จัดส่งขี้ถึงบ้าน แบบไม่ระบุตัวตน แค่จ่าย #Bitcoin มา ! เดือนเดียวรายได้ $10,000 ! 💩
กำเนิด Startup โฉมใหม่ไฟแรงผู้สร้างรายได้ราว "3.5 แสนบาทไทย" ภายใน 30 วันแรกหลังเปิดกิจการเท่านั้นเอง !!! พบกับบริการจัดส่ง "ขี้สด ๆ" ผ่านไปรษณีย์แบบไม่ระบุตัวตน ส่งตรงถึงบ้านคนที่คุณเกลียดขี้หน้า แลกค่าจ้างเป็น Bitcoin ภายใต้ชื่อแบรนด์ "ShitExpress" 🚚
เมื่อการจัดส่งที่รวดเร็ว ผนวกกับความตื่นเต้นในการส่งขี้ถึงบ้านผู้คน ธุรกิจแหวกใหม่จึงได้ถูกเปิดตัวสู่สาธารณะอย่างอลังการ โดยทางผู้ให้บริการได้เขียนเว็บบล็อกอธิบายต้นกำเนิดของบริการสุดหรรษา (?) อันเป็นไอเดียสุดบรรเจิดของตัวเองเอาไว้ซะยาวเฟื้อยจนลูกค้าต่างพากันขี้เกียจอ่าน ✍
นาย Peter ผู้ก่อตั้ง ShitExpress ได้เริ่ม "การทดลองทางการตลาด" ว่าถ้าเขาจะมีบริการ "ส่งขี้ม้าสด ๆ" ไปยังบ้านที่ผู้ใช้บริการระบุ จะมีคนสนใจมากน้อยแค่ไหน ทั้งที่ตอนเริ่มแรกเขายังไม่มีแม้แต่ม้าสักตัว และไม่มีความรู้เลยด้วยซ้ำว่าจะไปติดต่อหาขี้ม้าได้จากไหน ทุกอย่างที่เผยแพร่ออกไปเป็นเพียงการเริ่มต้นทดสอบตลาดเท่านั้น 🐴
พ่อหนุ่มนักธุรกิจไฟแรงได้เขียนเล่าทุกอย่างเอาไว้ว่า “ถ้ามีคนกดออเดอร์ขึ้นมาจริงล่ะ ? จะทำยังไง ? จะไปหาขี้ม้าจากไหนในเมืองนี้ ? ไหนจะเรื่องบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมแต่ราคาไม่แพง ?” 😅
“น้ำหนักและขนาดที่เหมาะสมล่ะ ? จะห่อยังไง ? ต้องมีอะไรเพิ่มเติมอีกไหม ? จะโน้มน้าวด่านตรวจศุลกากรให้เชื่อได้ยังไงว่านี่มันคือของขวัญราคา $3-5 จริง ๆ นะ ? แล้วไหนจะความรู้สึกแปลก ๆ ที่ต้องนำกล่องอุจจาระม้าเข้าไปยังที่ทำการไปรษณีย์อีก ?” เขียนปัญหามาจนดูเยอะแยะมากมาย แต่ถามว่าสุดท้ายพี่แกตัดสินใจทำไหม... ทำ ! 🤣
หลังจากได้รับออเดอร์แรกเข้ามาจริง ๆ ... พี่แกก็พยายามออกตามหาคอกม้าใกล้ ๆ และลองขอขี้ม้าจากเจ้าของดู สรุปเจ้าของดันให้ !!! คงเพราะปริมาณมันยังไม่เยอะขนาดนั้น ก็แค่ออเดอร์แรกอะเนอะ พี่แกเลยหอบขี้ม้ากลับมาแพ็คใส่บรรจุภัณฑ์และเตรียมจัดส่ง ในที่สุด... ออเดอร์แรกในฐานะ Startup ก็ได้มาถึงแล้ว ดีใจด้วยนะพ่อหนุ่ม 👏
จุดเปลี่ยนที่ทำให้ชีวิตของพี่แกโด่งดังเปรี้ยงปร้างขึ้นมา คือหลังจากเว็บข่าวเทคโนโลยี Motherboard ได้เขียนถึงธุรกิจของพี่แกในฐานะผู้ให้บริการจัดส่งขี้ม้าแลกกับ Bitcoin เว็บไซต์อื่น ๆ ก็เลยพากันลงข่าวตามด้วย ทำให้ยอดขายของพี่แกพุ่งทะยานขึ้นฟ้า ทะลุ $10,000 ภายในเดือนเดียว 🚀
ราคาขี้ม้าของพี่แกตกออเดอร์ละ $20 ก็หมายความว่าด้วยยอดขายทะลุ $10,000 ในเดือนเดียว พี่แกได้จัดส่งขี้ม้าสด ๆ ไปยังบ้านคนรวม 500 บ้านแล้ว !!! เอาจริงดิ !!! 500 หลัง !!! ความหมายคือ... Startup รายนี้ได้สร้างความฉิบหายทะลุ 500 ครัวเรือนไปเรียบร้อยแล้วในเดือนเดียว 🏘
เนื่องจากกิจการรุ่งเรืองรายได้ดีแบบนี้... พี่แกจึงตัดสินใจขยายช่องทางเพิ่มจาก Bitcoin อย่างเดียว เป็นเปิดรับ PayPal ด้วย 💳
และจากนั้นก็ยังคงให้บริการจัดส่งขี้ถึงบ้านคนที่ลูกค้าเกลียด ไปยังที่อยู่เป้าหมายแล้วกว่า 36 ประเทศทั่วโลก !!! นี่มันธุรกิจส่งออกนานาชาติเลยนะเนี่ยสหาย ทำเป็นเล่นไป55555 🌍
“ด้วยการสนับสนุนอันแข็งแกร่งจากลูกค้า เราจึงได้ขยายฐานการให้บริการเพิ่มขึ้นและเดี๋ยวจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่จะนำมาเสนอในอนาคตอันใกล้นี้” พ่อหนุ่ม Peter ผู้มีวิสัยทัศน์ด้านธุรกิจ (?) ได้เขียนเอาไว้ และยังทิ้งท้ายไว้อีกว่า “นอกเหนือจากนั้น เรายังต้องการเติบโตแบบกว้างขวาง โดยจะครอบคลุมพื้นที่ธุรกิจอื่น ๆ ให้มากขึ้น” 💪
อ่านจบแล้วเป็นยังไงกันบ้าง ? สนุกไหมสหาย ? สุดท้ายนี้... หากคำพูดคำจาหรือพฤติกรรมใด ๆ ที่ข้าได้แสดงออกไปในโลกออนไลน์หรือออฟไลน์ก็ดี และพวกเจ้ามองว่าเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม โปรดตักเตือนกันดี ๆ ด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยน และอย่าลืมโอน #BTC มาให้ข้าด้วย แล้วข้าจะปรับปรุงทันทีนะ รับประกันเห็นผลฉับไว อย่าเอา BTC ไปใช้บริการแบบนี้เพื่อส่งขี้มาบ้านข้าเลย ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
พ่อมดคริปโต
npub1l8dv...g6c8
สวัสดีสหาย ! ข้าชื่อ ชับบี้ เจ้าของเพจ พ่อมดคริปโต แต่เนื่องจากตอนนี้อยู่ใน Nostr ก็จะออกแนวพ่อมดบิทคอยน์แทน55555 😂
Notes (20)
จัดส่งขี้ถึงบ้าน แบบไม่ระบุตัวตน แค่จ่าย #Bitcoin มา ! เดือนเดียวรายได้ $10,000 ! 💩
กำเนิด Startup โฉมใหม่ไฟแรงผู้สร้างรายได้ราว "3.5 แสนบาทไทย" ภายใน 30 วันแรกหลังเปิดกิจการเท่านั้นเอง !!! พบกับบริการจัดส่ง "ขี้สด ๆ" ผ่านไปรษณีย์แบบไม่ระบุตัวตน ส่งตรงถึงบ้านคนที่คุณเกลียดขี้หน้า แลกค่าจ้างเป็น Bitcoin ภายใต้ชื่อแบรนด์ "ShitExpress" 🚚
เมื่อการจัดส่งที่รวดเร็ว ผนวกกับความตื่นเต้นในการส่งขี้ถึงบ้านผู้คน ธุรกิจแหวกใหม่จึงได้ถูกเปิดตัวสู่สาธารณะอย่างอลังการ โดยทางผู้ให้บริการได้เขียนเว็บบล็อกอธิบายต้นกำเนิดของบริการสุดหรรษา (?) อันเป็นไอเดียสุดบรรเจิดของตัวเองเอาไว้ซะยาวเฟื้อยจนลูกค้าต่างพากันขี้เกียจอ่าน ✍
