Equanimity

Zero-JS Hypermedia Browser

?
Equanimity
npub1pc0f...q6kv
Writing to share reflections and connect with the world. If it resonates with you, feel free to support me ⚡️

Notes (13)

สรุปความเข้าใจส่วนตัวเกี่ยวกับ Stablecoin 1. Stablecoin ช่วยเพิ่มอำนาจรัฐแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน สมมติให้ตัวแทน Stablecoin ของบทความนี้เป็น USDC ซึ่งมีบริษัท Circle เป็นเจ้าของ เมื่อมีคนต้องการซื้อ USDC จำนวน 1B $ Circle จะสร้าง USDC ออกมาจำนวน 1B $ แล้วนำเงินสด 1B $ ที่ได้รับจากผู้ซื้อ ...ไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล (Tbill) อีกทีเพื่อกินดอกเบี้ยสมมติให้เป็น 4% ต่อปี แล้วไหนว่าสำรอง USD : USDC ในอัตราส่วน 1:1 ล่ะ ? Circle ไม่จำเป็นต้องสำรอง USD เต็มจำนวนแต่สำรองแค่ 20% ดังนั้น อีก 80% คือ 800M $ จะนำไปซื้อ Tbill สาเหตุที่บอกว่า 1:1 เพราะแม้ USD ที่มีตอนนี้คือ 200M $ แล้วคนดันมาถอน (Redeem) พร้อมกัน Circle ก็สามารถขาย Tbill ทิ้งเพื่อนำเงินสดมาคืนลูกค้าได้อยู่ดี สถานะจึงเหมือน 1:1 อยู่ตลอดเวลา ลองคิดดูว่า Tbill ที่ Circle ถือนั้น หากถือจนครบกำหนดเวลาจะได้ดอกเบี้ย 4% แต่หากคนมาถอนพร้อมกันเกิน 20% ที่สำรองไว้ก็แค่ขาย Tbill ออกไปในราคาต่ำกว่าหน้าตั๋ว ดอกเบี้ยที่ได้รับจาก 4% ก็อาจจะเหลือแค่ 2% แต่ก็ไม่ล้มอยู่ดี ลองคิดเปรียบเทียบกับระบบการเงินแบบเก่า ภายในระบบ fractional reserve banking ธนาคารสำรองเงินไว้เพียง 10% แต่อีก 90% ปล่อยกู้ให้ personal loan เมื่อเกิดคนมาแห่ถอนเงินพร้อมกัน เกิด bankrun ธนาคารก็ไม่สามารถไปเรียกเงินสดมาจากลูกหนี้ได้ทัน จึงเกิดล้มละลาย ในขณะที่ระบบ Stablecoin นั้นมีกลไกการป้องกันเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น - สภาพคล่องของ Tbill ที่แปลงเป็นเงินสดง่ายกว่า - ความเสี่ยงจากรัฐบาลเบี้ยวหนี้ใกล้เคียง 0 ในขณะที่ Personal loan นั้นสูงมาก โดยรวม Stablecoin จึงดูแข็งแกร่งและล้มยากกว่าระบบแบบดั้งเดิมมาก 2. รัฐยิ่งชอบเพราะไม่ต้องถูก Central bank คานอำนาจ จากข้อ 1 ทำให้เกิด Loop mechanism ที่ทรงพลังดังนี้ 1) มี incentive ให้คนถือ USDC 2) Circle เอาเงินสดไปซื้อ Tbill 3) รัฐได้เงินสดไปใช้, Circle ได้กินดอกเบี้ย, ส่วนคนถือ USDC ตอนนี้ยังไม่ได้อะไร 4) รัฐผลักดันให้ USDC เข้าสู่ mainstream 5) Demand USDC มาก วนกลับไปข้อ 1 สุดท้ายเกิด Win-Win Situation ยิ่งรัฐผลักดัน Circle ยิ่งได้ประโยชน์ รัฐก็ยิ่งได้ประโยชน์ เงินไหลเข้าสู่ภาครัฐมากขึ้น เป็น Positive Loop ที่เสริมอำนาจให้รัฐแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ ในขณะที่ระบบดั้งเดิมการปล่อยกู้โดยธนาคารเน้นการสร้างเงินหมุนเวียนในระดับเอกชน ดังนั้น การมาของ Stablecoin จึงเหมือนเป็นการกลับทิศทางของเงินพุ่งเข้าสู่ภาครัฐเป็นหลัก สิ่งที่เราต้องช่วยกันคิดคือการเพิ่มอำนาจและเงินให้กับรัฐนั้นจะส่งผลกระทบในเชิงบวกและลบอย่างไร ? (คิดว่าน่าจะคล้าย China, Venezuala) 3. สุดท้าย แน่นอน หาก Stable coin มาเร็ว อาจจะทำให้ รัฐมีเงินมากขึ้น เศรษฐกิจดูดี รัฐอาจจะมีเงินใช้จ่ายมาก (GDP โตอีก) อัดฉีดเข้าสู่ระบบได้มาก สร้างงานได้เยอะ ในขณะหนี้จะเพิ่มเป็นเงาตามตัว (เพราะอยู่ในสภาพเสมือนปั๊มเงินได้เรื่อยๆ) หากไม่ใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง และหากใช้จ่ายเกินตัว (not having skin in the game) ในระยะยาวถึงวันใดวันหนึ่งระบบนี้ก็ต้องระเบิดออกอยู่ดี เหมือนร่างกายไม่ไหวนานแล้วแต่อัด steroid high dose อยู่เรื่อยๆ 📌 "ส่วนตัวก็คิดว่าการเปลี่ยนผ่านจาก Fiat system เดิมสู่ระบบใหม่นั้น ก็แค่ซื้อเวลา แต่ปราศจากความจริงใจในการแก้ปัญหาอย่างแท้จริง" "Stablecoin = Economic steroid Bitcoin = Insurance policy" ประเด็นชวนคิดเพิ่มเติม 1. จะเป็นอย่างไรหาก Central bank กระโดดเข้ามาร่วมในสมรภูมินี้ ? 2. จะเป็นอย่างไรหากในระดับประเทศ เช่น จีน ออก Stablecoin มาแข่งขันกับ USDC ? 3. จะเป็นอย่างไรหาก USDC ให้ incentive 2% เมื่อถือครองในขณะที่ธนาคารให้เพียง 0.035%-1% ? #siamstr
2025-07-01 05:31:24 from 1 relay(s) View Thread →
หรือจริงๆแล้วพระพุทธเจ้าเป็นผู้มาก่อนกาลในเรื่อง Grounding ? (เห็นคอมเมนท์จากใน Social) เหตุผลหลักๆของยุคนั้นอาจจะเป็นเรื่องของการแสดงความสมถะเพราะการใช้รองเท้านั้นฟุ่มเฟือย แต่อีกมุมก็เป็นการสอนให้มีสติอยู่กับทุกอย่างก้าว (เพราะหากไม่มีก็คงจะชอกช้ำจากการเผลอเหยียบอะไรเข้า) โดยรวมกลับดูได้ผลในมิติของกาย+ใจ (ปัจจุบันขณะ รู้ตัว) ไปพร้อมๆกันในการทำสิ่งๆนี้ #siamstr
