อยากลองโค้ด Kotlin ที่เราเขียน Regular Expression ว่าเขียนถูกไหม
แต่ไม่อยากบิ้วแอพ Android เพื่อเทสเลย ทำยังไงดีนะ?
ก่อนหน้านี้เราอาจจะใช้ Kotlin REPL ใน Android Studio แต่ตอนนี้เหมือนจะใช้ไม่ได้แล้ว
บางทีก็ใช้ Kotlin Playground บน web browser แต่บางทีก็ไม่สะดวก เพราะบางอย่างเราต้องใส่ import เอง แล้วโปรเจกต์ใหญ่ ๆ ก็มี function ที่ทุกคนใช้ร่วมกันด้วย อาจจะต้องใช้ context ในนั้นก็อาจจะไม่สะดวกอีก
เรามีวิธีที่ง่ายกว่านั้น คือ การลองรันผ่าน Kotlin scratch file นั่นเอง
แล้ว scratch file คืออะไรล่ะ? เป็น temporary file ที่เอาไว้จด note แล้วที่สำคัญ มันไม่เกี่ยวกับโปรเจกต์ด้วย เพราะมันเก็บที่ folder ของ Android Studio
.
🟢 วิธีสร้าง Scratch File
1. ไปที่เมนู File → New → Scratch File หรือชาว macbook สามารถใช้คีย์ลัด `Cmd` + `Shift` + `N`
2. มันจะขึ้นหน้าต่าง New Scratch File เลือกภาษาเป็น Kotlin
3. ใช้งานได้เลย
.
🟢 วิธีการใช้งาน Kotlin Scratch File
ลองพิมพ์โค้ดเข้าไป แล้วกดปุ่ม Run Scratch File ที่เป็นปุ่ม play สีเขียว ๆ อ่ะ มันจะ compile ให้ แล้วผลลัพธ์อยู่ด้านขวามือ
ถ้าเอาสะดวก ไม่ต้องกดปุ่มเอง ให้ติ๊กที่ Interactive Mode เมื่อเราพิมพ์เสร็จ มันจะรันโค้ดของเราให้อัตโนมัติให้เราเลย
ถ้าเราอยากใช้ function ที่มีอยู่แล้วใน project ให้เลือก module ที่ต้องการตรง Use classpath of module: โดยปกติมันจะ default ที่ ****`<no module>` เราสามารถเลือก module ที่เราต้องการ ในการใช้งาน function ต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วได้เลย
ข้อดีของมันคือ เร็วมาก เพราะไม่ต้องรอบิ้วทั้งโปรเจกต์, เข้าถึงโค้ดในโปรเจกต์ของเรา และเป็นการลอง syntax ในการเขียนอะไรใหม่ ๆ ก่อนเขียนบนงานจริงได้อีกด้วย ซึ่งเหมาะกับการเขียน business logic สุด ๆ
แต่ไม่สามารถใช้เขียน Android UI นะ
.
🟢 ตัวอย่างการใช้งาน?
สมมุติว่าเราจะ check email validation ว่าตรง format ไหม ซึ่งเราใช้ RegEx อ่ะเนอะ
ทริคหลัก ๆ สร้างตัวแปรเพื่อดูแต่ละเคสที่เราต้องการได้เลยแบบนี้
```kotlin
val emailRegex = """^[A-Za-z0-9+_.-]+@[A-Za-z0-9.-]+$""".toRegex()
val isMatch = emailRegex.matches("dev@android.com")
val isNotMatch = emailRegex.matches("@nodomain.com")
```
.
🟢 ถ้าเขียนแล้วอยากกลับมาดูอีก มันอยู่ตรงไหนนะ?
เปิด Project แล้วเลื่อนลงไปล่างสุด จะเจอ Scratches and Console เราจะเห็นว่าที่เราสร้างไว้จะอยู่ใน folder Scratches ไม่ว่าจะเปิดโปรเจกต์ไหนก็จะเจอไฟล์ Scratches ที่เราสร้างไว้เสมอ
และเมื่อเปิด Finder ดู พบว่าจะอยู่ที่ folder scratches ที่อยู่ใน AndroidStudio version ที่เราใช้อยู่อีกทีนึง
แล้วตัว Scratch File ไม่ได้มีแค่ Kotlin เท่านั้น ยังมีไฟล์ชนิดอื่น ๆ ให้เราจด note อีกด้วยนะ
เพื่อน ๆ ใช้ทำอะไร มาบอกใน comment ได้เลย 👇 #siamstr
ก่อนหน้านี้เราอาจจะใช้ Kotlin REPL ใน Android Studio แต่ตอนนี้เหมือนจะใช้ไม่ได้แล้ว
บางทีก็ใช้ Kotlin Playground บน web browser แต่บางทีก็ไม่สะดวก เพราะบางอย่างเราต้องใส่ import เอง แล้วโปรเจกต์ใหญ่ ๆ ก็มี function ที่ทุกคนใช้ร่วมกันด้วย อาจจะต้องใช้ context ในนั้นก็อาจจะไม่สะดวกอีก
เรามีวิธีที่ง่ายกว่านั้น คือ การลองรันผ่าน Kotlin scratch file นั่นเอง
แล้ว scratch file คืออะไรล่ะ? เป็น temporary file ที่เอาไว้จด note แล้วที่สำคัญ มันไม่เกี่ยวกับโปรเจกต์ด้วย เพราะมันเก็บที่ folder ของ Android Studio
.
🟢 วิธีสร้าง Scratch File
1. ไปที่เมนู File → New → Scratch File หรือชาว macbook สามารถใช้คีย์ลัด `Cmd` + `Shift` + `N`
2. มันจะขึ้นหน้าต่าง New Scratch File เลือกภาษาเป็น Kotlin
3. ใช้งานได้เลย
.
🟢 วิธีการใช้งาน Kotlin Scratch File
ลองพิมพ์โค้ดเข้าไป แล้วกดปุ่ม Run Scratch File ที่เป็นปุ่ม play สีเขียว ๆ อ่ะ มันจะ compile ให้ แล้วผลลัพธ์อยู่ด้านขวามือ
ถ้าเอาสะดวก ไม่ต้องกดปุ่มเอง ให้ติ๊กที่ Interactive Mode เมื่อเราพิมพ์เสร็จ มันจะรันโค้ดของเราให้อัตโนมัติให้เราเลย
ถ้าเราอยากใช้ function ที่มีอยู่แล้วใน project ให้เลือก module ที่ต้องการตรง Use classpath of module: โดยปกติมันจะ default ที่ ****`<no module>` เราสามารถเลือก module ที่เราต้องการ ในการใช้งาน function ต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วได้เลย
ข้อดีของมันคือ เร็วมาก เพราะไม่ต้องรอบิ้วทั้งโปรเจกต์, เข้าถึงโค้ดในโปรเจกต์ของเรา และเป็นการลอง syntax ในการเขียนอะไรใหม่ ๆ ก่อนเขียนบนงานจริงได้อีกด้วย ซึ่งเหมาะกับการเขียน business logic สุด ๆ
แต่ไม่สามารถใช้เขียน Android UI นะ
.
