Thread

Zero-JS Hypermedia Browser

Relays: 5
Replies: 0
Generated: 03:32:27
image ครบรอบ 49 ปี !!! วันกำเนิด Public/Private Key !!! ถ้าไม่มีสิ่งนี้ #Bitcoin และคริปโตก็ไม่เกิด 👏 1 พ.ย. ของทุกปี ถูกตั้งให้เป็นวัน "Diffie-Hellman day" เพื่อรำลึกถึง Whitfield Diffie และ Martin E. Hellman ผู้ริเริ่มแนวคิดเรื่องคู่ Public Key และ Private Key ซึ่งมันทำให้ศาสตร์ Cyptography ก้าวผ่านกำแพงด่านสำคัญของมนุษยชาติมาได้จนวันนี้ !!! คารวะจากใจจริงขอรับ 🙏 ในสมัยก่อน ศาสตร์ Cryptography เคยติดปัญหาใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา นั่นคือการที่ "ผู้รับและผู้ส่ง ต้องใช้ Secret Key เดียวกัน" 🗝 Secret Key เปรียบเสมือนเป็น "กุญแจลับ" ที่ใช้สำหรับ "เข้ารหัสข้อความ" (encrypt) ดังนั้นหากเราอยากจะสื่อสารกับใครแบบลับ ๆ เราจำเป็นจะต้องมี Secret Key เพื่อใช้เข้ารหัสข้อความเสียก่อน 👍 แต่ประเด็นคือ... ไอเจ้า Secret Key มันดันจำเป็นต้องใช้เพื่อ "ถอดรหัสข้อความ" (decrypt) ด้วยเช่นกัน !!! ดังนั้นถ้าอีกฝ่ายไม่มี Secret Key ของเรา ก็จะไม่สามารถอ่านข้อความที่เราสื่อสารไปหาได้ !!! เอ้า !!! ง่าย ๆ คือคนสองคนจะต้องใช้ Secret Key เดียวกัน เพื่อเข้ารหัสข้อความและถอดรหัสข้อความกันไปมา ไม่เช่นนั้นก็จะไม่สามารถสื่อสารกันลับ ๆ สองคนได้ (แค่ฟังก็นึกภาพงานงอกออกเต็มเลย) 🤣 ตอนนี้ถ้าให้เห็นภาพง่าย ๆ ... เราต้องใช้ Secret Key ในการล็อค และต้องใช้มันในการปลดล็อคด้วยเช่นกัน ตอนนี้จึงเหมือน Secret Key มันเป็นทั้ง "แม่กุญ+ลูกกุญแจ" ในอันเดียว ถ้าเราอยากสื่อสารกับใคร ก็ต้องยอมให้เขารู้ Secret Key ของเราด้วย ทีนี้พอจะจินตนาการปัญหาที่จะตามมาได้ไหมสหาย ? 🙃 ❌ ปัญหาที่ตามมา คือ... ก็ในเมื่อทั้งผู้รับและผู้ส่งมี Secret Key เดียวกัน หมายความว่าเขาก็จะแอบอ่านข้อความที่เราคุยกับคนอื่นโดยใช้ Secret Key นี้ได้เช่นกัน (ถ้าเราแบ่ง Secret Key ให้คนอื่นใช้มากกว่า 1 คน) นี่คือปัญหาแรก !!! ❌ ไม่พอนะ... เราจะไว้ใจได้ยังไง ว่าผู้รับจะเอา Secret Key เราไปเพื่อใช้ถอดรหัสอ่านข้อความอย่างเดียว ในเมื่อมันคือ Secret Key เดียวกันกับที่เขาสามารถใช้เข้ารหัสข้อความและเป็นผู้ส่งได้เหมือนกัน ผู้รับจึงจะแกล้งตีเนียนเป็นผู้ส่งก็ได้ ส่งข้อความและตีเนียนเป็นอีกฝ่ายหนึ่งก็ได้ ก็ไม่รู้อยู่แล้วนิว่าใครรับใครส่ง เพราะคนเข้ารหัสกับคนถอดรหัสมันคือคนที่มี Secret Key เดียวกัน ทีนี้... ถ้าโลกยังฝืนดันทุรังใช้ศาสตร์ Cyptography ที่มีช่องโหว่ใหญ่ขนาดนี้กันต่อไป จนถึงขั้นเข้าสู่ยุค Cryptocurrency ขึ้นมา ไม่อยากจะนึกภาพเลย... ในโลกที่คนโอนเงินและคนรับเงินต้องใช้ Secret Key เดียวกัน 😱 ผู้รับเงินที่รู้ Secret Key ของผู้โอน ก็จะสามารถใช้จ่ายเงินในกระเป๋าได้โดยไม่ต้องขออนุญาต สามารถเซ็นธุรกรรมต่าง ๆ หรือ Sign Smart Contract ใด ๆ ก็ได้ จะโยกเงินเราไปที่อื่นเล่น ๆ ยังไงก็ได้ อลม่านกันหมดแน่นอนทีนี้ ต้องขอบคุณนักนวัตกรรมยุคก่อน ๆ ที่ใส่ใจกับปัญหานี้ ไม่ทู่ซี้จะมองข้ามปัญหาและพัฒนาอะไรต่อไปมั่ว ๆ ซั่ว ๆ (เข้าใจเนอะว่าจะสื่ออะไร หึหึ...) เราจึงไม่ต้องประสบกับพหุจักรวาลนั้นกัน ฮู้เร่ !!! 55555555 🌌 และต้องขอขอบคุณ Diffie และ Hellman ที่ริเริ่ม "คู่ Public Key และ Private Key" ขึ้นมา ✅ โดยทั้ง Public Key และ Private Key จะมีความเชื่อมโยงกันในเชิงคณิตศาสตร์ ก็เลยเป็นที่มาที่หลายคนกลัวจะโดน Quantum Computer ย้อนรอยหา Private Key กันหนักหนานั่นแหละ คือมันก็ไม่ใช่ว่ามันไม่มีความเสี่ยงหรอก ตอนนี้มันยังมี แต่ขอไม่พูดเรื่องนี้แล้วนะ ขี้เกียจจะตอบแล้ว แหะ ๆ 😅 โดย Public Key จะมีไว้ใช้ encrypt ได้อย่างเดียว แต่ไม่สามารถใช้ decrypt ได้ เราจึงสามารถส่งในพื้นที่สาธารณะหรือให้ใครรับรู้ก็ได้ โดยไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยในเชิงการเข้ารหัส เพราะต่อให้คนนอกเห็น "แม่กุญแจ" ของเรา แต่เขาก็ไม่มีอะไรมาไข ส่วน Private Key ที่ทำหน้าที่เปรียบเสมือน "ลูกกุญแจ" อันนี้เราต้องเก็บไว้ให้ปลอดภัย เรารู้ได้คนเดียว ไม่ต้องทะลึ่งบ้องไปแชร์ให้ใครทั้งนั้น 🔐 ด้วยเหตุนี้ ศาสตร์ Cyptography จึงแก้ปัญหาคอขวดในอดีตได้ และทำให้เราได้มี #BTC รวมถึงพวกเหรียญคริปโตอื่น ๆ ใช้กันจนปัจจุบันนี้นั่นเองงงง ขอบคุณฮ้าฟฟู่ววว 🎉 และหากย้อนไปยังวันที่เปเปอร์เรื่องนี้ถูกปล่อยออกมา (1 พ.ย. 1976) วันนี้ก็ถือเป็นวันครบรอบ 49 ปีแล้ว หวังว่าจะอ่านสนุกกันนะสหาย ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙‍♂️ #พ่อมดคริปโต #siamstr
2025-11-01 03:47:33 from 1 relay(s)
Login to reply