดินสวนกับคนรักเก่าของนาเชนก้าพอดี ( เกิดขึ้นในตอนกลางคืน ) นาเชนก้าจึงทิ้งพระเอกไว้ตรงนั้น แล้วกลับไปหาคนเก่า พร้อมจัดงานแต่งงานทันที อาซาโกะก็เช่นกัน มาจากเรื่อง Asako I and II ( 2018 ) หนังเข้าชิงเทศกาลหนังเมืองคานส์ พล็อตคล้าย ๆ กัน อาซาโกะกลับไปหาคนเก่า ทันทีที่คนเก่ากลับมาโผล่ต่อหน้าทั้งที่ตอนนั้นอาซาโกะมีแฟนอยู่แล้ว ( คนเก่าของอาซาโกะโผล่มาตอนกลางคืน ) หลังจากหายไปนานนับปี ดังนั้น คำถามที่ผมยกขึ้นมาในตอนกลางบทความ มันจึงเป็นการตั้งคำถามที่ผิด แม้ตั้งคำถามผิดแต่มันไม่ไร้ประโยชน์ ตัวคำถามมัน reflect ว่าความสัมพันธ์ส่วนตัวของคุณผู้ที่กำลังอ่านอันแสนน่ารักของผมนั้นเป็นอย่างไร เมื่อคุณคิดได้แล้ว คุณย่อมตัดสินใจทิศทางความสัมพันธ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้มันดีขึ้น แต่โอ้ ! เรื่องใดที่ทำให้ใจผมขุ่นมัวไปด้วยความเศร้าจนร้องไห้ออกมากลางห้องสมุด ! มิใช่ว่าผมคิดถึงคนรักเก่า หรือผมตกอยู่ในความสัมพันธ์ที่โดนทิ้งแล้วอีกฝ่ายกลับไปหาคนเก่าของเขาต่อหน้าต่อตาหรอกนะครับ หากแต่ว่าความทุกข์ที่อยู่ในใจผมตอนนี่ คือการตั้งคำถามที่ผิด ๆ กับพวกคุณนี่แหละครับ ! เพราะพวกคุณทั้งหมดแทบไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังใช้อดีตเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง ! คุณผู้อ่านที่แสนน่ารักครับ ผมขอจูบลงบนหลังมือของคุณ พร้อมบีบมือเพื่อเตือนสติพวกคุณ อดีตเกิดขึ้นไปแล้ว ความรักความดีงามดังคนเก่าเกิดขึ้นไปแล้ว แต่คุณผู้อ่านที่แสนน่ารักครับ เรื่องราวความดีงามที่ความฝันและความเป็นจริงมาบรรจบกันมันยากที่จะลบเลือนจากใจจริง ๆ แต่โอ้ ! อดีตเกิดขึ้นแล้ว คุณจะให้อดีตเป็นเครื่องพันธนาการหรือบทเรียนล่ะครับ ? ถ้าทำใจกับการมูฟออนคนรักเก่าไม่ได้ ก็อย่าพาลหาตัวแทน คุณผู้อ่านอันน่ารักของผม พวกคุณคงเห็นภาพชัดแล้วว่าปัญหามิใช่ว่าเราคิดถึงคนรักเก่าเพียงใด แต่ปัญหาคือเราให้อดีตมาเป็นเครื่องพันธนาการ เหนี่ยวรั้งเราไว้เพื่อไม่ให้พบสิ่งที่ดีกว่า เพราะผมกับคุณ พวกเรานั้นน่าสงสาร หน้ามืดตาบอดเชื่อไปหมดว่าสิ่งที่เคยพบเจอนั้นดีที่สุด ฝังความคิดผิด ๆ ลงบนหัวตัวเองว่าคงไม่เจอความดีงามเช่นนี้อีกต่อไปแล้ว ตื่นมาก็คิดถึงเขา กินข้าวก็คิดถึงเขา ไปมุมเดิม ๆ ที่เคยเดินด้วยกันยิ่งตอกย้ำความคิดถึงไปอีก ความคิดถึงของคุณมันจะอุบาทว์กว่าเดิมหากว่าคนรักเก่าของคุณคือคนใกล้ตัว ลองคิดดูสิครับ หากคน คนที่เคยมีใจกันอยู่ เปลี่ยนไปเป็นไม่มีเยื่อใยต่อกัน อยากลืม ลืมทุกสิ่ง ลบล้างเรื่องวันวาน หากเราไม่พบกัน คงลืมกันได้ หนักใจตรงที่ความจำเป็นบางอย่าง กดดัน พาให้เราเจอกันต่อไป มาเป็นเพลงเลยครับคุณผู้อ่านอันเศร้าหมองของผมแต่ก็ยังน่ารัก ผมขอจูบลงบนมือคุณครั้งที่ 3 เพื่อเน้นย้ำให้คุณจำคำผมไว้ให้ดี ตอนคุณโสดชีวิตของคุณสงบสุขในความฝันตอนกลางคืนมาตลอดแต่พอมีคนรักเข้ามาแล้วเขาจากไป คุณกลับมาอยู่คนเดียวเช่นเดิมแต่กลับมีความทุกข์โทมนัสทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างไม่มีเป้าหมายว่าต้องทนพยายามมูฟออนไปอีกนานแค่ไหน ต้องคิดถึงเขาไปอีกนานแค่ไหน ต้องโหยหาสิ่งที่เคยมีถึงเมื่อใด โอ้คุณผู้อ่านที่แสนใจร้าย ! คุณก็รู้ตัวเองไม่ใช่หรือ ? ว่าการมูฟออนจากคนรักเก่าที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามในชีวิตอันเลวทรามของคุณมันยากเพียงไหน ?! แต่ทำไม ทำไมล่ะ โอ…นาเชนก้า… โอ…อาซาโกะ… ทำไมพวกเธอจึงตัดสินใจสร้างบาดแผลลึกให้กับคนอื่น ไม่ใช่แค่รอยแผลที่ลึกแต่คุณยังสาดแอลกอฮอลลงไปบนแผลนั่นอีก… ทำไมจึงตัดสินใจสร้างบาดแผลให้กับคนที่เต็มใจจะรักคุณทั้งหัวใจ… ทำไมล่ะนาเชนก้า… ทำไมล่ะอาซาโกะ… พวกคุณกำลังบิดเบือนภวะของคนคนหนึ่ง พวกคุณกำลังทำลายความเชื่อใจของคนที่เป็นตัวแทนความดีงามของโลกใบนี้ซึ่งเพียบพร้อมจะรักคุณ หากแต่ว่าความดีงามนั้นไม่ได้เกิดจากคนรักเก่าของคุณงั้นหรือ ? คุณจึงบดขยี้มันอย่างไร้ความเมตตา… คุณสนใจแต่โลกของตัวเองจนลืมโลกของคนที่รักคุณ ! ผมขอบีบมือคุณแต่จะไม่จูบลงบนหลังมือคุณอีกแล้ว ! ฟังนะ ในโลกของคนที่รักคุณไม่มีอะไรไปมากกว่าสิ่งที่เขาเห็นท่าทีของคุณ ว่าคุณรักเขามากแค่ไหน ! คุยกันมาขนาดนี้ กินข้าวด้วยกัน เดทด้วยกัน โอ้ยยยยยยย อย่าให้พูดเลย คุณนอนกับเขาด้วยซ้ำ !!!! เขาก็คิดว่าคุณชอบพอกันกับเขานั่นแหละ ! จึงได้ตกลงปลงใจที่จะเป็นคนคุยกันต่อในความสัมพันธ์นี้ โอ้คุณผู้อ่านที่น่ารักแต่ใจคุณแม่งใจร้ายชิบหาย ! คุณ ! คุณที่เป็นตัวแทนของฝันกลางคืนของเขา คุณคือตัวแทนที่ทำให้เขาคิดว่าพระเจ้าตอบรับคำขอของเขาที่เขาเฝ้าอธิษฐานขอให้มีความรักเติมเต็มหัวใจที่ว่างเปล่ามาโดยตลอด คุณคือคนที่ทำให้กลางคืนของเขามาบรรจบกับกลางวัน ! แต่คุณกลับทิ้งเขาไปเพราะคนรักเก่าของคุณกลับมา !!? อีเหี้ย อีสันดาน อีหน้าด้าน ! มึงฟังคำกูไว้นะ ไม่มีอะไรที่เหี้ยไปกว่าการทำลายความเชื่อมั่นของคนคนหนึ่ง ! ท่ามกลางภวะความคิดของคนที่มึงใช้เขาเป็นตัวแทนคนเก่า