🟢 ตัวอย่างการใช้งาน?
สมมุติว่าเราจะ check email validation ว่าตรง format ไหม ซึ่งเราใช้ RegEx อ่ะเนอะ
ทริคหลัก ๆ สร้างตัวแปรเพื่อดูแต่ละเคสที่เราต้องการได้เลยแบบนี้
```kotlin
val emailRegex = """^[A-Za-z0-9+_.-]+@[A-Za-z0-9.-]+$""".toRegex()
val isMatch = emailRegex.matches("dev@android.com")
val isNotMatch = emailRegex.matches("@nodomain.com")
```
.
🟢 ถ้าเขียนแล้วอยากกลับมาดูอีก มันอยู่ตรงไหนนะ?
เปิด Project แล้วเลื่อนลงไปล่างสุด จะเจอ Scratches and Console เราจะเห็นว่าที่เราสร้างไว้จะอยู่ใน folder Scratches ไม่ว่าจะเปิดโปรเจกต์ไหนก็จะเจอไฟล์ Scratches ที่เราสร้างไว้เสมอ
และเมื่อเปิด Finder ดู พบว่าจะอยู่ที่ folder scratches ที่อยู่ใน AndroidStudio version ที่เราใช้อยู่อีกทีนึง
แล้วตัว Scratch File ไม่ได้มีแค่ Kotlin เท่านั้น ยังมีไฟล์ชนิดอื่น ๆ ให้เราจด note อีกด้วยนะ
เพื่อน ๆ ใช้ทำอะไร มาบอกใน comment ได้เลย 👇 #siamstr





สรุปจาก session “Agents in the Loop: Practical Automation for Mobile” โดยคุณ Pisit Jaiton (Full Stack Developer, Arise by Infinitas) จากงาน Mobile Native Thailand Meetup # 3
.
แน่นอนทุกที่น่าจะมี CI/CD อยู่แล้ว และเอา N8N มาใช้ เพื่อสร้าง agent ขึ้นมา ซึ่ง agent มันก็คือ LLM + tool มีหน้าที่ตัดสินใจ เลือกใช้เครื่องมือที่ถูกต้องเพื่อแก้ปัญหาให้สำเร็จ หาเหตุผล ช่วยแก้ปัญหาของงานนั้น ๆ เช่น OpenAI gen builder
Workflow เป็นสิ่งที่ทำให้ LLM ไปถูกทิศถูกทาง เริ่มจาก Trigger อาจจะมาจาก Webhook, Slack → Orchestration ประมวลผล ตัดสินใจ mapping หรือจัดการ transform ข้อมูล → Integrate กับตัวอื่น ๆ อย่าง Jira, Google, Figma → Reliability ดู execute ย้อนหลังได้ ดังนั้น N8N = agent + workflow
ทำไมต้องใช้ Automation บน Native?
- ข้อมูลใน CI เยอะมาก และมี insight อยู่ในนั้นเยอะมากเช่นกัน
- สร้าง workflow + CI APIs ได้ง่ายมาก ไม่ต้องพึ่ง infra อยากทำก็ทำใช้เองได้ deploy บนเครื่องตัวเองได้เลย
- review หน้า UI มี cost เยอะ ต้องใช้ QA review
- เอาคนเข้ามาเพื่อไม่ให้งานขึ้นตรงกับ AI ทั้งหมด
.
ใน session มี 3 usecase ด้วยกัน
💡 Use Case 1: การวิเคราะห์ Build Failure ใน CI/CD
มี CI/CD อยู่แล้ว สำหรับการเปิด MR/PR จะเอา agent มาจับให้มี insight มากขึ้น
ตัว CI/CD ในที่นี้ใช้ Gitlab CI สามารถใช้เครื่องเราเป็น Runner ได้ โดยการโหลด Docker แล้ว Runner เป็นคนเรียก Docker มาทำงาน เราสร้าง Runner ขึ้นมา และอย่าลืมตั้ง tag ให้ตรงกับตัว Runner นะ
การทำงานของ flow นี้ คือ ให้ N8N ดึง log Log จาก Gitlab CI หรือ CI/CD อื่น ๆ แล้วส่งก้อน data นี้ไปให้ LLM อ่านและสรุปออกมา โดยไม่ต้องทำ Data Cleansing
พอสรุปผล Agent สั่ง comment back ไปยัง Commit หรือ MR นั้น ๆ
และใช้ Gemini เพราะฟรี และสามารถบอก Root Cause ได้ แต่ก็ต้องเลือก model ที่เหมาะสมกับการใช้งานด้วย เช่น ไม่ใช้ Gemini 2.5 Flash ซึ่งอาจให้ผลลัพธ์ที่ฟุ้งเกินไป
💡 Use Case 2: ทำ UI Snapshot เทียบกับ Figma เพื่อ review UI
ถ้า UI ที่ทำมาไม่ตรงกับ Figma ทำ snapshot ดูว่า UI ผ่านไหม ซึ่งดูจาก business model หาไฟล์ Figma แล้วดูว่าตรงไหน
ฝั่ง Android หยิบ Paparazzi มาใช้ในการเขียน snapshot test จากนั้น prompt บอก system และ output ที่ต้องการ เจ้า agent จะเทียบ 2 รูป คือจากแอพที่ได้จาก Paparazzi และจาก Figma มาเทียบกัน
ตัว model เลือก model GPT-4o หรือ GPT-4o mini แล้วก็อาจจะเพิ่ม pixel perfect มาด้วย
💡 Use Case 3: Code Review
Agent สามารถดึงไฟล์ diff จาก Gitlab MR มารีวิวหา Code Smell หรือความไม่ถูกต้องของ Unit Test ถ้า Agent พบปัญหา จะวนลูปให้ Agent แก้ไขโค้ด และคอมเมนต์กลับไปใน MR ว่าควรแก้ไขไฟล์ไหนบ้างนะ
แล้วเดฟที่เป็นคนเนี่ย เป็นคนสุดท้ายที่ตัดสินใจว่า สิ่งที่ AI ทำมาให้ ถูกต้องหรือไม่ และ comment ให้เปิด MR
.
