แวะจิบน้ำเย็น ๆ @Narita Izakaya
#siamstr


Zero-JS Hypermedia Browser


ทดลองเป็นร้านกาแฟกันดีกว่า
.
ลองมองจาก มาตรฐานทองคำ
.
เริ่มจาก ทองคำดิบ
.
หลอมเป็น เหรียญทอง / ทองคำแท่ง ที่มีการตีตรารับรอง
.
ต่อมาเป็น ใบรับรองทองคำ ที่ใช้แทนทองจริง
.
จนกลายเป็น ธนบัตรและเครดิต ที่ในอดีตเคยหนุนหลังด้วยใบรับรองทองคำ แต่ในเวลาต่อมาก็ไม่ต้องมีทองคำหนุนหลังอีกต่อไป และกลายเป็น เงินเฟียต แบบที่เราใช้กันทุกวันนี้
.
.
ทุกชั้นเกิดขึ้นเพราะเราต้องการ “ความสะดวก” มากขึ้น แต่ก็ตามมาด้วย “ความต้องเชื่อใจ” ที่มากขึ้นเช่นกัน
.
บิตคอยน์ก็เดินเส้นทางเดียวกันครับ
.
มันเริ่มจาก บิตคอยน์ ที่ใช้พลังงานในการขุดปกป้องธุรกรรมที่บันทึกบนบล็อกเชน (On-chain) ทุกคนตรวจสอบเองได้ (เหมือนทองคำดิบ) แต่เมื่อใช้งานจริง ก็มีการสร้างชั้นอื่นตามมา —
.
Lightning Network เครือข่ายของ payment channel บนบิตคอยน์ ทำให้การโอนเงินเร็วขึ้น ค่าธรรมเนียมต่ำลง โดยไม่ต้องบันทึกทุกธุรกรรมบนบล็อกเชนหลัก
.
Taproot Assets เปิดทางให้ออกสินทรัพย์ดิจิทัลรูปแบบต่าง ๆ บนบิตคอยน์ เช่น stablecoin
.
Cashu / Fedimint ระบบเงินสดอิเล็กทรอนิกส์ (eCash) ที่ใช้งานง่ายขึ้น และยังรักษาความเป็นส่วนตัวแก่ผู้ใช้งาน
.
และในอนาคตก็จะมีเทคโนโลยีอีกหลายอย่างที่พัฒนาขึ้นเป็นลำดับชั้นถัดไป
.
แม้ว่าตอนนี้ลำดับชั้นของบิตคอยน์ยัง “ไม่ชัดเจน” เพราะอยู่ระหว่างการพัฒนาและทดลองจริงอย่างต่อเนื่อง
.
และนี่แหละครับคือสิ่งที่น่าตื่นเต้น…
.
เราอาจกำลังอยู่ในยุคที่ได้เห็น “การสร้างพีระมิดเงินแบบใหม่” ที่ไม่ผูกขาดโดยธนาคารหรือรัฐบาล แต่เปิดโอกาสให้ทุกคนเลือกเองได้ว่าจะอยู่บนชั้นไหน — และที่สำคัญ มันคือ ระบบการเงินดิจิทัลที่ไร้ข้อจำกัดทางกายภาพ เข้าถึงได้จากทุกที่บนโลก
.
