SutjaD's avatar
SutjaD
npub1l2q9...7lzw
คนเก่าแต่แอคใหม่
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 9 months ago
ความฝันจะเปลี่ยนชีวิตคนได้มั้ยครับ ? #siamstr แต่ใครจะไปเชื่อ ว่าความฝันของคนไร้สาระ ทำให้ผมคิดได้มากๆเลย 1 ในหนังสือวรรณกรรมยอดเยี่ยมตลอดกาลของดอสโตเยสกี ผมเขียนสิ่งที่ผมคิดได้หลังจากอ่านเล่มนี้ ลงในที่นี่แล้ว คุณไม่ต้องอ่านตัวต้นฉบับ ( แต่อ่านจะดีมาก ) ก็จะเข้าใจในสิ่งที่ผมสื่อ ผมตั้งใจเขียนมากครับ อยากให้อ่าน ลิ้งนี่เลย
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 9 months ago
ผมเห็น มูลนิธิภาษาศาสตร์ประยุกต์ เชิญชวนให้เขียนเรียงความหัวข้อ " ภาษาแม่ " ใน 1 หน้า ผมเลยใช้โอกาสนี้ถือเป็นการเกลาสกิลเขียนตัวเอง #siamstr ลองดูครับ เสียงกริ่งดังขึ้นมาในเวลาบ่ายสี่โมง เป็นสัญญาณว่าถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว คนทั้งห้องเรียนเริ่มลุกกันแจ ตัวของผมในคราบเด็กน้อยพยายามสะพายกระเป๋านักเรียนอันแสนหนักบนบ่า บอกลาเพื่อนร่วมชั้นเรียน แล้วเดินออกมารอ “ แม่ ” มารับกลับบ้าน ในตอนนั้นผมยังเป็นเด็กประถมต้นอยู่เลย จำได้ว่าทุกอย่างตอนนั้น ยุคที่ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือเป็นของตัวเอง ทุกอย่างตอนนั้น แม้ว่าจะเป็นแค่การรอคอยแม่มารับจากโรงเรียนเพียง 30 นาที มันรู้สึกช้าไปหมด แต่ผมก็รอได้ แน่นอนว่าแค่พอเห็นรถที่แม่ขับมารับจากไกลไกล ก็ดีใจแทบแย่ “ หม่ามี๊สวัสดีครับ ” ผมในวัยเด็กยกมือไหว้พร้อมพูดสวัสดี “ สวัสดีจ้ะ ” แม่ผมกล่าวตอบ และในตอนนั้นเอง แม่ผมได้ทำบางสิ่ง เป็นการกระทำที่แม่ทำมาตลอดก่อนที่ผมจะโตมากพอที่จะกลับบ้านเองได้ ในตอนนั้นผมไม่ได้สังเกตหรือมีความซาบซึ้งอะไรเลย คงเป็นเพราะยังเด็กอยู่เลยติดนิสัยเอาแต่ใจ และคิดแต่จะอยากกลับบ้านไวไว กระเป๋านักเรียนแสนหนักที่แบกไว้ แม่จะคอยถือให้เสอและผมก็ติดนิสัยนี้มาโดยปริยาย เมื่อผมโตขึ้นแล้วต้องคอยรับน้องสาวหลังเลิกเรียน ภาษาไม่เพียงสื่อทางวาจาอย่างเดียวสินะ แม่ผมขี้จุกจิก ขี้บ่นมาโดยตลอด พอโตมาได้สักพัก ผมก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ พื้นฐานครอบครัวฝั่งแม่เคยยากจนมาก่อน แม่มีพี่น้องสามคน และแม่เป็นคนที่ทำงานหนักมากที่สุด เพื่อยกระดับทั้งตระกูลขึ้นมาให้ได้อยู่สบาย ปลดหนี้ให้ทุกอย่าง หางานให้ญาติ ๆ ทำ แม่ผมได้รับความลำเข็ญมาทั้งชีวิตแล้ว ซึ่งทำให้แม่ผมรู้สึกว่ามันมากเกินพอ จึงไม่อยากให้ผมและน้องสาวต้องลำบากอีก อะไรที่แม่เตือนได้ บ่นได้ ก็จะทำทันที อาจจะรู้สึกรำคาญบ้าง แต่โตมาจึงได้รู้ ว่ามีประโยชน์ต่อชีวิตมากแค่ไหน พอผมโตมาถึงช่วงที่ต้องอ่านหนังสือสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายชื่อดัง ช่วงนั้นผมจำได้ว่ามีอีกการกระทำหนึ่ง ที่แม่ผมทำมาตลอด แต่ผมกลับไม่สนใจ นั่นคือช่วงเวลา 3 ทุ่ม แม่ผมจะเคาะประตูห้อง เพื่อคอยดูว่าผมทำอะไรอยู่ ถ้าผมเล่นเกม แม่ก็จะบอกให้อ่านหนังสือ ถ้าผมอ่านหนังสือ แม่ก็จะถามว่าเหนื่อยมั้ย พอผมสอบติดโรงเรียนประจำ ทุกวันศุกร์ที่กลับบ้าน พอถึงบ้าน แม่ก็ยังเป็นคนที่คอยถือกระเป๋าให้ ภาษาเป็นสิ่งสำคัญอย่างไร ? คนบางคนแม้ไม่ได้รับการศึกษา เขียนไม่ได้ อ่านไม่ได้ แต่ยังไงโตมาก็ต้องใช้ภาษาเป็นอยู่ดี มนุษย์เราต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นผ่านภาษา และภาษาคือการเรียนรู้ เราไม่ได้รับรู้ภาษาจากคำพูดเพียงอย่างเดียว ที่สำคัญที่สุดคือภาษาจากท่าทางในชีวิตประจำวัน ลองสังเกตว่าถ้าเรื่องไหนเราพูดถูก สีหน้าของผู้ฟังจะทำให้เรารู้ว่าเขาเห็นด้วยกับสิ่งที่เราพูด โดยที่เขาไม่ต้องพูดว่าเห็นด้วยเลยด้วยซ้ำ และแน่นอน หากเรื่องไหนที่เราพูดผิด การกระทำผ่านสีหน้าของคู่สนทนาก็จะเผยมา ทุกคนเรียนรู้ผ่านภาษา และจดภาษานั้นได้จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต กล่าวได้ว่า ภาษานำพาสู่นิสัยและการกระทำ แน่นอนว่า ผู้สอนภาษาคนแรกในชีวิต ก็คือแม่ ผมถือกระเป๋าหนัก ๆ ให้น้อง แบบที่แม่คอยถือให้ผม ผัดกะเพราสูตรที่แม่สอน ผมก็ยังทำกินทุกวัน เรื่องการกระทำนิสัยไม่ดีที่แม่ชอบบ่น ผมก็ไม่ทำ สิ่งดีๆที่แม่คอยสอน ผมจำไม่เคยลืม ภาษาที่แม่ถ่่ายทอด นำพาให้ผมใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น ภาษาแม่ของผมได้ฝังไว้หยั่งรากลึกในจิตใจ ถ้าถึง 3 ทุ่มเมื่อไหร่ ผมก็คอยว่าแม่จะเคาะประตูมั้ย แม้ว่าแม่จะกลายเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ แต่ในทุกคืน ผมยังคงคอยเสียงเคาะประตูไปเองโดยไม่รู้ตัว ภาษาแม่นั้น ติดตัวไปจนวันตายจริง ๆ
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 9 months ago
#siamstr วันสิ้นปี2024 ในไอจีไพรเวทที่ผมให้แค่คนสนิทฟอล ผมตัดสินใจโพสต์เล่าเรื่องทุกอย่าง ที่ทำให้ผมเดินทางมาถึงความรู้สึกที่ปลดล็อคพันธนาการทั่้งปวง " ไม่ต้องการอะไร ขอแค่มีชีวิตก็พอ " มันดูเป็นคำสั้น ๆ เป็นคำทั่วไปที่สามารถพบได้เจอในหน้าสารบัญหนังสือประเภท howto ตามซีเอ็ด แต่มีความหมายกับผมเหลือเกิน ประเด็นคือที่จะพูดในโพสนี้ ไม่เกี่ยวอะไรกับโคว้ตด้านบน คือผมนั่ง ๆ งมๆเขียน ด้วยความรู้สึกว่า ห่าทำไมมันมีแต่น้ำวะ - แค่ประโยคเดียวก็พอแล้วไม่ใช่หรอ - ทำไมกุเป็นคนเวิ่นเว้อ ? - พลันนั้น ความทรงจำในอดีตก็ย้อนกลับมาทันที ผมรู้จักตัวเองดี ตั้งแต่มัธยมต้น ผมเป็นคนชอบอธิบาย "ชอบเรียนรู้ศาสตร์ในการอธิบาย" มากกว่าเนื้อหาที่จะนำมาอธิบายเสียอีก ไม่ว่าจะอธิบายติวสอนเพื่อนในเนื้อหาที่จะสอบ ในเรื่องสังคมประวัติศาสตร์ที่เพื่อนไม่เข้าใจ ผมให้เกียรติ และรู้สึกขอบคุณมากที่เพื่อนนึกถึงผมในเวลาที่เขามีปัญหา ผมดีใจ ที่ได้มอบขนมปังกับพวกเขา และผมก็เจอจุดเปลี่ยน " มึงสอนกูหน่อย คณิตบทนี้ " ไม่ว่าผมจะทำอะไรอยู่ ณ ตอนนั้น ผมต้องหยุด และคิดในหัวทันทีว่า เพื่อนคนนี้มีความรู้พื้นเท่าไร ต้องใช้ภาษาอย่างไร เริ่มจากตรงไหน ผมคิดที่วิธีทำขนมปังที่ดีที่สุดให้กับเขา คิดออกแล้ว ก็ลงมือตามเคย แต่เพื่อนคนนั้น ไม่เข้าใจ เริ่มออกอาการ หงุดหงิด เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่จะมีคนที่ไม่เข้าใจบ้าง