⚠️ Security - Guardrails & Privacy
- Data Handlng: ปิด confidental data
- Action Safety
- Access & Secrets
- Audit & Monitoring: ระวังไม่ให้ข้อมูลหลุดออกมา
📌 How it improve your CI
เราจะ improve อะไรบ้าง? เห็น data และ insight มากขึ้น รวมงาน quality ของงานเพิ่มขึ้น ในส่วน code review ที่ให้ senior ทำ อาจจะลองให้ LLM มาช่วยทำได้ อีกทั้งเริ่มต้นง่าย ทำได้เลยตอนนี้ #siamstr
แล้ว Overview การทำ iOS application ในปีหน้ามี 4 หัวข้อหลัก คือ
1️⃣ Age Rating System: เป็นการกำหนดอายุผู้ใช้แอพของเรา
จากเดิมจะมีการจัดอายุจากเดิม 4 ลำดับ คือ 4+, 9+, 12+, 17+ เป็น 5 ลำดับ คือ 4+, 9+, 13+, 16+ และ 18+ อีกทั้งต้องไปตอบแบบสอบถามใหม่ ทำให้ข้อมูลแอพของเราโปร่งใสมากขึ้น โดยเฉพาะกับเด็ก ๆ ที่ต้องมีผู้ปกครองดูแลอยู่ ซึ่งต้องตอบภายใน 31 มกราคม 2026 (คือเดือนแรกของปีหน้านี่แหละ)
คำถามใหม่มีเรื่อง
- In-app Controls: การควบคุมในแอพ เช่น มี UGC ไหม, ระบบแชท, ซื้อขายในแอพ, social feature
- Capabilities: ความสามารถ เกี่ยวกับพวก permission และการเก็บ sensitive data
- Medical or Wellness Topics: เกี่ยวกับสุขภาพ
- Violent themes: เนื้อหาที่มีความรุนแรงใด ๆ
ถ้าไม่ทำจะเกิดอะไรขึ้น? เราจะไม่สามารถ submit app update ไม่ได้ และอาจจะถูก remove แอพจาก App Store ในที่สุด
.
2️⃣ CocoaPods → Read-Only Mode: สิ่งที่ใช้กันมานานนม (นี่ก็ได้ยินมานาน) จะเข้าสู่ Read-only Mode อย่างเป็นทางการ
แต่ไม่ต้องตกใจไป เขามี timeline ให้เราได้เตรียมตัวกัน
- มกราคม 2025: แจ้งเตือนครั้งแรกให้เตรียมตัว Migration กัน
- กันยายน – ตุลาคม 2026: แจ้งเตือนครั้งที่สอง
- 1 - 7 พฤศจิกายน 2026: ทดสอบ Read-only Mode
- 2 ธันวาคม 2026: เข้าสู่ Read-only Mode อย่างเป็นทางการและถาวร
ผลกระทบ คือ project ที่มีอยู่เดิมยังใช้ได้ แต่ทำให้ library ขึ้น version ใหม่ไม่ได้ และที่สำคัญเรื่อง security update จะไม่ได้รับการอัพเดตเรื่องความปลอดภัยอีกต่อไป ถือเป็นความเสี่ยงใหญ่เลย อีกทั้งตัว iOS version ใหม่อาจจะมีปัญหากับ dependency เก่าด้วย
ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำ คือ check library หรือ dependency ที่ต้องใช้ อาจจะเปลี่ยนจาก CocoaPods เป็น SPM หรือ Swift Package Manager ซึ่งเป็น official solution จากทาง Apple อาจจะ check กับ Github ของตัวนั้น ๆ ที่ใช้ หรือผ่าน swiftpackageindex.com ก็ได้นะ
.
3️⃣ Xcode 26:
Apple มักจะบังคับให้ update ตัว Xcode เวอร์ชันใหม่ในการ Build แอปขึ้น Store ในช่วงเดือนเมษายน ของทุกปี โดยในเดือนเมษายน 2026 แอพจะต้องใช้ Xcode 26 (iOs 26, iPadOS 26 SDK, 26 SDK)
อีกเรื่องที่สำคัญ คือ migrate ตัว `UIApplication` เป็น `UIScene` โดยสามารถ check info.plist ตรง Scene Configuration ได้
แล้ว Xcode 26 มีอะไรมาใหม่? เขามาในแนวคิด Smaller, Faster, Better
- Performance Optimization: ขนาด download ลดลง 24% โดยตัด simulator และ Game Kit ออก, เปิด workspace เร็วขึ้น 40%, improve การพิมพ์ให้ดู smooth ขึ้นถึง 50%
- เพิ่ม build system ตัวใหม่ คือ Swift Compilation Caching จากที่ต้อง compile ใหม่ทุกครั้ง ทำให้ทำได้เร็วขึ้น
- Swift Explicit Module: เปิดให้เป็น default แล้ว ถ้าไม่เอาก็ไปปิดเองได้ มันจะ compile เพื่อมาเดา dependency แล้วมา define ว่าใช้อะไรบ้าง ทำให้เร็วขึ้น
- Enhanced Editor Tabs: มี pin tab ไฟล์ที่เราต้องการ focus ได้ด้วยนะ
- Advance Search: คือเราสามารถหาแบบ multiple word search ได้ โดยเรียงจากความเกี่ยวข้อง ทำให้ค้นหาอะไรบางอย่างในโปรเจกต์ง่ายขึ้น
- Voice Control for Swift: พิมพ์โค้ดแล้วมันเมื่อย เรามาเขียนโค้ดด้วยคำสั่งเสียงกันดีกว่า อาจจะทำงานได้เร็วขึ้นนะ (เขาเปิด demo จากงาน WWDC มาประกอบ)
- พวก AI ต่าง ๆ คือ เขามี model ให้ใช้ใน Xcode คือ ChatGPT แล้วก็มี Claude และเปลี่ยน model ได้จาก Model Provider และมันอยู่ใน workspace ไม่ต้องเปิดหน้าต่างแยก แล้วเขาสามารถเพิ่ม file context ได้ ช่วยแก้ issur รวมถึงทำ document ได้ด้วย ซึ่ง avaiable บน macOS 26 นะทุกคน ไป check OS กันก่อนลุยนะ
- พวก performance จะมี SwiftUI Instrument ช่วย analyse detail แล้วก็ Power Profiler instrument ดูเรื่อง CPU, GPU, display, network แล้วก็ Processcor Trace instrument ดูเรื่อง CPU เหมือนกัน
- Localization Enhancement: เขาแนะนำให้ย้ายมาใช้ String Catalogs และเพิ่มความสามารถในการ Generate Comment ให้กับ Key String ได้
- Testing Enhancements: UI automate ปกติ record ได้ แต่ใน Xcode 26 เพิ่มให้ customize ได้ง่ายขึ้น และมี suggestion ขึ้นมา
- Icon Composer: tool ตัวใหม่สาย design ตัว Liquid Glass มีการ clear และ blend ไปกับ content แยก preview แต่ละ mode ได้ เช่น light mode, dark mode, print mode
.
