#เด็กขอบสนาม
ผมเติบโตในบ้านที่ตั้งชิดขอบสนามโรงเรียน แต่เหมือนถูกวางอยู่คนละโลกกับมัน
ครอบครัวไม่ค่อยสนับสนุนให้ผมออกกำลังกายเท่าไร อาจเพราะรูปร่างผอมบาง หรือเพราะเขาไม่เห็นว่าผมจะไปไกลได้ในกีฬาอะไรสักอย่าง แต่ผมกลับหลงรักเสียงฟุตบอลตั้งแต่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากติกามีกี่ข้อ
ทุกเย็น ผมยืนอยู่ข้างสนาม มองพี่ ๆ น้า ๆ ในหมู่บ้านวิ่งไล่บอลกันแบบบ้าน ๆ สนามฝุ่นฟุ้ง ลูกบอลเก่า ๆ และเสียงหัวเราะที่ไม่เคยแพ้อะไรทั้งนั้น
ตอนนั้นผมเป็นได้แค่เด็กขอบสนาม ทำอะไรไม่เป็น นอกจากรอจังหวะที่บอลหลงมาแล้วรีบวิ่งไปเก็บคืนให้เขา
แต่บางที… ชีวิตก็เปิดช่องแคบ ๆ ให้คนตัวเล็กได้มุดเข้าไป โดยไม่ถามว่าพร้อมไหม
เมื่อทีมวัยรุ่นของหมู่บ้านเริ่มตะเวนท้าแข่งหมู่บ้านอื่น ผมก็ขอติดสอยห้อยตาม ขับมอเตอร์ไซค์กันเป็นขบวน ลุยกันแบบไร้รูปแบบ ไม่มีโค้ช ไม่มีแท็กติก มีแต่ความมันส์ในหัวใจและความอยากชนะที่ไม่มีเหตุผลรองรับอะไรเลย
จากเด็กขอบสนาม ผมได้เลื่อนขั้นเป็นเด็กเก็บบอลหลังประตู
จากเด็กเก็บบอล ผมได้เลื่อนขั้นเป็นไลน์แมนจำเป็น เพราะวันนั้นหาใครไม่ได้จริง ๆ
มันเริ่มจากแบบนั้น... แบบที่ไม่มีใครตั้งใจเลือกผมเลยสักครั้งเดียว
#วันแรกที่ได้ลงสนาม
ผมซ้อมเองทุกวัน เพราะคิดว่าบางทีถ้าดันมีคนขาดจริง ๆ ผมอาจได้ลงสักห้านาที
ผมมักจะตื่นตีห้า ออกวิ่งเป็นสิบกิโล ลากยางรถยนต์จนหลังอาน เดาะบอลจนดึก แล้วเช้าอีกวันก็ไปโรงเรียนด้วยขาที่ล้าจนแทบก้าวไม่ออก
แต่ก็ไม่มีใครสนใจอยู่ดี...
ผมไม่เก่งขนาดนััน ไม่มีประสบการณ์ ผมเป็นตัวเลือกสุดท้ายเสมอ
จนวันหนึ่ง... คนก็ขาดจริงๆ
และผมถูกส่งลงเพื่อให้ครบ 11 คน เท่านั้นเอง
พวกเขาให้ผมเล่นกองหน้า ผมไม่รู้เรียกมันว่ากองหน้าดีไหม เพราะสิ่งเดียวที่ผมทำเป็น คือ วิ่งให้เร็วที่สุดแล้วหวดให้แรงที่สุด
เกมวันนั้นเราโดนบุกแทบทั้งแมตช์ บอลกระเด้งกระดอนมั่วไปหมด กองหลังทีมเรามีทักษะเดียวคือสาดโด่งให้ไกลที่สุด
และในหนึ่งจังหวะที่ดูเหมือนไม่มีอะไรให้ลุ้นเลย กองหลังคนหนึ่งก็หวดบอลขึ้นหน้าไปแบบมั่ว ๆ แต่ดันเป็นขึ้นหน้าไปทางผมพอดี และผมยืนหัวโด่อยู่คนเดียวแบบที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น
ผมวิ่ง...