ไม่ได้มีแค่เรื่องดาดๆเสี่ยวๆว่าเขารักมึง แต่มันลึกกว่านั้น ! เขาเชื่อว่าความพยายามและ(วงตัวแดง) การใช้เวลากับมึงเนี่ย มันจะทำให้เขาได้คบกับมึงเว้ย มันมีความพยายามและความคิดถึงของเขาในวันต่อวันตั้งแต่รู้จักกับมึงแอบแฝงไว้อยู่ ! เขาเชื่อว่าทำดีต้องได้ดี แต่นั่นแหละ ! สุดท้ายมึงกลับไปหาคนเก่า ! มึงลองคิดสิ ! ว่าในใจของคนที่ถูกทิ้งในรูปแบบนี้มันจะมีปัญญาที่จะกล้ารักใครคนอื่นอีก ? ทำดีไม่ได้ดี เขาจะทำดีไปทำไม ? ความดีงามในตัวเขาหายไปเพราะคุณ ! ตั้งใจรักไป ถึงจะได้รับความรักกลับมา แต่กลับคาดไม่ถึงว่าจะโดนทิ้งแบบหน้าด้าน ๆ ? เกิดคำถามในใจว่าที่ผ่านมาคืออะไร ความพึงพอใจในตัวเองถูกบดขยี้ไม่มีชิ้นดี การกลับไปหาคนเก่าทั้งที่มีคนปัจจุบันอยู่แม่งเป็นการทำลายความเชื่อใจ ทำลายชีวิตของใครบางคนไป เขาอาจจะต้องแบกรับบาดแผลนี้ไปตลอดชีวิตเสียด้วยซ้ำ !! ฟังก์ชั่นความรักของคนที่มีความดีงามแม่งเสียไป ปัญหาแม่งเกิดจากคุณไม่มีปัญญารับผิดชอบหัวใจตัวเองให้มันเสร็จก่อนขึ้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่ ! ยืดตรง ! อกผาย ! ไหล่ผึ่ง ! ยืดรับปัญหาซะ ! ยกอก !! ปึ้บปึ้บ !! ( หันคอตวัดกลับ ) นี่คือประโยคคำสั่งคลาสสิคตอนเรียนรอดอ ความหมายแฝงมันเป็นแบบนี้ครับ โอ้ คุณคงจะตกใจสินะที่ผมหลุดคำหยาบออกมา ผมขอโทษนะครับ ผมไม่น่าหยาบคายกับคุณเลย ขอโทษที่ทำให้กลัวจริง ๆ ครับ ให้ผมจูบคุณแทนคำขอโทษนะคุณผู้อ่านอันแสนน่ารักของผม กล้าดียังไงถึงจูบฉัน ! คุณคิดแบบนี้สินะ ใช่ครับ ปัญหาไม่มีทางแก้ไขได้ หากคุณไม่กล้าที่จะมองปัญหาอย่างตรงไปตรงมา ความโหยหาอดีตกำลังฆ่าคุณให้ตาย และการมูฟออนไม่ได้นั้นกำลังทำให้คุณตายอย่างช้า ๆ เป็นผีดิบไร้จิตวิญญาณใช้ชีวิตแบบวันต่อวัน คุณผู้อ่านครับ คุณเศร้าโศกขนาดนี้ แต่ทำไมโลกใบนี้ไม่อนุญาตให้คุณเสียใจเลย… มนุษย์เรามีความสามารถในการใช้ชีวิตดีกว่าที่เราคิดนะครับ อารมณ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะมีความสุขหรือทุกข์ใจ ทุกอารมณ์มีเพื่อปกป้องตัวเราเอง แต่เมื่อคุณเศร้า เพื่อนคุณกลับบอกว่าไม่เป็นไรนะมึง มันเป็นครับ เป็นปัญหาใหญ่สำหรับคุณแน่นอนคุณถึงเสียใจนานนับปีขนาดนี้ หากแต่ว่ามันไม่เป็นไรสำหรับเพื่อนของคุณเพราะเพื่อนของคุณไม่ได้สวมรองเท้าเดียวกันกับคุณ ถึงคำปลอบใจจะดูไม่ดี แต่เพื่อนคุณหวังดีครับผมเข้าใจดี และคุณก็เข้าใจมากเสียด้วยว่าเพื่อนคุณหวังดี แต่ลึก ๆ แล้วสมองคุณไม่รู้หรอกนะครับ พอได้ยินว่าไม่เป็นไร คุณก็จะเก็บเรื่องนั้นไว้พักนึงโดยอัติโนมัติ แต่เมื่อช่วงเวลากลางคืนมาถึง เสียงหัวใจของคุณกลับมาดังขึ้น ความโหยหาของคุณก็กลับมา คุณยังคงโหยหาต่อไปอย่างไร้จุดหมาย พยายามปลอบใจด้วยคำอันแสนวิเศษว่า ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร แต่ก็ช่วยได้ชั่วคราว ความโหยหาคนรักเก่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คุณเศร้า แต่สิ่งที่ทำให้ทุกข์ใจยิ่งกว่าคือคุณปฏิเสธตัวเองว่าไม่อยากทุกข์ แต่ผมจะบอกให้คุณกางความทุกข์ออกมา จงโหยหา โหยหาให้มากเท่าที่คุณต้องการ นี่คือการเผชิญความกล้าอย่างแท้จริง ยอมรับตัวเองซะว่าคิดถึง ยอมรับตัวเองซะว่าทุกข์ใจแค่ไหนที่ตั้งแต่เลิกราไปยังคิดถึงแต่เขา อาการคุณหนักถึงขนาดที่ว่าเพื่อนที่คณะยังทักว่าคุณซูบลง คุณรู้ตัวเองดีว่าคุณไม่กินลง ยิ้มน้อยลง แต่ ฟังให้ดี ไม่ผิดเลยที่คุณจะมีความทุกข์ ในพื้นที่ตรงนี้ ผมอนุญาตให้คุณยอมรับตัวเองว่าทุกข์ ทุกคนจะรีบปัดความทุกข์ของคุณ แต่ผมจะให้เวลาคุณเสียใจอยู่กับผมและผมให้เกียรติความทุกข์ทนในใจที่คุณพบเจอมา ถ้ามันหนักจนอยากจะร้องไห้ก็ร้องออกมาเลย จำไว้เถอะว่าน้ำตามีเพื่อปลดปล่อยทุกข์ และสุดท้ายน้ำตานั้นจะแห้งเหือดหายไป ไม่ว่าคุณรู้สึกอย่างไร ผมอยู่ข้างคุณ มันจะเจ็บมาก เจ็บมากเมื่อคุณยอมรับว่าตัวเองเสียใจ และจะยิ่งเจ็บมากเนื่องจากคุณปฏิเสธความทุกข์มานาน ยิ่งนานก็เหมือนคุณกำลังเหยียบคันเร่ง อัตราเร่งคุณเร่งไปเรื่อย ๆ ปฏิเสธความทุกข์มานานเท่าไหร่ความเร่งก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งคุณกล้าที่จะดริฟเข้าไปหากำแพงที่ชื่อความจริง ชนมันตรง ๆ ยอมรับมันตรงๆ คุณจะร้องไห้ผสมกับสำลักน้ำตาด้วยความเจ็บที่คุณหลีกหนีมาโดยตลอด เมื่อรถแห่งความโหยหาชนเข้ากำแพง รถของคุณก็จะถูกบังคับให้หยุดลงไปเอง รถยนต์แห่งความโหยหาของคุณจะถูกหยุดลงที่กำแพงนั้น กระจกแตก กันชนพัง แต่คุณไม่ต้องขับรถนั้นอีกต่อไปแล้ว คุณออกมาก้าวเดินต่อด้วยตัวเอง คุณจะพบว่าความโหยหาไม่ได้หายไปเพราะคุณเลือกที่จะเหยียบเบรกด้วยตัวเอง ความโหยหาไม่ได้หายไปคำพูดแบบว่ามูฟออนเถอะมึง ความโหยหาไม่ได้หายไปจากการวิ่งเข้าใส่ความสัมพันธ์ใหม่ทันทีหลังจากเลิกรา ความโหยหาไม่ได้หายไปจากการคิดหาเหตุผลในเรื่องที่ไม่มีเหตุผลแต่แรกว่าทำไมเขาถึงจากไป คุณไม่ต้องทำอะไรกับความคิดถึงความโหยหา คุณไม่ต้องบอกตัวเองว่าจะเลิกคิดถึงเขา