2025-06-20 03:06:41 from 1 relay(s) View Thread →
จริยธรรมการศึกษายาในคน หากโรคที่เราสนใจจะศึกษามีการรักษาหลักที่เป็นมาตรฐาน (ยา X) แล้ว การจะศึกษายาใหม่ (ยา Y) ต้องทำภายใต้สภาวะที่เราต้องให้การรักษามาตรฐานควบคู่ไปด้วย ในมุมนี้ก็เข้าใจได้เพราะไม่อยากให้คนต้องมาเสี่ยงกับอะไรที่ยังไม่ชัวร์ แต่มองอีกมุมคือหากยา Y นั้นมันอาจจะเกิดมาเพื่อ Disrupt ยา X ล่ะ ? ทั้งถูกกว่า ดีกว่า การวางกรอบเช่นนี้มันก็ยากที่จะทำให้ยา Y ได้มีตัวตนบนโลก กล่าวคือในการทำงานวิจัย Y นั้น มี Barrier to entry ที่ค่อนข้างสูง 1. หากทุนไม่มากพอก็ยากจะทำงานวิจัยขนาดใหญ่ดังเช่นยา X ได้ การทดลองนี้ก็อาจไม่คุ้มค่าที่จะทำ (และมักพบว่าบริษัทยาระดับโลกเป็นเจ้าของยา X) 2. หรือหากทดลองทำแล้วกลุ่มตัวอย่างน้อย (ทุนสนับสนุนน้อย) ผลสรุปที่ออกมาก็อาจจะไร้ประสิทธิภาพ ทั้งๆที่หากเพิ่มกลุ่มตัวอย่างมากพอ ผลก็อาจจะต่างไปจากนี้ก็ได้ โดยสรุปผมเห็นด้วยว่ายาในหลัก standard treatment ต่างๆนั้นน่าจะมีประโยชน์จริงๆ เพียงแต่สิ่งที่อาจจะดีกว่า คุ้มค่ากว่านั้นไม่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นด้วยเหตุผลดังกล่าว จะว่าไปมันก็เหมือนธรรมชาติของ Bitcoin นั่นแหละ ที่มักจะมีกฎระเบียบควบคุมคุมกำเนิดเต็มไปหมด แต่มันอยู่รอดมาได้เพราะมันเกินควบคุมจนเริ่มมีผู้มีอำนาจเข้าร่วม ในขณะที่ยาหรือคำแนะนำโภชนาการต่างๆนั้นผมมองว่ากฎระเบียบควบคุมแนวทางใหม่ๆได้อยู่หมัด หากใครคัดค้าน ก็จะยกประเด็นว่าสิ่งที่คุณทำนั้นไม่มีงานวิจัยรองรับหรืองานวิจัยคุณไม่มากพอ #siamstr
2025-06-18 04:26:04 from 1 relay(s) View Thread →
เรื่อง Bitcoin นั้นเป็นเรื่องที่ผมอยากให้คนรู้มากที่สุด แต่ผมก็ยังมีความสงวนท่าทีได้แต่เพียงพูดอ้อมๆว่า เงินเฟ้อ มีคนพิมพ์เงิน มากกว่าที่จะพูดตรงๆว่าคุณสามารถเก็บออมในสิ่งนี้ได้นะ เท่าที่สังเกตมันเหมือนกับเราพูดเกี่ยวกับธรรมะในโลกที่เต็มไปด้วยสมมติ ก็มักจะถูกบางคนก่นด่า หาว่าหลอกตัวเอง หลุดโลก บิทคอยน์ก็เช่นกัน ที่อาจจะโดนทัวร์ลง ก่นด่า สาปแช่งว่า เพ้อฝัน รวยหรือยัง ไม่เชื่อหรอก เอาไว้รวยค่อยมาบอก กล่าวคือ หากข้อมูลใดขัดกับแนวคิดส่วนใหญ่ในสังคมมักจะถูกตอบโต้ในทันทีโดยไม่สนใจ ความจริงเบื้องหลัง #siamstr
2025-06-17 11:55:48 from 1 relay(s) View Thread →