วิ่งเท้าเปล่า วิ่งจนลมในอกตีขึ้นมา วิ่งจนเท้าแทบไม่รู้สึกถึงพื้น
ตอนรู้ตัวอีกที ผมทิ้งกองหลังไว้ไกลมาก
บอลกระเด้งมาพอดี ผมหยุดคิด ไม่วางแผน ไม่เหลียวดูผู้รักษาประตู
ผมหวดเต็มข้อด้วยหลังเท้า หวังแค่ว่าให้มันเข้ากรอบก็พอ
ลูกบอลพุ่งวาบเหมือนลูกไฟ เสียบเข้าประตูแบบที่ผมเองยังไม่อยากเชื่อว่าทำได้
เสียงเฮดังขึ้นรอบตัว
แต่เสียงที่ดังที่สุด คือเสียงในใจผมเอง
เหมือนมีใครมากระซิบว่า
“เห็นไหม… มาถึงตรงนี้ได้ก็เพราะไม่ยอมเดินออกจากสนามไปก่อน”
ประตูนั่นไม่ได้ทำให้ผมเก่งขึ้นทันที มันทำให้ผมรักฟุตบอลแบบถอนตัวไม่ขึ้นตั้งแต่วินาทีนั้น
#จากเด็กขอบสนามสู่คนที่ต้องเดินออกจากสนามเพราะร่างกายไม่ไหว
หลังจากนั้นผมเล่นให้กับทุกทีมที่ผมไปอยู่ด้วย
ไม่เคยเป็นตัวหลัก แต่ก็ไม่เคยขาดซ้อม
ผมเคยเป็นกัปตันทีมคณะในมหาวิทยาลัยช่วงหนึ่ง
ชีวิตเหมือนจะพาผมไปไกลกว่าที่ตัวเองเคยคิดไว้มาก
จนวันหนึ่ง... ร่างกายก็บอกกับผมว่า “พอได้แล้ว”
ผมประสบอุบัติเหตุ กระดูกเท้าแตก พักยาวจนเล่นไม่ได้อีกแบบเดิม
พอกลับมาเล่นกับทีมโรงพยาบาลก็เจ็บซ้ำ ข้อเท้าพลิกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สุดท้าย ผมต้องยอมรับบางอย่างที่ยากที่สุดในชีวิต
ผมไม่สามารถกลับไปเป็นนักบอลแบบเดิมได้อีกแล้ว
สิบปีผ่านไป...
ผมยังคิดถึงสนามเดิม ๆ ยังคิดถึงเสียงรองเท้าสตั๊ดเสียดพื้น ยังคิดถึงลมที่ปะทะหน้าเวลาวิ่งสุดแรง
ยังคงคิดถึงลูกยิงแรกในชีวิตที่เปลี่ยนผมไปตลอดกาล...
#สิ่งที่ฟุตบอลสอนผม
มันไม่ใช่เรื่องความเก่ง ไม่ใช่เรื่องของชัยชนะ ไม่ใช่เรื่องรางวัลจากใครสักคนสักนิดเดียว
ฟุตบอลสอนผมว่า...
โอกาสมักตกใส่หัวคนที่ยังยืนอยู่ในสนาม แม้จะไม่มีใครเลือกก็ตาม
มันสอนผมว่า...
จังหวะที่เปลี่ยนชีวิต มักเกิดตอนที่เราเองยังไม่พร้อม
มันสอนผมว่า...
แม้ร่างกายจะหยุดเล่นได้ แต่ความรักบางอย่างจะไม่เคยหายไปไหน
บางอย่างเราไม่ได้สูญเสีย มันแค่เปลี่ยนที่อยู่
จากปลายเท้า มาอยู่ในหัวใจ
และผมก็ยังเป็นเด็กขอบสนามคนนั้นเสมอ
เพียงแต่วันนี้… ผมมองสนามจากอีกมุมหนึ่งเท่านั้นเอง...