ผมก็แค่ต้องถามกลับว่า เริ่ม งง ตั้งแต่ตรงไหน แล้วค่อยพากันไปต่อ " สรุปสูตรมันเป็นแบบนี้ใช่มั้ย " " ใช่เพื่อน แต่ถ้าโจทย์มัน...." " เออก็แค่นี้แหละ พูดอะไรตั้งยาว " เอ้า " แล้วจะเข้าใจแค่นี้เพื่อเอาไปสอบหรอ " เพื่อนคนนั้นไม่ตอบอะไร เดินบิดตูดหนี เออ แปลกดี ถ้าจะกลัวเสียเวลาขนาดนั้น ทำไมไม่ตั้งใจเรียนตั้งแต่ต้นเทอมกันนะ.... แต่ตอนนั้น ผมก็เป็นแค่เพียงเด็กมอต้น ผมคิดว่า ผมผิด ผมผิดที่ "เร็ว" ไม่มากพอ ความไร้เดียงสา นำพาให้พฤติกรรมเราเปลี่ยนไป...ตามสังคม เวลาผ่านไป ทุกครั้งที่เขียนอะไร ทุกครั้งที่อยากเล่าอะไร ผมกลัว กลัวว่าสิ่งที่ตัวเองพยายามมอบให้คนอื่นอย่างประณีต มันไร้ค่า กลัวโดนเหยียบย่ำว่าพูดอะไรของมัน กลัวจากเบื้องลึกจากใจจริง ๆ แต่... ผมจะไม่กลัวมันอีกแล้ว ผมเขียนเรื่อง LDL , foodcoma , Randle cycle ลงไอจีสาธารณะ อย่างยืดๆยาวๆ มีหลายคนที่กดหัวใจ หลายคนที่ไม่สนิทแต่กล้ารีพลายมาว่า " เขียนดีมากเลยครับพี่ เข้าใจมากเลย " " ขอบคุณมากนะที่เล่าให้ฟัง ไม่เคยรู้เลย" " เอาอีกๆๆ " หรือไม่ว่าผมจะเขียนอะไรลง Nostr " คุณได้รับ 21 sats จาก ..... " " ดีครับ ทำต่อไป " จนกระทั่งบันทึกส่วนตัวในวันสิ้นปี2024 ที่กล่าวไปข้างต้น " ขอบคุณที่เล่าให้ฟังนะ " " มึงเติบโตมาได้ดีจริง ๆ " " มึงแก้ไขปัญหาปมตัวเองได้ดีมาก และพร้อมที่จะลุกขึ้นต่อเสมอ " อ่า.... ทำไมเราต้องเอาคำพูดไม่กี่คำจากเพื่อนวัยมัธยมต้น มาปิดบังในสิ่งที่เราต้องการมาตลอดนะ... ทั้งที่เราเลือก ที่จะไม่มองมันเอง
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 10 months ago
#siamstr เพิ่งลองเขียน articleใน yakihonne ครับ ฝากด้วยนะคับบ ขอบคุณครับผม View article →
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 10 months ago
ลงเตือนตัวเองไวัว่าจะพูดเรื่องต่อมหวกไตล้า
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 10 months ago
ผมนั่งๆนอนๆคิด #siamstr ถ้าเราช่วยคน เราช่วยในเรื่องนั้นได้ แต่ถ้าเราช่วยให้เขาเจอความหมายในการมีชีวิต เรื่องอื่นๆมันจะช่วยได้เองเลยนะ เมื่อมนุษย์กลับมามีศรัทธาต่อความหมายในการมีชีวิต เขาจะดูแลตัวเอง พัฒนาตัวเองไปโดยปริยาย ง่ายสุด เรื่องออกกำลังกายคุมอาหาร ตัดโรค NCD ได้ไปเยอะมาก แถมวินัยเอาไปใช้ต่อยอดเรื่องอื่นๆได้อีก อีกประเด็นคือ กฎของแรงดึงดูด ถ้าให้อธิบายคำนี้อย่างง่าย "ดูชุมชนบิทคอยน์" สิครับ ผมสังเกตมามาก ในแต่ละช่วงเวลาของชีวิต กฎนี้มันทำงานจริงๆ ช่วงที่เป็นฝ่ายซ้ายเนอีฟไร้เดียงสาต่อโลก คนรอบตัวก็จะมีแต่คนแบบนั้น ไม่สรรหาวิธีพาชีวิตและจิตวิญญาณเติบโต ช่วงที่ลง field แห่งการพัฒนาตัวเอง ก็จะเจอแต่คนที่คิดเรื่องหลัก ๆ เหมือนกัน ทั้งเรื่อง low time preference , การพัฒนา mindset ,การอ่านหนังสือ , การมีวุฒิภาวะ , การมีวินัย , มากมายพันล้านอย่างที่ยิ่งทำชีวิตยิ่งดีขึ้น ยิ่งมีความหมาย เติบโตขึ้นทั้งร่างกายที่สุขภาพดีขึ้นตามที่บอกว่าตัด NCD ไปได้ ในขณะที่จิตวิญญาณถูกยกระดับ พวก Depression , Anxiety , ADHD มันจะทำอะไรพวกเราได้ ? การลากคนออกจากหุบเหวแห่งสุญนิยม คือ medicine ที่ดีที่สุด
