ในยุคนั้น (ช่วงปลาย 90s ถึงปี 2008) บุคคลที่มี "ระดับปัญญา" และ "ชุดทักษะ" (Skill sets) ที่ใกล้เคียงกับ Satoshi Nakamoto ที่สุด มักจะรวมตัวกันอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า "Cypherpunk" (กลุ่มนักเคลื่อนไหวที่เชื่อในการใช้การเข้ารหัสเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัว)
หากพิจารณาตามเกณฑ์ 4 ข้อที่กล่าวไปข้างต้น (Cryptography, Distributed Systems, Economics, Coding) มีบุคคลระดับ "เทพ" อยู่ 4-5 คน ที่วงการเชื่อว่า "ถ้าไม่ใช่ Satoshi ก็คือคนที่ใกล้เคียง Satoshi ที่สุด" ครับ
1. Hal Finney (ฮาล ฟินนีย์) - ผู้มีปัญญาด้าน "วิศวกรรมและการนำไปใช้จริง"
ถ้า Satoshi คือสถาปนิก Hal Finney คือวิศวกรที่เก่งที่สุดในยุคนั้น
* ทำไมถึงใกล้เคียง: ก่อนจะมี Bitcoin ฮาลเคยสร้างระบบ RPoW (Reusable Proof of Work) ซึ่งเป็นการทดลองสร้างเงินดิจิทัลรูปแบบหนึ่ง เขาเป็นนักเขียนโค้ด C++ ระดับปรมาจารย์ (ทำงานกับ PGP Corporation) และเป็นคนแรกที่ Satoshi ส่ง Bitcoin ให้ทดสอบ (The First Transaction)
* จุดที่เหมือน: เข้าใจ Cryptography ลึกซึ้ง และมีทัศนคติแบบ Libertarian (เสรีนิยม) ที่ต้องการปลดแอกการเงิน
* ระดับปัญญา: เขาคือคนที่เปลี่ยนทฤษฎีให้เป็นโค้ดที่รันได้จริง เหมือนที่ Satoshi ทำ
2. Nick Szabo (นิค ซาโบ) - ผู้มีปัญญาด้าน "ประวัติศาสตร์การเงินและนิติกรรม"
ชายผู้นี้คือเจ้าของแนวคิด "Bit Gold" ซึ่งถือว่าเป็น "บรรพบุรุษโดยตรง" ของ Bitcoin (โครงสร้างคล้ายกันมากจนน่าตกใจ)
* ทำไมถึงใกล้เคียง: นิคไม่ได้เป็นแค่นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ แต่เป็นนักกฎหมายและนักประวัติศาสตร์การเงิน เขาคือผู้คิดค้นคำว่า "Smart Contract" ตั้งแต่ปี 1994
* จุดที่เหมือน: เขาเขียนวิเคราะห์เรื่อง "ที่มาของเงิน" (Origins of Money) ไว้ลึกซึ้งมาก เข้าใจว่าทำไมเปลือกหอยหรือทองคำถึงมีค่า ซึ่งเป็นฐานคิดเดียวกับ Bitcoin
* ระดับปัญญา: สไตล์การเขียนของเขาและการใช้เหตุผลเรื่อง Economics ใกล้เคียงกับ Satoshi มากที่สุด (Elon Musk เคยให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าให้เดาว่าใครคือ Satoshi เขาเดาว่าเป็น Nick Szabo)
3. Adam Back (อดัม แบ็ก) - ผู้มีปัญญาด้าน "ระบบความปลอดภัย"
ชื่อของเขาปรากฏอยู่ใน Bitcoin Whitepaper ในฐานะผู้อ้างอิง (Citation)
* ทำไมถึงใกล้เคียง: เขาคือผู้คิดค้น Hashcash ในปี 1997 ซึ่งเป็นกลไก Proof-of-Work ที่ Satoshi นำมาใช้เป็น "หัวใจ" ในการขุด Bitcoin
* จุดที่เหมือน: เป็น Cryptographer ระดับแนวหน้าของโลก และปัจจุบันเป็น CEO ของ Blockstream ที่พัฒนา Bitcoin ต่อ
* ระดับปัญญา: เขาคือคนต้นคิด "จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่สุด" (Proof-of-Work) ที่ทำให้ Bitcoin ปลอดภัย ถ้าไม่มีปัญญาของ Adam Back ก็อาจไม่มี Bitcoin ในวันนี้
4. Wei Dai (เหว่ย ได) - ผู้มีปัญญาด้าน "ปรัชญาและระบบกระจายศูนย์"
ชื่อของเขาอยู่ใน Whitepaper เช่นกัน และหน่วยย่อยที่สุดของ Ethereum ก็ตั้งชื่อว่า "Wei" เพื่อให้เกียรติเขา
* ทำไมถึงใกล้เคียง: เขาเสนอแนวคิด "b-money" ในปี 1998 ซึ่งพูดถึงระบบเงินสดกระจายศูนย์ที่คนในเครือข่ายช่วยกันดูแลบัญชี (แนวคิด Blockchain ในยุคเริ่มแรก)
* จุดที่เหมือน: เป็นอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์และ C++ (ผู้สร้างไลบรารี Crypto++) และมีอุดมการณ์เรื่อง Crypto-anarchy สูงมาก
* ระดับปัญญา: เขามีความสามารถในการมองเห็นภาพรวมของระบบ P2P (Peer-to-Peer) ได้ชัดเจนมาก่อนกาล
5. Len Sassaman (เลน แซสซาแมน) - ผู้มีปัญญาด้าน "วิชาการและการเจาะระบบ"
เป็นอัจฉริยะที่เสียชีวิตไปในช่วงที่ Satoshi หายตัวไปพอดี (2011) ทำให้เกิดทฤษฎีสมคบคิดมากมาย
* ทำไมถึงใกล้เคียง: เชี่ยวชาญเรื่อง Remailer (ระบบส่งข้อมูลนิรนาม) และทำงานใกล้ชิดกับ Hal Finney มาก เป็นคนที่มีทักษะรอบด้านทั้งวิชาการและแฮกเกอร์
* ระดับปัญญา: เป็นระดับมันสมองของกลุ่ม Cypherpunk ที่ได้รับการยอมรับในวงการวิชาการอย่างสูง
บทสรุป
ในยุคนั้นไม่ได้มีแค่ Satoshi คนเดียวที่ฉลาด แต่มีกลุ่ม "ยักษ์" (Giants) เหล่านี้ยืนอยู่ด้วยกัน
ความเก่งกาจของ Satoshi (ไม่ว่าเขาจะเป็นคนเดียวหรือกลุ่มคน) คือการ "ร้อยเรียง" สิ่งที่:
* Adam Back คิด (Proof-of-Work)
* Wei Dai และ Nick Szabo ร่างแบบไว้ (B-money/Bit Gold)
* Hal Finney พยายามสร้าง (RPoW)
ให้กลายเป็นระบบเดียวที่สมบูรณ์แบบและแก้ปัญหา Double Spending ได้สำเร็จครับ ดังนั้นคนเหล่านี้คือผู้มีปัญญาในระดับ "ระนาบเดียวกัน" กับ Satoshi อย่างแน่นอน
Login to reply