บทความนี้ผมได้แรงบันดาลใจจาก The Bitcoin Second Layer และหนังสือ Layerd Money โดย Nik Bhatia ใครสนใจแนวคิดนี้ ลองติดตามอ่านกัน แล้วมาพูดคุยถามกันได้ครับ
#siamstr
แต่ในยุคที่ค่าเงินเสื่อมลงทุกลมหายใจ วงจรนี้กำลังถูกฆ่าตายทั้งระบบ ปลายน้ำต้องดิ้นรนหาเงินแทบไม่พอประทังชีวิต จะให้เหลือมาสนับสนุนกลางน้ำหรือต้นน้ำ? ฝันไปเถอะ ทุกคนถูกบังคับให้อยู่ในโหมด High Time ใช้เวลาหาเงินมากกว่าหาอนาคต งานวิจัยต้องใช้เป็นหลายปีถึงสิบปี แต่ไม่มีใครให้เวลา บริษัทเอกชนไม่อยากเสี่ยงลงทุนระยะยาว นักวิจัยเองก็ไม่มีเงินเก็บพอจะสร้างงานของตัวเอง จึงต้องวิ่งขอทุนจากรัฐ และนั่นก็หมายความว่างานวิจัยส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาเพื่อเอาใจรัฐ ไม่ใช่ตอบโจทย์ตลาดที่เป็นผู้ใช้จริงอย่างประชาชน ไหนจะต้องทำเอกสารยื่นเสนอโครงการ เขียนรายงานความก้าวหน้าแบบถี่ ๆ จนเวลาที่เหลือสำหรับการลงมือทำงานจริงแทบไม่พอ ผลลัพธ์คืองานขึ้นหิ้ง ไร้ประโยชน์ในโลกจริง และแทบไม่มีใครสนใจ
พอรัฐเห็นงานขึ้นหิ้ง ก็ไม่เคยถามว่าระบบมันป่วยตรงไหน แต่กลับเลือกบีบคอเพิ่ม ออกนโยบายเร่งวิจัยให้เสร็จไว จาก 5–10 ปี เหลือ 3–5 ปี และสุดท้ายเหลือเพียง 1 ปี แถมต้องขายได้ทันที ยุบรวมต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำไปเลยละกัน ผลที่เหลือก็แค่ ซื้อมาของเดิมมาปรับนิดหน่อย เพื่อเอาใจนักการเมืองให้ผ่าน KPI ไม่ได้สร้างองค์ความรู้ใหม่ ไม่ได้สร้างอนาคต แค่สร้างผลงานปลอมให้โชว์ในสไลด์วันแถลงข่าว
แถม นโยบายก็เปลี่ยนไปตามกระแสลม ปีที่แล้วก็ทุ่มงบ Soft Power ปีนี้ก็เห่อ AI ปีหน้าคนเปลี่ยน นโยบายก็เปลี่ยนอีก ต้นน้ำ–กลางน้ำ–ปลายน้ำที่วางแผนกันไว้ก็ต้องรื้อทำใหม่ วงจรที่ควรจะไหลต่อเนื่อง กลายเป็นต้อง รีสตาร์ท ทุกครั้งที่เก้าอี้เปลี่ยนมือ และทุกครั้งที่รีสตาร์ท เวลากับทรัพยากรก็สูญหายไปแบบไม่มีวันได้คืน
วันนี้วงการนี้ ต้นน้ำเหือดแห้ง กลางน้ำแล้ง ปลายน้ำเน่า ประเทศนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากคลองที่เหลือแต่น้ำขังส่งกลิ่น และเราก็กำลังยืนดมมันทุกวันอย่างชินชา
#siamstr
#siamstr
#siamstr #cashu
ในอดีต มนุษย์ทำสงครามเพื่อแย่งชิงพื้นที่และทรัพยากร
ตั้งแต่แผ่นดินที่เหยียบยืน
ทางน้ำที่เรือแหวกว่าย
อากาศที่เครื่องบินแล่นผ่าน
ไปจนถึงห้วงอวกาศที่มีดาวเทียมลอยล่องอยู่
.
แต่ ณ วันนี้ มีพื้นที่อีกแบบรูปหนึ่ง
ที่สงครามกำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ
.
ไม่มีธง
ไม่มีขอบเขต
ไม่มีแม้กระทั่งเสียงระเบิด
.
พื้นที่แห่งนี้...
เหมือนกับพื้นที่ในอีกโลกหนึ่ง
โลกที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
โลกที่ถูกเรียกว่า Cyberspace
พื้นที่ดิจิทัลที่อยู่บนเครือข่ายบล็อกเชนของบิคคอยน์
ที่ซึ่งพื้นที่ไม่ได้วัดด้วยตารางเมตร
แต่ด้วยหน่วยข้อมูลที่เรียกว่า vByte
.
ในทุก ๆ 10 นาทีโดยประมาณ
จะมีพื้นที่ใหม่เกิดขึ้นเพียงแค่ 4 ล้าน vByte
พื้นที่เหล่านั้นไม่ได้ผุดขึ้นมาลอย ๆ
แต่มาจากพลังงานและการคำนวณมหาศาล
เพื่อสร้างมันขึ้นมา
.