นาย Peter ผู้ก่อตั้ง ShitExpress ได้เริ่ม "การทดลองทางการตลาด" ว่าถ้าเขาจะมีบริการ "ส่งขี้ม้าสด ๆ" ไปยังบ้านที่ผู้ใช้บริการระบุ จะมีคนสนใจมากน้อยแค่ไหน ทั้งที่ตอนเริ่มแรกเขายังไม่มีแม้แต่ม้าสักตัว และไม่มีความรู้เลยด้วยซ้ำว่าจะไปติดต่อหาขี้ม้าได้จากไหน ทุกอย่างที่เผยแพร่ออกไปเป็นเพียงการเริ่มต้นทดสอบตลาดเท่านั้น 🐴
พ่อหนุ่มนักธุรกิจไฟแรงได้เขียนเล่าทุกอย่างเอาไว้ว่า “ถ้ามีคนกดออเดอร์ขึ้นมาจริงล่ะ ? จะทำยังไง ? จะไปหาขี้ม้าจากไหนในเมืองนี้ ? ไหนจะเรื่องบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมแต่ราคาไม่แพง ?” 😅
“น้ำหนักและขนาดที่เหมาะสมล่ะ ? จะห่อยังไง ? ต้องมีอะไรเพิ่มเติมอีกไหม ? จะโน้มน้าวด่านตรวจศุลกากรให้เชื่อได้ยังไงว่านี่มันคือของขวัญราคา $3-5 จริง ๆ นะ ? แล้วไหนจะความรู้สึกแปลก ๆ ที่ต้องนำกล่องอุจจาระม้าเข้าไปยังที่ทำการไปรษณีย์อีก ?” เขียนปัญหามาจนดูเยอะแยะมากมาย แต่ถามว่าสุดท้ายพี่แกตัดสินใจทำไหม... ทำ ! 🤣
หลังจากได้รับออเดอร์แรกเข้ามาจริง ๆ ... พี่แกก็พยายามออกตามหาคอกม้าใกล้ ๆ และลองขอขี้ม้าจากเจ้าของดู สรุปเจ้าของดันให้ !!! คงเพราะปริมาณมันยังไม่เยอะขนาดนั้น ก็แค่ออเดอร์แรกอะเนอะ พี่แกเลยหอบขี้ม้ากลับมาแพ็คใส่บรรจุภัณฑ์และเตรียมจัดส่ง ในที่สุด... ออเดอร์แรกในฐานะ Startup ก็ได้มาถึงแล้ว ดีใจด้วยนะพ่อหนุ่ม 👏
จุดเปลี่ยนที่ทำให้ชีวิตของพี่แกโด่งดังเปรี้ยงปร้างขึ้นมา คือหลังจากเว็บข่าวเทคโนโลยี Motherboard ได้เขียนถึงธุรกิจของพี่แกในฐานะผู้ให้บริการจัดส่งขี้ม้าแลกกับ Bitcoin เว็บไซต์อื่น ๆ ก็เลยพากันลงข่าวตามด้วย ทำให้ยอดขายของพี่แกพุ่งทะยานขึ้นฟ้า ทะลุ $10,000 ภายในเดือนเดียว 🚀
ราคาขี้ม้าของพี่แกตกออเดอร์ละ $20 ก็หมายความว่าด้วยยอดขายทะลุ $10,000 ในเดือนเดียว พี่แกได้จัดส่งขี้ม้าสด ๆ ไปยังบ้านคนรวม 500 บ้านแล้ว !!! เอาจริงดิ !!! 500 หลัง !!! ความหมายคือ... Startup รายนี้ได้สร้างความฉิบหายทะลุ 500 ครัวเรือนไปเรียบร้อยแล้วในเดือนเดียว 🏘
เนื่องจากกิจการรุ่งเรืองรายได้ดีแบบนี้... พี่แกจึงตัดสินใจขยายช่องทางเพิ่มจาก Bitcoin อย่างเดียว เป็นเปิดรับ PayPal ด้วย 💳
และจากนั้นก็ยังคงให้บริการจัดส่งขี้ถึงบ้านคนที่ลูกค้าเกลียด ไปยังที่อยู่เป้าหมายแล้วกว่า 36 ประเทศทั่วโลก !!! นี่มันธุรกิจส่งออกนานาชาติเลยนะเนี่ยสหาย ทำเป็นเล่นไป55555 🌍
“ด้วยการสนับสนุนอันแข็งแกร่งจากลูกค้า เราจึงได้ขยายฐานการให้บริการเพิ่มขึ้นและเดี๋ยวจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่จะนำมาเสนอในอนาคตอันใกล้นี้” พ่อหนุ่ม Peter ผู้มีวิสัยทัศน์ด้านธุรกิจ (?) ได้เขียนเอาไว้ และยังทิ้งท้ายไว้อีกว่า “นอกเหนือจากนั้น เรายังต้องการเติบโตแบบกว้างขวาง โดยจะครอบคลุมพื้นที่ธุรกิจอื่น ๆ ให้มากขึ้น” 💪
อ่านจบแล้วเป็นยังไงกันบ้าง ? สนุกไหมสหาย ? สุดท้ายนี้... หากคำพูดคำจาหรือพฤติกรรมใด ๆ ที่ข้าได้แสดงออกไปในโลกออนไลน์หรือออฟไลน์ก็ดี และพวกเจ้ามองว่าเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม โปรดตักเตือนกันดี ๆ ด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยน และอย่าลืมโอน #BTC มาให้ข้าด้วย แล้วข้าจะปรับปรุงทันทีนะ รับประกันเห็นผลฉับไว อย่าเอา BTC ไปใช้บริการแบบนี้เพื่อส่งขี้มาบ้านข้าเลย ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
โคตรปั่น !!! เคยมีคนใช้ 1.6 #BTC ซื้อขนมแครกเกอร์ที่มีภาพ “ไมเคิล แจ็คสัน นมใหญ่" 🤣
นับเป็นอีกหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ขำขันของ #Bitcoin โดยในตอนเกิดเหตุการณ์... สมัยนั้น Bitcoin ตกเหรียญละ $12.5 เองสหาย ใช้จ่ายไปทั้งหมด 1.6 BTC ก็เท่ากับประมาณ $20 ในตอนนั้น ก็ตกเกือบ 700 บาทไทยอยู่นะสหาย ทำเป็นเล่นไป... แค่ขนมแครกเกอร์เนี่ยนะ 😅
แต่ถ้าเป็นตอนนี้ ขนมแครกเกอร์ที่มีรูป "ไมเคิล แจ็คสัน" เวอร์ชั่น "มีนมโต ๆ เป็นเต้าแบบผู้หญิง" จะเท่ากับถูกซื้อด้วยสิ่งที่มีมูลค่าราว $145,000 (ประมาณ 4.65 ล้านบาทไทยเลยนะไอบ้าเอ้ย !!!) 🍘
ซึ่งความจริงใครจะใช้จ่าย Bitcoin อย่างไรมันก็เป็นสิทธิ์ของเขานะสหาย เพียงแค่ดูจากมุมพวกเราที่มองย้อนกลับไปจากอนาคต มันก็อดขบขันไม่ได้อะเนอะ55555 กลายเป็นแครกเกอร์ที่มูลค่าแพงที่สุดในโลกไปเลยมั้งนั่น ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
ค่อย ๆ เก็บออม = ค่อย ๆ สะสม
เราถึงได้เรียกว่า "stack" sats 🧙♂️
#Bitcoin #BTC #พ่อมดคริปโต #siamstr
Cycle นี้ยังไงดีสหาย ? ไปต่อ... หรือพอก่อน ? 👀
#Bitcoin #BTC #พ่อมดคริปโต #siamstr
#Bitcoin ตายแล้ว !!! และทุกครั้งที่ได้ยินคำนี้มักจะเป็นแบบนี้ ✍
ทุกครั้งที่มีคำว่า "Bitcoin ตายแล้ว" ส่วนใหญ่ เป็นช่วงที่ราคา BTC ร่วงแรงจนแลดูย่อยยับ ตลาดน่ากลัวชวนหนีห่าง เพราะฉะนั้นมันจึงมักเป็นช่วงที่ "ราคาดี" เทียบเป็นเงิน Fiat แล้ว "ต้นทุนถูก" ใครใจถึงกล้าเข้าราคาช่วงนั้นแต่ละรอบนะสหาย โอ้โฮ... หวานเจี๊ยบบบ !!! ได้ของถูกกันไปหลายรอบเลย 😁
แต่แน่นอน มันคือการกระโดดเข้าไปรับมีด และข้า "ไม่เคยแนะนำให้ใครทำทั้งสิ้น" (หากพูดในมุมเก็งกำไรอะนะ...) บรรยากาศมันมาคุเกินใจจะกล้าไหว นอกจากสายเก็บออมที่เก็บทุกราคา กับนักลงทุนที่มีประสบการณ์มากมายจนอ่านบรรยากาศตลาดได้เฉียบขาด (มีไหมนะ ? ทำได้ขนาดนี้...) หรือไม่ก็คนบ้า !!! นอกนั้นบอกเลยแทบไม่มีใครกล้าเข้าไปซื้อ ณ จุดนั้นกันหรอกสหาย 😱