4️⃣ iOS 26 & Liquid Glass UI: การ redesign ครั้งใหญ่ตั้งแต่ iOS 7
มีการเปลี่ยน version ตามเลขปี เช่น จาก iOS 18 (2024) เป็น iOS 26 ให้เข้าใจง่ายว่าเป็นของปีไหน ซึ่งตัวเลขนี้จะสอดคล้องกันทุก platform เริ่มจาก 26 เท่ากัน
และแน่นอนว่านอกจากเรื่องเลข version เรื่อง Liquid Glass UI ก็เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าแอพใครยังไม่พร้อมในตอนนี้ สามารถใส่ `UIDesignRequiresCompatibility` ใน plist เป็น true แต่มันจะบังคับตรง navigation bar และ surface
สำหรับตัว Liquid Glass UI มี 2 variant ให้ใช้ คือ Regular (blend ไปกับ content) และ Clear (แบบใส) ใช้เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งห้ามเอามาผสมกัน
.
📌 Key Takeaway เราต้องทำอะไรบ้างนะ
- Age Rating Updates: มกราคม 2026
- Migrate UIAppDelegate to UIScene Delegate prepare to Xcode26 SDK26: เมษายน 2026 - สาย financial หรือลูกค้าใหญ่ ๆ ถ้าทิ้งเรื่องนี้ไว้มีความเสี่ยงนะ
- Migrate Cocoapods to Swift Package Manager: ธันวาคม 2026
ช่วงแรกอาจจะเจ็บ แต่ได้ stability กับ safety ระยะยาว The time is running out. Start preparing now. #siamstr
Slide ทุก session:
ปีที่แล้วคนพูดถึง AGI ว่ามันฉลาดเท่ามนุษย์ ไทยได้ประโยชน์ในการนำ AI เอามาใช้งาน เช่น Agentic AI ทำให้เพิ่ม productivity และลด cost ได้
AI จะคุยกับมนุษย์ได้ และอนาคตจะมี physical AI ช่วยงานมนุษย์ เช่น คัดกรองสิ่งของต่าง ๆ ช่วยยกของ
Agentic AI Components:
- Tool: เปรียบเหมือนแขนขา เช่น Calendar, Calculator, Code Interpreter, Order Processing, Search
- Memory: ความจำ มี short-term memory ระยะสั้น กับ long-term memory ระยะยาว
- Planning: สามารถเรียงลำดับความคิดได้ ไม่ว่าจะเป็น Reflection, Self-Critics, Chain of Thoughts, Subgoal Decomposition
- Action: เหมือนมีกล้าม สามารถทำบางอย่างแทนคนได้ เชื่อมต่อกับ Tool
.
Amazon's AI-powered experiences: AI ช่วยให้ลูกค้าซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น เช่น Amazon เอา AI มาช่วยลูกค้าค้นหาสินค้า และบางที AI รู้จักตัวเรา มากกว่าตัวเรารู้จักตัวเอง หรือเอาไป gen video ได้
.
ในฝั่งเดฟ ใช้ AI ในการช่วย upgrade จาก Java 8 ไป Java 17 สำหรับ product 1000+ แอพ ถ้าทำเองทั้งหมดอาจจะใช้เวลา 4,500 ปี แต่พอมี AI มาช่วย ทำให้จบภายใน 6 เดือน และเปลี่ยน hardware ที่ใหม่มากขึ้น ลดขนาดเครื่อง และประหยัดไป 260 ล้านดอล
.
Grab merchant บริการฝั่งร้านค้า มีลูกค้า 44 ล้านต่อเดือน ช่วยร้านค้าทำโปรโมชั่นแบบไหนเพื่อ boost ยอดขายของร้าน แก้ปัญหาร้านได้เพิ่มขึ้น 5.7% เปลี่ยน negative feedback ให้ดีขึ้น 25% จากที่ใช้คน 100% เหลือใช้คนเพียง 88% เพราะ transfer ให้ AI ทำ
.
คนใช้ AI ในเชิงปริมาณ มีธุรกิจ 150,000 ในไทยใช้ AI คิดเป็น 1 ธุรกิจในทุก 3 นาที การนำ AI มาใช้เพิ่มขึ้น 32% จาก 24% ในปีก่อนหน้า และเพิ่ม productivity ได้ 81% อีกทั้งมีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้น 67% ส่วนในเชิงคุณภาพเอามาวางแผนการเงิน scale ธุรกิจ และ service
.
3 สิ่งที่เป็น challenge สำหรับภาคธุรกิจ คือ skill, เงินทุน และกฏหมาย โดยเกิด skill gap มีความรู้ไม่เพียงพอในการใช้งาน AI, POC cost ยังไม่เยอะ, รวมถึงเรื่องกฏหมายหลาย ๆ องค์กรกับกฏการใช้งาน AI
.
