เร็วนี้ผมอยากแชร์เนื้อหาในหนังสือ the fourth politcal theory ของ Alexander Dugin ลงใน nostr ครับ เป็นการเปิดมุมมองที่น่าสนใจสำหรับคนที่อยากงานง่ายเขียนของนักปรัชญาที่ไม่ใช่ทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา 😃
Libertarian Studies
npub187fs...tz9m
Thai right-libertarian channel advocating for liberty, decentralization, paleocon and laissez-faire.
Verifying my Nostr Nests identity: fcTCeHfaFxMHJrF_EsiNP8gD96jRTmvWlbx6yKnCDwM
Nostr Nests
Join this audio Space
เราจะยังคงยืนหยัด
.
โดย กองบรรณาธิการ
.
เนื่องด้วยวาระดิถีขึ้นปีใหม่ทางกลุ่มอิสรนิยมศึกษาทั้งคณะทำงาน แอดมิน ผู้ประสานงาน และผู้ปฏิบัติงานทุกท่านก็ขออวยพรแก่สมาชิกและลูกเพจทุกท่าน ขอให้คุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักสิทธิ์ที่ทุกท่านนับถืออยู่จงดลบันดาลให้ทุกท่านพบกับความสุขสวัสดิภาพขอให้ปราศจากภยันตาย อุปสรรคและความทุกข์ทั้งปวง ส่วนทางกลุ่มอิสรนิยมศึกษานั้นก็ยังจะคงมุ่งมั่นและตั้งใจในการทำงานทางความคิดและเผยแพร่ความรู้ให้กับประชาชนต่อไป เพราะเราเชื่อว่าการทำงานทางความคิดไม่สามารถสำเร็จได้ภายในวันเดียว เราจะยังคงยืนหยัดเป็นเสียงที่ป่าวร้องประกาศต่อไป เพื่อให้สังคมไทยเห็นถึงความสำคัญของเสรีภาพและสังคมที่ปราศจากการบังคับและรุกรานกัน
.
เพราะไม่มีชัยชนะใด ๆ ที่มีความหมายมากพอ นอกจากการเอาชนะทางความคิด มีเพียงแค่การเอาชนะกันทางความคิดเท่านั้นที่ถือเป็นการเอาชนะที่แท้จริงต่อศัตรูและกลุ่มบุคคลที่คุกคามเสรีภาพของเราและหลอกลวงประชาชนของเรา และไม่มีแนวคิดใด ๆ ที่สามารถต่อสู้กับแนวคิดที่รุกรานเสรีภาพและอำนาจอธิปไตยได้ดีไปกว่าแนวคิดแบบเสรีนิยมและอิสรนิยม และหน้าที่ในการเผยแพร่ความคิดดังกล่าวก็เป็นหน้าที่ของเราทุกคนในฐานะนักเคลื่อนไหวที่ยึดถือแนวทางแบบอิสรนิยมและเสรีนิยม
.
*****************************************************
หากคุณเห็นด้วยกับเราก็สามารถลงทะเบียนสมัครเป็นสมาชิกกลุ่มอิสรนิยมศึกษาได้ที่ลิ้งก์
*****************************************************

Google Docs
สมัครสมาชิกกลุ่มอิสรนิยมศึกษา
ช่องทางติดต่อเพจอิสรนิยม
Facebook : อิสรนิยมศึกษา - Libertarian Studies ...

🔥🔥🔥
สถานการณ์อาร์เจนตินาอาจเหมือนที่หม่อมปลื้ม หรือ ใครหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าถึงเวลาแล้ว Javier Milei อาจทำไรไม่ได้เลย... ด้วยโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ กฎหมายมันมีรากฐานมาจาก Peronism
ดังนั้นโจทย์ใหญ่ที่สุดก็คือการเปลี่ยนผ่านแต่จะทำยังไง? อันนี้ก็เป็นความท้าทายเช่นกัน
อีกหนึ่งเรื่องก็คือ นโยบายที่ค่อนข้างมีปัญหา แต่มันสองแง่สองง่ามกับตัวจุดยืน ได้แก่ 1.) ยุบธนาคารกลางตัวเองแต่เอาดอลลาร์ 2.) โปรยูเครน อิสราเอล อเมริกา
ซึ่ง 2 อย่างนี้มีปัญหา แต่ผมคิดบวกเพราะเชื่อว่าไมลีย์อาจรอ ปธน.สหรัฐคนใหม่ที่ไม่ใช่ไบเดนขึ้นมาและมีความเป็นไปได้ที่เขาอาจเอา Austrian Economist คนอื่นเข้ามาเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจกับการเมือง
ขอแสดงความยินดีกับ "ฮาเวียร์ ไมลีย์" (Javier Milei) ว่าที่ประนาธิบดีคนต่อไปของอาร์เจนตินาและเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่มีแนวคิดแบบอิสรนิยมแห่งยุคศตวรรษที่ 21 ที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย
.
เนื่องด้วยการเลือกตั้งประธานาธิบดีอาร์เจนตินารอบที่ผ่านมาในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2566 ระหว่างผู้สมัครนิยมแนวทางแบบลัทธิเปรอน เซร์คีโอ แมสซา (Sergio Massa) กับ ผู้สมัครที่มีอุดมการณ์แบบอิสรนิยม ฮาเวียร์ ไมลีย์ (Javier Milei) โดยการเลือกตั้งครั้งนี้นั้นปราฏกว่า ฮาเวียร์ ไมลีย์ ผู้สมัครอิสรนิยมได้เอาชนะผู้สมัครซึ่งนิยมแนวทางเปรอนไปด้วยคะแนนกว่า 14 ล้านเสียง หรือคิดเป็น 55.69% ทำให้ในตอนนี้อาร์เจนตินากำลังจะมีประธานาธิบดีที่มีอุดมการณ์แบบอิสรนิยมขึ้นมาบริหารประเทศ ซึ่งทางกลุ่มอิสรนิยมศึกษาของเรานั้นก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าภายใต้การบริหารตามแนวทางอิสรนิยมและการเปิดตลาดเสรีทุนนิยม รวมทั้งการลดอำนาจรัฐ และต่อต้านสถาบันการเมืองและเศรษฐกิจฝ่ายซ้ายที่ดำรงอยู่มาอย่างยาวนานในอาร์เจนตินาของ ฮาเวียร์ ไมลีย์ จะนำพาอาร์เจนตินาให้หลุดพ้นจากปัญหาทางสังคม เศรษฐกิจและความยากจนได้เพื่อนำอาร์เจนตินาไปสู่ความรุ่งเรือง รวมทั้งการเลือกตั้งในครั้งนี้อาจเป็นแนวทางให้กับกลุ่มอิสรนิยมและกลุ่มเสรีนิยมในประเทศอื่น ๆ ต่อไปสำหรับการเคลื่อนไหวในอนาคต
.
*****************************************************
หากคุณเห็นด้วยกับเราก็สามารถลงทะเบียนสมัครเป็นสมาชิกกลุ่มอิสรนิยมศึกษาได้ที่ลิ้งก์
*****************************************************
.
#siamstr
Google Docs
สมัครสมาชิกกลุ่มอิสรนิยมศึกษา
ช่องทางติดต่อเพจอิสรนิยม
Facebook : อิสรนิยมศึกษา - Libertarian Studies ...
#siamstrทางอิสรนิยมศึกษาได้จัดกิจกรรม ‘‘การแทรกซึมของแนวคิดซ้ายใหม่และโว๊คในไทย’’ เพื่อให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดแบบฝ่ายซ้าย การเคลื่อนไหวและปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในการเมืองไทย
*****รับผู้ลงทะเบียนเพียง 40 ท่านเท่านั้น******
ทางอิสรนิยมศึกษาได้จัดเสวนาในหัวข้อ "การแทรกซึมของแนวคิดซ้ายใหม่และโว้คในไทย" ในวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ.2566 โดยใช้พื้นที่ของทางคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สถานที่ตั้งอาคารเกษม อุทยานิน (รัฐศาสตร์ 60 ปี) ตึก 3 ห้องประชุมมาลัย หุวะนันทน์ ชั้น 12 มี 40 ที่นั่ง
Google map : maps.app.goo.gl/NnWqXG5vNc74Mq9s9
ลิ้งก์ลงทะเบียน : forms.gle/9r51tXS9f2g92eTG9
#Siamstr


แบบสอบถามการเข้าร่วมกิจกรรม"การแทรกซึมของแนวคิดซ้ายใหม่และโว้คในไทย"
.
ประกาศเนื่องด้วยทางกลุ่มอิสรนิยมศึกษาจะมีการจัดกิจกรรมเสวนาในหัวข้อเรื่อง"การแทรกซึมของแนวคิดซ้ายใหม่และโว้คในไทย" จึงอยากเรียนมาเพื่อให้ทุกท่านที่มีความสนใจในกิจกรรมดั่งกล่าวทำแบบประเมินสอบถามว่าสะดวกในการเข้าร่วมกิจกรรมช่วงเวลาใด เพื่อเป็นข้อมูลให้ทางกลุ่มอิสรนิยมศึกษาจัดกิจกรรมต่อไป
.
หมายเหตุ แบบประเมินสอบถามจะหยุดรับคำตอบในวันอังคารที่ 14 พฤศจิกายน 2566 เวลา 12.00 น.
ลิ้งก์แบบประเมิน
#siamstr
Google Docs
แบบสอบถามการเข้าร่วมกิจกรรม
เนื่องด้วยทางเพจอิสรนิยมศึกษาต้องการประเมินจำนวนค...
#siamstrพัฒนาการของแนวคิดตลาดเสรี : เมื่อทฤษฏีเสรีนิยมไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง
.