การมูฟออนไม่ใช่เรื่องที่คุณเลือกความคิดตัวเองได้ว่าจะต้องคิดอย่างไรถึงจะมูฟออนได้ จนกว่าคุณจะวิ่งเข้าหาความจริง คุณจะถูกความจริงบีบบังคับให้คุณมูฟออนได้โดยปริยาย ความโหยหาของคุณหายไปเพราะคุณถูกบังคับให้ชนกำแพงความจริงจนรถของคุณพังจนขับต่อไม่ได้อีกแล้ว รถยนต์แห่งความโหยหาอดีตจะจบอยู่แค่ตรงนั้น จงยืดตัวตรง อกผาย ไหล่ผึ่ง จงกล้า จนชนมัน จงเจ็บและยอมรับมัน รับผิดชอบตัวเอง นี่คือกลไกที่แท้จริงของการมูฟออน ผมว่าคุณผู้อ่านที่แสนน่ารักก็คงใจชื้นขึ้นมาอยู่บ้าง หลังจากที่ผมบอกว่าผมให้เกียรติความทุกข์ของคุณ ผมเชื่ออย่างยิ่งว่าถ้าเพียงแค่เราใจกล้าที่จะชนปัญหามากกว่านี้ กล้าที่จะชนมากกว่านี้ คนที่จะเจ็บในความสัมพันธ์เพราะอีกฝ่ายลืมคนรักเก่าไม่ได้ ก็คงไม่มี พวกเขาเหล่านั้นมีคนเดียวบนโลก และเขาไม่สมควรถูกแทนที่ใครในความคิดอีกฝ่าย พวกเขาควรเกิดมาที่จะได้รับความรักบริสุทธิ์ พวกเขาเหล่านั้นไม่สมควรเลยที่จะต้องใช้ชีวิตภายใต้การแบกรับความทุกข์ที่เกิดจากความไม่รับผิดชอบสภาพจิตใจของคนที่โหยหาคนเก่า ขอให้คุณเจอกับความรัก ที่คุณไม่ได้ให้เขาแทนที่ใคร ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่ได้ใช้คุณแทนที่ใครอีกคนเช่นกัน อ่านจนจบเลยนะครับ คุณน่ารักกับผมขนาดนี้ ขอให้โลกน่ารักกับคุณบ้าง อย่าลืมยืดตัวตรง ขอบคุณครับ ผมรักคุณนะ image
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 6 months ago
ไอ่เหี้ยรำคาญ คนเราเป็นนั่นเป็นนี่เพราะเฟียตๆๆๆๆๆหรือเปล่า เออ ใช่ ถูก เพราะเฟียต แต่ที่เป็นปัญหาอีกเรื่องคือมันแค่ระดับปัจเจกแม่งเลือกที่จะไร้ความรับผิดชอบต่อตัวเองเว่ย คือนอกจากเฟียตแม่งจะบูลชิทจริงๆ มึงหัดโทษตัวเองบ้างก็ได้
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 7 months ago
' มนุษย์นั้นมีความงามทางศีลธรรมอยู่ในใจมาตั้งแต่แรก ทำไมยังต้องคิดทฤษฎีมากมายเพื่อทำลายความดีนั้น ' #siamstr *ไม่ได้ใช้ AI เขียน* นี่คือ 1 ในประเด็นที่จับได้ในงานของ ฟีโอดอร์ ดอสโตเยสกี - อาชญากรรมกับการลงทัณฑ์ ทั้งชีวิตของผม Verified มาแล้วว่าในแง่การถือครองทรัพยากร มนุษย์เข้ากันได้กับ Natural Right ที่สุด คือสิทธิในทรัพย์สินเพื่อตัวเอง สิทธิในร่างกายเพื่อตัวเองเช่นกัน เรียกรวมกันได้ว่ามนุษย์มีสิทธิ์ในชีวิตของตน ผู้ใดจะพรากมาไม่ได้ ก็เรียกได้ว่ามันเป็นแนวคิดหรอ มันก็เรียกได้ว่าเป็นแนวคิดเพราะ จอห์น ล็อค เสนอ แต่ผมว่ามันเหนือกว่าแนวคิด เพราะมนุษย์ทุกคนก็ต่างยอมรับในสิทธิ์ตามธรรมชาตินี้ เพราะมันแฟร์กับชีวิตที่สุด ผมจึงขอเกี่ยวโยงว่าสิทธิตามธรรมชาติโดยที่ต้องเน้นย้ำเรื่องการเคารพสิทธิในชีวิตของกันและกันในสังคม คือ การยึดถือมั่นอย่างแท้จริงว่าเราจะไม่ฆ๋ากันและกัน มันคือความงามทางศีลธรรมที่อยู่ในใจมนุษย์ ( ปกติ )มาตั้งแต่แรก มนุษย์เราเลยใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อพัฒนาตัวเอง เพื่อสะสมความมั่งคั่ง แต่อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ไม่ว่าคุณจะยกว่าเป็นเพราะระบบเงินเฟียต เป็นเพราะรัฐบาล เป็นเพราะความเหลื่อมล้ำ เป็นเพราะช่วงที่เกิดเหตุการณ์ในวรรณกรรมนี้มันเป็นช่วงเลิกทาสในรัสเซีย นานาจิตตังหลายเหตุผลนั่นแหละ จะเหตุผลใด คนจนก็ยังมีอยู่ในสังคม. คนจนคนนั้นคือราสโคลนิคอฟ ตัวเอกในวรรณกรรมเรื่อง อาชญากรรมกับการลงทัณฑ์ เขาเป็นนักเรียนกฎหมาย ในขณะเดียวกันก็เป็นนักคิดที่เก่ง. ความจนมันน่ากลัว ดังว่า อกหักเรื่องเล็ก ไม่มีแม้สักโกเป็กมันเรื่องใหญ่ หากไปตามอ่านรีวิวเรื่องย่อ ก็คงเล่าแบบดาด ๆ ว่าราสโคลนิคอฟทนความจนไม่ได้ เลยต้องไปฆ่าหญิงชราเจ้าของร้านรับจำนำ แต่ผมอยากจะชวนคุยถึงรายละเอียดที่เป็นประเด็นในวรรณกรรมเรื่องนี้ต่างหาก คือการปลิดชีวิตใครบางคนทิ้ง มันเป็น 1 ในบาปที่น่ากลัวที่สุดมากเลยนะ. สังคมคนเราทุกยุคทุกสมัยมีการนอกใจ มีการโกหก เป็นบาปส่วนใหญ่ในสังคมที่ทุกวันนี้แทบจะมองกันว่าเป็นเรื่องปกติ แต่การปลิดชีวิตคน มันหนักหนาที่สุดจริง ๆ ผมว่าผมมองเห็นบางสิ่งที่เหมือนกันระหว่างราสโคลนิคอฟ กับตัวเอกในความฝันของคนไร้สาระ ทั้งสองเหมือนกัน คือต้องการปลิดชีวิต. ราสโคลนิคอฟต้องการปลิดชีวิตหญิงชราเพราะมองเธอเป็นหมัดแมงที่ไม่สลักสำคัญ ส่วนตัวเอกในความฝันของคนไร้สาระ ต้องการปลิดชีวิตตนเอง เพราะเชื่อว่าตนเองไม่สลักสำคัญ. เอาละมี 2 ประเด็นย่อยให้เราเห็น คือ /เราเอาเกณฑ์อะไรตัดสินว่าชีวิตใครมีความสลักสำคัญมากน้อยแค่ไหน / กับ / ราสโคลนิคอฟกับตัวเอกในความฝันของคนไร้สาระ แม่งคิดกันนานมาก คิดกันนานชิบหายตามประสาวรรณกรรมรัสเซีย คือก่อนที่มึงจะบ้าทำอะไรห่าม ๆ ทำอะไรที่แม่งเป็นบาป มึงจะคิดแล้วคิดอีก ซัฟเฟอร์จนบรรยายออกมาได้1-2หน้ากระดาษ/ และสุดท้ายทั้งสองก็ตัดสินใจทำลงไป ตัดสินใจปลิดชีพ กลับมามองที่ราสโคลนิคอฟกันดีกว่า ผมจะพยายามยกเหตุผลล้านแปดประการมาอธิบายว่าทำไมต้องถึงกับปลิดชีวิตหญิงบริสุทธิ์ให้ตายเลยเหรอ ความยากจนคงจะเป็นเหตุที่ทำให้เขาก่อเกิดความคิดวิปลาศขึ้นมา ราสโคลนิคอฟเขียนบทความลงวารสาร เกี่ยวกับคนสองประเภท ประเภทแรก คือประเภทพวกอนุรักษ์นิยม พวกนี้จะเชื่อโลกเก่ารวมถึงศีลธรรมแล้วทำตาม ๆ กันมา จึงไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมากนัก แต่เพราะความที่อยู่แต่กับโลกเก่านี้เอง มันจึงขัดกับความก้าวหน้า อันซึ่งนั่นคือประเภทที่สอง ประเภทที่คิดว่าตัวเองเป็นคนพิเศษกว่าใคร ก้าวหน้าไปเสียทุกอย่าง ประเภทที่ว่าเราจำเป็นต้องทำบางอย่างเพื่อที่จะนำไปสู่ความก้าวหน้าในสังคม นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ ผมว่าผมมองไอเดียของดอสโตเยสกีออกว่า ในความหัวก้าวหน้ามันไม่มีลิมิตแบบที่พวกอนุรักษ์นิยมมันลิมิตเอาไว้ ไม่ว่าแม้คุณจะเป็นคนหัวประเภทไหน ๆ ก็ตาม ผมรู้ว่าคุณก็อยากให้โลกมันดีขึ้น. แต่คนประเภทที่สองที่ยกยอความก้าวหน้าตามที่ผมกล่าว ลิมิตของศีลธรรมของคนพวกนี้อยู่ไหนกัน ? หากการค้นพบของนิวตันจำเป็นต้องแลกด้วยชีวิตคน 1 คน ร้อยคนก็ต้องแลกไปสิ ในเมื่อการค้นพบของนิวตันมันยิ่งใหญ่และช่วยเหลือคนอีกเป็นล้านคนบนโลกได้ ( ยกมาจากโคว้ตในหนังสือ ). เพราะงั้นดอสโตเยสกีจึงให้ราสโคลนิคอฟเป็นตัวแทนของคนประเภทที่สอง คนพิเศษคนนั้น คนพิเศษที่จะไม่อยู่ภายใต้ศีลธรรมจากพวกโลกเก่าอีกต่อไป คนพิเศษที่ยอมทำทุกอย่างเพื่ออรรถประโยชน์ ไม่ว่าจะแลกด้วยการหลั่งเลือดก็ตาม นั่นก็เป็นเพียงความคิดอันตรายในหัวของราสโคลนิคอฟ จนกระทั่งจุดกระแทกแรงก็มาถึง ดูเนีย น้องสาวของราสโคลนิคอฟกำลังจะแต่งงานกับเจ้าลูชิน ปีเตอร์ เปโตรวิช. ราสโคลนิคอฟมองเจ้าลูชินออกตั้งแต่หัวจรดตีนว่าไอ่นี่ แม่งเหี้ย555555. แม่งคือจอม gaslight / manipulating มาก ถามว่าเหี้ยขนาดไหนคือมันอยากจับดูเนียที่ยากจนมาเป็นภรรยา เพื่อที่จะให้ดูเนียซาบซึ้งในใจเจ้าลูชินว่าเป็นผู้มาโปรด เพราะลูชินมันมีกะตัง. ราสโคลนิคอฟโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขาน้อยใจในทรัพย์สินที่ตนมีน้อยจนทำให้น้องสาวเขาต้องขายตัวเองเพื่อค้ำชูครอบครัว ประกอบกับทฤษฎีคนพิเศษในหัวเขาก็มีอยู่แล้ว นี่ยังไม่รวมว่าวันก่อนเขาเพิ่งไปกินเหล้าแล้วไปเจอเจ้ามาร์มาเดลอฟเล่าชีวิตอันแสนรันทด " สิ้นจนหนทาง " ระดับที่ว่าฟรีไมค์ได้ 4 - 5 หน้ากระดาษ. นั่นแหละทุกอย่างมันประเดประดังทำให้ราสโคลนิคอฟรู้สึก *สิ้นจนหนทาง* จริง ๆ. จนเขาตัดสินใจวางแผนเป็นอย่างดี เพื่อไปปลิดชีพหญิงชราคนนั้น คือมันคิดผิด คิดเข้าข้างตัวเอง คิดหาเหตุผลร้อยแปดประการเพื่อมาสนับสนุนทฤษฎีคนพิเศษของตัวเอง นอกจากนี้ในท้ายเล่มเขายังเปรียบเปรยอีกว่าการกระทำของเขาไม่ต่างจากนโปเลียนหรอก นโปเลียนผู้คร่าชีวิตคนในสงครามนับไม่ถ้วน ยังได้รับการสรรเสริญ . แล้วทำไมเขาผู้ซึ่งปลิดชีพหญิงชราที่ทำตัวไร้สาระรอวันตายไปวัน ๆ เป้นเพียงหมัดแมง. ทำไมเขาจะปลิดชีพเธอไม่ได้. เขาควรได้รับการสรรเสริญเหมือนนโปเลียนสิ. แต่เขาคงลืมไป เขาไม่ได้เป็นผู้คุมอำนาจดังนโปเลียน ผลคือ แน่นอนว่า แม่ง ไม่ได้เป็นแบบที่แม่งมโนไว้เลย ช้ำใจอีกคืออย่างที่ผมพูดไว้คำแรก มนุษย์แม่งเข้ากันได้กับศีลธรรมสูงสุดในใจอยู่แล้วเว้ยว่าการฆ๋าคนเนี่ย แม่งผิด จากตอนแรกที่ราสโคลนิคอฟจะบ้าแหล่ไม่บ้าแหล่ แม่งยิ่งดูเหมือนคนบ้าไปอีก เดี๋ยวโกรธเดี๋ยววีนเดี๋ยวอยากอยู่คนเดียว อาชญากรรมเกิดขึ้นแล้ว การลงทัณฑ์ได้เกิดขึ้นแล้ว การลงทัณฑ์ได้เกิดขึ้นในใจเขา เขารู้สึกผิด เขาอยากหนี เขาไม่อยากยอมรับโทษ สิ่งที่ตอกย้ำให้ราสโคลนิคอฟหลุดโลกไปอีกคือ พอมันรู้สึกผิดมันก็เลื่อนลอย พอเลื่อนลอยแม่งก็ไปหาเพื่อนสมัยเรียนชื่อ ดมิตรี หรือ รัสซูมิฮิน เจริญเถอะพอทักดมิตรี ดมิตรีบอก มึงมาทำงานแปลหนังสือเป็นเพื่อนกูหน่อย เนี่ยมีค่าจ้างให้ด้วยนะ . ซ้ำไปกว่านั้นวันถัดมา ดูเนียกับแม่ได้เข้ามาเยี่ยมราสโคลนิคอฟถึงห้อง พร้อมกับพกสตางค์มาให้ราสโคลนิคอฟด้วย จำกันได้ไหมว่าราสโคลนิคอฟตัดสินใจฆ่าหญิงชราเพราะหมดสิ้นหนทาง คือจริง ๆ มึงไม่ต้องการฆ่าคน แต่มึงต้องการเงิน และการได้เงินมา มึงไม่ต้องฆ่าคนก็ได้มั้ย... แล้วดูสิ ? หลังจากอาชญากรรมได้กำเนิดขึ้นแล้ว เขากลับยังเห็นว่าโลกใบนี้แม่งยังมีโอกาสให้เขาอยู่. ไอ่ความรู้สึกหมดสิ้นหนทางเนี่ยมันหมดสิ้นจริง ๆ หรอ ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ หนทางมันไม่หายไปไหนหรอก. คนที่สิ้นหนทางจริง ๆ คือหญิงชราที่กำลังจะตายเพราะโดนคนอย่างนายเอาขวานจามใส่ไม่ยั้งเนี่ยแหละราสโคลนิคอฟ "คงจะดีถ้าไม่รักใคร และไม่มีใครรัก" นี่คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นในช่วงท้าย ๆ ของเรื่องที่เกิดกับราสโคลนิคอฟ อันเนื่องจาก ดิมิตรี ดูเนีย แม่ โซเนีย ( ลูกของมาร์มาเดลอฟ ) คนพวกนี้เป็นห่วงราสโคลนิคอฟมาก เพราะคนที่รู้สึกผิดแม่งพฤติกรรมมึงเหมือนคนหลุดตลอดเวลาอะ จริง ๆ ราสโคลนิคอฟอาจจะไม่หลุดขนาดนี้ ถ้าเกิดเขาถือตัวเองเป็นคนประเภทที่สองจริง ๆ แต่อย่างที่ผมบอก