#jakkdiary #siamstr
ครอบครัวไม่ค่อยสนับสนุนให้ผมออกกำลังกายเท่าไร อาจเพราะรูปร่างผอมบาง หรือเพราะเขาไม่เห็นว่าผมจะไปไกลได้ในกีฬาอะไรสักอย่าง แต่ผมกลับหลงรักเสียงฟุตบอลตั้งแต่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากติกามีกี่ข้อ
ทุกเย็น ผมยืนอยู่ข้างสนาม มองพี่ ๆ น้า ๆ ในหมู่บ้านวิ่งไล่บอลกันแบบบ้าน ๆ สนามฝุ่นฟุ้ง ลูกบอลเก่า ๆ และเสียงหัวเราะที่ไม่เคยแพ้อะไรทั้งนั้น
ตอนนั้นผมเป็นได้แค่เด็กขอบสนาม ทำอะไรไม่เป็น นอกจากรอจังหวะที่บอลหลงมาแล้วรีบวิ่งไปเก็บคืนให้เขา
แต่บางที… ชีวิตก็เปิดช่องแคบ ๆ ให้คนตัวเล็กได้มุดเข้าไป โดยไม่ถามว่าพร้อมไหม
เมื่อทีมวัยรุ่นของหมู่บ้านเริ่มตะเวนท้าแข่งหมู่บ้านอื่น ผมก็ขอติดสอยห้อยตาม ขับมอเตอร์ไซค์กันเป็นขบวน ลุยกันแบบไร้รูปแบบ ไม่มีโค้ช ไม่มีแท็กติก มีแต่ความมันส์ในหัวใจและความอยากชนะที่ไม่มีเหตุผลรองรับอะไรเลย
จากเด็กขอบสนาม ผมได้เลื่อนขั้นเป็นเด็กเก็บบอลหลังประตู
จากเด็กเก็บบอล ผมได้เลื่อนขั้นเป็นไลน์แมนจำเป็น เพราะวันนั้นหาใครไม่ได้จริง ๆ
มันเริ่มจากแบบนั้น... แบบที่ไม่มีใครตั้งใจเลือกผมเลยสักครั้งเดียว
#วันแรกที่ได้ลงสนาม
ผมซ้อมเองทุกวัน เพราะคิดว่าบางทีถ้าดันมีคนขาดจริง ๆ ผมอาจได้ลงสักห้านาที
ผมมักจะตื่นตีห้า ออกวิ่งเป็นสิบกิโล ลากยางรถยนต์จนหลังอาน เดาะบอลจนดึก แล้วเช้าอีกวันก็ไปโรงเรียนด้วยขาที่ล้าจนแทบก้าวไม่ออก
แต่ก็ไม่มีใครสนใจอยู่ดี...
ผมไม่เก่งขนาดนััน ไม่มีประสบการณ์ ผมเป็นตัวเลือกสุดท้ายเสมอ
จนวันหนึ่ง... คนก็ขาดจริงๆ
และผมถูกส่งลงเพื่อให้ครบ 11 คน เท่านั้นเอง
พวกเขาให้ผมเล่นกองหน้า ผมไม่รู้เรียกมันว่ากองหน้าดีไหม เพราะสิ่งเดียวที่ผมทำเป็น คือ วิ่งให้เร็วที่สุดแล้วหวดให้แรงที่สุด
เกมวันนั้นเราโดนบุกแทบทั้งแมตช์ บอลกระเด้งกระดอนมั่วไปหมด กองหลังทีมเรามีทักษะเดียวคือสาดโด่งให้ไกลที่สุด
และในหนึ่งจังหวะที่ดูเหมือนไม่มีอะไรให้ลุ้นเลย กองหลังคนหนึ่งก็หวดบอลขึ้นหน้าไปแบบมั่ว ๆ แต่ดันเป็นขึ้นหน้าไปทางผมพอดี และผมยืนหัวโด่อยู่คนเดียวแบบที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น
ผมวิ่ง...