ยิ่งสายกราฟเทคนิคยิ่งไม่ต้องพูดถึง ปกติช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงที่กราฟจะอนุญาตให้เข้าได้ด้วยระบบเทรดใด ๆ แน่นอน แต่สายกราฟเขาเป็นนักเทรด ทุกอย่างชัดเจนว่าเขามาเก็งกำไรและต้องรักษาทุนตัวเอง ดังนั้นเขาไม่ได้ผิดหรอกนะ เขาแค่ทำตามวินัยเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ของเขา และช่วงที่มีคำว่า "Bitcoin ตายแล้ว" ก็ไม่น่าเป็นช่วงที่ดีสำหรับสายเก็งกำไร 💰
แต่เนื่องจากคำว่า "Bitcoin ตายแล้ว" มันได้ยินกันบ่อยเกินไป ราคาร่วงแรงทีไรก็บอกว่าตายกันทุกครั้งเลย แต่ก็ไม่เคยจะตายจริงสักที จนหลายคนเริ่มมองประโยคประมาณนี้เป็นอินดิเคอร์หรือจุดเข้าชั้นดีไปแล้วก็มีนะสหาย คริคริ 🤭
โพสต์นี้ไม่ได้มีจุดประสงค์จะให้กระโดดรับมีด ช้อนก้นหลุม หรืออะไรนะสหาย ทำตามวินัยตัวเองไป ใครเก็บออมก็เก็บตามหน้าที่ ใครเทรดก็ไม่ต้องเข้าถ้ายังไม่มีสัญญาณ โพสต์นี้แค่มาเล่าบรรยากาศคร่าว ๆ และสิ่งที่มักเกิดขึ้นซ้ำ ๆ เวลาเราได้ยินคำนี้เฉย ๆ และ... ช่วงนี้ที่ BTC ลงแรง ก็แอบเริ่มได้ยินคำพวกนี้แว่ว ๆ แล้วเหมือนกันแฮะ ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
ชาว #Bitcoin ไทยเฮ !!! Jack Dorsey ได้โพสต์ว่า "108" บน X (ชื่อเก่า Twitter) 🥳
ก็ไม่รู้ว่าพูดถึงอะไร หลายคนก็เข้าใจว่า... "แอบไปส่อง #siamstr มาปะเนี่ย !!!" เพราะถ้าใช่ก็น่าจะได้เห็น Bitcoiner ไทยมากมายซื้อ Bitcoin กันทีละ 108 บาท (ซึ่งก็ร่วมสนุกกันมาสักพักใหญ่แล้ว) มีแววจะไปเตะตาแคมเปญ 108 ของชาว Bitcoin ไทยเข้าปะเนี่ย ?! 😂
ซึ่งมันเป็นไปได้มาก ๆ เลยนะสหาย ! เพราะ Jack Dorsey มีพฤติกรรมสนับสนุน Bitcoin มาเนิ่นนานมากแล้ว และก็มีประวัติเข้าร่วมการละเล่นสนุก ๆ ตามอินเทอร์เน็ต ที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin ด้วยเช่นกัน เดี๋ยววันนี้จะไล่ประวัติของพี่แกให้ฟัง !!! ✍️
👉 Jack Dorsey เป็น Co-founder และอดีต CEO ของ Twitter (ก่อนจะเปลี่ยนชื่อแพลตฟอร์มเป็น X ภายหลังในยุค Elon Musk)
👉 ปัจจุบันก็ยังเป็นผู้ก่อตั้งร่วม, ผู้บริหารระดับสูง, และประธานกรรมการ ของแพลตฟอร์มที่ชื่อ Block มันคือแพลตฟอร์มที่เจ้าตัวเคยออกมาประกาศจะให้ร้านค้าต่าง ๆ สามารถรับชำระเงินเป็น #BTC ได้นั่นแหละสหาย
👉 แถมสมัยที่ Block ยังใช้ชื่อเก่า คือ Square พี่แกก็เคยทุ่มเงินซื้อ 5,000 BTC ให้บริษัทเก็บไว้จนเคยเป็นข่าวดังอีกด้วย และก็ยังแสดงท่าทีสนับสนุน Bitcoin อยู่เสมอมา
💬 วลีเด็ดของพี่แกที่เคยพูดก็อย่างเช่น "ในที่สุดโลกจะมีสกุลเงินเดียว อินเทอร์เน็ตจะมีสกุลเงินเดียว ส่วนตัวผมเชื่อว่ามันจะเป็น Bitcoin"
👉 หรือถ้ามีอีกอันที่ยังไม่ได้พูดถึงก็คือเป็นผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์ม Bluesky
👉 ยังมีอีกสหาย... รู้จัก Luke Dashjr กันไหม ? เขาคือผู้ที่เคยมีวีรกรรมมากมายบนหน้าประวัติศาสตร์ของ Bitcoin จนได้รับฉายา "เทวดาผู้พิทักษ์ Bitcoin" และแท้จริงยังเป็นผู้บุกเบิกสิ่งที่เรียกว่า Mining Pool อีกด้วย โดยในปี 2023 นั้น... Luke ก็ได้เปิดตัว Mining Pool ใหม่ ที่ชื่อว่า "Ocean" และหนึ่งในผู้ที่ร่วมลงทุนก็คือผู้ที่มอบฉายา "เทวดาผู้พิทักษ์ Bitcoin" ให้กับ Luke นั่นเอง คนนั้นก็คือ Jack Dorsey
⚡ ยังไม่หมด... เมื่อพูดเหตุการณ์ในตำนาน อย่างแคมเปญ "Lightning Network Torch" การละเล่นสุดสรรหาที่พาคนดังระดับโลกเข้าสู่วงการมากมาย และคนที่เข้าร่วมการละเล่นนี้ด้วย จนลากคนดังอื่น ๆ อีกหลายคนมารู้จักกับ Bitcoin Lightning Network หนึ่งในนั้นก็คือ Jack Dorsey
เอาล่ะครับ... พี่แจ็คครับ สนใจมาร่วมแคมเปญ 108 ของชาว siamstr ไหมครับ... ผลักให้เป็นไวรัลระดับโลกแบบตอน Lightning Network Torch ไปเลยยิ่งดี !!! แค่คิดก็สนุกกันแล้วเนอะ !!! ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
ครบรอบ 2 ปี... โลโก้ #Bitcoin โดนฉายขึ้นกลางตึกธนาคารกลางยุโรป !!! 🔥
ในคืนวันที่ 30 พฤศจิกายน 2023 มีกลุ่มปริศนาได้ฉายภาพโลโก้ #BTC ขนาดใหญ่ขึ้นบนตึกสำนักงานใหญ่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในเมืองแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี 📽
ข้างใต้โลโก้มีคำว่า “Study Bitcoin” (ศึกษาบิทคอยน์) ✍
จุดประสงค์ในปีนั้นคาดว่าเพื่อท้าทายและประท้วงธนาคารกลางยุโรป ในเรื่องนโยบายและการดำเนินการที่เกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล 📝
เป็นที่ทราบกันดีในปีที่เกิดเรื่อง... ธนาคารกลางยุโรปไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับ Bitcoin และสกุลเงินดิจิทัลแบบกระจายอำนาจอื่น ๆ (แม้ที่กระจายอำนาจริงมันจะมีแค่ BTC อะแค้ก--- 🤣) เป็นฝ่ายที่ต่อต้าน BTC มากที่สุดเจ้าหนึ่งเลยก็ว่าได้ ✋
ธนาคารกลางยุโรปเคยให้เหตุผลว่าสกุลเงินดิจิทัลเหล่านี้เป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพทางการเงิน, การคุ้มครองผู้บริโภค, และอำนาจอธิปไตยทางการเงิน ฮั่นแน้ !!! 👀
นอกจากนี้ธนาคารกลางยุโรปยังทำงานในการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลยูโรของตนเอง ก็คือ CBDC นั่นแหละ ซึ่งธนาคารอ้างว่าสกุลเงินดิจิทัลยูโรจะปลอดภัย, มีประสิทธิภาพ, และสะดวกสบายกว่าสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน จย้าาาาาาา เครจย้า 🙄