ทาง AWS มีการ train เรื่อง AI เพื่อ upskill และ reskill คนไทยไปแล้ว 800 กว่าคน และมี tech alignment skill digital workflow และ skill ให้พร้อมอยู่ตลอด
Key Takeaway: ปัญหาที่เราจะแก้คืออะไร แล้ว data ของเราคืออะไร และคำนึงถึงความปลอดภัย governance และ mindset ในการทำ transformation
สุดท้ายเขามี free online course และ AWS free tier ให้ใช้เบื้องต้น มีคอร์สฟรีออนไลน์มากกว่า 600 กว่าคอร์ส และ guide ในการใช้ Agentic AI
- คอร์สฟรีออนไลน์มากกว่า 600 กว่าคอร์ส:
เราสรุปจาก session "PANEL DISCUSSION THAI SMEs RESHAPE 2026 ทางรอด SMEs ไทย" จากงาน Bitkub Submit 2025 ที่เราเข้าช่วงแรกไม่ทัน เพราะไปเอาสแตมป์ให้ครบใน rally แหละ
🟢 มาถึงเขากำลังถามเรื่อง Personal branding อยู่
- คุณหนุย: ตอนแรก founder ทำเองหมด จนมีพนักงาน
- คุณเปา: ขายตัวเอง ขายยังไงให้ของเราขายได้ ในเมื่อมีคนขายเหมือนเรา อยากให้ลูกค้าพอใจ มำยังไงให้คอมไม่เหมือนกัน ในมุมการขาย เช่น เทสให้ดู content ความรู้ การทำ price war แข่งกันเหนื่อยเหมือนแข่งดำนํ้า จะไม่เล่นในส่วนของราคา เหมือนแข่งกับเจ้าอื่นโดยตรง ทำ review add value ของ promotion ทำให้ลูกค้าเชื่อใจและเชื่อมั่นได้ บริการดีลูกค้าบอกต่อ เป็น CEO คนเดียวต้องขยันสุดให้ลูกค้ามั่นใจ ลูกน้องไม่กล้าขี้เกียจ มี role model ที่ดี แล้วมี return value ขายแบบไม่ขาย ให้ความรู้ ถ้าลูกค้ากลับมาซื้อในวันข้างหน้าเขาจะนึกถึงเรา
- คุณพีช: ไม่ใช้ personal branding กับแบรนด์ ถ้าวันนึงที่เราไม่อยู่ เขาอยู่ได้โดยไม่พึ่งเรา และแบรนด์ involved เป็นอย่างอื่นได้
- คุณเปา: trend off ในวันที่ไม่อยู่แล้ว อยู่กับปัจจุบันเสมอ ชอบใช้เงินน้อย ๆ แล้วมี impect เยอะ เสียเวลาในการพูด แต่ impact มัน work อะไรดีทำต่อ อะไรไม่ดีไม่ทำ วิเคราะห์คู่แข่งว่าไม่ทีอะไรเราเอามาใส่ ถ้าเขามีเราจะไม่แข็งกับเขา ไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงในสนามที่เสียเปรียบ
.
🟢 Distruction การเข้ามาของ AI มีผลกระทบยังไงกับธุรกิจบ้าง
- คุณเฟิร์น: หุ่นยนต์ไม่สามารถบริการลูกค้าได้อยู่แล้ว ยังไงโดยใช้คน ไม่ถูก replace มนเชิงนั้นได้ แต่เอามาเสริมได้ เช่น ระบบหลังบ้าน มี AI calcular กับ POS ว่าตัวเลขไม่ตรงกัน ปิดความเสี่ยงเรื่อง frund คิดเรื่องในเรื่องการทำงาน เอามาช่วยงานหลังบ้าน ช่วยขยายสาขาใช้คนน้อยคน productivity มากขึ้น ลดงาน routine เรียนรู้การใช้เทค เพื่อทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ผิดพลาดน้อยลง
- คุณพีช: ถูก AI replace ค่อนข้างยาก เพราะยังทำงานกับคน เอา AI ช่วยเพิ่ม accuracy เทรน AI ในรูปแบบเดียวกัน ในแต่ละทีมของบริษัท เห็นแคมเปญล่วงหน้า ช่วยประหยัดเวลาและคนมากขึ้น โดยเฉพาะ marketing ตัดสินใจเร็วขึ้น ใช้เวลาน้อยลง
- คุณหนุย: เข้ามาเกี่ยวข้องเยอะมาก marketing graphic AI ช่วยงานได้ดยอะมาก ๆ และสร้างอะไรใหม่ ๆ น่าตื่นเต้นให้กับวงการ skincare เช่น ครีมกันแดด มี virsual character พรีเซนต์สูตรครีมกันแดด ใช้ระยะเวลาแค่เดือนเดียว สร้างอะไรใหม่ ๆ ได้มากขึ้น ดูใน IG ได้ในวันที่ 28 release mv animation + AI ตั้งใจให้เพลงติดหู เปน song of the year และงานหลังบ้านทำเองหมด service 300000 order/month เอา AI ช่วยให้ส่งเร็ว ส่งดุ fulfill ให้เร็วที่สุด และ ส่งไวใน 1-4 ชั่วโมงได้เลยกับ platform
- คุณเปา: AI มีส่วนสำคัญในเรื่อง admin บริการตอบแชทลูกค้า สร้าง super admin ตอบแชทข้อความ สันนึงแปดหมื่นข้อความ ใช้คน 30 คน มี ai มาช่วย แล้วก็เรื่องบัญชี จัดส่ง จัดซื้อ ราคา การขนส่ง หน้าบ้าน มีกราฟฟิคบ้าง เป็นเรื่องปกติ AI serve content เป็นไปไม่ได้ และทำให้ความเชื่อถือแบรนด์ลดลง ยังไม่ถึงเวลาของ AI ใช้ AI คิด content แต่ตัดหมด เพราะ ทำไปแล้ว ใช้งานจริงไม่ได้ มันไม่เข้าใจความเป็นมนุษย์
- คุณเฟิร์น: ลูกค้าอยากได้การสื่อสารที่ชัดเจน และตรงไปตรงมามากที่สุด
- คุณเปา: คนยังมีความเป็นคนอยู่ อาจจะยังไม่พร้อมสำหรับมนุษย์เท่าไหร่
ถ้าย้อนกลับไป day 1 ที่เริ่มธุรกิจ จะไปใน industry เดิม หรือ industry ใหม่
- คุณหนุย: ทำ industry เดิม แต่ทำไม่เหมือนเดิม
- คุณเปา: ทำ industry เดิม เพราะ ถนัดอย่างเดียว
- คุณพีช: ทำ industry เดิม เพราะ passion ชอบแบบเดิม ทำแบบเดิม
- คุณเฟิร์น: ทำ industry เดิม ชอบทำอาหารเลยทำได้ง่าย แต่ระหว่างทางเหนื่อยบ้าง
.