ความย้อนแย้งอย่างหนึ่งเกี่ยวกับวัคซีนโควิด (หรือเรื่องอื่นๆ เช่น ยา, อาหาร, เศรษฐกิจ, ฯลฯ) คือ ข้อมูลด้านลบจะถูกมองเป็น Conspiracy ส่วนข้อมูลด้านบวก ประสิทธิภาพ กลับถูกตีพิมพ์อย่างเป็นทางการ ส่งผลให้ผู้คน (รู้สึก) เชื่อถือมากกว่า โดยขาดการตั้งคำถามว่าแม้จะน่าเชื่อถือแต่มันคือสิ่งที่เป็นความจริงตามกล่าวอ้างหรือไม่ กลับกันสิ่งที่ถูกมองเป็น Conspiracy แม้จะเป็นรายงานที่หลุดมา ไม่ได้ถูกตีพิมพ์ แต่หากมันเป็นความจริงก็ควรค่าแก่การทำความเข้าใจมิใช่หรือ "Truth ≠ Credibility" #siamstr
2025-06-16 02:32:45 from 1 relay(s) View Thread →
ความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้น(สุข-ทุกข์และอื่นๆ) แท้จริงอาจเป็นเพียงสมมติ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นจริง เพียงแต่ดั้งเดิมนั้นไม่มีชื่อเรียก เมื่อไม่มีชื่อเรียก ก็ไม่เกิดการปรุงแต่ง เมื่อไม่ปรุงแต่งจิตจึงไม่มีที่ให้เกาะ #siamstr
2025-06-13 04:11:09 from 1 relay(s) View Thread →
"เมื่อกรรมเก่าให้ผลจนถึงจุดหนึ่ง สิ่งที่จะส่งผลต่อไปย่อมขึ้นกับสิ่งที่ทำในปัจจุบัน" ดังนั้น จึงเป็นเหตุว่าทำไมจึงต้องหมั่นทำปัจจุบันให้ดี image
2025-06-12 07:01:02 from 1 relay(s) View Thread →
ในมุมมองส่วนตัว คำแนะนำด้านสุขภาพ โภชนาการ การรักษาโรคต่างๆ ล้วนมี Bias โดยเฉพาะหากคำแนะนำเหล่านั้นต้องอ้างอิงงานวิจัยที่มีความน่าเชื่อถือระดับสูง ผู้เข้าร่วมทดลองมากๆ คำถามง่ายๆคือ 1.ผู้อนุมัติตีพิมพ์มีส่วนได้ส่วนเสียกับงานวิจัยเหล่านั้นไหม 2.ผู้ให้งบสนับสนุนงานวิจัยหากเป็นบริษัทเชิงพาณิชย์ เช่น บริษัทยา, บริษัทอาหาร เรามั่นใจได้อย่างไรว่าบริษัทเหล่านั้นจะไม่มีอิทธิพลต่อผลสรุปจากงานวิจัยนั้น 3.Barrier to entry สูง กล่าวสั้นๆคือ ต้องมีเงินทุนระดับสูง มีเครือข่าย มีทีมงาน กว่าจะทำงานวิจัยหนึ่งขึ้นมาได้ แล้วคำถามคือถ้ามีสิ่งที่มันเป็นความจริง เป็นสิ่งที่ดีต่อชีวิตคนจริงๆแต่ไม่ถูกนำมาทำงานวิจัยเพราะปัญหาด้านเงินทุนหรือไม่ถูกตีพิมพ์ สิ่งเหล่านี้จะถูกสังคมปัดตกเพียงเพราะมันไม่ถูกตีพิมพ์ มันไม่ถูกนำมาวิจัยในการทดลองขนาดใหญ่เช่นนั้นหรือ ? Bias ในโลกปัจจุบันที่พบเห็นคือ 1.มี paper สนับสนุนความคิดดังกล่าวไหม 2.ถูกตีพิมพ์ลงในวารสารชื่อดังไหม impact factor เท่าไหร่ 3.