คุณจะครอบครองมันได้
ก็ต่อเมื่อทุ่มเทกำลังและเวลา
และนั่นทำให้พื้นที่นั้นมี “ราคา”
.
คุณสามารถซื้อมันได้
ด้วยสกุลเงินที่ไม่มีใครควบคุมได้
ที่เรียกว่า บิตคอยน์
.
บิตคอยน์ คือรางวัล
ที่มอบให้กับผู้ที่ทุ่มเทพลังงานและแรงคำนวณ
เพื่อดูแลความปลอดภัยให้กับระบบ
มันไม่ได้เกิดจากความว่างเปล่า
แต่มาจากการเผาผลาญพลังงานจริง ๆ บนโลกนี้
เพื่อแลกกับความมั่นคงของข้อมูลในโลกนั้น
.
ในแง่นี้
บิตคอยน์จึงเปรียบเสมือน “รอยเท้าของพลังงาน”
ที่ฝังแน่นอยู่ในระบบ
เป็นเครื่องหมายแห่งความพยายาม
และเป็นหน่วยแทนคุณค่าที่ไม่มีใครลบล้างได้
.
บิตคอยน์มีจำนวนจำกัดเพียง 21 ล้านเหรียญ
หรือในหน่วยย่อย 2,100,000,000,000 ซาโตชิ (sat)
ทุก sat คือเสี้ยวเล็ก ๆ ของความเป็นเจ้าของในโลกข้อมูล
.
ทุก vByte ใน Cyberspace ต้องแลกมาด้วย sat เหล่านี้...
แม้ในตอนนี้จะยังไม่แพงนัก (ราว 1–3 sat/vByte)
แต่ในอนาคต มันจะกลายเป็นสิ่งที่ใครหลายคนต้องการ
เพราะสิ่งที่คุณสามารถทำกับพื้นที่นั้นได้
มีมูลค่าสูงกว่าที่หลายคนคิด
.
คุณสามารถใช้พื้นที่นั้น...
.
ส่งคุณค่าให้กันในรูปของข้อมูล
เปิดช่องชำระเงินแบบสายฟ้า
ออกสกุลเงินที่เชื่อถือได้ เช่น stablecoin
สร้างระบบเศรษฐกิจของตัวเอง
หรือแม้แต่... “สร้างประเทศ”
.
พื้นที่นี้กำลังกลายเป็นสมรภูมิใหม่
แม้คนส่วนใหญ่ยังมองไม่เห็น
แต่บริษัทใหญ่บางแห่ง และบางประเทศ “เห็นแล้ว”
และไม่ได้แค่เฝ้าดู
.
พวกเขากำลังสั่งสมพื้นที่นั้นอย่างเงียบ ๆ
ผ่านการกักเก็บพลังงานในรูปของบิตคอยน์
ไม่ป่าวประกาศ ไม่บอกใคร
เหมือนซ่อนคลังยุทธศาสตร์ไว้ใต้ดิน
รอเพียงวันที่โลกหันกลับมามอง
.
และเมื่อเวลานั้นมาถึง
เมื่อทุกสายตาหันกลับมา...
.
สงครามแย่งชิงพื้นที่ใน Cyberspace ก็จะเปิดฉากขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ
.
สงครามนี้ไม่มีค่าย ไม่มีป้าย ไม่มีเสียงปืน
แต่มันกำลังเกิดขึ้น...
ในสมรภูมิที่ซ่อนเร้น
#siamstr
https://cashumints.space/
แหล่งข้อมูล Mint ที่ละเอียดมาก พร้อมหน้าโปรไฟล์แต่ละ Mint
https://audit.8333.space/
ระบบ auditor สำหรับดูสถานะเงินทุนและ ecash แบบเรียลไทม์
https://primal.net/p/npub1cashu0thfukl57lgwtarn7h4jrzrg2e346zc8sjvjd8u5hheds0qlhpt92
บอตแจ้งเตือนบน nostr หาก Mint ล่มหรือมีเหตุผิดปกติ
---
หากจะเริ่มใช้ ecash อย่างมั่นใจ
อย่าลืม “เลือก Mint ที่โปร่งใส” และ “ตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง” เสมอครับ
เพราะแม้ Cashu จะไม่ลบความเสี่ยงทั้งหมด
แต่มันเปิดโอกาสให้เรากลับมามีอำนาจในการเลือก
และไม่ต้องเชื่อใจใครแบบไร้ข้อมูลอีกต่อไปครับ
#siamstr
ในบทความก่อนหน้านี้ ผมได้เล่าถึงแอปชื่อ Bitchat ที่ให้เราส่งบิตคอยน์ให้กันได้โดยไม่ต้องต่อเน็ตครับ
หลายคนอาจสงสัยว่า “มันทำได้ยังไง?"