บทสรุปจากหนังสือ Private Government : How Employers Rule Our Lives (And Why We Don’t Talk about It) ของเอลิซาเบธ เอส. แอนเดอร์สัน (Elizabeth S. Anderson) ได้นำเสนอมุมมองคร่าว ๆ ที่ว่า (i).วิธีคิดแบบเสรีนิยมตลาดเสรีในยุคปัจจุบันนั่นล้าหลัง เพราะพวกเขามีความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดในแบบช่วงศตวรรษที่ 17-18 แต่ไม่มีความเข้าใจว่าโลกเมื่อเข้าสู่ยุคหลังปฏิวัติอุตสาหกรรมมันเกิด economy of scale เข้ามาครอบคลุมวิธีคิดของสายธารการผลิตและการแข่งขันในตลาดจนถึงทุกวันนี้แตกต่างกัน รวมไปถึงช่องว่างระหว่างนายจ้างและผู้ประกอบการที่กว้างขึ้นจึงอาจกล่าวได้ว่าแนวคิดเสรีนิยมต่อสภาพการทำงานของลูกจ้างไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ของ "เสรีภาพ" และ (ii).ความผิดพลาดของพวกเสรีนิยมตลาดเสรีที่ไม่พิจารณาว่าแนวคิดทางทฤษฏีของตนกับความเป็นจริงมันตรงกันข้าม กล่าวคือทฤษฏีของนักคิดเสรีนิยมแช่แข็งอยู่กับสภาพการณ์ของตลาดก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรมมากกว่าหลังปฏิวัติอุตสาหกรรม จึงเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาความสัมพันธ์แบบ private government ที่นายจ้างกลายเป็นผู้ถูกปกครองเพื่อบงการชีวิตของลูกจ้างอย่างไม่มีแม้แต่ข้อจำกัด ผู้เขียนหนังสือยังเสนอต่ออีกว่า ทางออกของเรื่องนี้ก็คือ การสลายสภาวะ private government ในความสัมพันธ์ระหว่างลูกจ้างกับนายจ้างและทำให้ความสัมพันธ์ตรงนี้กลายเป็นเรื่องสาธารณะที่มีกฎหมายและรัฐเข้ามาดูแล
.
ปัญหาของเรื่องนี้ก็คือ "แนวคิดตลาดเสรี" ไม่ได้ถูกนำเสนอแค่จากนักคิดยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงนักยุคสมัยใหม่ที่พูดถึงตลาดเสรี แก่นสารของตลาดเสรีก็คือกลไกตามธรรมชาติที่ไม่ให้รัฐเข้ามายุ่งเกี่ยวกับปัจเจกบุคคลในทางเศรษฐกิจ นั่นหมายความว่าประชาชนคนธรรมดาสามารถประกอบอาชีพ ค้าขาย ทำธุรกิจหรืออะไรต่าง ๆ ได้อย่างอิสระโดยปราศจากการควบคุมของรัฐ นิยามเช่นนี้ย่อมเป็นแบบเดียวกันกับนิยามตั้งแต่ยุคสมัยของอดัม สมิท (Adam Smith) หรือก่อนหน้านั้น อีกทั้งแนวคิดตลาดเสรีย่อมมีการถกเถียงภายในระหว่างแนวคิดสำนักเศรษฐศาสตร์ออสเตรียน (Austrian economics) และแนวคิดสำนักเศรษฐศาสตร์คลาสสิค (Classical economics) (*ไม่ใช่พวกเดียวกัน ถึงแม้นักเศรษฐศาสตร์คลาสสิคจะสร้างฐานเรื่องตลาดเสรีไว้ก็ตาม*) อย่างหัวข้อที่ได้รับความนิยมถึงทุกวันนี้ก็คือ "ทฤษฏีมูลค่าแรงงาน" (labor theory of value) ที่เริ่มแรกมาจากนักเศรษฐศาสตร์คลาสสิคอย่างเดวิด ริคาร์โด้ (David Ricardo) ที่ถูกตีตกโดยนักเศรษฐศาสตร์ของสำนักออสเตรียนและสร้างบรรทัดฐานทางทฤษฏีเศรษฐศาสตร์ใหม่ก็คือ "ทฤษฏีมุลค่าจิตวิสัย" (subjective theory of value) จากกระแส Marginal revolution โดยคาร์ล เมนเจอร์ (Carl Menger) ฟรีดิช ฟอน ไวเซอร์ (Friedrich von Wieser) ออยเกิน ฟอน โบห์ม-บาแวร์ค (Eugen von Böhm-Bawerk) ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 อันเป็นรากฐานให้กับเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ กล่าวได้ว่าแนวคิดตลาดเสรีถูกส่งมาจากรุ่นต่อรุ่นจนมาถึงยุคปัจจุบันและมีการพัฒนาทฤษฏีอย่างต่อเนื่อง มันไม่ได้ถูกแช่แข็งตามคำที่กล่าวอ้างมาแต่อย่างใด
.
มากไปกว่านั้นความเข้าใจที่ว่านักเสรีนิยม อิสรนิยมหรือผู้สนับสนุนตลาดเสรีทุนนิยมล้วนมีความคิดที่ติดแหง็กอยู่กับยุคศตวรรษที่ 17-18 อยู่นั้นจึงมีข้อบกพร่องในตัวเอง เนื่องจาก (a).แนวคิดตลาดเสรีทุนนิยมมีเพียงนิยามเดียวคือ "การที่รัฐไม่แทรกแซง" ซึ่งเป็นนิยามตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นการขยายกรอบคิดที่ว่าความแตกต่างระหว่างโลกยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรมและหลังปฏิวัติอุตสาหกรรมนั้นจึงมีข้อบกพร่อง เนื่องจากมันไม่ได้สนใจว่ามันจะเกิด economy of scale มากน้อยแค่ไหน; (b).ช่องว่างระหว่างนายจ้างและลูกจ้างมักจะมีปัญหาเกิดขึ้นเมื่อ "รัฐเข้ามายุ่ง" เสมอ ดังนั้น ทางออกของปัญหาที่ว่าจะป้องกันความไม่เป็นธรรมและการเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้างจึงไม่ใช่การทำให้พื้นที่ทางเอกชนใด ๆ กลายเป็นของสาธารณะหรือถูกควบคุมจากกฎหมายและรัฐบาล แต่เป็นการปล่อยไปให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นเรื่องการตัดสินใจในระดับเอกชนระหว่างนายจ้างและลูกจ้างตามกลไกตลาดเสรีเอง หมายความว่าพวกเขาจะต้องพิจารณาอย่างรอบขอบทั้งเรื่องสิทธิประโยชน์ สวัสดิการ ความปลอดภัย สภาพแวดล้อมการทำงานต่าง ๆ อย่างเร่งครัด รวมไปถึงความเสี่ยงของนายจ้างเมื่อพวกเขาทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรมลงไปกับลูกจ้างไม่ว่าด้วยเหตุผลใดมันคือผลที่ตามมาจากความเสี่ยงดังกล่าว และ (c).โลกยุคปัจจุบันเป็นโลกที่ไม่ได้เป็นไปตามคำทำนายของเหล่ามาร์กซิสต์ที่ว่าโลกจะถูกปฏิวัติทางชนชั้นและกลายเป็นสังคมนิยม (socialism) แต่กลับกันตามมุมมองของเจมส์ เบิร์นแฮม (James Burnham) มองว่าหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เศรษฐกิจโลกเกิดการเปลี่ยนผ่านจากทุนนิยมผู้ประกอบการ (entrepreneurship capitalism) อันมีนายทุนเป็นเจ้าของทรัพย์สินส่วนบุคคลเพียงผู้เดียวไปสู่ทุนนิยมแบบผู้ประกอบการ (managerial capitalism) ที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับทรัพย์สินมีความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์มากกว่านายทุน ซึ่งพวกเขากลายเป็นชนชั้นใหม่ที่เรียกว่า “ชนชั้นผู้จัดการ” ยกตัวอย่างเช่น ชนชั้นกลาง (middle class) หรือ แรงงานคอปกขาว (white-collar worker) ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ มักจะมีบทบาทอยู่ในรัฐบาล กระทรวง องค์กรภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำนโยบาย หรือ บริษัทขนาดใหญ่ที่มีการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์และมีผู้ถือหุ้นส่วน ซึ่งระบบทุนนิยมลักษณะแบบนี้เองก็ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนักเศรษฐศาสตร์ออสเตรียนที่ยึดถือแนวคิดตลาดเสรีทุนนิยมแบบผู้ประกอบการมาโดยตลอด
.
นอกจากนี้นักคิดเสรีนิยมได้พัฒนา "กฎเกณฑ์" ที่ใช้สำหรับอธิบายโลกแห่งความเป็นจริงผ่านเศรษฐศาสตร์ โดยเฉพาะนักเศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรียนที่มุ่งเน้นเรื่อง "การกระทำของมนุษย์" (human action) ที่ว่าการกระทำของปัจเจกบุคคลล้วนมีต้นทุนโอกาสและเป้าหมายอยู่เสมอ ตามคำกล่าวของลุควิก วอน มิซิส (Ludwig von Mises) อธิบายในหนังสือ Human Action: A Treatise on Economics ต่อเรื่องการกระทำของมนุษย์เอาไว้ว่า;
“เป็นความจริงที่ว่าเศรษฐศาสตร์เป็นวิทยาศาสตร์เชิงทฤษฎี และด้วยเหตุนี้เองมันจึงละเว้นจากการตัดสินคุณค่าใด ๆ […] ทว่าวิทยาศาสตร์ไม่เคยบอกมนุษย์ว่าควรปฏิบัติตนเองอย่างไร มันเพียงแสดงให้เห็นว่ามนุษย์จะต้องกระทำอย่างไรหากต้องการตอบสนองความต้องการอย่างไร้ขีดจำกัดที่แน่นอน”
.
และเนื่องจากกฎเกณฑ์ทางเศรษฐศาสตร์ถือเป็นสัจพจน์ (axioms) ที่ไม่สามารถหักล้างได้ เพราะมันถือเป็นทฤษฏีที่ถูกทดสอบอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเป็นจริงจากการสังเกตปรากฏการณ์ที่ซับซ้อน แต่มีผลของความสัมพันธ์ระหว่างกัน ยกตัวอย่างเช่น หากอุปสงค์ของดินสอเพิ่มขึ้น ราคาดินสองก็เพิ่มตาม ในขณะที่อุปทานลดลง ตรงกันข้ามเมื่ออุปสงค์ของดินสอลดลง ราคาดินสองก็จะต้องลดลงตาม ในขณะที่อุปทานเพิ่มขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นทฤษฏีที่ไม่ได้ถูกแช่แข็งหรือมีความเก่าแก่แต่อย่างใด แต่มันคือ “กลไกธรรมชาติ” ที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธหรือหักล้างมันได้ กล่าวคือความแตกต่างระหว่างบริบทนั่นเป็นเพียงการอธิบายเหตุการณ์ที่บริบทของคำว่า "ก่อน" และ "หลัง" จึงไม่ใช่สาระสำคัญ สิ่งที่เป็นสาระสำคัญในยุคปัจจุบันคือ ในอดีตหลายประเทศมีความเสรีทางเศรษฐกิจสูงกว่าทุกวันนี้ที่มีรัฐแทรกแซงเศรษฐกิจมากทำให้ทฤษฏีและแนวคิดในอดีตถูกท้าทายจากความต้องการควบคุมรัฐและชีวิตประจำวันของปัจเจก ยกตัวอย่างเช่น การพัฒนากรอบทางทฤษฏีเศรษฐศาสตร์ที่ทำให้มีความเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้นด้วยสิ่งที่เรียกว่า “เศรษฐมิติ” (econometrics) หรือการพยายามนำแนวทางแบบวิทยาศาสตร์มาปรับใช้เพื่อหักล้างทฤษฏีเศรษฐศาสตร์ผ่านวิธีการทดลองตามธรรมชาติ (natural experiment) ฯลฯ
.