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 10 months ago
" จริงหรอ " , " น่าเชื่อถือแค่ไหน " - พิสูจน์เองสิ - #siamstr
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 10 months ago
ตรง ๆ เรื่อง diet #siamstr -- ผมไม่โอเคเวลาคนกิน high fat low carb อ้างว่ามันดีต่อบริบท "คนทั่วไป **** ที่ไม่ได้ออกกำลังกาย****" ( ดอกจัน3ล้านตัว) แล้วคนทั่วไปแบบใดไม่ออกกำลังกาย..... ออกเถอะครับ... ถ้ามีเวลาไถต้อกๆ เป็นชม. สละสักนี๊ดเดียว แค่10-20 นาทีไปออกกำลัง มันก็เป็น habit ระยะยาวได้สักวัน ต่อให้เรื่อง diet คุณจะตื่นรู้หรือยังก็ตาม สิ่งเบสิคที่สุดที่*ต้อง*ทำคือออกกำลังกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง resistance training ให้มีมวลกล้ามเนื้อมากขึ้น เพราะยิ่งแก่ เรายิ่งเสียมวลกล้ามเนื้อไปเรื่อย ๆ ( Sarcopenia ) มันใช้ชีวิตลำบากครับ อย่าให้โคว้ตข้ออ้างแบบนี้มันสะสมจนเกิดผลในบั้นปลายชีวิตเลย
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 10 months ago
เมื่อหนูถีบจักรถูกหลอกในโลกเฟียต ผลกระทบทางจิตใจ สู่ความสิ้นหวัง #siamstr ( ขยายความกฎข้อที่ 8 - 12 rules for life - Jordan Peterson ) @Tungkukk🇹🇭 เด็กน้อยเกิดมา ลืมตาดูโลก พัฒนาการขั้นแรกที่สำคัญทีสุดในวัยแรกเกิดคือ Trust vs Mistrust หรือ " ฉันสามารถเชื่อใจโลกนี้ได้มั้ย " พ่อแม่จึงสำคัญมากทีต้องเป็น " ตัวแทนของโลกทั้งใบ " พูดขยายความให้เข้าใจ คือเด็กแรกเกิดนั้นเกิดมาด้วยสภาพโกลาหล เขาไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความรู้ว่าจะต้องอยู่รอดในโลกใบนี้อย่างไร สิ่งที่ทำได้ก็มีแค่การร้องไห้ มันไม่ใช่ว่าเด็กไม่มีอะไรทำก็เลยร้อง แต่มันเป็นสิ่งที่เขาต้องการยืนยันว่า " เฮ้ ฉันอยู่นี่ ช่วยฉันด้วย " แน่นอนว่าหลังจากเด็กน้อยร้องไห้ พ่อแม่ที่ไหนก็ตามบนโลกก็จะเข้าไปปลอบ เข้าไปให้นม คุณอาจจะคิดว่าก็ทำๆไปเถอะเป็นเรื่องปกติที่เด็กจะร้อง ------ แต่สิ่งสำคัญคือ ณ วินาทีนั้น วินาทีที่คุณพ่อคุณแม่ได้เข้าไปปลอบลูกน้อย -- " ทารกได้มีการยืนยันการมีอยู่ของตัวเอง " " เฮ้ ฉันมี**คุณค่า**นี่นา มีคนเข้ามาปลอบฉัน ! " อยากให้ฟังตรงนี้ให้ดี สมองเด็กรับรู้ดีว่าเขามีตัวตน เขาเพียงแค่ต้องการให้ใครสักคน เข้ามา Interact กับเขา เพื่อเป็นการยืนยันว่า เขาก็มีตัวตนในสายตาคนอื่น ---> มันคือยืนยัน "คุณค่า" การมีอยู่ของเขา ในสถานการณ์กลับกัน หากเด็กร้องไห้ แล้วไม่มีคนปลอบล่ะ ? " ฉันร้องไห้อยู่นี่ " " ทำไมไม่มีใครสนใจ " กระบวนการเรียนรู้ การพัฒนาตามวัยได้หยุดชะงักทันที สมองถูกตีความไปเรียบร้อยแล้ว ว่าในระดับสังคมที่เล็กที่สุดในครอบครัวก็ไม่มีใครเข้ามาปลอบตอนร้องไห้ เมื่อเข้าเรียนในสังคม ก็จะปลีกตัวอยู่คนเดียว เพราะงั้นสรุปได้ว่า การร้องไห้แล้วมีคนปลอบ นอกจากจะเป็นแรงกระตุ้นว่าตัวเรามีค่า มันยังเป็นตัวบอกว่า " มึงทำอะไร ได้ยังงั้นนะ " แต่โลกเฟียตที่เงินเสื่อมมูลค่า