ไม่ใช่แค่เพื่อประท้วงเท่านั้น กลุ่มนิรนามที่ฉายโลโก้ในคืนนั้นยังเผยว่าพวกเขาต้องการสร้างความตระหนักรู้และจุดประกายการอภิปรายเกี่ยวกับอนาคตของเงินและระบบการเงินในยุคดิจิทัล โดยหวังให้ "...ผู้คนคิดถึงความหมายและคุณค่าของเงิน และแง่มุมที่ว่าเงินมันส่งผลต่อชีวิตยังไงบ้าง" 😎
การฉายโลโก้ Bitcoin บนอาคาร ECB ไม่ใช่ครั้งแรกนะสหาย ความจริงมีเหตุการณ์ประมาณนี้เกิดขึ้นมาแล้วเพียบ เช่น ไปฉายโลโก้ BTC บนสถานที่สำคัญ ไปวาดภาพใกล้ธนาคารกลาง 🎨
ตึงเปรี๊ยะ !!! แรงขับเคลื่อนมันดีจริง ๆ เลยนะสหาย วงการนี้มีอะไรเคลื่อนไหวจนออกสื่อตลอดเวลา ไม่เคยอ่อมกันเลย ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
เด็กมหาลัยยืนชูป้ายออกช่องกีฬาดัง หวังขอ #Bitcoin จากแม่ แต่ได้ไป 22 #BTC !!! 🔥
อย่างที่เห็นเลยสหาย... เด็กมหาลัยในภาพ ยืนชูป้าย "HI MOM SEND" ต่อด้วย QR Code และโลโก้ Bitcoin อารมณ์แบบ "เฮ่ แม่ ส่ง Bitcoin ให้หน่อย" (ส่งผ่าน QR Code ที่ชูนั่นแหละ55555) 🤭
แต่ไม่ได้ยืนชูตามท้องถนนนะ แต่ยืนถือป้ายนี้ออกช่องกีฬาชื่อดังของอเมริกา "ESPN" เอากับน้องแกสิ ! ไม่รู้มีคนเห็นไปตั้งกี่คนเลยตอนนั้น 🤣
เรื่องนี้เกิดขึ้นราว 12 ปีก่อน จบลงที่เด็กคนนี้ได้รับ Bitcoin ไปราว ๆ 22 BTC ซึ่ง ณ วันนี้มีมูลค่า "เกือบ $2 ล้าน" (เกิน 64 ล้านบาทไทย) 🎉
ปะ... สหาย เราไปหาป้ายกันคนละอันเถอะ อะแซวเล่นนน ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
กว่า 13 ปีแล้ว กับเหรียญทอง #Bitcoin ในตำนาน และ Jay ผู้สร้างวัฒนธรรม "Wen Lambo?" 🥇
ไอหนุ่มแลมโบกลับมาอีกแล้วสหาย ! โดยหลังจากพลิกชีวิตจากการ All in ลงในการ์ดจอเพื่อขุด #BTC ก็ยังซื้อรถแลมโบกินีด้วย Bitcoin จนโลกต้องจารึกว่า "แลมโบ" คือสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จในตลาดคริปโต จนทำเอาคนถามหาแต่แลมโบกันทั้งตลาด ("Wen Lambo?") แต่เขายังเหลืออีกตำนาน... 🤣
นอกจากเรื่องราวต่าง ๆ ข้างต้น พี่แกยังเป็นผู้ซื้อ "เหรียญทอง Casascius" หรือเหรียญทองกลม ๆ ที่มีโลโก้ Bitcoin สวยสง่า เป็นของกายภาพที่จับต้องได้ในชีวิตจริง แล้วแถมด้านในยังมี Bitcoin จริง ๆ ฝังอยู่ 1,000 BTC ด้วยนะ !!! 🔥
เหรียญทองของเขาถือว่าเป็นของแรร์สุด ๆ เพราะมันมีเพียงแค่ 3 ชิ้นบนโลก !!! และความจริงมันคือเหรียญที่มีมูลค่า "มากที่สุดในโลก" ณ ตอนนี้เลยด้วยซ้ำ !!! จนเขาให้สัมภาษณ์ว่า... การที่ผู้คนรู้ว่าเหรียญมีมูลค่าขนาดนี้อยู่กับเขา แอบเครียดมากกว่าภูมิใจ 💰
กรอบใส่เหรียญจะมีตัวเลขฐาน 2 จึงมีแต่เลข 0 กับ 1 รอบ ๆ แบบโคตรเท่สะใจ ถูกใจสาย Geek หรือคนที่อินกับการเขียนโค้ดเลยสหาย ! 💻
เหรียญทองดังกล่าวระบุไว้ชัดเจนว่าเป็น "ทองคำบริสุทธิ์ .999" (ทองคำ 99.9%) น้ำหนัก "1 ทรอยออนซ์" ตรงด้านบนของหน้าเหรียญ ⚖
มีปีระบุไว้พร้อมชื่อเหรียญ โดยสลักเอาไว้ด้านขวาของหน้าเหรียญว่า "2012 Casascius" 📌
นอกจากนั้นตรงหน้าเหรียญด้านซ้ายยังมีการสลักคำเอาไว้ว่า "Vires in numeris. ซึ่งเป็นภาษาละติน แปลได้ประมาณว่า "พลังอยู่ที่จำนวน" เป็นวลีที่มักใช้ในบริบทของ Bitcoin ตีความได้ประมาณว่าความปลอดภัยและความเชื่อมั่นของระบบไม่ได้ขึ้นอยู่กับหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เกิดจากการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานจำนวนมากในเครือข่าย ทุกธุรกรรม โหนด หรือบล็อกที่เพิ่มเข้ามาจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งและความปลอดภัยของระบบแบบกระจายศูนย์ คาดว่าหมายถึงอะไรประมาณนั้น 🗣
เจ้าเหรียญทองที่ว่ามีระบุสลักไว้ชัดเจนตรงด้านล่างของหน้าเหรียญ ว่ามีอยู่ "1,000 Bitcoins" อยู่ในนี้จ้า ซึ่งก็จะมีชุด Private Key สำหรับเข้าถึง 1,000 BTC อยู่ในนั้น ใต้ฉลากที่มีไว้ป้องกันการงัดแงะ (เพราะถ้ามีการเปิดออก มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย ฉลากนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันการแอบเปิดแบบไม่ให้ใครรู้โดยเฉพาะ) 📜
Jay ซื้อเหรียญนี้มาทั้งหมดในราคา $5,000 แต่ปัจจุบันแค่มูลค่า Bitcoin ข้างในก็ตก $67M (หกสิบเจ็ดล้านดอลลาร์สหรัฐ) เข้าไปแล้ว !!! ก็คือถ้าแกะเอา BTC ข้างในตอนนี้มาขาย (สมมุตินะ แต่ Jay คงไม่ทำ เพราะเขารัก Bitcoin มาก ๆ) คิดเป็นเงิน Fiat เขาจะได้กำไร "13,400,000 เท่า" แค่นั้นเอ๊งงง !!! 🚀
แหม่... อยากจะได้สักเหรียญจังเลยน้า ใครมีส่งให้พ่อมดได้นะสหาย ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
#Bitcoin วันนั้นได้แม็คโดนัลด์ 1 มื้อ
วันนี้ได้รถมาเซราติ คันละ 7 ล้าน ! 🎉
“ตอนปี 2011 หรือหลังจากนั้นนี่แหละ ผมถอน 2-4 Bitcoin เพื่อซื้อ McDonald's กินหนึ่งมื้อ” - ผู้ประกอบการชาวออสเตเลีย นามว่า "Kane Ellis" 🗣
โชคดีนะที่เขาขายแค่จำนวนเล็ก ๆ จากที่ถืออยู่
ไม่งั้นอาจจะต้องมานั่งเสียดายไปทั้งชีวิตแน่ 😅
ตอนนั้นแค่ถอนไปซื้อแม็คโดนัลด์กินมื้อเดียว
โดนไป 2-4 Bitcoin โดยประมาณ เลยนะ 🔥
แต่หลังจากเวลาผ่านไป เขาก็กะว่าจะถอนอีก
ซึ่งก็กะถอนจำนวนเล็ก ๆ เหมือนเดิมนั่นแหละ
เห็นว่าจะเอามาปรนเปรอตามใจตัวเองบ้าง 😁
แต่ไอจำนวนเล็ก ๆ ที่ว่ารอบนี้มันไม่เท่าเดิม !
ไอเล็กน่ะใช่ แต่ถอนออกมามูลค่ามันเพิ่ม !!!