เป็น Meta-analysis ไหม กลุ่มตัวอย่างมากพอไหม โดยสรุปผมมองว่าสิ่งที่มันเป็นความจริง สิ่งที่มันมีคุณค่าในตัวมัน ไม่ว่าจะยาหรืออาหารใดๆที่ยัง undiscovered หรือไม่ถูกกล่าวถึงในกระแสหลัก มันก็จะยังเป็นจริงอยู่วันยันค่ำ แม้ไม่ได้ตีพิมพ์ลงวารสารชื่อดัง แม้จะไม่ได้ถูกจัดอยู่ในคำแนะนำทางการแพทย์ตำราใดๆเลยก็ตาม ปล. ทั้งนี้หลายๆคำแนะนำในปัจจุบันก็เป็นสิ่งที่ดีมีคุณค่านะแต่สำคัญคือว่าเราจะแยกคำแนะนำที่มีคุณค่าจริงๆและคำแนะนำที่มีผลประโยชน์เบื้องหลังออกจากกันได้อย่างไร ตรงนั้นน่าจะเป็นประโยชน์กับสังคมมากกว่า #siamstr
2025-06-10 10:02:27 from 1 relay(s) View Thread →
เล่น Nostr มาได้ 1 วัน...สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้คือได้เห็นชีวิต/เห็นความหลากหลาย/เห็นความคิดของคนที่มีตัวตนจริงๆมากกว่าโฆษณา มากกว่าบอทหรือเพจต่างๆที่ก๊อป content ตัวเดียวกันแต่เอามาวนฉายซ้ำในหลายๆที่เพื่อเรียก engagement เรียกยอด view เพื่อประโยชน์ในเรื่องของการสร้างรายได้หรือขายเพจ ที่สำคัญ Algorithm ก็มักจะนำเสนอแต่สิ่งที่เราสนใจจนบางครั้งก็เหมือนเป็นพันธนาการตรึงเราไว้ ไม่ให้มีโอกาสได้พบเห็นสิ่งใหม่ๆที่อาจจะเป็นประโยชน์กับเราในอนาคต #siamstr
2025-06-09 09:45:06 from 1 relay(s) View Thread →
อีก 3 วันจะครบ 2 ปี 2 ปีที่ใช้ชีวิตไปวันๆไม่ได้มีหวังอะไร ไม่กล้าฝันไกล ที่น่าตลกคือว่า productivity (ส่วนตัว) นั้นเยอะกว่าช่วงที่มีแรงบันดาลใจ มีความฝัน มีหวังมากๆ มันอาจจะดีในแง่ที่มีผลผลิตที่จับต้องได้ แต่ความสนุกในชีวิต ความกล้าฝัน กล้าหวัง กล้าเสี่ยงกับสิ่งที่คุ้มค่าจะเสี่ยงแบบแต่ก่อนนั้นไม่มี ซึ่งเหตุที่ไม่มีก็ไม่ใช่ใครอื่นก็เพราะตัวเองปิดกั้นตัวเอง เป็นเพราะตัวเองที่บอกว่ามองโลกตามความเป็นจริงได้ละ ทุกคนไม่ได้ตามที่ฝันหรอก แต่การคิดแบบนั้นแม้จะถูกต้องในแง่ของการช่วยให้อยู่กับความเป็นจริงแต่ก็ต้องไม่สุดโต่งไปจนถึงขนาดทำให้ไม่อยากฝันอะไร ไม่กล้าทำอะไร กล่าวคือแม้จะอยู่กับความเป็นจริงมากขึ้น แม้จะรู้ว่าฝันนั้นมันยาก แม้อนาคตไม่แน่นอน ทุกอย่างไม่เที่ยง แต่ต้องไม่หมดหวังเช่นนี้ (หากยังไม่หวังสูงกว่านั้น) เพราะความไม่อยากฝัน มันก็คือความอยาก "ไม่มีฝัน" อีกรูปแบบหนึ่ง ความเข้มข้นของอารมณ์พอๆกัน ซึ่งอาจไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ #siamstr