มนุษย์มันมีความงามทางศีลธรรมในใจมากที่สุดอยู่แล้ว... และความเป็นห่วงเป็นใย ความรักจากคนรอบข้างโดยเฉพาะจากโซเนียนี่แหละที่ทำให้เขาเริ่มคิดได้ แต่จุดแตกหักที่ทำให้เขาคิดได้มากจริง ๆ คือการมอบตัวของนิโคไล คือ ตำรวจแม่งหาทำใส่ร้ายผิดคน นิโคไลเลยโดนจิตวิทยาของพัคเฟรี่เล่นงานจนมึน คิดว่าตัวเองเป็นฆาตกร เฉย และจุดแตกหักสำคัญคือ อาร์อาดี้ สะเวียดริกายลอฟ สะเวียดริกายลอฟคือ คนที่เคยแอบชอบ ดูเนีย น้องสาวของราสโคลนิคอฟก็แล้วกัน เรื่องสั้น ๆ คือมันชอบดูเนียม้าก มาก มันเลยวางยาพิษมาร์ตาตอฟน่า ภรรยาของตน เพื่อที่จะเอาดูเนียทำเมียแทน . ในเรื่องเราจะได้เห็นการประชันฝีปากระหว่างสะเวียดริกายลอฟ กับ ราสโคลนิคอฟ เมื่ออาชญากรผู้ทำผิดคือการปลิดชีพคนเช่นกันได้มาคุยกัน แต่ผลลัพธ์กลับต่างออกไป ในตอนที่ราสโคลนิคอฟทนไม่ไหวจนไปสถานีตำรวจ กำลังจะมอบตัว แต่แล้วใจดันปอดขึ้นมา เขากลับได้ยินเสมียนคุยกันว่า เมื่อคืนมีข่าวสะเวียดริกายลอฟยิงตัวตาย เมื่อพวกเขาทั้งสอง ไม่ใช่คนพิเศษที่มีอภิสิทธิ์เหนือชีวิตคนอื่น อย่างที่พวกเขาคิด จำต้องทนกับความรู้สึกผิดไปตลอด ทางเลือกที่จะหนีความรู้สึกผิดนี้ ไม่มอบตัว ก็ปลิดชีพตนเอง เพื่อจะได้ไม่รู้สึกผิดอีกต่อไป สะเวียดริกายลอฟ เลือกจะหนี ราสโคลนิคอฟ เลือกจะยอมรับ เมื่อราสโคลนิคอฟยอมรับ การลงทัณฑ์ทางกฎหมายก็เริ่มต้นขึ้นจริง ๆ เขาถูกส่งไปที่คุกไซบีเรีย แต่จะว่าไปแล้วมันมีนัยยะแอบแฝง กับคำว่า ลงทัณฑ์ ผมเล่นเกมจนเกรดตก พ่อผมลงโทษผม ล็อคคอมไม่ให้เล่นเกม 1 เทอม ผมโดนลงโทษ แต่สิ่งที่ผมได้กลับมาคือเวลาอ่านหนังสือ จนกลับมาเรียนเก่งได้อีกครั้ง ราสโคลนิคอฟถูกลงทัณฑ์ แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่เปลี่ยนความคิดตัวเอง เขาก็ยังดื้อด้าน คิดว่าเพราะเขาไม่ได้เป็นผู้คุมอำนาจดังนโปเลียน เลยมีข้อจำกัดให้เขายังเป็นคนพิเศษตามทฤษฎีของเขาไม่ได้ แต่จุดพลิกผันก็คงตอนที่โซเนียไปเยี่ยมเขาที่คุก ไม่รู้ว่าตั้งแต่ตอนไหน แต่เขาเองก็เริ่มมีความรู้สึก รัก กลับมาในหัวใจ ถ้าแค่รู้จัก รัก เสียแต่แรก ก็คงไม่มีความคิดที่อยากจะปลิดชีพใครหรอก ความรู้สึกของราสโคลนิคอฟก็คงจะท่วมท้นมาก ผลสัมฤทธิ์จากการลงทัณธ์ นัยยะมันอยู่ในฉากนี้เอง คนเราต้องโทษลงโทษเพื่อให้ได้ตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีกว่าเดิมกลับมา มันคือการนำข้อผิดพลาดในอดีดกลับมาพัฒนาตัวเอง นั่นคือฉากที่ราสโคลนิคอฟตัดสินใจหยิบไบเบิ้ลในใต้หมอนออกมาอ่าน แสงสว่างจะถูกจุดขึ้นมาใหม่ ในใจอาชญากรคนนี้อีกครั้ง //// แต่จะว่าไป ผมว่าไอ่ทั้งเรื่องเนี้ยมันสะท้อนชีวิตของดอสโตเยสกีทั้งนั้นแหละ ก็แต่ก่อนที่ดอสโตเยสกีเคยเป็น 1 ในขบวนการหัวรุนแรงฝ่ายซ้าย เขาก็ต้องมีแนวคิดคนพิเศษตามทฤษฎีของราสโคลนิคอฟนั่นแหละ เขาคิดว่าการเป็นนักสังคมนิยม มันคือคนพิเศษที่ยิ่งใหญ่กว่าชาวบ้าน คือคนพิเศษมีที่มีสิทธิ์ในการพรากทรัพย์สิน ชีวิต ของคนบางคนในสังคม เพื่อแลกกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ( เพื่อ *สังคม* ) กลับมา แต่พอโดนการลงทัณฑ์จากพระเจ้าซาร์ ก็เลยกลับตัวกลับใจได้ที่ไซบีเรียในที่สุด //// ไม่ต้องไปพูดถึงว่าคนเราควรจะเป็นซ้ายหรือเป็นขวาหรอก ขอแค่รักษาศีลธรรมอันสูงส่งในใจเราไว้ก็พอ ขอแค่ไม่หาข้ออ้างมากมาย มาหักล้างความดีในใจ ก็ พอ ขอบคุณครับ image
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 7 months ago
' มนุษย์นั้นมีความงามทางศีลธรรมอยู่ในใจมาตั้งแต่แรก ทำไมยังต้องคิดทฤษฎีมากมายเพื่อทำลายความดีนั้น ' #siamstr *ไม่ได้ใช้ AI เขียน* นี่คือ 1 ในประเด็นที่จับได้ในงานของ ฟีโอดอร์ ดอสโตเยสกี - อาชญากรรมกับการลงทัณฑ์ ทั้งชีวิตของผม Verified มาแล้วว่าในแง่การถือครองทรัพยากร มนุษย์เข้ากันได้กับ Natural Right ที่สุด คือสิทธิในทรัพย์สินเพื่อตัวเอง สิทธิในร่างกายเพื่อตัวเองเช่นกัน เรียกรวมกันได้ว่ามนุษย์มีสิทธิ์ในชีวิตของตน ผู้ใดจะพรากมาไม่ได้ ก็เรียกได้ว่ามันเป็นแนวคิดหรอ มันก็เรียกได้ว่าเป็นแนวคิดเพราะ จอห์น ล็อค เสนอ แต่ผมว่ามันเหนือกว่าแนวคิด เพราะมนุษย์ทุกคนก็ต่างยอมรับในสิทธิ์ตามธรรมชาตินี้ เพราะมันแฟร์กับชีวิตที่สุด ผมจึงขอเกี่ยวโยงว่าสิทธิตามธรรมชาติโดยที่ต้องเน้นย้ำเรื่องการเคารพสิทธิในชีวิตของกันและกันในสังคม คือ การยึดถือมั่นอย่างแท้จริงว่าเราจะไม่ฆ๋ากันและกัน มันคือความงามทางศีลธรรมที่อยู่ในใจมนุษย์ ( ปกติ )มาตั้งแต่แรก มนุษย์เราเลยใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อพัฒนาตัวเอง เพื่อสะสมความมั่งคั่ง แต่อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ไม่ว่าคุณจะยกว่าเป็นเพราะระบบเงินเฟียต เป็นเพราะรัฐบาล เป็นเพราะความเหลื่อมล้ำ เป็นเพราะช่วงที่เกิดเหตุการณ์ในวรรณกรรมนี้มันเป็นช่วงเลิกทาสในรัสเซีย นานาจิตตังหลายเหตุผลนั่นแหละ จะเหตุผลใด คนจนก็ยังมีอยู่ในสังคม. คนจนคนนั้นคือราสโคลนิคอฟ ตัวเอกในวรรณกรรมเรื่อง