คำตอบก็คือ เทคโนโลยีเบื้องหลังที่ชื่อว่า Cashu ครับ
วันนี้เราจะมาเจาะลึกว่า Cashu คืออะไร? ทำงานอย่างไร?
และทำไมมันถึงสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ในยุคที่เราต้องการอิสรภาพทางการเงินมากกว่าที่เคย
📌 ยังไม่ได้อ่านบทความก่อนหน้า? อ่านได้ที่นี่ครับ:
🔗 https://www.facebook.com/share/p/1AUBYK9KmK/
---
จุดเริ่มต้นของ Cashu: เมื่อแนวคิดจากปี 1980s ถูกปลุกชีพ
Cashu มีรากฐานมาจากแนวคิดชื่อว่า Chaumian ecash ครับ
ซึ่งถูกคิดค้นโดย David Chaum นักวิทยาการเข้ารหัสในยุค 1980s
แนวคิดนี้เป็นการสร้าง “เงินสดอิเล็กทรอนิกส์" หรือ ecash ที่ให้ความเป็นส่วนตัวสูงมาก
โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า "ลายเซ็นต์ลับ" หรือ Blind Signature ซึ่งทำให้ใครก็ตามสามารถถือเงิน และส่งต่อให้กันโดยที่ไม่มีใครนอกจากคนส่งและคนรับมารับรู้กิจกรรมนั้นเหมือน "เงินสด" ครับ
แนวคิดนี้กลับมาอีกครั้งในชื่อ Cashu
โดยผูกเข้ากับบิตคอยน์และ Lightning Network เพื่อให้ใช้งานได้จริง
---
Cashu คืออะไร?
Cashu คือระบบ ecash ที่คุณถือไว้เอง ส่งให้ใครก็ได้
แม้ไม่ต่ออินเทอร์เน็ต และไม่มีใครสามารถติดตามคุณได้เลยครับ
คุณสมบัติหลักของ Cashu มีอยู่ 4 ข้อสำคัญ:
✅ ไม่มีบัญชี ไม่มีบันทึก
✅ ไม่ต้องเปิดเผยตัวตน
✅ ไม่มีใครสามารถแทรกแซงการใช้เงินของคุณได้
✅ และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ เพราะ พลังของความเป็นส่วนตัว ครับ
เมื่อไม่มีการผูกตัวตนหรือบัญชีผู้ใช้
Mint จึงไม่สามารถระงับธุรกรรมของใครคนใดคนหนึ่งได้เลยครับ
เพราะเขา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเงินนั้นอยู่กับใคร
หาก Mint ต้องการ “หยุดธุรกรรมคนใดคนหนึ่ง” ก็ทำได้ทางเดียวคือ "หยุดทั้งระบบ" ซึ่งกระทบกับผู้ใช้ทั้งหมด
นี่คือสิ่งที่ทำให้ Cashu ต้านทานการแทรกแซงแบบเจาะจง ได้จริง
---
ทำไมต้องมี Cashu?
ผู้ใช้บิตคอยน์แรกเริ่มจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ Lightning Network
มักเริ่มต้นจากการใช้กระเป๋าเงินแบบ custodial wallet ที่มีผู้ให้บริการเก็บเงินให้
แม้จะใช้งานง่ายและสะดวก แต่ความสะดวกนั้นมีข้อแลกเปลี่ยนครับ:
- ผู้ให้บริการ เห็นธุรกรรมทั้งหมดของเรา
- รู้ว่าเรามีเงินเท่าไร รับจากใคร ส่งให้ใคร
- และสามารถ “ระงับบัญชี” หรือ “อายัดเงิน” ได้ทุกเมื่อ
Cashu ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหานี้โดยตรง ครับ
แม้จะยังต้องอาศัยผู้ให้บริการ (Mint) ในการออก ecash
ด้วยเทคนิค Blind Signature และโครงสร้างของระบบ
ทำให้ Mint ไม่สามารถติดตาม เส้นทาง หรือเจ้าของเงินได้เลย
พูดอีกแบบหนึ่งคือ
Cashu คือ custodial wallet ที่ให้ความเป็นส่วนตัวใกล้เคียงกับเงินสดมากที่สุด ในตอนนี้ครับ
---
ลายเซ็นลับคืออะไร?