🟢 ฝากอะไรกับชาว SME บ้าง
- คุณพีช: หลาย ๆ คนพูดว่า sme ลำบาก เศึไม่ดี แต่ช่วงเวลานี้ sme เติบโตได้เร็วกว่า coperate ที่มี fixed cost เยอะ
- คุณหนุย: ปรับตัวให้เร็ว เรียนรู้ให้เร็ว มี action plan, วิเคราะห์ความเสี่ยง health check ว่าเราอ่อนแอเรื่องอะไร ระหว่างวิ่งไปข้างหน้า มองกลับมาเรื่อวความเสี่ยวด้วย
- คุณเปา: อยากให้ทำต่อไป และรักษามาตรฐาน และต้องเก่งกว่าคนอื่น เพราะต้องเกิดการแข่งขัน อยากเติบโตคุณต้องเด่นกับตัวเองอย่างชัดเจน และยอดเหนนื่อยให้อยู่มนจุดที่ลืมตาอ้าปากได้ ตั้งใจและสู้ไปให้สุด แล้วเราทำดีในแต่ละวัน
- คุณเฟิร์น: การทำธุรกิจมีปัญหาทุกที่ มีเป้าหมายว่าเราทำไปเพื่ออะไร เจอปัญหาแบบไหน มองเป้าหมาย เราจะได้รู้ว่าสู้ไปเพื่ออะไร ช่วยแก้ไขปัญหาได้ทุกอย่าง อย่าเทียบกับความสำเร็จของคนอื่น
#BITKUBSUMMIT2025 #siamstr

ถ้าคุณอยากสร้างโปรเจกต์ใหม่เป็นแอพ Android แล้วอยากรู้ว่าต้องใส่ minSdkVersion หรือ version แอพ Android ที่ตํ่าสุดที่ใช้แอพเรารองรับได้ เป็นเท่าไหร่ สามารถดูจากหน้าต่างนี้ได้เลย โดย version ตํ่าสุดที่ทาง Android แนะนำคือ Android 7 (API Level 24) ทำให้รองรับผู้ใช้ได้ถึง 98.6% ของผู้ใช้ Android ทั้งหมด
ซึ่งข้อมูลตรงนี้ไม่ได้มีให้บนหน้าเว็บโดยตรง เขาแนะนำให้ไปดูที่ Reach and device ใน Google Play Console [1][2]
แต่ ๆๆๆๆ ถ้าคุณทำแอพเกี่ยวกับการเงินนั้น ให้อิงตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย [3] และหลาย ๆ แอพธนาคารรองรับ Android 9 (API Level 28) ขึ้นไป รองรับผู้ใช้ได้ถึง 93.4% ของผู้ใช้ Android ทั้งหมด ถือว่าเยอะอยู่นะ (ส่วน iOS จะเป็น iOS 14 ขึ้นไป)
ปล. Android API Level คือเลขที่ระบุ version ของ Android Platform API ที่เดฟอย่างเราใช้สร้างแอป ใช้กำหนด minSdkVersion, targetSdkVersion, compileSdkVersion และใช้ในเงื่อนไขการทำงานของฟีเจอร์สำหรับเวอร์ชันใหม่ๆ
.
📌 แล้วคนใช้มือถือ Android version ไหนเยอะสุด?
แน่นอนว่าก็ต้องเอาข้อมูลจาก จาก Android Platform/API Version Distribution นี้ มาคิดคำนวณกัน ข้อมูลที่เรานำมาเขาอัพเดตล่าสุดวันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมาเนอะ
แต่มีเว็บ Composables ทำสรุปให้เราแล้ว โดยเขาทำเว็บ Android Distrbution Chart เพื่อเอามาดูข้อมูลตรงนี้ได้
- Android version ล่าสุด คือ Android 15 (API Level 35) คนใช้ 4.4%
- Android version ที่ใช้เยอะสุด คือ Android 14 (API Level 34) คนใช้ 27.4%
- Android version ที่ใช้น้อยสุด ๆ คือ Android 4.4 (API Level 19) คนใช้ 0.1%, Android 5 (API Level 21) คนใช้ 0.1% ถัาใช้น้อยกว่านี้ไม่แสดง คือข้อมูลต้นทางก็มีแค่นี้แหละ 🤣
📱 ถ้าอยากรู้ว่ามือถือเราใช้ Android version ไหน สามารถไปดูได้ที่ Settings → About phone → Software information → Android version สำหรับ Samsung แหะ ๆ โดยของเราเป็น Android 15 ใหม่ล่าสุดเลย
.
⚠️ ความสำคัญต่อความปลอดภัยและการซื้อมือถือ
การใช้เวอร์ชัน Android ที่เก่ามากๆ จะมีความเสี่ยงในเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากขาดการอัปเดต Patch ล่าสุด
ดังนั้น การเลือกซื้อมือถือแบบง่ายๆ คือควรเลือกรุ่นที่รองรับการอัปเดต Android OS ใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อให้คุณมั่นใจในด้านความปลอดภัยและการเข้าถึงฟีเจอร์ใหม่ๆ
.
แล้วเพื่อน ๆ ใช้มือถือ Android version อะไรอยู่
หรือแอพที่เพื่อน ๆ ทำ minSdk เป็นเท่าไหร่ มาแชร์กันได้น้า #siamstr
---
ref:
- [1] เมื่อก่อนเคยดูตรงนี้ได้ Distribution dashboard: 



งาน Bitkub Submit ปีนี้ เป็นตีม Financial Literacy, Digital Literacy & Longevity เริ่มวันเสาร์อาทิตย์ที่จะถึงนี้ (25 - 26 ตุลาคม) ที่ Exhibition Hall 3-4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ลงทะเบียนได้ที่นี่เลย 
ในวันเสาร์ที่ 25 มีคอนเสิร์ตจาก Season Five และ Bowkylion ด้วยน้า มาจอยกันเยอะ ๆ #siamstr
Agenda แต่ละเวที
- agenda เวทีหลัก: 


📌 ทำไมเราถึงต้องมี Second Brain?
ทุกวันนี้เราได้รับข้อมูลข่าวสารมากมาย จนเกิดภาวะ Data Overload ทำให้เหนื่อยล้า และมีอาการ FOMO (Fear of Missing Out) คือกลัวตกข่าว และที่แย่กว่านั้นคือเราใช้เวลาในการค้นหาข้อมูลไปเยอะมาก และพบข้อมูลที่ต้องการอย่างถูกต้องเพียง 50% เท่านั้น!