#siamstr
.
บรรรณานุกรม
Mises, L. (1949). Human Action. A Treatise on Economics. New Haven, CT: Yale University Press
“Book Review: Private Government: How Employers Rule Our Lives (and Why We Don’t Talk about It), by Elizabeth Anderson.” The Independent Institute, www.independent.org/publications/tir/article.asp?id=1292&fbclid=IwAR3UpTocsNcX_DXRI9WLdw_Rq1pAmAtn2O9ecI0tVFZgzxmx74EeNTHV_wM. Accessed 5 Nov. 2023.
Shostak, Frank. Facts and Data Have No Meaning without a Theory to Explain Them. Auburn, AL: Mises Institute. 2022.
Shostak, Frank. We Cannot Interpret Economic Data Unless We Know Economic Theory. Auburn, AL: Mises Institute. 2022.


นักปฏิวัติหลังคีย์บอร์ด (Behind-the-Keyboard Revolutionists)
.
โดย HoppeanismBoy
.
ถ้าคุณเป็นคนรุ่นมิลเลนเนียล (Millennials) ที่ใช้ชีวิตอยู่ในแวดวงการเมืองออนไลน์และแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่มีอยู่เช่น เฟซบุ๊ก หรือ ทวิตเตอร์ หรืออื่น ๆ แล้วบางทีคุณอาจจะเคยได้ยินคำแสลงที่ในหมู่พวกนักถกเถียงในโลกออนไลน์ชอบใช้กันนั้นคือ “ออกไปแตะหญ้าบ้างนะ” คำแสลงนี้มีความหมายถึงการที่ให้เราเลิกเล่นอินเตอร์เน็ตแล้วหัดออกไปใช้ชีวิตกับโลกภายนอกบ้าง ถึงแม้ว่าคำนี้อาจดูคำเสียดสีเอาไว้ประชดประชันกัน แต่ถ้าเราลองพิจารณาดี ๆ แล้ว คำนี้มันก็ได้สะท้อนความเข้าใจแบบผิด ๆ ของเราเกี่ยวกับอิทธิพล หรือ ความคิดของเราที่มักจะดูเหมือนว่าเราเข้าใจมันผิดเกี่ยวกับอิทธิพลของมันในโลกออนไลน์ เราชอบที่จะคิดว่าการกระทำอะไรบางอย่างของเราในโลกออนไลน์จะสร้างผลกระทบเปลี่ยนแปลงไปสู่โลกความจริงเป็นได้ เรามีจินตนาการที่ผิด ๆ เกี่ยวกับการปฏิวัติที่เริ่มจากในโลกออนไลน์ ตั้งแต่อาหรับสปริงไปจนถึงการปฏิวัติฮ่องกง เราเห็นภาพคนหนุ่มสาวจำนวนมากเป็นหมืน เป็นแสน หรือเป็นล้าน ออกมาชุมนุมกันโดยไม่ได้นัดหมายเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม เราเรียกสิ่งเหล่านั้นการชุมนุมแบบไม่มีศูนย์กลางหรือไม่มีแกนนำและพวกเราหวังว่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงแบบนั้นด้วยการโต้เถียงกับผู้ใช้บัญชีคนอื่น ๆ ในโลกออนไลน์ที่อาจจะไม่มีตัวตนอยู่จริงเสียด้วยซ้ำ เพื่อหวังว่าจะเปลี่ยนใจพวกเขาเหล่านี้ให้มาเห็นด้วยกับความคิดของเรา บ้างก็ร่วมลงชื่อออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มอย่างเว็บไซต์ change.org ฯลฯ เพื่อร่วมผลักดันวาระอะไรบางอย่างและหวังว่าความคิดเหล่านี้ของคุณจะถูกตอบรับโดยผู้มีอำนาจ แต่เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไปคุณจะค้นพบว่าท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างที่คุณทำไม่ได้เปลี่ยนความจริง รองเท้าบูทก็ยังคงกดหน้าคุณให้จมอยู่ลงดินเหมือนเดิมและเครือข่ายในโลกออนไลน์ดังกล่าวของคุณก็ไร้ความหมาย ไม่มีใครช่วยคุณได้อย่างจริงจังเมื่อคุณต้องเผชิญหน้ากับการไล่ออกจากงาน หรือ การจับกุมคุมขัง นอกจากคอมเมนท์ที่ทั้งให้กำลังใจและด่าคุณ รวมไปถึงยอกดไลก์ ยอดกดแชร์ มันมีเพียงเท่านั้นจริง ๆ
.
เมื่อพูดถึง “อินเตอร์เน็ต” (internet) ผมขอพูดอย่างหยาบคายต่อเรื่องนี้ เพราะคนในยุคของเราชอบคิดหรือให้คุณค่ากับโลกแห่งนี้เสมือนว่ามันเป็นโลกแห่งความจริง ทั้งที่ในความจริงที่แห่งนี้เป็นเหมือนกับ “โถ่ฉี่ขนาดใหญ่ เป็นมหาสมุทรแห่งเยี่ยว” ที่ให้ทุกคนได้มาระบายหรือสำเร็จความใคร่เพื่อหลบหนีออกจากโลกความเป็นจริงที่โหดร้าย หลบหนีจากความจริงที่ว่าแรงปรารถนาของคุณไม่อาจถูกเติมเต็ม แล้วมันยิ่งทำให้คุณทุกข์ทรมานหนักเข้าไปอีก เพราะคุณไม่สามารถแม้แต่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้แม้แต่ความคิดของผู้บัญชีคนอื่น ๆ ในโลกแห่งนี้ รวมทั้งบางทีคุณอาจถูกโจมตีจากผู้ใช้บัญชีเหล่านี้เองด้วย คุณยอมรับไม่ได้ว่าคุณเป็นเพียงแค่กระเจี๊ยวที่ฉี่ลงไปในมหาสมุทรแห่งนี้และเสียงฉี่ของคุณก็ไม่ได้สั่นสะเทือนไปทั้งมหาสมุทรแห่งฉี่ในโลกนี้แบบที่คุณคิดไว้เลย อีกทั้งคุณก็เสียใจกับมัน เพราะมันตอกย้ำว่าคุณทำอะไรไม่ได้ คุณเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ชีวิตของคุณช่างน่าอดสูยิ่งนัก … แล้วคุณก็รอคอยว่าวันหนึ่งจะมีฮีโร่ขี่ม้าขาวออกมาเพื่อผดุงความยุติธรรม มานำการปฏิวัติ คุณเฝ้าฝันรอคอยพระมหากัลกี (อวตารองค์ที่ 10 ของพระวิษณุเทพในศาสนาฮินดูและเป็นผู้ปลดปล่อยตามความเชื่อของพุทธศาสนานิกายวัชรยาน ข้าพเจ้ากำลังอุปมาอุปมัยถึงความคิดเพ้อเจ้อที่รอให้ทุกสิ่งเป็นไปตามโชคชะตา) ลงมาโปรดและขับไล่ความชั่วร้ายออกไปและคืนความสงบสันติให้โลกนี้ พวกคุณชอบบอกว่า “จะรอก่อน” หรือ “เมื่อถึงเวลาเมื่อไหร่คุณจะเข้าร่วม” สำหรับมุมมองผู้เขียนเมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้แล้วผมกล่าวได้ว่าสถานการณ์เช่นนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้น ไม่ว่าอย่างไรวันนั้นมันก็จะไม่มีวันมาถึง ท้ายสุดระบอบเผด็จการหัวก้าวหน้า (Progressive Dictatorship) พวกลัทธิโว้ค (Wokeism) ลัทธิคอมมิวนิสต์แบบใหม่ (New Left) จะมีชัยเพราะอะไรรู้ไหม? เพราะว่าพวกคุณไม่เลือกจะทำอะไรเลย คุณนิ่งเฉยกับเรื่องดังกล่าว เหมือนกับที่พวกชนชั้นสูงและประชาชนชาวโรมันโบราณนิ่งเฉยต่อการขยายตัวของศาสนาคริสต์จนท้ายที่สุดมันก็ได้นำไปสู่การล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน พวกคุณไม่มีความเชื่อมั่นว่าตัวคุณเองเป็นฮีโร่ของตัวคุณเองและคุณหวาดกลัวเกินไปที่จะยอมเสียสละชีวิตอันสะดวกสบายเพื่อเดินไปบนเส้นทางแห่งการต่อสู้หรือนักรบ พวกคุณเลือกที่จะใช้เหตุผลและตรรกะนำทาง ทั้งที่ในความจริงฝ่ายตรงข้ามของพวกคุณ คนที่พวกคุณเกลียด หรือเห็นว่าชั่วร้ายนั้นไม่เคยคิดแม้แต่จะใช้เหตุผลตั้งแต่แรกกับพวกคุณ เพราะพวกเขาเข้าใจการเมืองอย่างถ่องแท้ดีว่ามีเพียงแค่ผู้ที่กุมอำนาจของปืนหรือผู้ที่ได้รับอำนาจจากรัฐเท่านั้นที่กำหนดความเป็นไปของสังคมโดยรวม ไม่ใช่พวกที่ใช้เหตุผล
.