ลองนึกภาพว่า:
คุณเขียนข้อควาใลับลงในกระดาษ แล้วใส่ในซองบุด้วยกระดาษคาร์บอน
ยื่นซองให้ธนาคารเซ็นหน้าซอง
ลายเซ็นจะประทับลงบนกระดาษข้างใน
โดยที่ธนาคารไม่รู้เลยว่าข้างในมีอะไร
นี่คือแนวคิดของ Blind Signature ที่ทำให้ Mint ออกเงินให้ได้
โดยไม่รู้ว่าออกให้ใคร และไม่มีทางตามรอยการใช้งานได้ครับ
---
💡 Cashu ทำงานยังไง? (4 ขั้นตอน)
1. ฝากบิตคอยน์เข้า Mint
มักใช้ผ่าน Lightning Network เพื่อให้เร็วและต้นทุนต่ำ
2. รับ ecash กลับมา
เป็นข้อความดิจิทัลที่มีลายเซ็นของ Mint กำกับ
3. ส่ง ecash ให้คนอื่นแบบออฟไลน์
ผ่าน QRcode, Bluetooth หรือ ส่งข้อความผ่านแชท
4. ใครถือ ecash ก็เอาไปแลกคืนเป็นบิตคอยน์หรือออก ecash ใหม่ได้
---
🤔 คำถามที่หลายคนสงสัย
Q: แล้วจะไว้ใจ Mint ได้อย่างไร?
→ ใช่ครับ เรายังต้อง “เชื่อใจ” Mint ในการเก็บบิตคอยน์ให้เรา แต่จุดแข็งของ Cashu คือ มันทำงานอยู่บนบิตคอยน์ทั้งหมดครับ ทั้งฝั่งของสินทรัพย์ (บิตคอยน์) และหนี้สิน (ecash) เป็นข้อมูลดิจิทัลที่ตรวจสอบได้แบบไร้รอยต่อ
นั่นหมายความว่า Mint ที่ดีสามารถแสดง “หลักฐานเงินทุนสำรอง” (Proof of Reserves) และ “หลักฐานหนี้สิน” (Proof of Liabilities) ให้ผู้ใช้ตรวจสอบได้ด้วยตัวเองแบบเรียลไทม์ โปร่งใส และแม่นยำครับ
Q: ความเป็นส่วนตัวสูงแค่ไหน?
→ สูงมากครับ Mint ไม่รู้ว่า ecash อยู่กับใคร
และไม่สามารถตามรอยการโอนได้เลย
Q: แล้วมันคือบิตคอยน์ไหม?
→ ไม่ใช่โดยตรงครับ
แต่มันคือ “เงินสดดิจิทัล” ที่มีบิตคอยน์หนุนหลัง 1:1
สามารถแลกคืนได้ทุกเมื่อ
---
สรุปแล้ว Cashu คือ “เลเยอร์เสริม” บนบิตคอยน์ที่นำคุณสมบัติของ เงินสด มาสู่โลกดิจิทัล:
- ใครถือก็เป็นเจ้าของ
- ส่งต่อกันได้อิสระ
- ไม่มีใครรู้ว่าเงินมาจากไหน
และไม่มีใครสามารถยับยั้งธุรกรรมของคุณได้ครับ
เพราะ ความเป็นส่วนตัว คือรากฐานของอิสรภาพ
และ Cashu คือเครื่องมือเรียบง่ายที่มอบอิสรภาพทางการเงินกลับคืนสู่มือคุณครับ
---
อยากลองใช้งานจริง?
เริ่มต้นง่ายๆ ได้ที่เว็บไซต์:
🔗 https://cashu.me ทดลองสร้างกระเป๋า Cashu และรับ-ส่งเงินแบบส่วนตัวได้ครับ
#siamstr #cashu