อาชญากรรมกับการลงทัณฑ์ เขาเป็นนักเรียนกฎหมาย ในขณะเดียวกันก็เป็นนักคิดที่เก่ง. ความจนมันน่ากลัว ดังว่า อกหักเรื่องเล็ก ไม่มีแม้สักโกเป็กมันเรื่องใหญ่ หากไปตามอ่านรีวิวเรื่องย่อ ก็คงเล่าแบบดาด ๆ ว่าราสโคลนิคอฟทนความจนไม่ได้ เลยต้องไปฆ่าหญิงชราเจ้าของร้านรับจำนำ แต่ผมอยากจะชวนคุยถึงรายละเอียดที่เป็นประเด็นในวรรณกรรมเรื่องนี้ต่างหาก คือการปลิดชีวิตใครบางคนทิ้ง มันเป็น 1 ในบาปที่น่ากลัวที่สุดมากเลยนะ. สังคมคนเราทุกยุคทุกสมัยมีการนอกใจ มีการโกหก เป็นบาปส่วนใหญ่ในสังคมที่ทุกวันนี้แทบจะมองกันว่าเป็นเรื่องปกติ แต่การปลิดชีวิตคน มันหนักหนาที่สุดจริง ๆ ผมว่าผมมองเห็นบางสิ่งที่เหมือนกันระหว่างราสโคลนิคอฟ กับตัวเอกในความฝันของคนไร้สาระ ทั้งสองเหมือนกัน คือต้องการปลิดชีวิต. ราสโคลนิคอฟต้องการปลิดชีวิตหญิงชราเพราะมองเธอเป็นหมัดแมงที่ไม่สลักสำคัญ ส่วนตัวเอกในความฝันของคนไร้สาระ ต้องการปลิดชีวิตตนเอง เพราะเชื่อว่าตนเองไม่สลักสำคัญ. เอาละมี 2 ประเด็นย่อยให้เราเห็น คือ /เราเอาเกณฑ์อะไรตัดสินว่าชีวิตใครมีความสลักสำคัญมากน้อยแค่ไหน / กับ / ราสโคลนิคอฟกับตัวเอกในความฝันของคนไร้สาระ แม่งคิดกันนานมาก คิดกันนานชิบหายตามประสาวรรณกรรมรัสเซีย คือก่อนที่มึงจะบ้าทำอะไรห่าม ๆ ทำอะไรที่แม่งเป็นบาป มึงจะคิดแล้วคิดอีก ซัฟเฟอร์จนบรรยายออกมาได้1-2หน้ากระดาษ/ และสุดท้ายทั้งสองก็ตัดสินใจทำลงไป ตัดสินใจปลิดชีพ กลับมามองที่ราสโคลนิคอฟกันดีกว่า ผมจะพยายามยกเหตุผลล้านแปดประการมาอธิบายว่าทำไมต้องถึงกับปลิดชีวิตหญิงบริสุทธิ์ให้ตายเลยเหรอ ความยากจนคงจะเป็นเหตุที่ทำให้เขาก่อเกิดความคิดวิปลาศขึ้นมา ราสโคลนิคอฟเขียนบทความลงวารสาร เกี่ยวกับคนสองประเภท ประเภทแรก คือประเภทพวกอนุรักษ์นิยม พวกนี้จะเชื่อโลกเก่ารวมถึงศีลธรรมแล้วทำตาม ๆ กันมา จึงไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมากนัก แต่เพราะความที่อยู่แต่กับโลกเก่านี้เอง มันจึงขัดกับความก้าวหน้า อันซึ่งนั่นคือประเภทที่สอง ประเภทที่คิดว่าตัวเองเป็นคนพิเศษกว่าใคร ก้าวหน้าไปเสียทุกอย่าง ประเภทที่ว่าเราจำเป็นต้องทำบางอย่างเพื่อที่จะนำไปสู่ความก้าวหน้าในสังคม นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ ผมว่าผมมองไอเดียของดอสโตเยสกีออกว่า ในความหัวก้าวหน้ามันไม่มีลิมิตแบบที่พวกอนุรักษ์นิยมมันลิมิตเอาไว้ ไม่ว่าแม้คุณจะเป็นคนหัวประเภทไหน ๆ ก็ตาม ผมรู้ว่าคุณก็อยากให้โลกมันดีขึ้น. แต่คนประเภทที่สองที่ยกยอความก้าวหน้าตามที่ผมกล่าว ลิมิตของศีลธรรมของคนพวกนี้อยู่ไหนกัน ? หากการค้นพบของนิวตันจำเป็นต้องแลกด้วยชีวิตคน 1 คน ร้อยคนก็ต้องแลกไปสิ ในเมื่อการค้นพบของนิวตันมันยิ่งใหญ่และช่วยเหลือคนอีกเป็นล้านคนบนโลกได้ ( ยกมาจากโคว้ตในหนังสือ ). เพราะงั้นดอสโตเยสกีจึงให้ราสโคลนิคอฟเป็นตัวแทนของคนประเภทที่สอง คนพิเศษคนนั้น คนพิเศษที่จะไม่อยู่ภายใต้ศีลธรรมจากพวกโลกเก่าอีกต่อไป คนพิเศษที่ยอมทำทุกอย่างเพื่ออรรถประโยชน์ ไม่ว่าจะแลกด้วยการหลั่งเลือดก็ตาม นั่นก็เป็นเพียงความคิดอันตรายในหัวของราสโคลนิคอฟ จนกระทั่งจุดกระแทกแรงก็มาถึง ดูเนีย น้องสาวของราสโคลนิคอฟกำลังจะแต่งงานกับเจ้าลูชิน ปีเตอร์ เปโตรวิช. ราสโคลนิคอฟมองเจ้าลูชินออกตั้งแต่หัวจรดตีนว่าไอ่นี่ แม่งเหี้ย555555. แม่งคือจอม gaslight / manipulating มาก ถามว่าเหี้ยขนาดไหนคือมันอยากจับดูเนียที่ยากจนมาเป็นภรรยา เพื่อที่จะให้ดูเนียซาบซึ้งในใจเจ้าลูชินว่าเป็นผู้มาโปรด เพราะลูชินมันมีกะตัง. ราสโคลนิคอฟโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขาน้อยใจในทรัพย์สินที่ตนมีน้อยจนทำให้น้องสาวเขาต้องขายตัวเองเพื่อค้ำชูครอบครัว ประกอบกับทฤษฎีคนพิเศษในหัวเขาก็มีอยู่แล้ว นี่ยังไม่รวมว่าวันก่อนเขาเพิ่งไปกินเหล้าแล้วไปเจอเจ้ามาร์มาเดลอฟเล่าชีวิตอันแสนรันทด " สิ้นจนหนทาง " ระดับที่ว่าฟรีไมค์ได้ 4 - 5 หน้ากระดาษ. นั่นแหละทุกอย่างมันประเดประดังทำให้ราสโคลนิคอฟรู้สึก *สิ้นจนหนทาง* จริง ๆ. จนเขาตัดสินใจวางแผนเป็นอย่างดี เพื่อไปปลิดชีพหญิงชราคนนั้น คือมันคิดผิด คิดเข้าข้างตัวเอง คิดหาเหตุผลร้อยแปดประการเพื่อมาสนับสนุนทฤษฎีคนพิเศษของตัวเอง นอกจากนี้ในท้ายเล่มเขายังเปรียบเปรยอีกว่าการกระทำของเขาไม่ต่างจากนโปเลียนหรอก นโปเลียนผู้คร่าชีวิตคนในสงครามนับไม่ถ้วน ยังได้รับการสรรเสริญ . แล้วทำไมเขาผู้ซึ่งปลิดชีพหญิงชราที่ทำตัวไร้สาระรอวันตายไปวัน ๆ เป้นเพียงหมัดแมง. ทำไมเขาจะปลิดชีพเธอไม่ได้. เขาควรได้รับการสรรเสริญเหมือนนโปเลียนสิ. แต่เขาคงลืมไป เขาไม่ได้เป็นผู้คุมอำนาจดังนโปเลียน ผลคือ แน่นอนว่า แม่ง ไม่ได้เป็นแบบที่แม่งมโนไว้เลย ช้ำใจอีกคืออย่างที่ผมพูดไว้คำแรก มนุษย์แม่งเข้ากันได้กับศีลธรรมสูงสุดในใจอยู่แล้วเว้ยว่าการฆ๋าคนเนี่ย แม่งผิด จากตอนแรกที่ราสโคลนิคอฟจะบ้าแหล่ไม่บ้าแหล่ แม่งยิ่งดูเหมือนคนบ้าไปอีก เดี๋ยวโกรธเดี๋ยววีนเดี๋ยวอยากอยู่คนเดียว อาชญากรรมเกิดขึ้นแล้ว