จนซื้อรถมาเซราติสีเหลือง ได้คันหนึ่ง !!! 🏎
คันละ $200,000 (เกือบ 7 ล้านบาทไทย) 📌
การใช้จ่าย #BTC ที่ตัวเองมี ไม่ผิดนะสหาย
แต่พออ่านเรื่องนี้จบ ใครจะกล้าใช้ฟระ !!! 🤣
พวกเจ้าคิดว่าไงสหาย ? ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
สมัยก่อน กระเป๋า #Bitcoin ของชาวบ้านทั่วไป จะถือกันคนละ 50 #BTC ก็นับเป็นเรื่องปกติ 😲
โดยเมื่อ 14 ปีก่อน การจะโอนเข้าโอนออกกันเป็นหลัก Bitcoin (ไม่ได้โอนเป็นทศนิยมหรือหน่วยย่อยที่เรียกว่า Satoshi หรือ Sat) เช่น โอนทีละ 20 BTC นับว่าไม่แปลกและไม่ได้น่าตกใจอะไรเลย เรียกได้ว่าสามารถพบได้ในชีวิตประจำวัน 🌞
ซึ่งถ้าเป็นปัจจุบันนี้ 50 BTC จะเป็นมูลค่าเกิน $5M (เกิน 161 ล้านบาทไทย) เผลอ ๆ ขยับที Whale Aleart นี่แจ้งเตือนกันแล้ว 🐳
ล่าสุดพึ่งเห็นมาเลย กระเป๋ามีเงินหลักล้านดอลโดน freeze ก็ขึ้นแจ้งเตือนแล้ว BTC ขยับหลักร้อยก็แจ้งเตือน ซึ่งก็ไม่แปลกหรอก มูลค่ามันเยอะ ไม่ได้ว่าอะไรคนที่ติดตามเลยนะสหาย แค่เล่าสู่กันฟังว่าเมื่อก่อนจำนวนเท่านี้มันปกติมาก อารมณ์พาย้อนวันวาน ฟังปู่เล่าหน่อยนะหลาน อะไรงี้ สงสัยเหงา 🤣
บรรยากาศเมื่อก่อน มันดูสนุกดีเนอะ เข้าใจเลยว่าทำไมถึงมีแนวคิดเหรียญแบบ Dogecoin เกิดขึ้น เพราะเมื่อก่อนมันก็ดูเป็นของเล่นปุ๊กปิ๊กที่โอนให้กันได้สนุกสนานและเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์ให้ผู้คนได้ติดต่อสื่อสารกันจริง ๆ นั่นแหละ แต่ทุกวันนี้ถามว่ามันเติบโตมาในทางที่ถูกที่ควรแล้วไหม แน่นอนสหาย ข้าเชื่อเยี่ยงนั้น ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
การ์ดจอธรรมดา...
ขุดเจอ 25 #BTC !!!
รุ่นเก๋าเขาทำกัน ! 😎
.
เครื่องขุดหน้าตาประหลาด
ที่เราเห็นในภาพประกอบ
มันคือเครื่องขุด #Bitcoin
ใช้ขุดได้จริง ๆ นะ !!!
สมัยยุครุ่นเก๋าเขาขุดกัน
.
ถ้าใครเกิดสงสัยขึ้นมาว่า
มันก็แค่ "การ์ดจอ" ธรรมดา
ที่อยู่ในคอมเราไม่ใช่เหรอ ?
คำตอบคือ... ใช่เลย !!!
มันแค่ GPU คอมนี่แหละ
.
แต่อย่าทำเป็นเล่นไปนะ
เพราะในบล็อกแรกสุด
ของ Halving ปี 2012
(Halving ครั้งแรกของโลก)
เคยมีคนใช้มันขุดสำเร็จ
.
ตอน Halving ครั้งแรก
รางวัลของผู้ที่ปิดบล็อกได้
จากบล็อกละ 50 BTC
จะลดลงไปครึ่งหนึ่ง
เหลือ 25 BTC ต่อบล็อก
.
การ์ดจอธรรมดาอันเดียว
ได้ 25 BTC ในบล็อกนั้น
เปิด Halving ปุ๊บ...
ปิดบล็อกแรกสำเร็จเลย
และได้รางวัลทั้งหมด
.
แต่เพื่อความแฟร์นะสหาย
ต้องบอกไว้ก่อนว่าสมัยนั้น
ยังไม่ได้มีเครื่อง ASIC
.
คนส่วนใหญ่ก็ใช้แค่ GPU
และก่อนหน้านั้นเป็น CPU
บน Laptop ก็มีด้วยซ้ำ
.
จึงอาจนับว่าความสำเร็จนี้
ไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือโชคดีนัก
(หมายถึงในด้านกำลังขุด)
เพราะคู่แข่งส่วนใหญ่เอง
ก็เป็นการ์ดจอเหมือนกัน
.
และไม่นานในปี 2013
ซึ่งเวลาไล่เลี่ยกันมาก
เครื่อง ASIC ค่อยมา
.
โดยรุ่นของการ์ดจอที่ใช้
คือซีรีส์ Radeon HD 5800
ซึ่งการ์ดจอนี้ราคา $500
หรือประมาณ 16,145 บาท
ถือว่าก็แรงแล้วมั้ง สมัยนั้น
.
หลายคนอาจจะมองว่า...
การ์ดจอสเปคแค่นี้ "แพงจัง"
ก็คงไม่แปลก เพราะสมัยนั้น
การ์ดจอยังราคาสูงมากกก
รุ่นแรง ๆ ก็มีแค่ประมาณนี้
.
ต่างกับสมัยนี้ที่มีแรงกว่ามาก
แถมรุ่นเก่า ๆ ที่ออกมานาน...
ก็ราคาตกจนถูกแบบทุกวันนี้
.
แต่ความพีคที่ชวนเอาตกใจ
คือการ์ดจอที่ว่าไปเครื่องนี้
พึ่งเริ่มขุดได้ไม่ถึงสัปดาห์ 🔥
.
บางคนขุดมาทั้งชีวิตก็มี
ยังไม่เคยปิดบล็อกได้สักครั้ง
อันนี้ขุดไม่ถึงสัปดาห์ได้เลย
.
ซึ่งผู้ที่ขุดได้ตอนนั้นคือ
Mining Pool ชื่อ "Slush"
(มีข่าวประกาศไปทั่วเลย)
.
ใครไม่รู้จัก Mining Pool
มันคือการเอาพลังขุด
จากเครื่องขุดตัวเอง
ส่งไปรวมกันเพื่อช่วยกันขุด
แล้วแบ่งรางวัลที่ได้ร่วมกัน
.
เจ้าของการ์ดจอในตำนาน
ที่ใช้ปิดบล็อกสำเร็จนี้
ใช้ชื่อเล่นว่า "laughingbear"
.
ภายหลัง (26 ส.ค. 2013)
การ์ดจอนี้ได้ถูกขายให้กับ
"ช้างน้อย" (Chaang Noi)
สมาชิกชื่อดังคนหนึ่งใน...
เว็บไซต์ BitcoinTalk
.
มีรูปภาพจำนวนหนึ่ง
ของการ์ดจอเครื่องนี้
ถูกโพสต์ลงใน Bitmit
เว็บซื้อขายของออนไลน์
หน้าตาคล้าย Ebay
แต่ใช้ Bitcoin ซื้อขาย
แต่ตอนนี้ภาพหายหมด
.
หวังว่าเรื่องนี้จะอ่านกัน
แล้วสนุกสนานนะสหาย
ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
.
#พ่อมดคริปโต #siamstr
"พื้นฐาน" ของ #Bitcoin ไม่เคยเปลี่ยนไป...
มีแต่ "ใจคน" ที่เปลี่ยน... (ตามราคา555) 🧙♂️
#BTC #พ่อมดคริปโต #siamstr
ครบรอบ 15 ปี "#Bitcoin Logo Day" !!! 🎉
วันกำเนิดโลโก้ #BTC ที่ใช้กันมาจนวันนี้ 🎂
วันนี้ (1 พ.ย.) แต่เป็นเมื่อปี 2010 ถือเป็น...
วันเกิดโลโก้ Bitcoin สีส้มอ้วนกลมที่ใช้กัน
ซึ่งมันก็คือโลโก้อันปัจจุบันนี้แหละ !!! 🥳
ภาพโลโก้ BTC ที่พวกเราใช้กันทุกวันนี้นั้น...