วิ่งเท้าเปล่า วิ่งจนลมในอกตีขึ้นมา วิ่งจนเท้าแทบไม่รู้สึกถึงพื้น
ตอนรู้ตัวอีกที ผมทิ้งกองหลังไว้ไกลมาก
บอลกระเด้งมาพอดี ผมหยุดคิด ไม่วางแผน ไม่เหลียวดูผู้รักษาประตู
ผมหวดเต็มข้อด้วยหลังเท้า หวังแค่ว่าให้มันเข้ากรอบก็พอ
ลูกบอลพุ่งวาบเหมือนลูกไฟ เสียบเข้าประตูแบบที่ผมเองยังไม่อยากเชื่อว่าทำได้
เสียงเฮดังขึ้นรอบตัว
แต่เสียงที่ดังที่สุด คือเสียงในใจผมเอง
เหมือนมีใครมากระซิบว่า
“เห็นไหม… มาถึงตรงนี้ได้ก็เพราะไม่ยอมเดินออกจากสนามไปก่อน”
ประตูนั่นไม่ได้ทำให้ผมเก่งขึ้นทันที มันทำให้ผมรักฟุตบอลแบบถอนตัวไม่ขึ้นตั้งแต่วินาทีนั้น
#จากเด็กขอบสนามสู่คนที่ต้องเดินออกจากสนามเพราะร่างกายไม่ไหว
หลังจากนั้นผมเล่นให้กับทุกทีมที่ผมไปอยู่ด้วย
ไม่เคยเป็นตัวหลัก แต่ก็ไม่เคยขาดซ้อม
ผมเคยเป็นกัปตันทีมคณะในมหาวิทยาลัยช่วงหนึ่ง
ชีวิตเหมือนจะพาผมไปไกลกว่าที่ตัวเองเคยคิดไว้มาก
จนวันหนึ่ง... ร่างกายก็บอกกับผมว่า “พอได้แล้ว”
ผมประสบอุบัติเหตุ กระดูกเท้าแตก พักยาวจนเล่นไม่ได้อีกแบบเดิม
พอกลับมาเล่นกับทีมโรงพยาบาลก็เจ็บซ้ำ ข้อเท้าพลิกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สุดท้าย ผมต้องยอมรับบางอย่างที่ยากที่สุดในชีวิต
ผมไม่สามารถกลับไปเป็นนักบอลแบบเดิมได้อีกแล้ว
สิบปีผ่านไป...
ผมยังคิดถึงสนามเดิม ๆ ยังคิดถึงเสียงรองเท้าสตั๊ดเสียดพื้น ยังคิดถึงลมที่ปะทะหน้าเวลาวิ่งสุดแรง
ยังคงคิดถึงลูกยิงแรกในชีวิตที่เปลี่ยนผมไปตลอดกาล...
#สิ่งที่ฟุตบอลสอนผม
มันไม่ใช่เรื่องความเก่ง ไม่ใช่เรื่องของชัยชนะ ไม่ใช่เรื่องรางวัลจากใครสักคนสักนิดเดียว
ฟุตบอลสอนผมว่า...
โอกาสมักตกใส่หัวคนที่ยังยืนอยู่ในสนาม แม้จะไม่มีใครเลือกก็ตาม
มันสอนผมว่า...
จังหวะที่เปลี่ยนชีวิต มักเกิดตอนที่เราเองยังไม่พร้อม
มันสอนผมว่า...
แม้ร่างกายจะหยุดเล่นได้ แต่ความรักบางอย่างจะไม่เคยหายไปไหน
บางอย่างเราไม่ได้สูญเสีย มันแค่เปลี่ยนที่อยู่
จากปลายเท้า มาอยู่ในหัวใจ
และผมก็ยังเป็นเด็กขอบสนามคนนั้นเสมอ
เพียงแต่วันนี้… ผมมองสนามจากอีกมุมหนึ่งเท่านั้นเอง...
#jakkdiary #siamstr