การลงทัณฑ์ได้เกิดขึ้นแล้ว การลงทัณฑ์ได้เกิดขึ้นในใจเขา เขารู้สึกผิด เขาอยากหนี เขาไม่อยากยอมรับโทษ สิ่งที่ตอกย้ำให้ราสโคลนิคอฟหลุดโลกไปอีกคือ พอมันรู้สึกผิดมันก็เลื่อนลอย พอเลื่อนลอยแม่งก็ไปหาเพื่อนสมัยเรียนชื่อ ดมิตรี หรือ รัสซูมิฮิน เจริญเถอะพอทักดมิตรี ดมิตรีบอก มึงมาทำงานแปลหนังสือเป็นเพื่อนกูหน่อย เนี่ยมีค่าจ้างให้ด้วยนะ . ซ้ำไปกว่านั้นวันถัดมา ดูเนียกับแม่ได้เข้ามาเยี่ยมราสโคลนิคอฟถึงห้อง พร้อมกับพกสตางค์มาให้ราสโคลนิคอฟด้วย จำกันได้ไหมว่าราสโคลนิคอฟตัดสินใจฆ่าหญิงชราเพราะหมดสิ้นหนทาง คือจริง ๆ มึงไม่ต้องการฆ่าคน แต่มึงต้องการเงิน และการได้เงินมา มึงไม่ต้องฆ่าคนก็ได้มั้ย... แล้วดูสิ ? หลังจากอาชญากรรมได้กำเนิดขึ้นแล้ว เขากลับยังเห็นว่าโลกใบนี้แม่งยังมีโอกาสให้เขาอยู่. ไอ่ความรู้สึกหมดสิ้นหนทางเนี่ยมันหมดสิ้นจริง ๆ หรอ ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ หนทางมันไม่หายไปไหนหรอก. คนที่สิ้นหนทางจริง ๆ คือหญิงชราที่กำลังจะตายเพราะโดนคนอย่างนายเอาขวานจามใส่ไม่ยั้งเนี่ยแหละราสโคลนิคอฟ "คงจะดีถ้าไม่รักใคร และไม่มีใครรัก" นี่คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นในช่วงท้าย ๆ ของเรื่องที่เกิดกับราสโคลนิคอฟ อันเนื่องจาก ดิมิตรี ดูเนีย แม่ โซเนีย ( ลูกของมาร์มาเดลอฟ ) คนพวกนี้เป็นห่วงราสโคลนิคอฟมาก เพราะคนที่รู้สึกผิดแม่งพฤติกรรมมึงเหมือนคนหลุดตลอดเวลาอะ จริง ๆ ราสโคลนิคอฟอาจจะไม่หลุดขนาดนี้ ถ้าเกิดเขาถือตัวเองเป็นคนประเภทที่สองจริง ๆ แต่อย่างที่ผมบอก มนุษย์มันมีความงามทางศีลธรรมในใจมากที่สุดอยู่แล้ว... และความเป็นห่วงเป็นใย ความรักจากคนรอบข้างโดยเฉพาะจากโซเนียนี่แหละที่ทำให้เขาเริ่มคิดได้ แต่จุดแตกหักที่ทำให้เขาคิดได้มากจริง ๆ คือการมอบตัวของนิโคไล คือ ตำรวจแม่งหาทำใส่ร้ายผิดคน นิโคไลเลยโดนจิตวิทยาของพัคเฟรี่เล่นงานจนมึน คิดว่าตัวเองเป็นฆาตกร เฉย และจุดแตกหักสำคัญคือ อาร์อาดี้ สะเวียดริกายลอฟ สะเวียดริกายลอฟคือ คนที่เคยแอบชอบ ดูเนีย น้องสาวของราสโคลนิคอฟก็แล้วกัน เรื่องสั้น ๆ คือมันชอบดูเนียม้าก มาก มันเลยวางยาพิษมาร์ตาตอฟน่า ภรรยาของตน เพื่อที่จะเอาดูเนียทำเมียแทน . ในเรื่องเราจะได้เห็นการประชันฝีปากระหว่างสะเวียดริกายลอฟ กับ ราสโคลนิคอฟ เมื่ออาชญากรผู้ทำผิดคือการปลิดชีพคนเช่นกันได้มาคุยกัน แต่ผลลัพธ์กลับต่างออกไป ในตอนที่ราสโคลนิคอฟทนไม่ไหวจนไปสถานีตำรวจ กำลังจะมอบตัว แต่แล้วใจดันปอดขึ้นมา เขากลับได้ยินเสมียนคุยกันว่า เมื่อคืนมีข่าวสะเวียดริกายลอฟยิงตัวตาย เมื่อพวกเขาทั้งสอง ไม่ใช่คนพิเศษที่มีอภิสิทธิ์เหนือชีวิตคนอื่น อย่างที่พวกเขาคิด จำต้องทนกับความรู้สึกผิดไปตลอด ทางเลือกที่จะหนีความรู้สึกผิดนี้ ไม่มอบตัว ก็ปลิดชีพตนเอง เพื่อจะได้ไม่รู้สึกผิดอีกต่อไป สะเวียดริกายลอฟ เลือกจะหนี ราสโคลนิคอฟ เลือกจะยอมรับ เมื่อราสโคลนิคอฟยอมรับ การลงทัณฑ์ทางกฎหมายก็เริ่มต้นขึ้นจริง ๆ เขาถูกส่งไปที่คุกไซบีเรีย แต่จะว่าไปแล้วมันมีนัยยะแอบแฝง กับคำว่า ลงทัณฑ์ ผมเล่นเกมจนเกรดตก พ่อผมลงโทษผม ล็อคคอมไม่ให้เล่นเกม 1 เทอม ผมโดนลงโทษ แต่สิ่งที่ผมได้กลับมาคือเวลาอ่านหนังสือ จนกลับมาเรียนเก่งได้อีกครั้ง ราสโคลนิคอฟถูกลงทัณฑ์ แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่เปลี่ยนความคิดตัวเอง เขาก็ยังดื้อด้าน คิดว่าเพราะเขาไม่ได้เป็นผู้คุมอำนาจดังนโปเลียน เลยมีข้อจำกัดให้เขายังเป็นคนพิเศษตามทฤษฎีของเขาไม่ได้ แต่จุดพลิกผันก็คงตอนที่โซเนียไปเยี่ยมเขาที่คุก ไม่รู้ว่าตั้งแต่ตอนไหน แต่เขาเองก็เริ่มมีความรู้สึก รัก กลับมาในหัวใจ ถ้าแค่รู้จัก รัก เสียแต่แรก ก็คงไม่มีความคิดที่อยากจะปลิดชีพใครหรอก ความรู้สึกของราสโคลนิคอฟก็คงจะท่วมท้นมาก ผลสัมฤทธิ์จากการลงทัณธ์ นัยยะมันอยู่ในฉากนี้เอง คนเราต้องโทษลงโทษเพื่อให้ได้ตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีกว่าเดิมกลับมา มันคือการนำข้อผิดพลาดในอดีดกลับมาพัฒนาตัวเอง นั่นคือฉากที่ราสโคลนิคอฟตัดสินใจหยิบไบเบิ้ลในใต้หมอนออกมาอ่าน แสงสว่างจะถูกจุดขึ้นมาใหม่ ในใจอาชญากรคนนี้อีกครั้ง //// แต่จะว่าไป ผมว่าไอ่ทั้งเรื่องเนี้ยมันสะท้อนชีวิตของดอสโตเยสกีทั้งนั้นแหละ ก็แต่ก่อนที่ดอสโตเยสกีเคยเป็น 1 ในขบวนการหัวรุนแรงฝ่ายซ้าย เขาก็ต้องมีแนวคิดคนพิเศษตามทฤษฎีของราสโคลนิคอฟนั่นแหละ เขาคิดว่าการเป็นนักสังคมนิยม มันคือคนพิเศษที่ยิ่งใหญ่กว่าชาวบ้าน คือคนพิเศษมีที่มีสิทธิ์ในการพรากทรัพย์สิน ชีวิต ของคนบางคนในสังคม เพื่อแลกกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ( เพื่อ *สังคม* ) กลับมา แต่พอโดนการลงทัณฑ์จากพระเจ้าซาร์ ก็เลยกลับตัวกลับใจได้ที่ไซบีเรียในที่สุด //// ไม่ต้องไปพูดถึงว่าคนเราควรจะเป็นซ้ายหรือเป็นขวาหรอก ขอแค่รักษาศีลธรรมอันสูงส่งในใจเราไว้ก็พอ ขอแค่ไม่หาข้ออ้างมากมาย มาหักล้างความดีในใจ ก็ พอ ขอบคุณครับ image