ถูกสร้างขึ้นและเผยแพร่โดยศิลปินท่านหนึ่ง
ที่ใช้นามแฝงบนโลกออนไลน์ว่า "bitboy"
ซึ่งเป็นนามแฝงบนเว็บ Bitcointalk forum
ซึ่งก็คือเว็บที่โลโก้นี้ถูกเผยแพร่ครั้งแรก 🖼
โลโก้นี้ถูกระบุรายละเอียดต่าง ๆ ไว้ชัดเจน
เช่น "ภาพนี้ปรับเอียง 14% ตามเข็มนาฬิกา"
เป็นภาพตัดพื้นหลังโปร่งใส สกุลไฟล์ PNG
ก่อนที่จะมีแบบ vector ให้โหลดภายหลัง
มีลองวางให้ดูทั้งบนพื้นหลังสว่างและมืด 😲
และในหัวข้อกระทู้เดียวกันที่โพสต์เอาไว้...
bitboy ก็ยังแปะภาพอื่น ๆ อีกมากมายเลย
ตัวอย่าง เช่น "Bitcoin Accepted Here",
"Love Bitcoin", และ "Bitcoin wallet" 👏
แต่ภาพที่ชุมชนชอบมาก เสียงตอบรับดีสุด
จนถูกยกให้เป็นภาพแบรนด์ดิ้งของ Bitcoin
ที่ "ดีที่สุดตลอดกาล" ก็คือ "Bitcoin Logo"
และมันก็ถูกใช้งานมาจนถึงวันนี้นั่นเอง ! 💖
นี่ก็คือที่มาของภาพโลโก้ Bitcoin นั่นเอง
เหรียญสีส้ม กลม ๆ ที่เอียงตามเข็ม 14%
กระทู้ดังกล่าวยังอยู่เลยนะสหาย ไปดูได้
เดี๋ยวแปะวาร์ปให้ แค่ภาพอาจหายหมด...
คงหมดอายุ ไม่ก็เซิร์ฟเวอร์ที่รับฝากภาพ
คงจะปิดตัวหรือบินไปแล้ว ไม่แน่ใจแฮะ
หวังว่าจะอ่านสนุกนะ ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
ครบรอบ 49 ปี !!! วันกำเนิด Public/Private Key !!! ถ้าไม่มีสิ่งนี้ #Bitcoin และคริปโตก็ไม่เกิด 👏
1 พ.ย. ของทุกปี ถูกตั้งให้เป็นวัน "Diffie-Hellman day" เพื่อรำลึกถึง Whitfield Diffie และ Martin E. Hellman ผู้ริเริ่มแนวคิดเรื่องคู่ Public Key และ Private Key ซึ่งมันทำให้ศาสตร์ Cyptography ก้าวผ่านกำแพงด่านสำคัญของมนุษยชาติมาได้จนวันนี้ !!! คารวะจากใจจริงขอรับ 🙏
ในสมัยก่อน ศาสตร์ Cryptography เคยติดปัญหาใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา นั่นคือการที่ "ผู้รับและผู้ส่ง ต้องใช้ Secret Key เดียวกัน" 🗝
Secret Key เปรียบเสมือนเป็น "กุญแจลับ" ที่ใช้สำหรับ "เข้ารหัสข้อความ" (encrypt) ดังนั้นหากเราอยากจะสื่อสารกับใครแบบลับ ๆ เราจำเป็นจะต้องมี Secret Key เพื่อใช้เข้ารหัสข้อความเสียก่อน 👍
แต่ประเด็นคือ... ไอเจ้า Secret Key มันดันจำเป็นต้องใช้เพื่อ "ถอดรหัสข้อความ" (decrypt) ด้วยเช่นกัน !!! ดังนั้นถ้าอีกฝ่ายไม่มี Secret Key ของเรา ก็จะไม่สามารถอ่านข้อความที่เราสื่อสารไปหาได้ !!! เอ้า !!! ง่าย ๆ คือคนสองคนจะต้องใช้ Secret Key เดียวกัน เพื่อเข้ารหัสข้อความและถอดรหัสข้อความกันไปมา ไม่เช่นนั้นก็จะไม่สามารถสื่อสารกันลับ ๆ สองคนได้ (แค่ฟังก็นึกภาพงานงอกออกเต็มเลย) 🤣
ตอนนี้ถ้าให้เห็นภาพง่าย ๆ ... เราต้องใช้ Secret Key ในการล็อค และต้องใช้มันในการปลดล็อคด้วยเช่นกัน ตอนนี้จึงเหมือน Secret Key มันเป็นทั้ง "แม่กุญ+ลูกกุญแจ" ในอันเดียว ถ้าเราอยากสื่อสารกับใคร ก็ต้องยอมให้เขารู้ Secret Key ของเราด้วย ทีนี้พอจะจินตนาการปัญหาที่จะตามมาได้ไหมสหาย ? 🙃
❌ ปัญหาที่ตามมา คือ... ก็ในเมื่อทั้งผู้รับและผู้ส่งมี Secret Key เดียวกัน หมายความว่าเขาก็จะแอบอ่านข้อความที่เราคุยกับคนอื่นโดยใช้ Secret Key นี้ได้เช่นกัน (ถ้าเราแบ่ง Secret Key ให้คนอื่นใช้มากกว่า 1 คน) นี่คือปัญหาแรก !!!
❌ ไม่พอนะ... เราจะไว้ใจได้ยังไง ว่าผู้รับจะเอา Secret Key เราไปเพื่อใช้ถอดรหัสอ่านข้อความอย่างเดียว ในเมื่อมันคือ Secret Key เดียวกันกับที่เขาสามารถใช้เข้ารหัสข้อความและเป็นผู้ส่งได้เหมือนกัน ผู้รับจึงจะแกล้งตีเนียนเป็นผู้ส่งก็ได้ ส่งข้อความและตีเนียนเป็นอีกฝ่ายหนึ่งก็ได้ ก็ไม่รู้อยู่แล้วนิว่าใครรับใครส่ง เพราะคนเข้ารหัสกับคนถอดรหัสมันคือคนที่มี Secret Key เดียวกัน
ทีนี้... ถ้าโลกยังฝืนดันทุรังใช้ศาสตร์ Cyptography ที่มีช่องโหว่ใหญ่ขนาดนี้กันต่อไป จนถึงขั้นเข้าสู่ยุค Cryptocurrency ขึ้นมา ไม่อยากจะนึกภาพเลย... ในโลกที่คนโอนเงินและคนรับเงินต้องใช้ Secret Key เดียวกัน 😱
ผู้รับเงินที่รู้ Secret Key ของผู้โอน ก็จะสามารถใช้จ่ายเงินในกระเป๋าได้โดยไม่ต้องขออนุญาต สามารถเซ็นธุรกรรมต่าง ๆ หรือ Sign Smart Contract ใด ๆ ก็ได้ จะโยกเงินเราไปที่อื่นเล่น ๆ ยังไงก็ได้ อลม่านกันหมดแน่นอนทีนี้ ต้องขอบคุณนักนวัตกรรมยุคก่อน ๆ ที่ใส่ใจกับปัญหานี้ ไม่ทู่ซี้จะมองข้ามปัญหาและพัฒนาอะไรต่อไปมั่ว ๆ ซั่ว ๆ (เข้าใจเนอะว่าจะสื่ออะไร หึหึ...) เราจึงไม่ต้องประสบกับพหุจักรวาลนั้นกัน ฮู้เร่ !!! 55555555 🌌
และต้องขอขอบคุณ Diffie และ Hellman ที่ริเริ่ม "คู่ Public Key และ Private Key" ขึ้นมา ✅
โดยทั้ง Public Key และ Private Key จะมีความเชื่อมโยงกันในเชิงคณิตศาสตร์ ก็เลยเป็นที่มาที่หลายคนกลัวจะโดน Quantum Computer ย้อนรอยหา Private Key กันหนักหนานั่นแหละ คือมันก็ไม่ใช่ว่ามันไม่มีความเสี่ยงหรอก ตอนนี้มันยังมี แต่ขอไม่พูดเรื่องนี้แล้วนะ ขี้เกียจจะตอบแล้ว แหะ ๆ 😅
โดย Public Key จะมีไว้ใช้ encrypt ได้อย่างเดียว แต่ไม่สามารถใช้ decrypt ได้ เราจึงสามารถส่งในพื้นที่สาธารณะหรือให้ใครรับรู้ก็ได้ โดยไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยในเชิงการเข้ารหัส เพราะต่อให้คนนอกเห็น "แม่กุญแจ" ของเรา แต่เขาก็ไม่มีอะไรมาไข ส่วน Private Key ที่ทำหน้าที่เปรียบเสมือน "ลูกกุญแจ" อันนี้เราต้องเก็บไว้ให้ปลอดภัย เรารู้ได้คนเดียว ไม่ต้องทะลึ่งบ้องไปแชร์ให้ใครทั้งนั้น 🔐
ด้วยเหตุนี้ ศาสตร์ Cyptography จึงแก้ปัญหาคอขวดในอดีตได้ และทำให้เราได้มี #BTC รวมถึงพวกเหรียญคริปโตอื่น ๆ ใช้กันจนปัจจุบันนี้นั่นเองงงง ขอบคุณฮ้าฟฟู่ววว 🎉
และหากย้อนไปยังวันที่เปเปอร์เรื่องนี้ถูกปล่อยออกมา (1 พ.ย. 1976) วันนี้ก็ถือเป็นวันครบรอบ 49 ปีแล้ว หวังว่าจะอ่านสนุกกันนะสหาย ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
ฉลอง 17 ปี #Bitcoin Whitepaper Day ด้วย 17 Fun Facts เกี่ยวกับ Bitcoin White Paper !!! 🤩
🗓️ 1. วันนี้ เป็นวันครบรอบ 17 ปี ที่ White Paper
ของเครือข่าย Bitcoin ถูกเผยแพร่สู่สาธารณชน
โดย Satoshi Nakamoto ตัวผู้สร้าง #BTC เอง
วันนี้ เดือนนี้ เมื่อ 17 ปีก่อน (31 ตุลาคม 2008)
จึงนับเป็นวันปล่อย White Paper แบบทางการ !