การทำสมองที่สอง (Second Brain) มาจากหลักการของ PKM หรือ Personal Knowledge Management ในการจัดการความรู้ส่วนบุคคล มันคือการสร้าง ฐานข้อมูลดิจิทัล (Digital Knowledge Hub) ที่ช่วยเราในการ:
- ค้นหาข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ
- จัดระเบียบข้อมูล (เหมือนการทำ Git Repository หรือคลังโค้ดส่วนตัว)
- เก็บบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ
- เชื่อมโยงทุกอย่างเข้าด้วยกันอย่างมีระบบ
หลักการการทำสมองที่สอง คือ เป็นการจดบันทึก เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ ซึ่งในเล่มนี้กล่าวถึงการจดผ่านแอพต่าง ๆ ที่คุณชอบ ไม่ว่าจะเป็น OneNote, Keep, Notes, Notion, Evernote และอื่น ๆ ที่สามารถใส่ multimedia มีความไม่เป็นทางการ มีความปลายเปิดเติมได้เรื่อย ๆ และเน้นลงมือทำเป็นหลัก
.
📌 เทคนิคจดบันทึกแบบ CODE
∙ C - Capture: เลือกเก็บข้อมูลที่โดนใจ 💗
เลือกเก็บข้อมูลที่เราสนใจ เอามารวมกัน เพื่อใช้ในการสร้างคลังความรู้ส่วนตัว เช่น ใช้ web clipper บน Notion, แอพจดโน้ตต่าง ๆ อย่าง Notes ในมือถือและ iPad, save post ใน Facebook หรือ bookmark, แอพอัดเสียงต่าง ๆ
∙ O - Organize: จัดระเบียบการใช้งาน 📁
เอาข้อมูลจากในกองมาจัดระเบียบ โดยเขาใช้หลักการจัดระเบียบแบบยืดหยุ่นที่เรียกว่า PARA method ซึ่งเป็นการจัดเพื่อการใช้งานจริง:
- Project: สิ่งที่เราทำอยู่ตอนนี้
- Area: สิ่งที่เราดูแลในระยะยาว
- Resource: สิ่งที่ใช้อ้างอิงในอนาคต
- Archive: สิ่งที่เราทำสำเร็จไปแล้ว หรือพักไว้ก่อน
∙ D - Distill: กลั่นกรองแก่นสำคัญ 🗒️
สรุปใจความสำคัญของแต่ละอัน ให้เหลือแต่ 'เนื้อ' เพื่อให้คุณ 'ค้นเจอ' ข้อมูลได้เร็วขึ้น โดยมีการใช้ bullet point ในการกระตุ้นการเขียนบทสรุปให้กระชับ และใช้เทคนิคสรุปแบบ Progressive Summarization (สรุปแบบก้าวหน้า)
∙ E - Express: นำเสนอผลงาน 👩🏫
เป็นการแบ่งปันความรู้ และเรื่องราว ให้กับคนอื่น และเราไม่ต้องรอพร้อมก่อนค่อยเริ่ม เช่น อาจจะโพสบน Facebook ส่วนตัว หรือเขียนบน blog ง่าย ๆ อย่าง Medium ก็ได้ ซึ่งมันคือ learning in public หรือการเรียนรู้ในที่สาธารณะนั่นเอง
.
อ่านแล้วอยากลองทำดูใช่ไหมล่ะ บอกเลยว่าเนื้อหาในหนังสือยังมีรายละเอียดอีกเยอะ พร้อมทั้งตัวอย่างแบบจัดเต็ม เพื่อให้เราทำ Second Brain ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- shopee: 
หลาย ๆ คนที่ใช้มือถือ Android จะเห็นแถบนำทางนี้อยู่ข้างล่างจอเสมอ โดยฟังก์ชั่นการทำงานของมันก็คือ
↩️ ปุ่ม back: ย้อนกลับไปหน้าก่อนหน้า จนไปออกแอพ รวมถึงปิด keyboard ด้วย (แน่นอนว่าฝั่ง iOS ไม่มี แฮร่)
⭕ ปุ่ม home: กดปิดแอพไปยังหน้าจอหลัก
🔲 ปุ่ม recent app: กดเพื่อดูแอพที่เราเปิดค้างไว้อยู่ ทำให้เราสลับไปแอพอื่นได้ และปิดแอพที่ไม่ใช้งานได้ด้วย
อยู่มาวันนึงทาง Google ได้ออกตัว Gesture navigation มาใน Android 10 แทน Navigation Bar แบบเดิม เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการแสดงผลให้เต็มจอ เต็มตามากขึ้น
.
อ่านแล้วอยากใช้แบบใหม่?
สำหรับชาว Samsung สามารถเปลี่ยนได้นะ โดยไปที่ Settings → Display → Navigation bar ของเดิมเป็นแบบ Buttons เปลี่ยนเป็น Swipe gestures เท่านี้ก็ได้แล้ว
เราจะเห็นขีดยาว ๆ ด้านล่างจอ เรียกว่า side button
.
แล้วฟังก์ชั่นเดิมเราจะใช้ยังไงได้บ้าง?
↩️ go back: swipe จอจากซ้ายไปขวา จนขึ้น < ที่ด้านซ้าย บางแอพอาจจะไม่ขึ้นแบบนี้ เราจะเห็น animation ที่หน้าที่เราเปิดหุบเข้าไป เช่น Lemon8 หรือ swipe ไม่ได้ ให้ไปกดปุ่ม back เอา อย่าง Facebook และ TikTok ซึ่งอันนี้อยู่ที่การ implement ของแต่ละแอพเลย
⭕ go home: swipe side button ขึ้นไปแบบไว ๆ
🔲 go recent app: swipe side button ขึ้นไปบนสุดดด ๆๆ
และเราสามารถไปแอพอื่น ๆ โดยการ swipe ตรง Side button ปัดไปซ้ายขวาได้เลย
สำหรับการเรียก assistance ปกติเราจะกดปุ่ม home ค้างไว้ อันนี้เราจะกด side button ค้างแทนนะ
.
แล้วเพื่อน ๆ ชอบแบบไหน แล้วใช้แบบไหนกันบ้างนะ มาแชร์กันได้เลย #siamstr
อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับ blockchain อ่านเล่มไหนดี?
ตอนนี้ Bitcoin ก็ all-time high สักพักใหญ่ ๆ แล้ว หลาย ๆ คนคงจะสนใจสินทรัพย์ดิจิตอลตัวนี้กันบ้างแล้ว ว่ามันคืออะไรกันนะ อ่านทีก็เข้าใจยากจัง แล้ว blockchain มันคือยังไงกันนะ
.