มันได้ทำลายกลไกพัฒนาการที่เราได้รับมาตั้งแต่กำเนิดโดยสิ้นเชิง วัยเด็ก ๆ เล็กๆ เตาะแตะๆ ผ่านอะไรมามาก ทำดีพ่อแม่ให้รางวัล สอบที่ 1 พ่อแม่ให้รางวัล ทำดีกับเพื่อนจะมีเพื่อนรัก ถ้าฝึกดนตรีเล่นกีฬาเป็นประจำก็จะเล่นได้เก่ง แต่โตขึ้นมาหน่อย โลกเฟียตพาบิดไปเรื่องเดียว " ตั้งใจทำงานนะลูก โตมาจะได้มีเงินเก็บเยอะๆ รวยๆ " เอ่าเวนกำ โตมาแต่เด็ก ตั้งใจทำอะไรก็ได้ผลตอบแทนตามคาด แต่ทำไมพอมาวัยทำงานแล้ว ทำเท่าไหร่ ทำไม ััเก็บเท่าไหร่ มันไม่พอใช้สักทีฟระ ! จำได้ไหมครับ ถ้าเด็กที่เกิดมาแล้วไม่มีคนปลอบ สมองจะผลักไสไปเองว่าเขาไม่มีคุณค่าในสังคม ทีนี้พอโตเป็นผู้ใหญ่วัยทำงานแล้ว ตั้งใจทำงานเท่าไหร่ก็ไล่ไม่ทันเงินเฟ้อ " เอ้า จะทำไปทำไม " ความคิดที่บอกว่า " ทำไปก็เท่าเดิม " มันบ่งบอกถึงความคิดว่าชีวิตไร้ความหมายเริ่มเข้ามาในหัวขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเอาจริง ๆมันเป็นความคิดที่อันตรายมาก ๆ คนที่ทำอะไรได้สำเร็จตามเป้า จะมีแรงขับเคลื่อนในการ productive คุณค่าให้กับสังคม แต่คนที่เชื่อนักหนาว่าทำได้สำเร็จตามเป้าแล้ว แต่ผลตอบแทนแม่งไม่มา จากความคิดที่อยากสร้าง มันจะนำไปสู่การทำลายทุกอย่างซะงั้น ทำลายกฎ ทำลายค่านิยม ทำลายคุณค่าในตัวเอง ทำลายคุณค่าคนอื่น ก็เพราะโลกนี้มันโกหกเขานี่ ว่าถ้าเดินตามโร้ดแมพ " ตั้งใจทำงานนะ จะได้รวย " มันไม่เป็นจริงอะ ระบบเงินเฟียตโกหกเรา คำโกหกมันสร้างความโกลาหลในจิตใจ สิ่งที่คิดในหัว มันขัดกับความเป็นจริง จอร์แดนเรียกว่า " ภวะบิดเบี้ยว " พูดให้เข้าใจอีกนิด คำโกหกคำโต มันจะเป็นอะไรก็ได้ครับ พูดไปเรื่อย พูดเพ้อเจ้อ พูดไม่จริง อาจมีวัตถุประสงค์เพื่อผลประโยชน์ของนักการเมือง หรือเพื่อถนอมน้ำใจ -- คนที่ได้รับคำโกหกนั้น สมองคนเราไม่เคยอยู่นิ่งหรอกครับ เขารับสารมาแล้ว เขาก็จะคิดต่อไปว่าจะใช้ประโญชน์อะไรกับชีวิตดี คิดทั้งวัน วางแผนนู่นนี่นัน คิดไปเรื่อย จิตคิดไปอดีตมั่ง ไปอนาคตมั่ง ในขณะที่ความจริงมันเป็นแค่กำแพง มันตั้งอยู่ของมันเฉย ๆ ความจริงตั้งอยู่บนปัจจุบันอะดิ แต่สิ่งที่ทำร้ายพวกเราทุกคนในระบบเฟียต คือการเชื่อคำโกหกที่หลอกเรามาเป็นปี ๆ -- ยิ่งยึดถือคำโกหกนี้นานเท่าไร สักวัน กำแพงแห่งความจริงที่มันอยู่เฉย ๆ มันก็จะโผล่มาอย่างไม่ทันตั้งตัว มีแต่ตัวเรานั่นแหละที่วิ่งไปกระแทกมันเข้าอย่างจัง แถมอย่างเร็วด้วย ตู้มมมมมม "โอ้ย... เจ็บเหลือเกิน" เด็กน้อยที่เป็นตัวแทนในเรื่องเล่านี้พูดออกมา หลังจากวิ่งเข้ากระทบกำแพงอย่างจัง คำโกหกที่เขาถือมานาน เมื่อเจอกำแพงความจริง ก็น่าจะเจ็บหนักและนานเอาเรื่อง กำแพงความจริงได้บอกกับเขาว่า " มึงจะรวยได้ยังไงวะ ในเมื่อมูลค่าของเงินมึงถูกปล้นทุกวินาที " โอ้ยยย ตายละ พูดเจ็บๆจุกๆแบบนี้มันก็ช้ำใจ นี่คืออีก 1 บทเรียน นอกจากความจริงมันจะอยู่นิ่ง ๆ ที่ปัจจุบันแล้ว มันยัง " โหดร้าย " อีกด้วย ความจริงคือสิ่งที่โหดร้าย ความจริงคือความทุกข์ทั้งนั้น แต่หากพบเห็นความจริงได้แต่แรก เราจะจัดระเบียบได้แต่แรกเช่นกัน ว่าต้องรับมือกับมันอย่างไร