ดั่งเช่นที่เคยมีนักปรัชญาชาวเยอรมัน ออสวอลด์ สเปงเลอร์ (Oswald Spengler) เคยกล่าวไว้ “อำนาจไม่เคยถูกล้มด้วยเหตุผล อำนาจนั้นถูกล้มได้แค่เพียงด้วยอำนาจเท่านั้น และไม่มีอะไรเอาชนะอำนาจของเงินได้นอกจากอำนาจของดาบ” เมื่อท่านได้อ่านและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วท่านก็คงจะเข้าใจความหมายที่จะสื่อ ท่านก็จะเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงและการต่อสู้ใด ๆ ก็ย่อมเป็นไปเพื่อการยึดกุมอำนาจสูงสุดเพื่อสร้างความเป็นสถาบันให้กับอุดมการณ์หรือแนวทางที่ต้องดำเนินการ นั้นหมายถึงการที่คุณต้เองทำทุกวิธีทางเพื่อจะได้มีอำนาจ ขึ้นไปอยู่ทุกจุดสูงสุดของสถาบันทางสังคมที่มีอยู่ สื่อ ระบบราชการ โรงเรียน มหาวิทยาลัย แต่การกระทำที่ประสบผลสำเร็จมากที่สุดในการเคลื่อนไหวนั้นคือการกระทำแบบออฟไลน์ นั้นคือการนำการเคลื่อนไหวมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีหนทางอื่นนอกจากนี้ มันคืออุปสรรคก้าวแรกที่คุณต้องก้าวข้ามผ่านมันไปให้ได้ “เลิกใช้ชีวิตกับสังคมอนาธิปไตยทุนนิยมในหัวเสีย” แล้วออกมาทำอะไรสักอย่างเพราะมันคือความรับผิดชอบของคุณเพราะมันคือเสรีภาพของคุณ เมื่อคุณก้าวข้ามผ่านสิ่งนั้นสิ่งที่คุณต้องเลือกต่อมาคือ “การเข้าร่วมกับชุนชนแห่งการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีแบบแผนระเบียบอย่างชัดเจน” ซึ่งเราไม่รังเกียจที่เราจะเสนอว่าตัวเราเองเป็นขบวนการเคลื่อนไหวที่มีลักษณะดังกล่าวนั้น เรามียุทธศาสตร์การดำเนินการทั้งหมดของเรา เราความชัดเจนกับแนวทางของเรา
.
เราไม่อาจบังคับให้ทุกคนหรือทุกท่านเสียสละได้ การเสียสละมันหมายถึงการที่ใครสักคนพยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อทำให้ชีวิตของตัวเขาเองมีความหมายต่อบางสิ่ง หรือ การเชิดชูบางสิ่งเหนือกว่าตนเอง เช่นเดียวกับ ทหารที่เสียสละชีวิตเพื่อบูชาแก่ประเทศของเขา คนของเขา หน่วยของเขา หรือครอบครัวของเขา เช่นเดียวกับพวกนักรบญี่ปุ่นโบราณอย่างพวกซามูไรที่อุทิศชีวิตของตนเองแก่เจ้านายของตนเอง แม้แต่ตัวผู้เขียนเองหรือใครหลายคนก็ต้องยอมเสียสละบางอย่างไป เพราะเราสละตนเองเพื่อความเชื่อที่ว่าโลกนี้ดีขึ้นได้ไม่ใช่เพราะเรารอคอยโชคชะตา แต่โลกนี้ดีขึ้นได้เพราะสองมือของเรา เราสามารถทำให้โลกนี้มีความหมายได้แก่เรา เราไม่อาจรู้ได้ว่าปลายทางจะเป็นอย่างไร แต่เช่นเดียวกับที่สุภาษิตจีนเคยกล่าวไว้ “หากขุนเขายังอยู่ไม่กลัวไร้ฝืน ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่เราก็สามารถทำให้โลกนี้ดีขึ้นกว่าเดิมได้” มันอยู่ที่การกระทำของเราเท่านั้น
.
***********************************************
"ถ้าคุณเกลียดแนวคิดสังคมนิยมคุณควรเข้าร่วมกับเรา"
ลงทะเบียนสมัครสมาชิก
***********************************************

Google Docs
สมัครสมาชิกกลุ่มอิสรนิยมศึกษา
ช่องทางติดต่อเพจอิสรนิยม
Facebook : อิสรนิยมศึกษา - Libertarian Studies ...

อันที่จริงสิ่งที่เป็น "กลไกธรรมชาติ" ของทุนนิยมมันมีมากกว่าเรื่อง law of the jungle ในความเป็นจริงถ้ามันเป็นเรื่องกฎแห่งป่าเพียงอย่างเดียว พวกเราคงเสียชีวิตตั้งแต่แรกเกิด เสียชีวิตเพราะการหาอาหาร หาความมั่นคงในชีวิต หรือเผลอ ๆ จะไม่มีตัวคุณด้วยซ้ำ มันจึงไม่ใช่แค่ด้านเดียวที่เราอยู่ภายในอารยธรรมของมนุษย์ มันเลยมีอีกด้านหนึ่งที่เรียกว่า 'ความร่วมมือของปัจเจกและสังคม' และ 'การแบ่งงาน' มันเลยทำให้มนุษย์เราไม่จำเป็นต้องเอาไม้ทุบหัวเพื่อแย่งชิงเพียงอย่างเดียวไง เราแลกเปลี่ยน เราค้าขายกันได้ ทำให้เรามีชีวิตปลอดภัย
มันเลยทำให้เศรษฐกิจทุนนิยมมันจะคัดสรรเพียงคนที่ unproductive เท่านั้น ไม่ใช่คนที่มี productive เพราะคนที่มี productive เขาจะมีชีวิตอย่างไรก็ไม่ไส้แห้ง และคนที่มี productive มากกว่าย่อมเหนือคนที่มี productive น้อยกว่า
ในขณะที่ทุนนิยมก็แสดงให้เห็นว่าคนมี productive บางคนที่ตัวเล็กก็มีศักยภาพที่จะกลายเป็นคนมี productive ให้กลายเป็นคนตัวใหญ่ได้ ตรงนี้จึงเป็นเหตุผลสำคัญครับว่าทำไมมหาเศรษฐีและคนยากจนเมื่อเวลาผ่านไปจึงไม่ใช่คนเดียวกัน หรือเหตุผลว่าทำไมคนที่เคยยากจนข้นแค้นสุด ๆ ในประเทศคอมมิวนิสต์ เมื่อเวลาเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจไปสู่ตลาดเสรีทุนนิยมจึงกลายเป็นคนที่มีความมั่งคั่งสูง หรือ ยกฐานะตัวเองไปเป็นชนชั้นกลางได้
ซึ่งน้อยคนมากที่จะเข้าใจธรรมชาติของทุนนิยมแบบนี้ มากกว่ามองบนฐานการจัดสรรตามธรรมชาติตามแบบพวกลัทธิดาร์วินทางสังคมเพียงอย่างเดียว
ปัญหาของนโยบายรัฐบาลเพื่อไทย : รถไฟฟ้า 20 บาทดีจริงไหม?
.
เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2566 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมประกาศว่า ครม.เห็นชอบให้กระทรวงคมนาคมปรับลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุดไม่เกิน 20 บาทตลอดสาย (ตามนโยบายของพรรคเพื่อไทยตามที่หาเสียง) โดยนำร่อง 2 โครงการคือ (1).โครงการรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง ช่วงเตาปูน-คลองบางไผ่จำนวน 16 สถานีและ (2).โครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน จำนวน 10 สถานี และช่วงบางซื่อ-รังสิตจำนวน 4 สถานี (Thaipbs 2023) หลายคนอาจทราบว่านโยบายดังกล่าว “สามารถทำได้จริง” แต่เหตุผลที่ว่า "ทำได้จริง" นั้นก็ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิชาการเศรษฐศาสตร์หลายต่อหลายคนที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสินอยู่แล้ว
.
เนื่องจากนโยบายดังกล่าวจะต้องใช้การอุดหนุนจากภาครัฐ (subsidize) เพื่อผ่อนเบาภาระค่าใช้จ่ายภาคประชาชนจากการตั้งงบประมาณมารองรับนโยบายอุดหนุน ตามข้อมูลของ รศ.ดร.ประมวล สุธีจารุวัฒน อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ให้เห็นว่า ประมาณการค่าชดเชยที่รัฐจะต้องจ่ายในการดำเนินนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนั้น [ในกรณีที่รัฐทำครอบคลุมทุกสาย] โดยเฉพาะการคำนวณแบบแยกสาย เช่น นั่ง BTS ไปต่อ MRT ผู้โดยสารจะต้องซื้อตั๋ว 2 ครั้ง นั่นหมายความว่า 20 บาทตลอดสาย รัฐจะต้องแยกกันจ่ายเฉพาะ ผู้โดยสารจ่าย MRT ให้ 20 บาทและ BTS อีก 20 บาท หากจะประมาณการค่าชดเชยทั้งหมดต่อปีอาจอยู่ที่ปีละ 7,500 ล้านบาท และจำนวนผู้โดยสารนั้นเกี่ยวข้องกันกับค่าชดเชยที่จะต้องจ่ายต่อปีด้วยเช่นกัน "หากสมมติว่าจากยอดผู้โดยสารรวมสูงสุด 1,609,973 เที่ยวต่อวัน มีผู้โดยสาร 75% ที่โดยสารรถไฟฟ้าแค่สายเดียว และ 25% นั่งรถไฟฟ้าข้ามสายจำนวน 2 สาย ก็จะประมาณการได้ว่าเงินชดเชยที่รัฐจะต้องเตรียมไว้เพื่อจ่ายแทนผู้โดยสารมีค่าเท่ากับ 36,224,393 บาทต่อวัน สำหรับวันธรรมดา และ 25,669,508 บาทต่อวัน สำหรับวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งเมื่อนำไปคำนวณเป็น 52 สัปดาห์ โดยมีวันธรรมดา 5 วัน และวันหยุด 2 วัน ก็จะได้ประมาณการเงินที่รัฐจะต้องชดเชย กรณี ‘20 บาทตลอดทุกสาย’ ราว 12,000 ล้านบาทต่อปี" (The Standard 2023) แน่นอนว่ายิ่งมีคนใช้บริการมากเท่าไหร่ค่าใช้จ่ายและภาระทางงบประมาณภาครัฐก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น ตรงนี้เองอาจกระทบกับภาคส่วนอื่นหากรัฐจัดสรรงบประมาณไม่รัดกุมมากพอก็อาจเกิดปัญหาที่ใช้งบประมาณขาดดุลจนอาจนำไปสู่การกู้ได้หรือไม่ก็อาจจำเป็นต้องสร้างภาระให้คนอื่นเพิ่มเติมจากการเก็บภาษีคนบางกลุ่มเพื่อมาอุดช่องว่างงบประมาณที่ขาดเหลือไปตามลุควิก วอน มิซิส (Ludwig von Mises) กล่าวในหนังสือ “ระบบราชการ” (Bureaucracy) ของเขาเอาไว้ว่า
.
