Thread

Zero-JS Hypermedia Browser

Relays: 5
Replies: 0
Generated: 20:13:11
เคยสังเกตไหมครับว่า “เงิน” ไม่ได้มีแค่แบบเดียว แต่มันค่อย ๆ ซ้อนชั้นขึ้นมาตลอดประวัติศาสตร์ image . ลองมองจาก มาตรฐานทองคำ . เริ่มจาก ทองคำดิบ . หลอมเป็น เหรียญทอง / ทองคำแท่ง ที่มีการตีตรารับรอง . ต่อมาเป็น ใบรับรองทองคำ ที่ใช้แทนทองจริง . จนกลายเป็น ธนบัตรและเครดิต ที่ในอดีตเคยหนุนหลังด้วยใบรับรองทองคำ แต่ในเวลาต่อมาก็ไม่ต้องมีทองคำหนุนหลังอีกต่อไป และกลายเป็น เงินเฟียต แบบที่เราใช้กันทุกวันนี้ . . ทุกชั้นเกิดขึ้นเพราะเราต้องการ “ความสะดวก” มากขึ้น แต่ก็ตามมาด้วย “ความต้องเชื่อใจ” ที่มากขึ้นเช่นกัน . บิตคอยน์ก็เดินเส้นทางเดียวกันครับ . มันเริ่มจาก บิตคอยน์ ที่ใช้พลังงานในการขุดปกป้องธุรกรรมที่บันทึกบนบล็อกเชน (On-chain) ทุกคนตรวจสอบเองได้ (เหมือนทองคำดิบ) แต่เมื่อใช้งานจริง ก็มีการสร้างชั้นอื่นตามมา — . Lightning Network เครือข่ายของ payment channel บนบิตคอยน์ ทำให้การโอนเงินเร็วขึ้น ค่าธรรมเนียมต่ำลง โดยไม่ต้องบันทึกทุกธุรกรรมบนบล็อกเชนหลัก . Taproot Assets เปิดทางให้ออกสินทรัพย์ดิจิทัลรูปแบบต่าง ๆ บนบิตคอยน์ เช่น stablecoin . Cashu / Fedimint ระบบเงินสดอิเล็กทรอนิกส์ (eCash) ที่ใช้งานง่ายขึ้น และยังรักษาความเป็นส่วนตัวแก่ผู้ใช้งาน . และในอนาคตก็จะมีเทคโนโลยีอีกหลายอย่างที่พัฒนาขึ้นเป็นลำดับชั้นถัดไป . แม้ว่าตอนนี้ลำดับชั้นของบิตคอยน์ยัง “ไม่ชัดเจน” เพราะอยู่ระหว่างการพัฒนาและทดลองจริงอย่างต่อเนื่อง . และนี่แหละครับคือสิ่งที่น่าตื่นเต้น… . เราอาจกำลังอยู่ในยุคที่ได้เห็น “การสร้างพีระมิดเงินแบบใหม่” ที่ไม่ผูกขาดโดยธนาคารหรือรัฐบาล แต่เปิดโอกาสให้ทุกคนเลือกเองได้ว่าจะอยู่บนชั้นไหน — และที่สำคัญ มันคือ ระบบการเงินดิจิทัลที่ไร้ข้อจำกัดทางกายภาพ เข้าถึงได้จากทุกที่บนโลก . บทความนี้ผมได้แรงบันดาลใจจาก The Bitcoin Second Layer และหนังสือ Layerd Money โดย Nik Bhatia ใครสนใจแนวคิดนี้ ลองติดตามอ่านกัน แล้วมาพูดคุยถามกันได้ครับ #siamstr
2025-08-20 04:13:02 from 1 relay(s)
Login to reply