ความโหดร้ายของกำแพงความจริงมันเจ็บแน่ แต่มันเจ็บน้อยกว่าการถือคำโกหกที่เชื่อมานานแล้ววิ่งใส่อย่างเต็มแรง ก็อาจจะเหมือนเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปในคู่รัก ถ้าบอกกันแต่แรกว่าไม่ได้รักแล้วตรง ๆ ก็เลิกได้ไม่ยาก แต่ถ้าเลือกโกหกว่ายังรัก นานๆไปพอกำแพงความจริงมันออกมา ก็คงเจ็บปวดน่าดู แม้ความจริงมันไม่น่าฟัง ไม่เมตตา ไม่แคร์ความรู้สึก แต่ความจริงคือสิ่งที่ทำให้เราต้องกลับมามองวิเคราะห์ตัวเอง หากเรายอมรับความจริงได้ ตัวตนเก่าที่เชื่อในคำโกหก ก็คือตัวตนที่ไร้ประโยชน์ในการเดินต่อไปข้างหน้า เราก็ต้องทิ้งมันไป เพื่อเป็นคนที่ดีกว่าเดิม จงมองหาความจริงตลอดเวลา
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 10 months ago
#siamstr เราไม่เก่งพอ จึงไม่เชื่อมั่นตัวเองมากพอว่าจะมีความสุขในวันข้างหน้า เราจึงกอบโกยความสุขระยะสั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ --- เมื่อใช้เวลาไปกับการกอบโกยความสุขระยะสั้น ไร้ซึ่งการเสียสละปัจจุบันเพื่ออนาคต การสะสมความมั่งคั่ง การพัฒนาตัวเอง จึงยากขึ้น ทำให้เราไม่เก่งพอ แล้วลองกลับไปอ่านคำแรก
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 10 months ago
เสื้อกระต่ายสวยจิง #siamstr image
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 10 months ago
ด้วยกฏของแรงดึงดูด ยังไงเราก็จะดึงดูดคนที่เข้าใจเหมือนกัน ดังนั้น ไม่มีประโยชน์ที่จะโยนยาส้มแบบtoxicใส่คนที่เขาไม่ได้อยู่ในคลื่นแรงดึงดูดเดียวกับเรา #siamstr
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 10 months ago
คนที่ถือยาส้มไว้ในปาก ยังไม่กลืนและลิ้มรส มันมีเหตุผลอยู่ เพราะความ "รู้" มันไม่เท่า "รู้ซึ้ง" #siamstr เขาอาจจะเป็นเทรดเดอร์ คนถือshitcoin นักลงทุน or else อะไรก็แล้วแต่ ที่รู้จักแค่ bitcoin ผ่าน ๆ เขารู้แค่ว่า ราคามันเด้งทุกปี ๆ แต่ก็ยังไม่เข้ามาถือยาว ๆ อาจจะถือแปปเดียวแล้วแบบ "เอ้ย เหยด แม่งกลับมาพ้นดอยแล้วโว้ยยยย" แล้วขายทิ้งเอามาแลกเงินที่เสื่อมค่า เพื่อไปสนอง materialism ของตัวเอง นั่นเป็นเพราะเขายัง "ให้เวลา" ยังไม่มากพอ และ "เวลาแม่งช้า" และแน่นอนยิ่งกว่าคือ "ความจริงแม่งช้า" ตัวผมเองก็เลิกนิสัยข้างต้นไปนานแล้ว หลังจาก "รู้" มันทำหน้าที่เป็น stored of value เป็นอย่างดี แต่รู้มันก็แค่รู้.... ปีที่แล้ว ผมใช้ชีวิตเหลวๆเป๋วๆ ( hightime preference มาก ) แต่ยังมี stacksat ลง trezor อยู่ -- แต่ก็เกิดเหตุการณ์ที่ความ hightime-preference ทำให้ผมต้องแงะ trezor ออกมาซื้อของบางอย่าง* แต่ก็เหลือ sat ไว้จำนวนหนึ่ง* จากนั้นชีวิตผมก็เหลวกว่าเดิม กว่าจะเข้าทรงได้ก็ปลายปี 2024 -- วินัยการเงินผมเริ่มกลับมา ผมนึกไงไม่รู้ลองกลับไปเช็ค trezor ละพบว่า เห้ย sat ที่มีอยู่ พอเทียบกับเฟียต มันมี "น้อยกว่าก่อนที่จะถอนไปตอนนั้น" อยู่ไม่มาก วินาทีนั่นคือรู้ซึ้ง เราไม่รู้หรอกว่า อนาคตเราจะอยู่อย่างลำบากมากน้อยแค่ไหนในเงินที่เฟ้อเรื่อยๆ แต่เราได้เห็นทางรอด โดยการการเช็ค trezor