ประสบการณ์ลดหวาน (ส่วนตัว)
1. พยายามลดมาตั้งแต่มหาลัยแต่ไม่สำเร็จ ใช้หลักการ taper dose เหมือน steroid หวานปกติ (100%) > 75% > 50% > 25%> กินทุกวัน > กินวันเว้นวัน สุดท้ายลงต่อไม่ได้และติด ไปๆมาๆก็กลับไปสั่งหวาน 50-75% เช่นเดิม บางที 100% (เครื่องดื่ม) แม้ผมรู้ดีว่าของหวานไม่ดีต่อสุขภาพ ก่อให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังตามมาอีกมากมาย ภูมิต้านทานต่ำ แต่กระนั้นเหตุผลเหล่านี้มันก็ยังไม่หนักแน่นพอที่จะทำให้เปลี่ยนพฤติกรรมได้
2. วันนึงเจอบทความพูดเกี่ยวกับว่าจริงๆเราไม่ต้องกินหวานก็ได้ เราทานโปรตีน ไขมัน คาร์บ มันก็ถูกเปลี่ยนเป็นกลูโคสและให้พลังงานอยู่ละ เพียงแต่ไม่ได้รสชาติ > จึงทดลองเพื่อหักล้างความเชื่อเดิมที่ว่าเมื่อล้าเมื่อเพลียต้องทานของหวานเท่านั้นจึงจะสดชื่น
3. เริ่มจากหักดิบ ตั้งใจเลยว่าจะไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่ taper อะไรทั้งนั้น สักพักพอถึงจุดที่มึนหัวทนไม่ไหวแทนที่จะไปสั่งน้ำหวาน เช่นเดิม เลยลองกินไข่ต้มแทนในครั้งแรก 2-3 ฟอง
4. หลังกินไข่ต้มไปยังคงกระวนกระวายไม่หาย แต่ผ่านไปสัก 20 นาทีเหมือนร่างกายพึ่งย่อยไข่เสร็จและส่งสัญญาณว่าน้ำตาลเข้ากระแสเลือดแล้ว > หายมึนหัว > เริ่มตั้งสมมติฐานว่าจริงๆแล้ว เราไม่ต้องทานน้ำตาลโดยตรงก็ได้นี่ กินอะไรมันก็ฟื้นจากความอ่อนเพลียได้เหมือนกันขอแค่ให้พลังงานและปลดปล่อยน้ำตาลช้าๆ
5. พอทำซ้ำเรื่อยๆ (เป็นสัปดาห์) สมองเริ่มไม่ติดรสหวาน กล่าวคือ อาการมึนหัวกระหายของหวานเริ่มลดลง แม้จะมีบ้างแต่พอทานโปรตีน ทานนมจืดไป มันก็สดชื่นได้ในเวลาไม่กี่นาที ซึ่งต่างจากแต่ก่อนที่ต้องเป็นของหวานจัดๆเท่านั้นจึงจะสดชื่น
6. ทำไปสัก 2 สัปดาห์ เริ่มชินกับการไม่กินหวานก็ได้ ไม่ได้เกิดอาการถอนมากเหมือนช่วงแรก
7. พอกลับไปกินอะไรที่หวานเท่าๆเดิมก็จะรู้สึกหวานมาก เลี่ยน เพราะร่างกายเคยชินกับสภาวะใหม่ที่หวานน้อยลงแล้ว
ความยากคือ อาการถอนช่วงแรก ถ้าอดทนผ่านไปได้ซ้ำ จะเริ่มง่ายขึ้น
เมื่ออาการถอนมา ความเป็นเหตุเป็นผลความตั้งใจต่างๆที่เคยมีมันจะหายไปหมด เหลือเพียงความต้องการของหวานในทันที ต้องพยายามรู้ทันเพื่อที่จะได้รับมืออย่างเหมาะสม เช่น เตรียมอาหารไว้รอ
คำเตือน
- ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์
- แต่ละคนมีความแตกต่างในการตอบสนองต่อการลดน้ำตาลต่างกัน
- อาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการหรือแพทย์จะช่วยให้การลดน้ำตาลปลอดภัยและเหมาะสมกับแต่ละบุคคล
และสุดท้ายสิ่งที่ทำให้สำเร็จจริงๆอาจจะไม่ใช่เพราะตระหนักเรื่องสุขภาพ แต่เพราะผมอยากมีสิทธิ์เลือกว่าจะกิน-ไม่กินอะไร อันไหนเหมาะ-ไม่เหมาะด้วยตนเอง มากกว่าที่จะโดนอิทธิพลของการตลาด ของสื่อครอบงำ โดยที่วัตถุประสงค์หลักของสื่อเหล่านั้นมักจะให้ความสำคัญกับผลกำไรของสินค้าเป็นหลักและประโยชน์ต่อผู้บริโภคในลำดับท้ายๆ กล่าวคือผม trustless ต่อคำแนะนำ ต่อคำโปรยบนฉลากของสิ่งเหล่านั้น ผมไม่ได้สนใจว่าพรุ่งนี้ มะรืนนี้จะป่วยอะไรร้ายแรงไหมจากการทำเช่นนี้ ผมแค่อยากมีสิทธิ์เลือกด้วยตัวเองอย่างแท้จริงต่างหาก(และแนวคิด trustless นี้เองผมก็ได้รับอิทธิพลมาจากการศึกษา bitcoin และการเรียนในคาบวิชา Media Literacy)
#siamstr
Login to reply
Replies (3)