(ผู้ที่ได้รับกลุ่มแรกคือเหล่า Mailing List)
📃 2. Bitcoin White Paper ยาวเพียง 2,736 คำ
สั้นกว่าเปเปอร์วิชาการทั่วไปโดยเฉลี่ยราวครึ่งหนึ่ง
(เปเปอร์วิชาการยาวเฉลี่ย 4,000 ถึง 10,000 คำ)
📛 3. มีคำว่า Bitcoin ในเปเปอร์เพียงแค่ 2 ครั้ง
หลายคนเชื่อว่า Satoshi Nakamoto ไม่ได้คิดไว้
และอาจจะมาตั้งชื่อโปรเจ็กต์นี้ว่า Bitcoin ทีหลัง
โดยมีหลักฐานปรากฎไว้ด้วยว่า ซาโตชิ "อาจจะ"
ตั้งใจเรียก “Electronic Cash” หรือ “Netcoin”
ในตอนเริ่มคิดโปรเจ็กต์ (เดี๋ยวแปะวาร์ปให้555)
⏲ 4. ใน White Paper ไม่มีคำว่า "blockchain"
และไม่มีคำว่า "cryptocurrency" แม้แต่คำเดียว
แต่ซาโตชิเรียกสิ่งที่ทำหน้าที่ blockchain ว่า...
"เซิร์ฟเวอร์ประทับเวลา" (timestamp server)
ส่วนเปเปอร์เวอร์ชั่นก่อนหน้า เรียก "timechain"
📦 5. คำที่ใช้บ่อยที่สุด คือ คำว่า "block"
โดย "บล็อก" คือชุดธุรกรรมที่ได้รับการ...
"ประทับเวลา" ลงบนบล็อกเชนแล้ว และได้รับ
"การอนุมัติว่าถูกต้อง" จากเครือข่าย Bitcoin
ซึ่งคำนี้ถูกใช้บ่อยถึง 48 ครั้งใน White Paper
ทั้งนี้คือไม่ได้นับพวกที่เติม s ต่อท้ายนะสหาย
เช่น คำว่า "transaction" กับ "transactions"
จะนับว่าเป็นคนละคำกัน คำไหนถูกใช้กี่ครั้งว่าไป
ทั้งสองคำจะไม่ถูกนับจำนวนการใช้รวมกันนะ
🔢 6. ไม่ได้มีสมการคณิตศาสตร์เยอะขนาดนั้น
หลายคนอาจเข้าใจว่าเปเปอร์นี้ต้อง Geek มาก
คงมีสมการทางคณิตศาสตร์เต็มไปหมดแน่เลย
แต่ความจริง "ไม่ใช่เลย" สหาย นับทั้งเปเปอร์
ประกอบด้วยสมการทางคณิตศาสตร์ทั้งหมด...
เพียงแค่ "3 สมการ" เท่านั้น (เดี๋ยวแปะวาร์ป)
แถมนิด ทั้ง 3 สมการที่ยกขึ้นมาประกอบนั้น...
เพื่อแสดงให้เห็นถึงความน่าจะเป็นที่จะมีคน...
โจมตีหรือขัดขวางเครือข่าย Bitcoin ได้นั่นเอง
คนอ่านจะได้เห็นภาพว่าเครือข่ายปลอดภัย 💪
✍ 7. ซาโตชิเขียนโค้ดก่อนเขียนเปเปอร์
โดยมีข้อความที่เขาเคยบอกว่าเขานั้น...
เขียนโค้ดอยู่ราว 2 ปีก่อนปล่อยเปเปอร์
🗣 8. Bitcoin White Paper มีการอ้างอิง
ถึงแหล่งข้อมูล 8 รายการ ซึ่งในนั้นมีพูดถึง
โปรเจ็กต์ที่พยายามจะสร้างเงินสดดิจิทัล
อย่าง B-money โดย Wei Dei และพูดถึง
Hashcash โดย Adam Back ด้วยเช่นกัน
และในปัจจุบัน ก็มีเพียงแค่ Adam Back
ที่ยังมีมีส่วนร่วมอยู่ในโลกคริปโตทุกวันนี้
(หมายถึงในบรรดาชื่อคนทีพูดถึงอะนะ555)
💻 9. มีการระบุว่า CPU ใช้สร้างบล็อก
ใน White Paper ระบุว่าพลังงานจาก CPU
จะถูกใช้เพื่อสร้างบล็อก ซึ่งไม่ใช่แล้ว !
ปัจจุบันข้อนี้จึงไม่ได้ถูกต้องเสียทีเดียว
เพราะพลังงานคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่
ที่ใช้กันในเครือข่าย มาจากเครื่อง ASIC
🎃 10. จงใจปล่อยในวัน Halloween ?!
วันที่และเวลาแบบเป๊ะ ๆ ที่ปล่อยเปเปอร์
คือ... "วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม" !!! ปี 2008
ณ ตอน 14:10 น. ตามเวลาฝั่งตะวันออก
หลายคนจึงคาดเดาว่าเป็นการ "ตั้งใจ"
เพื่อจะได้เล่นกับธีมของวัน Halloween
ในเรื่อง "การดับสูญและเกิดสิ่งใหม่"
สื่อถึงช่วงเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยเก่า
ที่เงินแบบเก่ากำลังจะได้เวลาจบไป
และได้เวลากำเนิดยุคสมัยเงินใหม่ขึ้น
แต่ก็ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันได้เลย
เป็นเพียงการคิดต่อยอดกันเองเท่านั้น
🤏 11. ไม่มีการพูดเรื่อง 21 ล้านเหรียญ !!!
หลายคนเชื่อว่าเรื่อง Bitcoin จะมีกี่เหรียญ
ซาโตชิน่าจะตัดสินใจเป็นส่วนท้าย ๆ สุดเลย
เพราะในเปเปอร์ไม่มีพูดถึงแม้แต่คำเดียว
มาประกาศเรื่องนี้เอาตอน มกราคม ปี 2009
🔥 12. เป็นที่ถกเถียงยับตอนเปเปอร์ออก !
เหล่า Mailing List (รายชื่อผู้จะได้รับอีเมล)
ต่างถกเถียงกันดุเดือดหลังเปเปอร์ออกมา
จนผู้ดูแลต้องเข้ามาแทรกกลางและห้ามไว้
โดยบอกให้คุยกันแค่เรื่องโปรโตคอลเท่านั้น
หยุดลามไปจวกเงิน Fiat, ภาษี, หรืออื่น ๆ
และถ้าอยากคุยให้ก็ทำ Mailing List แยก
ซึ่ง Satoshi และ Hal Finney ก็ทำแยกจริง
🤔 13. คนแรกที่ตอบกลับเปเปอร์ยังอยู่ !
James A. Donald คือคนแรกที่ตอบกลับ
เพื่อแสดงความเห็นที่มีต่อ White Paper
ซึ่งทุกวันนี้เขาก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่ตอนนั้น...
เขาดันไม่เชื่อด้วยซ้ำว่ามันจะสำเร็จได้จริง
😎 14. Hal Finney นี่แหละของแทร่ !!!