ในวันนั้น มันทำให้เรารู้ซึ้งถึง stored of value จริงๆ ผ่านมือเราเอง ที่ stacksat เอง และให้เวลา พิสูจน์ เราได้สัมผัสทางรอดได้ด้วยตัวเราเอง ต่อให้จะอ่าน rightshift ทุกบทความ ดูจารย์ตั๊มครบ1000คลิป แน่นอน มันทำให้เรามีความรู้ แต่การ stacksat (ลงมือทำ) และให้เวลาพาพิสูจน์ทำให้เรารู้ซึ้งจริง ๆ ผมซึ้งมากจนกระทั่งว่า ความตั้งใจในการอยากรีบทำงาน รีบหาเงิน มันกลับมา bitcoin ทำให้ชีวิตคนกลับมามีความหมายอีกครั้ง ทำให้มีชีวิตชีวาอีกครั้ง ไม่สำคัญว่า sat ที่ผมเหลือ เมื่อเทียบกับเฟียตมันจะเป็นเท่าไร xxx sat ในปีที่แล้ว ≠ xxx usd ในปีที่แล้ว xxx sat ในปีที่แล้ว ≠ xxx usd ในปีนี้ xxx sat = xxx sat 1 btc = 1 btc #เวลามีค่าศึกษาบิทคอยน์
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 10 months ago
#siamstr เปิด zap แล้วนะครับ ไม่แน่ใจว่าเปิดเสร็จสมบูรณ์แล้วไหม ถ้าใครอยาก zap ย้อนหลัง ลองดูนะคับ ขอบคุณคับ🥹🙇🏻🙇🏻🙇🏻
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 10 months ago
บางวันเดินในมธ.แล้วเห็นคนใส่เสื้อไรท์ชิฟ ก็สะดุ้งอยู่ #siamstr
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 11 months ago
นรกคือการไม่รู้จัก btc หรือเปล่านะ #siamstr
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 11 months ago
#siamstr เวลาอยู่กับคนรอบข้างที่โคตรใช้ชีวิตแบบจะ hightime-preference จะรู้สึก งง ๆ ผสมเหนื่อย ชัดสุดคือช่วงสอบ บางเลคเชอร์บางความรู้คือมันต้องผ่านการปูพื้นฐาน "ในหลายๆเรื่อง" และ " ใช้เวลา" เพื่อมาอินทริเกรตมาเป็นความรู้เพื่อประยุกต์ใช้สอบ จะให้มาติวแปป ๆ ก่อนสอบ ใครจะช่วยเอ็งได้...
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 11 months ago
เพจหมอบางคนพูดเรื่องไอเอฟเกือบตาย สุดท้ายไปโฆษณาให้คลินิกดูดแฟท เห้อ #siamstr
SutjaD's avatar
SutjaD_eiei 0 years ago
คุณตั๋ง @Tungkukk🇹🇭 ซื้อ 12 กฎให้ผมอ่านฟรี ๆ พอผมอ่านภึงกฎที่ 2 ทำให้ผมต้องรีบเขียนโพสต์ลง Nostr ผมไม่รู้ว่าพูดถูกแค่ไหน ผมพูดตามความเข้าใจ และอาจเรียบเรียงได้ไม่ดี เพราะตื่นเต้น กฎข้อ 2 เปิดมากับคำถามที่ชวนคิด เคยสงสัยมั้ยว่า ทำไมเวลาสัตว์เลี้ยงเราป่วย เราจึงคอยดูแลมันดีจัง หรือลองมองย้อนเวลาที่เราป่วย พ่อแม่จึงคอยดูแลเราอย่างดี มันไม่ใช่แค่ความเป็นห่วงใยหรือกลัวภาวะแทรกซ้อนจากการป่วยที่อาจทำให้ถึงตาย แต่เรื่องนี้ได้ถูกอธิบายไว้อย่างลับ ๆ ในไบเบิล บทว่าด้วยปฐมกาล ในตอนแรกพระเจ้าได้สร้างอดัมและเอวาขึ้นมาในสภาพที่เปลือยเปล่า จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่เราได้รู้กันคือ พระเจ้าได้สั่งห้ามกินแอปเปิ้ลในสวนเอเดน -- และเอวา ก็ได้โดนซาตานในร่างงูหลอกล่อให้ทานผลแอปเปิ้ลผลนั้น --- ที่เอวาทำ ไม่ใช่แค่ผิดกฎที่พระเจ้าได้ตั้งขึ้น แต่เพราะแอปเปิ้ลนั้นเอง เป็นแอปเปิ้ลแถมสกิลพิเศษ สกิลที่ว่าคือได้ทำให้มนุษย์ได้เห็น ---ความดีความชั่ว--- เกิดขึ้นในสายตามนุษย์เป็นครั้งแรก เพราะสิ่งแรกหลังจากที่ทานแอปเปิ้ลไป