“ผู้มีอำนาจมีแนวโน้มที่จะเบี่ยงเบนไปจากระบบกำไร [. . .] พวกเขาถือว่าความสำเร็จของงานอื่นมีความสำคัญ พวกเขาพร้อมที่จะละทิ้งเรื่องกำไรทั้งหมดหรือกำไรเพียงเล็กน้อย แม้กระทั่งยอมขาดทุนเพื่อบรรลุผลสำเร็จในด้านอื่นๆ [. . .] ผลกระทบของนโยบายดังกล่าวเป็นการอุดหนุนคนบางคนเพื่อผลักภาระไปให้คนอื่นเสมอ”
.
มิซิสระบุอีกว่า "ทุก ๆ การบริการของภาครัฐจะถูกพัฒนาหรือปรับปรุงให้ดีขึ้นได้โดยการเพิ่มค่าใช้จ่ายให้มากขึ้น" คำถามที่ตามมาก็คือ 'สังคมเต็มใจจ่ายค่าบริการอยู่ที่เท่าไหร่?' และ 'ต้นทุนที่สังคมจะต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายมากแค่ไหน?' (Mises 2023) องค์กรภาครัฐนั้นเวลาจะแก้ไขปัญหาใด ๆ ก็ตามจำเป็นต้องใช้งบประมาณที่มหาศาลอย่างสิ้นเปลืองเพื่อตอบสนองนโยบายอันไร้ประโยชน์ของตนเอง ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตามการลงทุนอุดหนุนรถไฟฟ้าอาจมีประโยชน์สำหรับผู้บริโภคที่ยินดีจะจ่ายในราคาที่ถูก แต่พวกเขาไม่รู้ว่าเมื่อมีคนจำนวนมากมาใช้บริการมากขึ้นสิ่งที่พวกเขาจำนวนมากต้องเผชิญก็คือ ความไร้ประสิทธิภาพของการบริการทั้งด้านการปรับปรุง แรงจูงใจของบุคลากร และการจัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ จะเป็นปัญหาในระยะยาว เพราะการแทรกแซงของรัฐเพื่อบิดเบือนกลไกราคาของตลาดเป็นผลลัพธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ (Thornton 2022) และเมื่อเป็นเช่นนั้นทางออกของปัญหาที่ว่าจะแก้ค่าครองชีพที่สูงจนหูฉี่ (รวมถึงเงินเฟ้อ) ในระยะยาวไม่สามารถแก้ไขได้ ตราบเท่าที่รัฐยังมีบทบาทโดยตรงอันเป็นการส่งเสริมให้ต้นทุนทางเศรษฐกิจสูงขึ้น
.
กล่าวโดยสรุปก็คือ การอุดหนุนรถไฟฟ้าอาจดีที่ทำให้ผู้ใช้บริการยินดีจ่ายในราคาที่ถูกลง แต่การทำเช่นนั้นเท่ากับรัฐต้องการบิดเบือนกลไกราคาตลาดของค่าบริการรถไฟฟ้าจริงต่อคน โดยการทำให้มันถูกลงจากการผลาญงบประมาณเพื่อทุ่มไปกับโครงการรถไฟแต่ละสาย ซึ่งตรงนี้เองมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่การบริการรถไฟฟ้า คุณภาพหรืออะไรต่าง ๆ อาจส่งผลให้มันไม่มีประสิทธิภาพทั้งด้านการบริการ แรงจูงใจของบุคลากร และการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่มีประสิทธิภาพได้ เป้าหมายของรัฐบาลเพื่อไทยคือ "ลดค่าใช้จ่ายที่สอดคล้องกับปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น" แต่พวกเขากลับไม่รู้ว่าแม้จะการกระทำของรัฐเพียงเล็กน้อยในเรื่องการอุดหนุนที่พวกเขาอาจคิดว่าไม่น่ามีผลกระทบอะไรมาก แต่ในท้ายที่สุดแล้วมันจะกลายเป็นการผลักดันภาระทางเศรษฐกิจไปสู่ประชาชนเสียเอง หากเรามองปัญหาในภาพรวมของเศรษฐกิจในตอนนี้ก็อาจกล่าวได้เต็มปากว่า นโยบายนี้มันไม่ได้ดีอย่างที่คิดแค่เพียงเพราะผู้บริโภคจ่ายค่ารถไฟฟ้าในราคาที่ถูกลง
.
บรรณานุกรม
“ราคาจริงที่ต้องจ่าย เพื่อ ‘รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย.’” THE STANDARD, 14 Sept. 2023, thestandard.co/real-cost-of-20-baht-mrt-bts/#:~:text=%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88,%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89.
“เริ่มวันนี้! รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย นำร่อง 2 เส้นทาง.” Thai PBS, 16 October, 2023, www.thaipbs.or.th/news/content/332842.
Grassmueck, Georg. Public Transit Projects Are the Perfect Recipe for Financial Disaster. (Auburn, AL: Ludwig von Mises Institute, 2023).
Thornton, Mark. The REAL Solution to the Coming Economic Crisis. (Auburn, AL: Ludwig von Mises Institute, 2022).


เสรีนิยมจะต้องโอบรับลัทธิชาตินิยม (Liberalism Must Embrace Nationalism)
.
โดย HoppeanismBoy
.
ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่ผ่านมานั้นเราจะเห็นได้ว่ามนุษย์นั้นมักยึดโยงและมีความเชื่อ รวมถึงความภักดีต่อบางสิ่งอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นความศรัทธาในศาสนา ปรัชญาบางอย่าง หรือคุณธรรม รวมไปถึงความจงรักภักดีต่อ ครอบครัว-เครือญาติ , ชุมชน หมู่บ้าน , ชนเผ่า หรือ กลุ่มชาติพันธุ์ของตนเอง สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่ามนุษย์นั้นต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตนเอง หรือ นั้นก็คือ “สังคม” เช่นเดียวกับที่ “อริสโตเติล” นักปรัชญาชาวกรีกผู้มีชื่อเสียง ได้เคยกล่าวไว้ในงานเขียนของเขาอย่าง “โพลิติกส์” ( “Politics” ) ว่า “โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์นั้นเป็นสัตว์สังคม” เพราะฉะนั้นแนวคิดการรวมกลุ่มแบบอัตลักษณ์นิยม (identitism or Tribalism) ซึ่งหมายถึงการที่ผู้คนแสวงหาในการให้ความสำคัญต่อคุณค่าของกลุ่มตนเอง ซึ่งอาจผูกพันกันด้วย สายเลือด ความสัมพันธ์แบบส่วนตัว คุณธรรม ปรัชญา เชื้อชาติ ศาสนา ก่อนกลุ่มภายนอกที่ไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับตนเองโดยกระบวนการดังกล่าวก็เป็นกระบวนการจัดโครงสร้างตามลำดับชั้นที่เป็นไปอย่างธรรมชาติ นั้นก็คือ มนุษย์มักให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ใกล้ตนเองหรือมีความสัมพันธ์ด้านใดด้านหนึ่งกับตนเองก่อนที่จะเผื่อแผ่หรือขยายวงไปยังกลุ่มภายนอกอื่น ๆ (In-group and out-group) ที่มีความสำคัญน้อยกว่าตามลำดับ แน่นอนว่ากระบวนการดังกล่าวนั้นเป็นการยืนยันถึงคุณลักษณะสองประการของมนุษย์ นั้นคือ (a). ที่ว่าการแบ่งแยก การเลือกปฏิบัติและการจัดลำดับรวมไปถึงการให้ความสำคัญต่อคุณค่าสิ่งต่าง ๆ อย่างไม่เท่ากัน; (b). นั้นได้แก่ การให้ความสำคัญ การให้สิทธิพิเศษ ต่อกลุ่มของตนเองหรือผู้ที่มีความใกล้ชิดกับตนเองก่อนเสมอนั้น ทั้งสองส่วนเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ อย่างไรก็ตามคุณลักษณะและแนวคิดประการต่าง ๆ อันเป็นไปตามธรรมชาติของมนุษย์เหล่านี้ก็ดูเหมือนจะค่อย ๆ สูญเสียบทบาทการนำทางความคิดเหนือผู้คนในสังคมสมัยใหม่ไปทีละเล็กทีละน้อย อันเป็นผลมาจากการที่ สถาบันทางการเมือง วัฒนธรรม สื่อ รัฐ ฯลฯ ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมและชี้นำโดยเครือข่ายชนชั้นสูงทั้งหลายของเรา เลือกที่จะค่อย ๆ เปิดรับและเผยแพร่คุณค่า อุดมคติและศีลธรรมแบบโลกสมัยใหม่ที่วางรากฐานอยู่บนเงื่อนไขของแนวคิดแบบเสมอภาคนิยม ความก้าวหน้า (ในความหมายที่หมายถึง “ความเท่าเทียมเชิงผลลัพธ์”) และ ประชาธิปไตยเข้าไปในสังคมแทน ซึ่งการพยายามขยายแนวคิดความเสมอภาคนิยมและความเป็นประชาธิปไตยดังกล่าวนั้น ก็นำไปสู่การอ่อนแอลงของสถาบันทางสังคมอันเป็นอิสระ รวมไปถึงมันยังนำไปสู่การลดทอนอำนาจอธิปไตยของปัจเจกบุคคลในสังคมลง เพื่อเปิดทางให้กับการที่รัฐจะเข้ามามีอิทธิพลหรือบทบาทเหนือปริมณฑลต่าง ๆ ในชีวิตมากขึ้น แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการการแผ่ขยายของแนวคิดศีลธรรมสมัยใหม่อันมีรากฐานตั้งอยู่บนความเสอมภาคนิยมผ่านรัฐและสถาบันระหว่างประเทศที่สนับสนุนการนำโครงการโลกาภิวัตน์ขนาดใหญ่ไปให้แต่ละรัฐปฏิบัติเพื่อผลักดันวาระซ่อนเร้นในการจัดตั้งลัทธิเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จขึ้นทั่วโลกนั้นเอง
.