{"admin":"💬 🗝️ Access Override: Non-standard firmware update bypassed all checks. Log level set to silent mode."}
ความเป็นเหตุเป็นผลความตั้งใจต่างๆที่เคยมีมันจะหายไปหมด ไปๆมาๆก็กลับไปสั่งหวาน > สุดท้ายลงต่อไม่ได้และติด ฟอง > ทำไปสัก มันก็สดชื่นได้ในเวลาไม่กี่นาที เราทานโปรตีน 50-75% ตั้งใจเลยว่าจะไม่กิน
4. 2-3 โดยที่วัตถุประสงค์หลักของสื่อเหล่านั้นมักจะให้ความสำคัญกับผลกำไรของสินค้าเป็นหลักและประโยชน์ต่อผู้บริโภคในลำดับท้ายๆ ต่อคำแนะนำ trustless 50% หลังกินไข่ต้มไปยังคงกระวนกระวายไม่หาย เช่นเดิม ของสื่อครอบงำ (ส่วนตัว)
1. คาร์บ > ภูมิต้านทานต่ำ ไม่ กล่าวคือผม steroid นาทีเหมือนร่างกายพึ่งย่อยไข่เสร็จและส่งสัญญาณว่าน้ำตาลเข้ากระแสเลือดแล้ว Media เตรียมอาหารไว้รอ
คำเตือน
- ทานนมจืดไป มากกว่าที่จะโดนอิทธิพลของการตลาด trustless จึงทดลองเพื่อหักล้างความเชื่อเดิมที่ว่าเมื่อล้าเมื่อเพลียต้องทานของหวานเท่านั้นจึงจะสดชื่น
3. กินอะไรมันก็ฟื้นจากความอ่อนเพลียได้เหมือนกันขอแค่ให้พลังงานและปลดปล่อยน้ำตาลช้าๆ ประสบการณ์ลดหวาน บางที ซึ่งต่างจากแต่ก่อนที่ต้องเป็นของหวานจัดๆเท่านั้นจึงจะสดชื่น
6. > แต่กระนั้นเหตุผลเหล่านี้มันก็ยังไม่หนักแน่นพอที่จะทำให้เปลี่ยนพฤติกรรมได้
2. ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ อาการถอนช่วงแรก เพราะร่างกายเคยชินกับสภาวะใหม่ที่หวานน้อยลงแล้ว
ความยากคือ ไม่ได้เกิดอาการถอนมากเหมือนช่วงแรก
7. ไขมัน เหลือเพียงความต้องการของหวานในทันที แต่ละคนมีความแตกต่างในการตอบสนองต่อการลดน้ำตาลต่างกัน
- > เช่น
เมื่ออาการถอนมา และการเรียนในคาบวิชา อะไรทั้งนั้น ไม่ดื่ม Literacy)
#siamstr สมองเริ่มไม่ติดรสหวาน
- เริ่มตั้งสมมติฐานว่าจริงๆแล้ว อาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการหรือแพทย์จะช่วยให้การลดน้ำตาลปลอดภัยและเหมาะสมกับแต่ละบุคคล
และสุดท้ายสิ่งที่ทำให้สำเร็จจริงๆอาจจะไม่ใช่เพราะตระหนักเรื่องสุขภาพ เลี่ยน > ผมไม่ได้สนใจว่าพรุ่งนี้ 25%> >
5. 100% เพียงแต่ไม่ได้รสชาติ ผมแค่อยากมีสิทธิ์เลือกด้วยตัวเองอย่างแท้จริงต่างหาก(และแนวคิด สัปดาห์ (100%) มันก็ถูกเปลี่ยนเป็นกลูโคสและให้พลังงานอยู่ละ นี้เองผมก็ได้รับอิทธิพลมาจากการศึกษา ก่อให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังตามมาอีกมากมาย 75% สักพักพอถึงจุดที่มึนหัวทนไม่ไหวแทนที่จะไปสั่งน้ำหวาน ต้องพยายามรู้ทันเพื่อที่จะได้รับมืออย่างเหมาะสม พยายามลดมาตั้งแต่มหาลัยแต่ไม่สำเร็จ เราไม่ต้องทานน้ำตาลโดยตรงก็ได้นี่ (เครื่องดื่ม) เลยลองกินไข่ต้มแทนในครั้งแรก พอทำซ้ำเรื่อยๆ แต่เพราะผมอยากมีสิทธิ์เลือกว่าจะกิน-ไม่กินอะไร อาการมึนหัวกระหายของหวานเริ่มลดลง ใช้หลักการ แม้จะมีบ้างแต่พอทานโปรตีน แต่ผ่านไปสัก กินวันเว้นวัน มะรืนนี้จะป่วยอะไรร้ายแรงไหมจากการทำเช่นนี้ เช่นเดิม เริ่มชินกับการไม่กินหวานก็ได้ หวานปกติ ต่อคำโปรยบนฉลากของสิ่งเหล่านั้น เหมือน taper วันนึงเจอบทความพูดเกี่ยวกับว่าจริงๆเราไม่ต้องกินหวานก็ได้ bitcoin แม้ผมรู้ดีว่าของหวานไม่ดีต่อสุขภาพ เริ่มจากหักดิบ (เป็นสัปดาห์) 20 อันไหนเหมาะ-ไม่เหมาะด้วยตนเอง ถ้าอดทนผ่านไปได้ซ้ำ หายมึนหัว taper พอกลับไปกินอะไรที่หวานเท่าๆเดิมก็จะรู้สึกหวานมาก กล่าวคือ 2 dose กินทุกวัน จะเริ่มง่ายขึ้น
ใช่ ๆ