2025-06-09 06:00:32 from 1 relay(s) View Thread →
เมื่อเห็นความคิด สิ่งที่เหลือจะมีแค่ปัจจุบัน เริ่มจากการมองดูตัวเอง ตอนนี้มีความคิดอะไรผุดขึ้นมา กรณีมีเสียงในหัวก็ให้ฟังดู กรณีมีแต่ความรู้สึกที่ยากจะนิยามก็แค่ให้รู้สึกเพื่อเห็นโดยไม่ต้องคิดต่อเติมสิ่งใดเพิ่ม เมื่อทำเช่นนี้เป็นประจำแล้ว สติ สมาธิจะมากขึ้น แต่ถึงกระนั้นหากเลิกทำไปสักระยะก็จะกลับไปในสภาพเดิมได้ ซึ่งเป็นสภาพที่ตามความคิดไม่ทัน ไม่รู้ตัว ไม่เห็นว่ากำลังคิดอะไร แต่ก็กลับคิดและทำสิ่งนั้นแล้ว ยกตัวอย่าง เช่น หากโกรธแต่ไม่รู้ตัวว่าโกรธ เราก็จะกลายเป็นความโกรธนั้นแล้วก็จะเผลอลงมือทำอะไรตามอารมณ์นั้นอย่างไม่รู้ตัว ความเกี่ยวโยงกับบิทคอยน์ ? การรู้ตัวเช่นนี้อาจทำให้สิ่งเย้ายวนชวนให้เสียเงินนั้นมีอิทธิพลต่อเราลดลง เราอาจจะเหลือเงินเก็บมากขึ้นเพื่อไปออมในบิทคอยน์เพื่อให้มีอิสรภาพในวันข้างหน้าเพื่อเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้ธรรมในระดับที่สูงยิ่งๆขึ้นไป เพราะหากชีวิตยังต้องรีบเร่ง ยังต้องมีงานให้ทำและเหนื่อยล้าทุกวันยากที่จะหยุดอยู่นิ่งๆ โอกาสที่จะได้ศึกษาและเข้าใจธรรมก็ย่อมน้อยลง #siamstr
2025-06-08 18:23:18 from 1 relay(s) View Thread →
ประสบการณ์ลดหวาน (ส่วนตัว) 1. พยายามลดมาตั้งแต่มหาลัยแต่ไม่สำเร็จ ใช้หลักการ taper dose เหมือน steroid หวานปกติ (100%) > 75% > 50% > 25%> กินทุกวัน > กินวันเว้นวัน สุดท้ายลงต่อไม่ได้และติด ไปๆมาๆก็กลับไปสั่งหวาน 50-75% เช่นเดิม บางที 100% (เครื่องดื่ม) แม้ผมรู้ดีว่าของหวานไม่ดีต่อสุขภาพ ก่อให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังตามมาอีกมากมาย ภูมิต้านทานต่ำ แต่กระนั้นเหตุผลเหล่านี้มันก็ยังไม่หนักแน่นพอที่จะทำให้เปลี่ยนพฤติกรรมได้ 2. วันนึงเจอบทความพูดเกี่ยวกับว่าจริงๆเราไม่ต้องกินหวานก็ได้ เราทานโปรตีน ไขมัน คาร์บ มันก็ถูกเปลี่ยนเป็นกลูโคสและให้พลังงานอยู่ละ เพียงแต่ไม่ได้รสชาติ > จึงทดลองเพื่อหักล้างความเชื่อเดิมที่ว่าเมื่อล้าเมื่อเพลียต้องทานของหวานเท่านั้นจึงจะสดชื่น 3. เริ่มจากหักดิบ ตั้งใจเลยว่าจะไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่ taper อะไรทั้งนั้น สักพักพอถึงจุดที่มึนหัวทนไม่ไหวแทนที่จะไปสั่งน้ำหวาน เช่นเดิม เลยลองกินไข่ต้มแทนในครั้งแรก 