อดัมและเอวาได้หยิบผ้าเตี่ยวขึ้นมาปิดบังร่างกายที่มิดชิดของตัวเอง ---การละอายต่อร่างกายตัวเองที่เปลือยเปล่า คือการยืนยันว่ามนุษย์ได้รับรู้ความดีความชั่ว ( เพราะการเปลือยคือสิ่งชั่วที่น่าละอาย ) แต่ต้องเน้นย้ำว่า มนุษย์ได้รับรู้ความดีความชั่ว *****ในตัวเอง****อย่างชัดเจน**** มากกว่ารับรู้ความดีชั่วจองคนอื่น ****--- แต่ก็จะมีจุดร่วมอยู่บ้าง หนังสือยกตัวอย่างดังนี้ สังเกตได้จากการทำโทษในสังคมเพื่อนเน้นให้เกิดความรู้สึกละอาย หรือแม้แต่โทษประหาร ที่อุตส่าสรรสร้างเครื่องนั่งเก้าอี้ไฟฟ้าเพื่อความทรมานอย่างสาสม --- เวลาสัตว์อื่นในโลกนี้ต้องแข่งขันกัน อย่างมากคือการสู้กันจนถึงตาย ไม่มีเวลามานั่งคิดอย่างโรคจิตว่าจะต้องทรมานอย่างไรให้หนักหนาที่สุด --- มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่ทำแบบนี้ สาเหตุอย่างที่ย้ำๆ ไว้ คือมนุษย์ได้รับสกิล***การรับรู้ความดีชั่ว*** จากแอปเปิ้ลลูกนั้น กลับมาที่คำถามของเรา ทำไมถึงดูแลคนอื่นดีกว่าตัวเอง เพราะมนุษย์ที่***รับรู้ความดีชั่ว**** ---เราจะรู้ความดีชั่วของใครได้ดีที่สุด ? ก็แน่นอนว่าเราจะรู้ความดีชั่วของ/ตัวเอง/ ******มันทำให้เรามองตัวเองต่ำไปโดยปริยาย***** --->ส่งผลให้เรามีความคิดที่ลงโทษตัวเองโดยไม่รู้ตัว ว่า **เราไม่ควรได้รับสิ่งดีๆ* --- ความคิดนี้เป็นดังกำแพงที่ตั้งขวางการกระทำของตัวเราไว้ ** จนทำให้เราไม่ขวนขวายที่จะดูแลชีวิตของตัวเองมากพอ !!!!!!!----- นอกจากนี้ ยังมีผลจาก //ค่านิยมที่ต้องทำประโยชน์ส่วนรวม// และการเข้าใจผิดในคำสอนสุดดังในศาสนาคริสต์ ว่าด้วย "" Golden Rule " ประโยคที่ใครๆต่างก็รู้จัก ที่ว่า " จงรักเพื่อนบ้านของท่านเหมือนกับที่ท่านดูแลท่านเอง " ---- ประโยคที่โด่งดังนี้ ไม่ได้ผิดเลย แต่คนส่วนใหญ่มักจะ **รักแค่เพื่อนบ้านของท่าน** --- ***จนลืมที่จะดูแลตัวท่านเอง !!!** ( หนังสือบอกว่าแนวคิดนี้ค่อนข้างหยั่งรากลึกในยุโรป ) ดังนั้นวัตถุประสงค์ของ กฎ ข้อ 2 ในหนังสือเล่มนี้ คือการหักเหความรับรู้ในความดีความชั่วของคนเรา ที่ตอนนี้มันเอียงไปที่การมองต่ำตัวเองว่าชั่วเกินที่จะได้รับสิ่งดี ๆ ----> กลายมาเป็นการมองว่าเรามีความดีในตัวของเราเอง และเราก็สมควรได้รับสิ่งดี ๆ ---- โดยเริ่มจากการกระทำดีและเป็นประโยชน์ที่เราสามารถทำได้***กับตัวเราเองก่อน*** ---- เมื่อเราทำทำดีกับตัวเราเองได้มากพอแล้ว มันไม่ใช่แค่ว่าเราแค่ส่งต่อความดีให้กับคนอื่นในสังคม ***แต่มันยังเป็นการตอกย้ำความรู้สึกผิดบาปลึกๆที่ส่งทอดต่อกันมาตั้งแต่มนุษย์คู่แรกบนโลก ความรู้สึกผิดบาปที่เราได้มองกดตัวเราเองไว้ เราได้นำมันออกมา นำความเจ็บความชั่วที่เราละอายต่อบาป จากการที่เรามองกดตัวเองมาโดยตลอด แปรเปลี่ยนเป็นสิ่งที่จะทำให้เกิดประโยชน์มากขึ้น ทั้งตัวเรา และสังคม ---นั่นแหละการรับรู้ความชั่ว มีประโยชน์ตรงนี้ พระเจ้าสร้างมาเพื่อให้มนุษย์รับรู้ว่าจะนำความรู้สึกละอายที่เกิดขึ้น หันขาตัวเองไปทางไหน ? -- เมื่อนั้นเอง ความหมายในการดำรงอยู่ของคุณ ก็ได้เริ่มต้นขึ้น แค่เราเริ่มทำดีกับตัวเอง ;)