โดยในปัจจุบันนั้นเราต้องยอมรับก่อนว่าในรัฐซึ่งอยู่ภายใต้ขอบเขตของโลกเสรีนิยมประชาธิปไตยหลายแห่งนั้นไม่มีสิ่งที่เรียกว่าแนวคิดกลุ่มอัตลักษณ์นิยมหรือความเป็นอัตลักษณ์เฉพาะอีกต่อไป รวมทั้งรัฐและสถาบันต่าง ๆ ในสังคมเหล่านั้นไม่อนุญาตให้ผู้คนคิดถึงกลุ่มอัตลักษณ์นิยมของตนเองหรือภูมิใจต่อมัน ปรากฏการณ์เช่นนี้สามารถเห็นได้ในหลายรัฐของโลกตะวันตก เช่น ในเยอรมัน ความเป็นเยอรมันนั้นไม่ใช่หมายถึงชาวยุโรปผิวขาวเชื้อสายคอเคเซียน ซึ่งมีลักษณะทางกายภาพ ตาฟ้า ผมทอง และมีลักษณะทางสังคม ค่านิยม ภาษา ประเพณีและมีวัฒนธรรมแบบเยอรมัน รวมไปถึงนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์หรือคาทอลิกอีกต่อไป แต่มันหมายถึงใครก็ตามที่สามารถอพยพหรือถูกนำเข้ามาโดยรัฐบาลเยอรมัน (ที่ถูกควบคุมโดยนักการเมืองและพรรคการเมืองฝ่ายซ้าย) ไม่ว่าจะเป็นชาวมุสลิม หรือ ชาวแอฟริกัน ฯลฯ คนพวกนี้จะถูกถือว่ามีความเป็นชาวเยอรมัน เช่นเดียวกับชาวเยอรมันดั้งเดิมและพวกเขาไม่จำเป็นต้องถูกดูดซึมให้เป็นส่วนหนึ่งของประชากรชาวเยอรมันดั้งเดิมแต่อย่างใด เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกา ความเป็นอเมริกานั้นไม่ได้หมายถึง ชาวผิวขาวแองโกล-แซกซอน ที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ (White Anglo – Saxson Protestants) หรือค่านิยม มารยาท การศึกษาที่เหนือกว่า อีกต่อไปแต่มันหมายถึงคนทุกกลุ่มที่สามารถอพยพมาสู่ดินแดนดังกล่าวได้ แม้แต่ในไทยเองก็มีกระบวนการทำลายอัตลักษณ์ดังกล่าวจากกลุ่มขบวนการ นักวิชาการ และสื่อที่มีความคิดโน้มเอียงไปทางซ้ายที่พยายามรื้อถอนความเป็นไทยที่มีความหมายถึง กลุ่มประชากรที่พูดภาษาและมีวัฒนธรรมแบบขร้า-ไท นับถือศาสนาพุทธ-พราหมณ์-แถน โดยการพยายามแทนที่ความเป็นไทยดังกล่าวด้วยแนวคิดแบบพหุวัฒนธรรมนิยมและความเป็นพลเมืองโลก (หมายถึงแนวคิดที่เปิดกว้างในการรับผู้อพยพ เช่น ชาวโรฮิงยา หรือ ประชากรในส่วนอื่น ๆ เข้ามา) ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงประเทศไทยนั้นถูกก่อตั้งขึ้นโดยมีประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาและมีวัฒนธรรมแบบขร้า-ไท รวมไปถึงศาสนาพุทธ-พราหมณ์-แถนเป็นพื้นฐาน จากปรากฏการณ์เหล่านี้เราจะเห็นได้ว่าโลกเรากำลังเข้าสู่กระบวนการที่นำไปสู่การไม่มีเส้นแบ่งระหว่างเขตแดน รวมถึงกระบวนการข้ามชาติขนาดใหญ่ที่ลดทอนกำลังลดทอนชุมชนแห่งชาติในแต่ละแห่งโลกลง มันจะไม่มีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่อีกพวกเขาเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น ชาวเยอรมัน ชาวอังกฤษ ชาวอเมริกัน ชาวตุรกี หรือ ชาวอาหรับ ฯลฯ จะไม่มีความแตกต่างกันอีกต่อไป แน่นอนว่ากระบวนการดังกล่าวเหล่านี้นั้นไม่อาจจะบรรลุด้วยกระบวนการอย่างสันติวิธีหรือได้รับความยินยอมจากประชากรทั้งหมดได้นอกจากการใช้อำนาจเผด็จการและกำลังบังคับให้ประชากรในแต่ละท้องถิ่นให้ยอมรับกระบวนการสลายอัตลักษณ์ดังกล่าวโดยรัฐเท่านั้น
.
เพราะสิ่งที่เป็นชนเผ่า ศาสนา เชื้อชาติ ฯลฯ ที่ถูกนิยามโดยรวมจากโลกสมัยใหม่ว่า “ลัทธิชาตินิยม” นั้นมีความหมายถึงความพิเศษ ความแตกต่าง และ เอกลักษณ์ แน่นอนสิ่งเหล่านี้ไม่มีความเชื่อมโยงกับคุณค่าของโลกสมัยใหม่ที่กำลังแพร่หลายอยู่ในสังคมของเราอย่าง ความก้าวหน้า แนวคิดเสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้โดยไร้กฎเกณฑ์ ความเสมอภาคนิยม หรือประชาธิปไตยแต่อย่างใด อีกทั้งแนวคิดข้างต้นยังนำไปสู่สภาวะขัดแย้งกับแนวคิดอย่างหลังของสังคมสมัยใหม่ที่กำลังแพร่หลายอยู่อีกด้วย เพราะความพิเศษ ความเป็นเลิศ ความเหนือกว่า ย่อมนำไปสู่การเลือกปฏิบัติเสมอ ชนเผ่าย่อมให้ความสำคัญกับคนภายในเผ่าก่อนคนนอก ประเทศย่อมให้ความสำคัญกับคนในประเทศตัวเองก่อนคนนอก เทพเจ้าย่อมให้ความสำคัญกับผู้นับถือก่อนผู้ที่ไม่นับถือ นี้คือปรากฏการณ์อันเป็นไปตามธรรมชาติของมนุษย์ เนื่องจากมนุษย์นั้นอยู่เป็นเผ่าพันธุ์ เราต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม เราโหยหาความผูกพันและการผูกมัด นั่นคือเหตุผลที่เรารักชมรม ทีม สมาคม ครอบครัวแทบจะไม่มีมนุษย์คนไหนอยู่เป็นฤาษี แม้แต่พระและนักบวชก็ยังอยู่รวมกันเป็นสำนัก แต่สัญชาติญาณความเป็นเผ่าพันธุ์ไม่ใช่แค่สัญชาตญาณในการรวมกลุ่ม มันรวมถึงสัญชาตญาณในการกีดกันออกจากกลุ่มด้วย ในทางกลับกันแนวคิดแบบเสมอภาคนิยมสมัยใหม่กลับขัดแย้งต่อธรรมชาติดังกล่าวของมนุษย์ เพราะการที่มันปูรากฐานทางแนวคิดด้วยความพยายามที่จะสนับสนุนความเท่าเทียมกันในหมู่มนูษย์ให้มากที่สุด มันก็จะต้องเลือกที่จะขจัดการแบ่งแยกและกีดกันดังกล่าวออกไปและวิธีการที่จะขจัดการแบ่งแยกและกีดกันดังกล่าวออกไปได้ก็ด้วยการที่จะต้องทำลายกลุ่มอัตลักษณ์นิยมในสังคมนั้น ๆ ลง แน่นอนว่าวิธีการดังกล่าวไม่อาจจะบรรลุด้วยวิธีการอย่างสันตินอกไปเสียจากการใช้อำนาจรัฐเผด็จการเข้ามาเพื่อแทรกแซงและเปลี่ยนสังคม ในรูปแบบของการทำลายแนวคิดอัตลักษณ์นิยมด้วยการส่งเสริมเจตคติแห่งความเท่าเทียมในสังคม การส่งเสริมหรือให้อภิสิทธิ์แก่คนชายขอบ อย่างเช่น ผู้หญิง LGBTQ ชนกลุ่มน้อยทางเชื้อชาติ สีผิว ศาสนา หรือการทดแทนกลุ่มประชากรดั้งเดิมด้วยการนำเข้าผู้อพยพ กระบวนการเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ค่อย ๆ เกิดขึ้นในยุโรปหรือเมริกา ที่รัฐบาลของพวกเขาได้เปิดทางให้มีการทำลายอัตลักษณ์นิยม ส่งเสริมคนชายขอบ อย่าง LGBTQ+ หรือชนกลุ่มน้อยทางเชื้อชาติ สีผิว ศาสนา รวมทั้งการนำเข้าผู้อพยพต่างชาติเข้ามาโดยที่คนในประเทศไม่ได้ยินยอมหรือเห็นดีเห็นงามด้วย สิ่งเหล่านี้ทืำให้เกิดการขยายตัวของปัญหาในสังคมที่มากขึ้นและเมื่อปัญหาในสังคมมากขึ้นมันก็จะเป็นประโยชน์ต่อชนชั้นนำกลุ่มใหม่ที่ควบคุมระบบการเมืองและเศรษฐกิจอยู่ในโลกเสรีประชาธิปไตย อย่างพวกชนชั้นนำผู้จัดการ (Managerial elite) มากขึ้นเพราะอย่างที่เราทราบกันดีว่าตำแหน่งของพวกเขาเกิดขึ้นมารวมทั้งดำรงอยู่ได้ก็จากปัญหาทางเทคนิคอันซับซ่อนในสังคมทั้งในองค์กรภาครัฐและเอกชน และยิ่งปัญหามีมากขึ้นเท่าไหร่พวกเขาก็จะเพิ่มตำแหน่งและบทบาทให้แก่ชนชั้นนำนักจัดการนิยมมากขึ้นเท่านั้น ผ่านการขยายตัวของหน่วยงาน แผนก หรือ องค์กรของทั้งภาครัฐและเอกชน แน่นอนว่าในสังคมที่เส้นแบ่งแยกทั้งในทางภูมิศาสตร์คือ เขตแดนระหว่างประเทศ รวมไปถึงเขตแดนทางด้านวัฒนธรรมที่แบ่งแยกกันผ่านความหนาแน่นของกลุ่มอัตลักษณ์ในพื้นที่ใด พื้นที่หนึ่งเลยไปจนถึงสถาบันทางสังคมแบบอิสระในอดีตที่อ่อนแอลง ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นผลของการเพิ่มความเสมอภาคนิยมในสังคม มันก็ยิ่งทำให้จะต้องมีหน่วยงานและอำนาจมากขึ้นในการเข้ามาจัดการปัญหาดังกล่าว หรือในอีกนัยก็คือจะต้องมีการขยายอำนาจให้แก่ชนชั้นนำนักจัดการนิยมมากขึ้นนั้นเอง
.
อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าแปลกใจสำหรับเรื่องนี้อย่างที่สุดนั้นก็คือไม่ใช่การที่ฝ่ายซ้าย รวมทั้งสถาบันของพวกเขา หรือ พรรคการเมืองของพวกเขา กลับเข้าร่วมสนับสนุนจุดยืนดังกล่าวของชนชั้นนำนักบริหาร แต่เป็นการที่ฝ่ายเสรีนิยมบางส่วน หรือ บางคน ก็สนับสนุนโครงการสลายอัตลักษณ์ดังกล่าวด้วย เพื่อสร้างมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ขึ้นมาพวกเขาเชื่อว่ามนุษย์จะบรรลุถึงเสรีภาพหรือเหตุผลได้มากที่สุดก็ต่อเมื่อพวกเขาละทิ้ง ตำนาน คำสอนทางศาสนา วัฒนธรรม ค่านิยม ครอบครัว ประเทศ หรือ เชื้อชาติของตนเองทิ้งไปเพื่อเปิดรับความเป็นเหตุเป็นผลอย่างถึงที่สุด เมื่อนั้นพวกเขาจะกลายเป็นมนุษย์ผู้มีอิสระอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตามเราขอพูดกับชาวเสรีนิยมด้วยข้อเท็จจริงสองสามข้อดั่งต่อไปนี้
.
(I) “ยอมรับว่าเสรีภาพเป็นไปตามสภาพธรรมชาติของมนุษย์” ข้อแรกชาวเสรีนิยมจะต้องเลิกเชื่อมั่นว่าเสรีภาพจะบรรลุได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์ทุกคนสลัดทิ้งไปซึ่งความคิดแบบโบราณคร่ำครึอันเกี่ยวกับ ศรัทธา เชื้อชาติ หรือ ประเทศ และเป็นบุคคลซึ่งใช้ชีวิตอยู่โดยอาศัยเหตุและตรรกะเป็นเครื่องนำทางสูงสุด เราต้องยกเลิกมุมมองอุดมคติและยูโทเปียดังกล่าวเพราะสิ่งเหล่านี้ในท้ายที่สุดจะไม่มีวันเกิดขึ้น จริง มนุษย์นั้นล้วนเปราะบาง ท่วมท้นไปด้วยความรู้สึก ทั้งยังมีลำดับชั้นและเลือกปฏิบัติ สิ่งที่ชาวเสรีนิยมพึงควรจะทำจึงเป็นการเข้าใจมนุษย์ตามธรรมชาติอย่างที่พวกเขาจะเป็นตลอดมาและจะเป็นตลอดไป มนุษย์ไม่สามารถถูกทำให้สมบรูณ์แบบได้ สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือเสนอทางเลือกอย่างสมัครใจให้แก่พวกเขาในการสร้าง เข้าร่วม หรือ แยกตัวออกจากสังคมตามที่พวกเขาพึงปรารถนาเท่านั้น การพยายามสร้างแนวทางการบูรณาการใด ๆ ก็ตามเพื่อทำให้มนุษย์ทุกคนสมบูรณ์ รังแต่จะเป็นการทำลายหลักการเสรีนิยมโดยตัวมันเองและเปิดทางให้แก่ลัทธิเผด็จการโดยรัฐมากขึ้นเท่านั้น
.
(II) “โอบกอดแทนที่จะปฏิเสธภาคประชาสังคม” ข้อที่สอง ชาวเสรีนิยมแม้กระตือรือร้นต่อการยอมรับแนวคิดตลาดเสรีทุนนิยม พวกเขากลับมีมุมมองที่ผิดพลาดนั้นคือการวางตัวเป็นศัตรูต่อสถาบันทางสังคมแบบอิสระอย่างเช่น ครอบครัว ประเพณี วัฒนธรรม อัตลักษณ์ทางเชื้อชาติมาอย่างยาวนาน เหมือนดั่งกับว่าการเป็นเสรีนิยมนั้นมีความหมายเท่ากับการปฏิเสธประเพณีดั่งเดิม กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือการเป็นเสรีนิยมนั้นหมายถึงการเป็นศัตรูกับภาคประชาสังคม ทั้งที่ในความเป็นจริงการดำรงอยู่ของภาคประชาสังคมที่อิสระนั้นต่างหาก ที่มีส่วนสำคัญอย่างมากในการที่เราจะประสบความสำเร็จสำหรับโครงการทางการเมืองของชาวเสรีนิยมและอิสรนิยมในการลดอำนาจหรือต่อต้านอำนาจรัฐ เนื่องจากภาคประชาสังคมเป็นรูปแบบการจัดระเบียบสังคมรูปแบบเดียวที่เกิดความสมัครใจและเป็นไปตามระเบียบโดยธรรมชาติ ทั้งมันยังเป็นพลังเดียวที่สามารถกักกันการขยายตัวของอำนาจรัฐเผด็จการมาโดยตลอด
.
(III) “ลัทธิสากลนิยมทางการเมืองไม่ใช่เป้าหมาย” ข้อสุดท้ายชาวเสรีนิยมต้องยกเลิกมุมมองในการขยายแนวคิดเสรีนิยมไปสู่สังคมอื่น ๆ หรือการทำให้โลกทั้งหมดกลายเป็นเสรีนิยมประชาธิปไตย ชาวเสรีนิยมควรพึงสังวรไว้ว่าสิ่งที่เราควรทำมีเพียงแค่การพยายามลดขนาดและขอบเขตของอำนาจรัฐลงให้มากที่สุดเท่านั้น ไม่ใช่การบูรณาการให้ทั้งโลกกลายเป็นดินแดนอุดมคติสำหรับลัทธิเสรีนิยม ลัทธิเสรีนิยมจะหยุดที่จะส่งเสริมมุมมองที่สนับสนุนให้รัฐเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น ๆ เพื่อสร้างรูปแบบสังคมแบบเสรีนิยมขึ้นมาอีกทั้งต้องสอดประสานหลัการของตนเองเข้ากับอัตลักษณ์ของในแต่ละท้องถิ่นและท้องที่
.
ท้ายสุดแล้ว สิ่งที่เราต้องยึดถือคือเราไม่มีวันจะทำให้เมกกะเป็นปารีส ทำให้ชาวไอริชเป็นอะบอริจิน ทำให้ชาวพุทธเป็นชาวมุสลิม หรือ ชาวคริสต์ทำให้ชาวกัมพูชาเป็นชาวไทย สิ่งที่ดีกว่าสำหรับเราก็คือการทำให้พวกเขาทั้งหมดเป็นสิ่งที่พวกเขาเป็น เราต้องยอมรับในทุกแห่งหนบนโลกและทุกสถานที่ ผู้คนในพื้นที่ดังกล่าวควรมีสิทธิที่จะกำหนดตนเอง ผ่านการแยกตัวและกระจายอำนาจอย่างสุดโต่ง เพราะเราไม่มีวันรู้ว่าอะไรจะดีต่อทุกมนุษย์ทุกคนซึ่งอย่างที่รู้กันเผ่าพันธ์มนุษย์นั้นเป็นกลุ่มจำนวนประชากรที่มีจำนวนมากกว่าหลายพันล้านคนบนโลก ด้วยเหตุนี้เองการคืนอำนาจอธิปไตยให้แก่พวกเขาจึงเป็นสิ่งที่สมควรทำอย่างที่สุด เช่นนั้นเองเราจึงเป็นนักเสรีนิยมเพราะเราเชื่อเราไม่ได้รู้ดีและอีกทั้งเรายังเชื่อว่าไม่มีใครจะสามารถรู้ดีแทนคนอื่นได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นการต่อสู้ของเราทั้งหมดจึงไม่ได้กินความหมายแค่การต่อสู้เพื่อเสรีภาพของปัจเจกบุคคลเท่านั้น แต่เรากำลังต่อสู้เพื่อบางสิ่งที่มีความหมายสูงที่สุดอย่างเลือดและดิน ครอบครัว ประเทศ ศาสนา เช่นเดียวกับทหารซึ่งถ้าหากเราลองถามพวกเขาว่ากำลังสู้เพื่ออะไรแน่นอนว่าสิ่งที่พวกเขาจะตอบนั้นคือในความคิดของพวกเขาภายใต้ช่วงสงครามที่ดุเดือด พวกเขากำลังต่อสู้เพื่อเพื่อนของพวกเขาจริง ๆ เพื่อปกป้องคนในหน่วยของพวกเขา และเพื่อเติมเต็มสำนึกในหน้าที่ส่วนตัว ดังนั้นแนวคิดเลือดและดิน ครอบครัว ประเทศ ศรัทธา และ เชื้อชาติ จึงเป็นพลังที่ลัทธิเสรีนิยมนั้นควรจะโอบรับมันเอาไว้
.
บรรณานุกรม
Deist, Jeff. For a New Libertarian. (Auburn, AL: Ludwig von Mises Institute, 2017).
“Group Narcissism.” Group Narcissism, Erik Torenberg, 28 Oct. 2023, eriktorenberg.substack.com/p/group-narcissism?fbclid=IwAR1Nzg9NqQLjFYiTiFhRVvJBJo-O6AQXou80MXi4V5coapY7__esTvQWHjg.
“Modern Morality Prioritizes Avoiding Evil.” Modern Morality Prioritizes Avoiding Evil, Erik Torenberg, 30 Sept. 2023, eriktorenberg.substack.com/p/modern-morality-prioritizes-avoiding?fbclid=IwAR0Y1OWuOVduQ9NbZqL2XAY7Wb4ItHCD7zh9fYRuEmlHNSs-PdMqMpqy8Z0.