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 7 months ago
#siamstr " ไอ่ยอด มึง อย่าทำแบบนั้น อายคน " " ทำไมมึงไม่ทำแบบนั้นวะ คนอื่นเขาก็ทำ " " มึงดูชิวนะ ทำไมไม่เครียดเหมือนคนอื่นเขา " " เกิดเรื่องแบบนั้นไม่เสียใจหรอ " ผมฟัง คิ้วขมวดเป็นซันจิ ตอบไปสั้น ๆ ว่า ' ก็กุสบายใจแบบนี่นิ ' . ผมนึกสงสัยมาน๊านนาน เคยคุยกับยูนะครั้งนึง เราคุยกันว่าทำไมทุกวันนี้ คนรุ่นเดียวกันถึงไม่มีความสุข ทำไมถึงขี้วีน ทำไมไม่ใจดีต่อกัน ทำไมซึมเศร้าเยอะ ยูนะกับผมเห็นพ้องตรงกันว่า แม้วัยรุ่นทุกวันนี้โหยหาเสรีภาพทางการเมือง แต่เขาไม่เคยโหยหาเสรีภาพที่ไร้พันธนาการจากคำตัดสินจากคนในสังคมเลย จะทำอะไรก็กลัวสังคมด่า จะทำอะไรก็กังวล เอาชีวิตตัวเองไป rely กับคำพูดที่ผ่านมาแล้วผ่านไป เอาง่าย ๆ คือกลัวว่า " งื้อ สังคมจะมองเรายังไง " จนไม่เป็นอันทำอะไร จนไม่เป็นตัวของตัวเอง. ( ทั้งที่เราอยู่กับตัวเองไปตลอดชีวิตนะ ) หนังสือนี้ผมได้รับจากพี่นิวเป็นของขวัญในวันรับกาวน์ ผมขอขอบคุณพี่นิวมาก ๆ จริง ๆ ครับ เล่มนี้เขียนโดยคนเกาหลี จริง ๆ ผมสังเกตมานานแล้วว่า ในประเทศที่ล้มเหลวในการหาความสุขเช่นเกาหลีเนี่ย ( โดยมากมักเกิดกับประเทศที่มี Identity crisis หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ) จะมีหนังสือ howto ค่อนข้างเยอะ เล่มนี้คือเล่มที่อธิบายสิ่งที่ผมคุยกับยูนะในคืนนั้นได้ทั้งหมด. แต่ใจความหลักคือดังนี้ #ไม่ได้ใช้AIเขียน . :ทุกวันนี้ เราใช้ชีวิตโดยค่านิยมว่าให้ฟังสังคม มากกว่า เสียงในใจตัวเอง: . เมื่อมีใครสักคนผิดแปลกไปจากสังคมแค่นิดเดียว ก็จะนำมาซึ่งโลกที่คอยจับผิดกัน ( ทำทำไม ) โลกจึงเต็มไปด้วยความความกังวล อิจฉา ความเย็นชา ปากหมา เหยียดหยาม ใจร้ายต่อกันและกัน ---- . ทีนี้เราไม่จำเป็นต้องกลายเป็น 1 ในสิ่งเลวร้าย เราไม่ต้องคอยจับผิดใคร เราสามารถเป็น 1 แสงความดีที่เกิดขึ้นในความมืดมิดนี้ได้ -- แค่ปิดหู เลิกฟังสังคม แล้วเริ่มฟังเสียงจากข้างในใจตัวเอง... จงฟัง ฟังแล้วคิด คิดแล้วจงเข้าใจ เมื่อเข้าใจ ก็ลองทำตามเสียงปราถนาในใจตัวเอง ใช้เวลาเรียนรู้ตัวเองบ้าง ; เริ่มใช้ชีวิตอยู่ = >เพื่อสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อตัวเอง นั่นคือเพื่อตัวของคุณเอง ; ไม่มีประโยชน์ที่ต้องเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นให้ใจเราทุกข์เปล่าๆ หันมาเปรียบเทียบแค่ตัวคุณในอดีต เทียบกับคุณในตอนนี้ คุณจะเห็นว่าแค่คุณเก่งกว่าตัวเองเมื่อวาน แค่นี้ความสุขก็เกิดขึ้นในใจแล้ว ทำให้คุณมีความสุขกับการพัฒนาตัวเองไปทุกวัน จนคุณพัฒนาตัวเองไปได้มาก โดยศักยภาพไม่ถูกจำกัดไว้ด้วยคำนินทา ไม่ถูกจำกัดไว้ด้วยคำตัดสินจากสังคม คุณจะพบว่าคุณโคตรเก่งและทำอะไรได้มากกว่าที่คุณคาดไว้ มากกว่าคำที่ตัดสินคุณที่ออกจากปากสังคมกรัง ๆ ที่เคยพูดกดคุณไว้เสียอีก . ไม่มีคนดีหรือคนที่มีสภาวะปกติที่ไหนจะตัดสินหรือพูดกดคนอื่นพร่ำเพรื่อหรอก . เมื่อหันกลับมาใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง คุณได้พัฒนาตัวเองและส่งต่อความดีอะไรให้โลกใบนี้ได้มากมาย. แต่คนที่ยังสนุกกับการด่าและตัดสินคนอยู่ทุกวัน ผ่านไป10ปี เขาก็ยังทำแบบนั้น และไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเหมือนเดิม คุณจึงได้เข้าใจว่า ยิ่งคุณมัวแต่หวาดกลัวคำตัดสินจากสังคม ที่ก็ไม่เห็นว่ามันจะเก่งตรงไหนนอกจากปาก รังแต่จะทำให้คุณพลาดโอกาส เสียเวลาในการพัฒนาชีวิตตัวเอง เสียเวลาที่จะมีความสุขด้วยตัวเอง ที่น่าจะทำได้ตั้งนานแล้ว เมื่อใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง ความรักบริสุทธิ์ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นในใจคุณ คุณจะดึงดูดคนที่ใช้ชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง และมีรักบริสุทธิ์นั้นไว้เหมือนกัน เมื่อนั้นความรักก็ไม่ใช่เรื่องยาก คุณจะพบว่าการส่งต่อสิ่งดี ๆ ให้กันและกันเป็นเรื่องปกติ บันทึกเด็กดีจะเกิดขึ้นในใจ ความดีงามทางศีลธรรมจะตามมาเอง โลกน่าอยู่ขึ้นทันตา ไม่ได้เกิดจากคุณได้ใช้ชีวิตเพื่อโลก แต่ใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง. image
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 7 months ago
#siamstr ผมอยากให้ทุกคน ดูคลิปที่ผมทำครับ ความทุกข์จำเป็น ความทุกข์ไม่จำเป็น แค่เพียงเรารู้จักสองคำนี้มากพอ เราใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข โดยไม่เสียดาย
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 9 months ago
ความฝันจะเปลี่ยนชีวิตคนได้มั้ยครับ ? #siamstr แต่ใครจะไปเชื่อ ว่าความฝันของคนไร้สาระ ทำให้ผมคิดได้มากๆเลย 1 ในหนังสือวรรณกรรมยอดเยี่ยมตลอดกาลของดอสโตเยสกี ผมเขียนสิ่งที่ผมคิดได้หลังจากอ่านเล่มนี้ ลงในที่นี่แล้ว คุณไม่ต้องอ่านตัวต้นฉบับ ( แต่อ่านจะดีมาก ) ก็จะเข้าใจในสิ่งที่ผมสื่อ ผมตั้งใจเขียนมากครับ อยากให้อ่าน ลิ้งนี่เลย