โพสนี้จะมาแนะนำหนังสือเกี่ยวกับ Bitcoin & Blockchain ที่ซื้อมาอ่านบ้างไม่อ่านบ้าง แต่เนื้อหาดีงามและเข้าใจง่ายมากฝากกัน และทุกเล่มมีอยู่บน meb สามารถอ่าน sample ที่บ้านก่อนซื้อ ebook ได้ หรือถ้าอยากได้แบบเล่มก็ไม่ติด
.
🟠 Inventing Bitcoin : ไขกลไกนวัตกรรมเงินเปลี่ยนโลก
ทำความรู้จัก Bitcoin และ Blockchain เบื้องต้น เหมาะสำหรับมือใหม่ อธิบายที่มาที่ไปในเชิงเทคนิค เกี่ยวกับกลไกการทำงานเบื้องหลังอย่างละเอียด ตั้งแต่ Proof of Work, Private Key ไปจนถึงการทำงานของ blockchain
.
🟠 Bitcoin & Blockchain 101 เงินดิจิทัลเปลี่ยนโลก (ฉบับปรับปรุง)
มือใหม่ต้องอ่าน ก่อนเข้าสู่โลก web3 เนื้อหาครอบคลุมพื้นฐานทั้งหมดของ Bitcoin และเทคโนโลยี Blockchain ว่ามันคืออะไร ใช้งานยังไง ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ทำให้เห็นภาพรวมว่าทำไมเงินดิจิทัลถึงกำลังจะเข้ามาเปลี่ยนโลก เป็นหนังสือที่เหมาะสำหรับปูพื้นฐานให้แน่นก่อนไปศึกษาต่อในระดับที่ลึกขึ้น
.
ถ้าสนใจเรื่อง Bitcoin เพิ่ม สามารถอ่านสองเล่มนี้ต่อได้เลยยยย
🟠 The Bitcoin Standard : ระบบการเงินทางเลือกใหม่ไร้ศูนย์กลาง
สาวก Bitcoin ต้องอ่าน เล่มนี้ไม่ได้เน้นเรื่อง technical แต่จะพาไปสำรวจประวัติศาสตร์ของเงินตราและอธิบายว่าทำไม Bitcoin ถึงมีคุณสมบัติเป็น Hard Money ที่ดีกว่าทองคำและเงินเฟียต (คือเงินที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน) ผู้เขียนจะแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของระบบการเงินแบบกระจายศูนย์และศักยภาพของ Bitcoin ในการเป็นสินทรัพย์รักษามูลค่าแห่งอนาคต
.
🟠 The Fiat Standard
เล่มนี้เป็นภาคต่อของ The Bitcoin Standard ที่จะพาไปเจาะลึกระบบการเงินปัจจุบันที่เราใช้อยู่ หรือ "เงินเฟียต" อย่างถึงพริกถึงขิง หนังสือจะวิเคราะห์จุดอ่อนและปัญหาของระบบที่ควบคุมโดยรัฐบาลและธนาคารกลาง พร้อมทั้งเสนอว่า Bitcoin จะเข้ามาแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร เป็นการเปิดมุมมองให้เห็นว่าทำไมเราถึงต้องการทางเลือกใหม่
.
ส่วนเพื่อน ๆ ชอบเล่มไหน หรืออยากแนะนำเล่มไหน พิมพ์ไว้ใต้ comment ได้เลย #siamstr
---
Shopee
🟠 Inventing Bitcoin : ไขกลไกนวัตกรรมเงินเปลี่ยนโลก
แล้วการปัดเศษมันมีอะไรแบบไหนให้ใช้บ้าง? พบกับ 4 function หลักที่หลาย ๆ คนน่าจะใช้กัน
.
1️⃣ round(): เป็นการตัดทศนิยมแบบตรงไปตรงมาที่สุด ถ้าทศนิยมเป็น .5 ขึ้นไป จะปัดขึ้น ที่เหลือปัดลง เช่น round(2.5) ได้ 3, round(3.2) ได้ 3
การใช้งาน: ใช้ในชีวิตจริงทั่วไป เช่น การปัดเศษเงินค่าข้าวหลังจากคิดส่วนลดแล้ว
ข้อควรระวัง: round() ในบางภาษาอย่าง Python มันจะปัดเศษ .5 ขึ้นไปหาจำนวนคู่ที่ใกล้ที่สุด เช่น round(2.5) ได้ 2, แต่ round(3.5) ได้ 4
.
2️⃣ ceil(): คือ ceiling หรือเพดานนั่นแหละ เป็นการปัดเศษขึ้นเสมอ เช่น ceil(2.5) ได้ 3, ceil(3.2) ได้ 4
การใช้งาน: ใช้ในสถานการณ์ที่ผลลัพธ์ต้องไม่น้อยกว่ากำหนด เช่น man-hours เราจะใช้เป็นคนครึ่งไม่ได้ ต้องใช้สองคน
.
3️⃣ floor(): คือ floor หรือพื้น ทำตรงข้ามกับ ceil คือเป็นการปัดเศษลงเสมอ เช่น floor(2.5) ได้ 2, floor(3.2) ได้ 3
การใช้งาน: เหมาะกับการคำนวณที่ต้องการค่าต่ำสุด เช่น เอาขนมทั้งหมดใส่ถุงได้ทั้งหมดกี่ถุง
.
4️⃣ truncate(): เป็นการตัดทศนิยมทิ้งทั้งหมด เช่น truncate(2.5) ได้ 2, truncate(3.2) ได้ 3
การใช้งาน: เหมาะสำหรับการแสดงผลลัพธ์แบบหยาบ ๆ หรือการทำงานกับข้อมูลที่เป็นจำนวนเต็มเท่านั้น เช่น การแสดงอายุ
.
สรุปก็คือ การใช้ให้ถูกตัวเนี่ยสำคัญมาก ๆ เพราะมันคือหัวใจของ Business Logic ที่เกี่ยวกับตัวเลขเลยทีเดียว อีกทั้งภาษาส่วนใหญ่เนี่ยมี 4 function นี้เหมือนกัน ทั้งภาษา Kotlin, JavaScript ส่วน Python จะมีเรื่องของ round() ที่แตกต่างจากเพื่อน ๆ หน่อย แล้ว Java ก็ไม่มี truncate() ให้ใช้โดยตรง ยังไงก็อย่าลืมเข้าไป check limitation ของภาษานั้น ๆ ก่อนใช้งานด้วยน้า #siamstr