2-3 ฟอง 4. หลังกินไข่ต้มไปยังคงกระวนกระวายไม่หาย แต่ผ่านไปสัก 20 นาทีเหมือนร่างกายพึ่งย่อยไข่เสร็จและส่งสัญญาณว่าน้ำตาลเข้ากระแสเลือดแล้ว > หายมึนหัว > เริ่มตั้งสมมติฐานว่าจริงๆแล้ว เราไม่ต้องทานน้ำตาลโดยตรงก็ได้นี่ กินอะไรมันก็ฟื้นจากความอ่อนเพลียได้เหมือนกันขอแค่ให้พลังงานและปลดปล่อยน้ำตาลช้าๆ 5. พอทำซ้ำเรื่อยๆ (เป็นสัปดาห์) สมองเริ่มไม่ติดรสหวาน กล่าวคือ อาการมึนหัวกระหายของหวานเริ่มลดลง แม้จะมีบ้างแต่พอทานโปรตีน ทานนมจืดไป มันก็สดชื่นได้ในเวลาไม่กี่นาที ซึ่งต่างจากแต่ก่อนที่ต้องเป็นของหวานจัดๆเท่านั้นจึงจะสดชื่น 6. ทำไปสัก 2 สัปดาห์ เริ่มชินกับการไม่กินหวานก็ได้ ไม่ได้เกิดอาการถอนมากเหมือนช่วงแรก 7. พอกลับไปกินอะไรที่หวานเท่าๆเดิมก็จะรู้สึกหวานมาก เลี่ยน เพราะร่างกายเคยชินกับสภาวะใหม่ที่หวานน้อยลงแล้ว ความยากคือ อาการถอนช่วงแรก ถ้าอดทนผ่านไปได้ซ้ำ จะเริ่มง่ายขึ้น เมื่ออาการถอนมา ความเป็นเหตุเป็นผลความตั้งใจต่างๆที่เคยมีมันจะหายไปหมด เหลือเพียงความต้องการของหวานในทันที ต้องพยายามรู้ทันเพื่อที่จะได้รับมืออย่างเหมาะสม เช่น เตรียมอาหารไว้รอ คำเตือน - ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ - แต่ละคนมีความแตกต่างในการตอบสนองต่อการลดน้ำตาลต่างกัน - อาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการหรือแพทย์จะช่วยให้การลดน้ำตาลปลอดภัยและเหมาะสมกับแต่ละบุคคล และสุดท้ายสิ่งที่ทำให้สำเร็จจริงๆอาจจะไม่ใช่เพราะตระหนักเรื่องสุขภาพ แต่เพราะผมอยากมีสิทธิ์เลือกว่าจะกิน-ไม่กินอะไร อันไหนเหมาะ-ไม่เหมาะด้วยตนเอง มากกว่าที่จะโดนอิทธิพลของการตลาด ของสื่อครอบงำ โดยที่วัตถุประสงค์หลักของสื่อเหล่านั้นมักจะให้ความสำคัญกับผลกำไรของสินค้าเป็นหลักและประโยชน์ต่อผู้บริโภคในลำดับท้ายๆ กล่าวคือผม trustless ต่อคำแนะนำ ต่อคำโปรยบนฉลากของสิ่งเหล่านั้น ผมไม่ได้สนใจว่าพรุ่งนี้ มะรืนนี้จะป่วยอะไรร้ายแรงไหมจากการทำเช่นนี้ ผมแค่อยากมีสิทธิ์เลือกด้วยตัวเองอย่างแท้จริงต่างหาก(และแนวคิด trustless นี้เองผมก็ได้รับอิทธิพลมาจากการศึกษา bitcoin และการเรียนในคาบวิชา Media Literacy) #siamstr
2025-06-08 06:34:50 from 1 relay(s) View Thread →
Hello world ! #siamstr
2025-06-08 06:26:56 from 1 relay(s) View Thread →