มูลค่าจิตวิสัยไม่ใช่สิ่งที่จะกำหนดได้ตามอำเภอใจ
.
เศรษฐศาสตร์กระแสหลักอธิบาย "กฎการลดน้อยถอยลงของอรรถประโยชน์ส่วนเพิ่ม" (law of diminishing marginal utility) ว่าความพึงพอใจใด ๆ ก็ตามมาจากการบริโภคสินค้าและบริการอันเฉพาะเจาะจง และความพึงพอใจของการบริโภคจะลดลงต่อหน่วยจากปริมาณที่เราบริโภคมากขึ้น กฎดังกล่าวถูกนำไปอธิบายผ่านสูตรคำนวณทางคณิตศาสตร์ที่เรียกว่า "ฟังก์ชั่นอรรถประโยชน์" (utility function) แต่หากตั้งคำถามว่าในความเป็นจริง ความพึงพอใจมันเป็นสิ่งที่คงที่พอที่จะสามารถคำนวณได้อย่างชัดเจนตามสูตรคำนวณหรือไม่? คำตอบก็คือ "ไม่" ดังนั้นสิ่งที่เราจะต้องทำความเข้าใจในลำดับถัดมาว่า "การประเมินคุณค่านั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร" และ "การประเมินคุณค่าดังกล่าวเกิดขึ้นตามอำเภอใจหรือไม่?"
.
ตามความคิดของคาร์ล เมนเจอร์ (Carl Menger) ผู้ก่อตั้งสำนักเศรษฐศาสตร์ออสเตรียนมองว่า "ปัจเจกบุคคลกำหนดมูลค่าของสินค้าตามความสำคัญที่สินค้าและบริการนั้น ๆ มีผลต่อการดำรงชีวิตของเขา" และความต้องการของมนุษย์ที่มีอยู่อย่างไม่จำกัดทำให้ปัจเจกบุคคลต้องหาว่าสิ่งใดสำคัญต่อการดำรงชีวิต มันเป็นผลให้ "มูลค่า หรือ คุณค่า" เป็นสิ่งที่มีลำดับความสำคัญ มีการแบ่งชั้นจากน้อยไปมาก ฯลฯ ยกตัวอย่างเช่น นาย A เป็นคนทำขนมปัง เขาผลิตขนมปัง 4 ก้อน ผ่านการใช้ทรัพยากรเพื่อบรรลุความต้องการอันไม่สิ้นสุดของเขา ตรงนี้นาย A มีสิ่งที่ต้องคิดในหัวว่า "สิ่งสำคัญมากที่สุด" ในตอนนี้คือ เขาจะต้องบริโภคขนมปังที่เขาผลิตเพื่อที่จะกระทั่งชีวิตของเขาเองไม่ให้อดตาย และขนมปังที่เหลือทั้งก้อนที่สอง สามและสี่ก็อาจนำไปแลกเปลี่ยนเพื่อ "สิ่งที่สำคัญที่สุดในการดำรงชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี" เราจะสังเกตได้ว่าการแลกเปลี่ยนขนมปังก้อนที่สองและสามเป็นสิ่งที่นาย A แลกเปลี่ยนทรัพยากรของเขากับสินค้าอื่น ๆ เพื่อเติมเต็มความต้องการหลากหลายอย่างอันไม่มีสิ้นสุด ตรงนี้มันก่อให้เกิดความเหมาะสมของทรัพยากรที่นำไปแลกเปลี่ยนโดยคำนึงถึงมูลค่าของความต้องการอย่างเฉพาะเจาะจง ยกตัวอย่างเช่น ความต้องการเสื้อเพื่อสวมใส่ นาย A จะต้องตัดสินใจว่าจะใส่เสื้อลำลอง หรือ เสื้อทำงาน โดยนาย A จะต้องหาเสื้อหลายตัวและหลายแบบเพื่อหาตัวที่เหมาะสมกับความต้องการอันเฉพาะเจาะจงของเขา ในกรณีนี้ถ้านาย A ทำงานอยู่กับเตาอบขนมปังที่ร้อนมาก เขาก็จำเป็นต้องหาเสื้อที่บางเพื่อให้ถ่ายเทความร้อนได้ดีในระหว่างทำงาน
.
หมายความว่ามูลค่าจึงเป็นผลมาจากความต้องการอันไม่มีที่สิ้นสุดของปัจเจกบุคคลตามแต่ละสถานการณ์ พื้นที่และเวลา ยิ่งไปกว่านั้นความต้องการของมนุษย์เองก็ไม่ได้ถูกกำหนดตามอำเภอใจ แต่ถูกจำลำดับตามความสำคัญต่อการดำรงชีวิต ยกตัวอย่างเช่น ถ้านาย A จำลำดับความสำคัญของชีวิตตามอำเภอใจแล้ว เขาก็จะต้องอยู่บนความเสี่ยงที่อาจถึงแก่ชีวิตได้ ยกตัวอย่างก็คือ ในอากาศหนาวเย็นเยือกที่ใครต่อใครก็ต้องการความอบอุ่น สำหรับสถานการณ์ของนาย A ถ้านาย A จัดสรรทรัพยากรส่วนใหญ่สัตว์เลี้ยงของเขาเช่น อาหารและที่พักอาศัยอันอบอุ่น และจัดสรรทรัพยากรส่วนน้อยให้กับตัวเองแทนเช่น อาจจะไม่มีที่พักที่อบอุ่นและอาหารที่ไม่เพียงพอ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือสัตว์เลี้ยงก็จะมีชีวิตรอดต่อในอากาศหนาวเย็น ในขณะที่นาย A ก็เสี่ยงที่จะป่วย
.
ด้วยเหตุนี้เอง แนวคิดอรรถประโยชน์ส่วนเพิ่ม (marginal utility) ไม่ใช่สิ่งที่ตามเศรษฐศาสตร์กระแสหลักเข้าใจว่า การเพิ่มขึ้นหนึ่งหน่วยสะท้อนอรรถประโยชน์มวลรวมในเชิงปริมาณ แต่สิ่งที่เรียกว่า 'อรรถประโยชน์' เป็นผลมาจากการจัดลำดับความสำคัญและลำดับชั้นของแต่ละบุคคลในการดำรงชีวิตของเขา ความต้องการเฉพาะเจาะจงกำหนดมูลค่าที่สะท้อนทรัพยากรเพื่อแลกเปลี่ยนมัน มูลค่าจิตวิสัยนั้นไม่ได้ถูกสร้างมาตามอำเภอใจ แต่ตามความเหมาะสมของดำรงชีพและความเป็นอยู่ที่ดีแต่ละคน ดังนั้น การประเมินมูลค่าที่แตกต่างของคนจึงจะต้องสะท้อนกับความเป็นจริงเสมอ ถ้าหากการประเมินมูลค่าเกิดขึ้นตามอำเภอใจแล้วละก็ มันก็จะนำความเสี่ยงมาสู่ตนเอง
.
บรรณานุกรม
Karl E. Case and Ray C. Fair, Principles of Microeconomics, 7th ed. (Amsterdam, NL: Prentice Hall, 2003).
Carl Menger, Principles of Economics, trans. James Dingwall and Bert F. Hoselitz (Auburn, AL: Ludwig von Mises Institute, 2007), chap. 3.
Shostak, Frank. Subjective Value Is Not the Same as Arbitrary Value. (Auburn, AL: Ludwig von Mises Institute, 2021).


จบไปแล้วกับงานเสวนาของทางอิสรนิยมศึกษา
เนื้อหาแบบละเอียดมากกว่าที่นำเสนอในงานจะตามมาทีหลังครับ
ยุทธศาสตร์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาไล่เรียงตั้งแต่ Antonio Gramsci, Louis Althusser, Carl Schmitt, Karl Popper, Right-wing populism by Murray N. Rothbard 😃


" สังคมที่กำลังเลือกว่าจะนำเอาระบบทุนนิยมมาใช้หรือระบบสังคมนิยมมาใช้นั้น โดยแท้จริงแล้วพวกเขากำลังไม่ได้กำลังเลือกระบบทางสังคมสองรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่พวกเขากำลังระหว่างสังคมแห่งความรู้มือภายใต้ระบบทุนนิยม หรือ การล่มสลายทางสังคมภายใต้ลัทธิสังคมนิยม "
- Ludwig von Mises
.
วันอาทิตย์ที่ 29 เรามาเสวนาเพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงกัน
.
หลังจากห่างหายไปนานมาพบกิจกรรมออนไซต์อีกครั้งของกลุ่มอิสรนิยมศึกษา เพื่อหาสมาชิกและเผยแผ่ความรู้ความเข้าใจในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับตลาดเสรีทุนนิยม แนวคิดเสรีนิยม และ ประชาธิปไตยแบบตัวแทน แก่ประชาชนและผู้ที่สนใจในแนวคิดอิสรนิยม โดยไม่เกี่ยงอาชีพ ชนชั้นวรรณะ หรือ การศึกษา ซึ่งหัวข้อกิจกรรมที่เราจะพูดคุยแลกเปลี่ยนนั้นคือหัวข้อเรื่อง เราจะทำอย่างไร ( What Is to Be Done ) เพื่อค้นหาแนวทางและยุทธศาสตร์ในการต่อสู้รวมทั้งติดอาวุธทางความคิดให้แก่ชาวเสรีนิยมและชาวอิสรนิยมในสังคมไทย รวมทั้งพูดคุยอย่างเป็นกันเองกับแขกรับเชิญสุดพิเศษของเรา ได้แก่ คุณคริส โปตระนันทน์ และ แอดมิน HoppeanismBoy
.
โดยสำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมของเราได้ใน วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 16.00 - 19.00 สถานที่จัดกิจกรรม คริส โปตระนันทน์, 74, 6 Rama VI Rd, แขวงพญาไท Phaya Thai, Bangkok 10400
.
Link ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรม Google Form
.
หรือ แสกน QR Code ตามรูปภาพได้เลยครับ
#Siamstr

Google Docs
ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรม First Meeting โดยอิสรนิยมศึกษา
พื้นที่จัดกิจกรรมได้รับการอนุญาตจากพรรคเส้นด้ายให...