เขาคือคนทดลองใช้งาน Bitcoin คนแรก
และให้การสนับสนุนซาโตชิเรื่อยมาแต่เดิม
ทันทีที่ได้อ่าน White Paper เขาพูดเลยว่า
ระบบ Proof of Work นี่แหละ เป็นแนวคิด
ที่ "มีแนวโน้มจะสำเร็จสูงมาก ๆ" 💪
⚖ 15. White Paper โดนกฎหมายโจมตี
หลายคนตอนนั้นก็ดราม่ากันยับ ไม่แฟร์เลย
แต่ช่างเถอะ เพราะมันทำให้แข็งแกร่งขึ้น
หลัง White Paper โดนสั่งลบ ก็มีเว็บไซต์
หลายแห่งทั่วโลกช่วยกันกระจายให้เลย
แม้แต่เว็บของภารรัฐสหรัฐและเมืองไมอามี
ก็มี White Paper นี้แปะบนหน้าเว็บเช่นกัน
แม้แต่บริษัทมหาชน อย่าง บริษัท Block
และบริษัท Microstrategy ก็ด้วย อิอิ ! 💪
📱 16. บางส่วนของเปเปอร์ก็ไม่ได้ไปต่อ
ใน White Paper ซาโตชิเคยมีเสนอเรื่อง
การแก้ปัญหาด้าน Scaling เอาไว้ โดยใช้
"Simple Payment Verification (SPV)"
เป็นแนวคิดที่จะทำให้ผู้ใช้ยืนยันธุรกรรม
โดยไม่ต้องดาวน์โหลดข้อมูลทั้งหมดมา
ไม่ต้องดึงมาหมดทั้งเครือข่ายบล็อกเชน
แต่แนวคิดนี้ยังมีช่องโหว่และไม่ได้ไปต่อ
(ซึ่งซาโตชิก็รู้ ไม่ได้บอกว่ามันสมบูรณ์)
ข้อเสนอนี้ไม่ได้ถูกนำมาใช้ในท้ายที่สุด
ไม่ได้ถูกพัฒนาต่อ และมีทางอื่นมาแทน
🌐 17. เว็บไซต์แรกที่ให้โหลดเปเปอร์
คือ "Bitcoin .org" ปัจจุบันก็ยังมีอยู่นะ
แถมมีให้เลือกโลดมากกว่า 40 ภาษา
แต่ประเด็นคือ... ข้าได้ยินมาว่าเว็บนี้นั้น
เคยมีประวัติโดนแฮ็คอยู่ และเคยมีเหตุ
ปล่อย client เวอร์ชั่นอันตรายลงในเว็บ
ใครจะเข้าไปยุ่งอะไรกับเว็บนี้ก็ดูให้ดีนะ
เสียหายโทษใครไม่ได้ เช็คกันเอง555
จบแล้วกับ 17 Fun Facts เกี่ยวกับ
#Bitcoin White Paper เพื่อฉลอง
ครบรอบ 17 ปี Whitepaper Day
อ่านกันเพลิน ๆ นะ ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
ทุกอย่างเริ่มขึ้นจากอีเมลฉบับนี้ !!! ครบรอบ 17 ปี อีเมลในตำนาน 📧
📌 วันศุกร์ที่ 31 ต.ค. ปี 2008 เป็นวันที่ Satoshi Nakamoto (ซาโตชิ นากาโมโตะ) ได้ส่งอีเมลฉบับสำคัญของโลก ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งในภายหลัง จนเกิดเป็น #Bitcoin และก้าวข้ามกาลเวลามาจนถึงทุกวันนี้
📝 ศัพท์เทคนิคในอีเมลฉบับนี้ก็ เช่น:
- peer-to-peer = บุคคลถึงบุคคล
- double-spending = การใช้จ่ายซ้ำซ้อน
(เช่น การพยายามทำให้เกิดการโอนเงินจำนวนเดิมที่เคยถูกโอนออกไปแล้วซ้ำอีกรอบ ทั้งที่เงินจำนวนนั้นควรจะถูกโอนออกไปได้แค่รอบเดียว เรียกง่าย ๆ คือการพยายามจะใช้จ่ายเงินก้อนเดิมซ้ำทั้งที่ตัวเองใช้จ่ายไปแล้ว)
- proof-of-work = หลักฐานการทำงาน
(เป็นกลไกฉันทามติที่ใช้ตรวจสอบความถูกต้องในบล็อกเชน หนึ่งในจุดประสงค์หลักที่ถูกคิดค้นขึ้นมาก็เพื่อแก้ไขปัญหา double-spending)
- Hashcash = ชื่อของบล็อกเชนรุ่นบรรพบุรุษที่มาก่อน Bitcoin
อีเมลดังกล่าวใช้หัวข้อว่า "Bitcoin P2P e-cash paper" และเริ่มเกริ่นด้วยการจั่วหัวว่า "ฉันกำลังพัฒนาระบบเงินอิเล็กทรอนิคที่เป็นแบบ peer-to-peer เต็มตัว โดยไม่ต้องเชื่อใจบุคคลที่สาม"
ในอีเมลมีการแนบลิงค์เปเปอร์เอาไว้ให้ผู้ที่สนใจได้เข้าไปอ่านกันแบบละเอียดกันได้ และแอบมีการเปรยคุณสมบัติเอาไว้ในอีเมลก่อนว่า:
✍️ คุณสมบัติหลัก:
- ป้องกัน double-spending ด้วยเครือข่าย peer-to-peer
- ไม่มีการสร้างเหรียญขึ้นมาก่อนหรือมีบุคคลที่สามที่ต้องเชื่อใจใด ๆ
- สามารถมีส่วนร่วมแบบนิรนามได้
- เหรียญใหม่จะเกิดจากระบบ proof-of-work สไตล์ Hashcash
โดยการพิสูจน์การทำงานเพื่อทำให้เกิดเหรียญใหม่ขึ้นมานี้ยังเสริมพลังให้กับเครือข่ายเพื่อป้องกัน double-spending
ประมาณนี้สหาย ที่เหลือพี่แกก็เล่นแปะ Abstract ซะยาวเหยียด ก่อนจะปิดท้ายด้วยลิงค์เปเปอร์อีกรอบ และทิ้งชื่อ Satoshi Nakamoto ลงท้ายตามฉบับคนจดหมายสมัยก่อน 📫
อีเมลในตำนานฉบับนี้ได้ถูกส่งไปให้ Cryptography Mailing List ซึ่งเป็นลิสต์รายชื่ออีเมลของเหล่า cryptographer, นักวิจัย, และผู้ที่มีไฟในคริปโต ณ ตอนนั้น คืออีเมลเหล่านี้มาสมัครขอรับข้อมูลไว้จากเว็บไซต์ เวลาซาโตชิส่งอีเมลหา Cryptography Mailing List ก็คืออีเมลจะถูกส่งกระจายไปให้ทุกคนที่พูดถึงข้างต้นโดยอัตโนมัติ 👍
และทุกวันนี้ #BTC มาไกลมาก ! อีเมลฉบับดังกล่าวนับว่าเป็นอีเมลในตำนานที่ช่วยให้เกิดนวัตกรรมที่ยิ่งใหญของโลกที่ชื่อ Bitcoin เลยก็ว่าได้ เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างก่อนจะมีตลาดคริปโตให้เทรดกันแบบทุกวันนี้ 🤣
และวันนี้ก็ครบรอบ 17 ปีของอีเมลฉบับดังกล่าวแล้วนะสหาย !!! Happy Bitcoin Whitepaper Day นะสหาย !!! ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
นักขุด #BTC ลอยฟ้า ความสูง 18,000 ฟุต ✈
ขุด #Bitcoin บนเครื่องบิน ! กำลังบินอยู่ด้วย !
นับเป็น "ครั้งแรกของโลก" ที่มีการ...
ขุดคริปโตบนเครื่องบิน ที่กำลังบินอยู่
ณ ความสูง 18,000 ฟุต (5.48 กม.) 🌍
วันนี้ (30 ต.ค.) เมื่อ 14 ปีที่แล้ว (2011)
จากกระทู้บน Bitcoin Forum ยุค OG
พบว่ามีคนเปิด Run เครื่องขุดบนฟ้า !!!
พยายามจะขุด BTC, TBX, และ LTC ⛏
ถ้าถามว่าเชื่อมต่อเครือข่ายได้ยังไง
ใช้ WiFi บนเครื่องบินนั่นแหละ ! 📶
ความสูงระดับ 18,000 ฟุตก็ไม่สูงมาก
นับว่ายังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยหากเทียบกับ
สายการบินปกติที่เราใช้งานกันทั่วไป
อยู่แค่ระดับเครื่องบินส่วนตัวลำเล็ก ๆ
เห็นว่าขุดระหว่าง "บินข้ามเมือง" 🏙
เห็นบอกว่า "ทำได้สำเร็จ" ซะด้วย
ไม่มั่นใจว่าหมายถึง Run เครื่องขุด
ขณะอยู่บนที่สูงกลางฟ้าได้สำเร็จ
หรือหมายถึงขุดจนได้ BTC มาด้วย
สำเร็จที่ว่านี่คือยังไงนะอยากรู้ ? 🤔
ตัวกระทู้เดี๋ยวแปะวาร์ปให้ไปส่องกัน...
เผื่อใครอยากรู้อะไรมากกว่านั้นสหาย
ดูเหมือนนี่จะเป็นร่องรอยประวัติศาสตร์
ที่มีการ Run เครื่องขุด ณ บนเครื่องบิน
ความสูง 18,000 ฟุต ครั้งแรกของโลก
นำมาเล่าสู่กันฟัง ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstrเจอกันงานวิ่งเชียงใหม่ สหาย !!! 🧙♂️
#siamstr
ยสตน "ยัง สะสม #Bitcoin ต่อเนื่อง"
#siamstr