มารอฟังพี่ ๆ Right Shift อ.ต๊ำ และโค้ชหนุ่ม ในธีมงาน Exit The Rat Race ยังไงล่ะสหาย !!! ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
พ่อมดคริปโต
npub1l8dv...g6c8
สวัสดีสหาย ! ข้าชื่อ ชับบี้ เจ้าของเพจ พ่อมดคริปโต แต่เนื่องจากตอนนี้อยู่ใน Nostr ก็จะออกแนวพ่อมดบิทคอยน์แทน55555 😂
มารอฟังพี่ ๆ Right Shift อ.ต๊ำ และโค้ชหนุ่ม ในธีมงาน Exit The Rat Race ยังไงล่ะสหาย !!! ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstrบางเรื่องศึกษาก่อนก็ได้ โวะ
จะได้ไปถกกันหัวข้ออื่น.. 🤣
#Bitcoin #BTC #พ่อมดคริปโต #siamstr


วันนี้เมื่อ 12 ปีที่แล้ว เครือข่าย #Bitcoin ที่ขึ้นชื่อว่าแทรกแซงไม่ได้ เคยถูกบังคับย้อนถอยหลังกลับไป 24 บล็อก !!! 🫨
.
วันที่ 12 มีนาคม ปี 2013 ซอฟต์แวร์ลูกข่าย (reference client software) ของ Bitcoin เคยเกิด "บั๊ก" (bug) ขึ้น จนก่อปัญหาให้ซอฟต์แวร์เวอร์ชัน 0.7 และ 0.8 มีการบันทึกธุรกรรมไม่เหมือนกัน !!! 😱
.
เอาล่ะสิ... สองเวอร์ชั่นบันทึกธุรกรรมต่างกันแบบนี้ ตัวเครือข่ายบล็อกเชนก็เลยเกิดการ “Fork” แยกออกจากกันเป็น 2 เชน เป็นเรื่องเลยทีนี้...
.
เหตุเนื่องมาจากซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นที่ใหม่กว่า มันดันไปปลดล็อคข้อจำกัดบางอย่างที่เวอร์ชั่นเก่าเคยมีปัญหา (เวอร์ชั่น 0.7 ใช้ BerkleyDB ซึ่งมีข้อจำกัดอยู่ที่ 10,000 lock ในขณะที่เวอร์ชั่น 0.8 เปลี่ยนมาใช้ LevelDB ซึ่งไม่ติดข้อจำกัดนี้) ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เครื่องขุดที่ใช้ซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นใหม่กว่าดันสามารถสร้าง Block ที่ Node เวอร์ชั่นเก่าไม่สามารถตรวจสอบและบันทึกได้ กลายเป็นการแยกเชนกันโดยไม่ได้ตั้งใจ 😲
.
👉 ด้วยปัญหาตอนนั้น ชุมชน Bitcoin จึงต้องเร่งแก้ปัญหากัน (ใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่) โดยเหล่านักขุดต้องพากันย้อนกลับมาใช้เวอร์ชั่น 0.7 และย้อนกลับไป 24 บล็อก เพื่อไปเริ่มขุดกันมาใหม่ตั้งแต่บล็อกนั้น เพื่อไม่ทำให้เกิดการแยกเชน 🙏
.
นักพัฒนาซอฟต์แวร์ Bitcoin Core (ซอฟต์แวร์ที่ชาว Bitcoin ส่วนใหญ่ใช้กัน) ก็ได้มีการออกมาปรับปรุงและออกเวอร์ชั่น 0.7.2 และ 0.8.1 เพื่อให้ทั้งสองเวอร์ชั่นทำงานร่วมกันได้โดยไม่เกิดการแยกเชนอีก 📡
.
📝 สำหรับสหายที่อ่านเรื่องนี้แล้วช็อคอยู่ ใจเย็น ๆ ไม่ต้องกังวลไป เพราะช่วงนั้นนับว่าเป็น "ช่วงหัดเดิน" ของ Bitcoin การจะหกล้มบ้างขณะหัดเดินเป็นเรื่องธรรมดา แต่ในวันนี้ที่เครือข่าย Bitcoin มันพร้อมออกสู่โลกกว้าง และดำเนินมาได้ถึง 10 กว่าปีแบบนี้ แสดงให้เห็นว่ามันได้เติบโตจนไม่น่ากังวลแล้ว พูดง่าย ๆ คือมันเลยช่วงปรับปรุงและพัฒนามาไกลมากแล้ว
.
📝 และสำหรับบางคนที่กังวลเรื่องการเปลี่ยนแปลงย้อนเวลาในคราอดีตนั้น จะบอกว่าใจเย็นสหาย ตอนนั้นเครือข่ายมันยังเล็กมาก เด็กหัดเดินยังไงก็ต้องมีผู้ปกครองและคุณครูร่วมกันช่วยดูแลเป็นเรื่องปกติ แต่ในยุคที่มีเครื่องขุดและ Node กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลกขนาดนี้ แทบจะเป็นไปไม่ได้แล้วที่จู่ ๆ ใครจะไปสั่งการเปลี่ยนแปลงมัน ดังนั้นก็สบายใจกันได้ !!!
.
อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ในอดีตครั้งนั้นก็ถึงขั้นต้องถูกจารึกลงในประวัติศาสตร์ของ #BTC จนมีการตั้งทุกวันที่ 12 มีนาคม ของทุกปี ให้เป็นวัน "24 Block Rollback Day" หรือ "วันย้อนกลับ 24 บล็อก" บนปฏิทินของเหล่าสาวก Bitcoin กันมาจนถึงทุกวันนี้นั่นเอง ว๊าฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
แต่บ้านต้องมีเพดาน ไม่งั้นฝนเข้า 🤣
#Bitcoin #BTC #พ่อมดคริปโต"ผมไม่ใช่ Dorian Nakamoto" ผู้สร้าง #Bitcoin เคลื่อนไหวครั้งสุดท้ายเพื่อปกป้องคุณลุง ✍️
คงรู้เนอะสหาย... ว่าตัวตนของผู้สร้าง Bitcoin อย่าง Satoshi Nakamoto ได้หายไปจากโลกนานมากแล้ว แต่รู้ไหมว่าอะไรคือข้อความสุดท้ายก่อนแกจะหายไปถาวร ? 🤔
เรื่องมันเริ่มจากคุณลุงโชคร้ายคนนี้ เพราะเมื่อราว 11 ปีก่อน เขาเคยโดนผู้คนมากมายเข้าใจผิดว่าเป็น Satoshi Nakamoto ผู้สร้าง Bitcoin ‼
แต่จะไม่ให้เข้าใจผิดได้ยังง๊ายย ก็ลุงแกดันชื่อ "Dorian Satoshi Nakamoto" ชื่อกลางกับนามสกุลตรงเป๊ะซะขนาดนั้น 🤣
ความซวยของลุงแกคือโดนนิตยสารกระแสหลักของสหรัฐ "Newsweek" ดันตีพิมพ์ชื่อลุงแกลงในรายชื่อผู้ต้องสงสัยว่าอาจจะเป็น Satoshi Nakamoto ตัวจริง !!!
ก็ดันมีนักข่าวหญิงที่ทำงานอยู่ในเครือนิตยสารนี้ ไปตามสอดแนมลุงแกแล้วฟันธงว่าใช่ชัวร์ ๆ น่ะสิสหาย... 👀
นักข่าวหญิงเคลมว่า Satoshi Nakamoto กับ Hal Finney เคยติดต่อกันแล้วเผลอทำเรื่องพลาดจนเป็นเหตุให้ทิ้งร่องรอย IP ไว้ แล้วเลข IP ที่ว่าดันอยู่แถวลอสแองเจลิส และลุงแกก็อยู่แถวลอสแองเจลิสพอดี !! บังเอิญมาก !!! 💻
เรื่องนี้จุดประกายให้ลุงแกถูกสัมภาษณ์ไม่เว้นวัน จนหลายคนเริ่มตั้งข้อสงสัยกันเองต่าง ๆ นานา เช่น วุฒิการศึกษา สาขาที่จบ ประวัติส่วนตัว หรือแม้แต่ทักษะในการพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง อะไรก็โดนจับโยงกันได้หมดจุดนี้ เพราะหลายคนดันเชื่อไปแล้วว่าลุงแกคือคนสร้าง #BTC จริง ๆ 55555 😅
นับวันเรื่องยิ่งบานปลายเลยเถิดจนลุงแกมีภาวะเครียดหนักมาก คนในครอบครัวต้องพากันมาออกสื่อขอร้องให้หยุดยุ่งกับลุงแก ไม่งั้นจะเริ่มฟ้องทนายแล้ว...
ชื่อของคุณลุงได้ถูกถอดออกจากรายชื่อผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็น Satoshi Nakamoto นานแล้ว ทำให้ลุงแกเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ตั้งแต่นั้นมา แต่สิ่งที่คงไม่มีวันลบออกไปได้ คงเป็นหน้าของคุณลุงแก ที่กลายเป็นมีมไวรัลซึ่งผู้คนคงจะไม่หยุดแชร์กันง่าย ๆ แน่ (ข้าก็ขออนุญาตแชร์อีกสักครั้ง ให้เข้าใจว่าคือลุงคนในภาพนะ ขอโทษนะลุงงง) 🙏
ด้วยเหตุการณ์นี้ บัญชีของผู้สร้าง Bitcoin ตัวจริง จึงได้ออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้เคลื่อนไหวมาเป็นเวลากว่า "5 ปี" โดยเขาได้โพสต์ลงเว็บไซต์ P2P Foundation ว่า "ผมไม่ใช่ Dorian Nakamoto" และข้อความนี้ก็ได้กลายเป็นข้อความสาธารณะครั้งสุดท้ายที่มีคนเห็น Satoshi Nakamoto โพสต์ ก่อนที่เขาจะหายไปตลอดกาลมาจนถึงวันนี้
และวันนี้ก็ครบรอบ 11 ปีแด่ข้อความสุดท้ายของ Satoshi Nakamoto ที่ต้องกลับมาเคลื่อนไหวในรอบ 5 ปีเพื่อช่วยคุณลุงผู้โชคร้ายเอาไว้ จึงถูกตั้งชื่อว่า... วัน "I am not Dorian Nakamoto" ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
คงรู้เนอะสหาย... ว่าตัวตนของผู้สร้าง Bitcoin อย่าง Satoshi Nakamoto ได้หายไปจากโลกนานมากแล้ว แต่รู้ไหมว่าอะไรคือข้อความสุดท้ายก่อนแกจะหายไปถาวร ? 🤔
เรื่องมันเริ่มจากคุณลุงโชคร้ายคนนี้ เพราะเมื่อราว 11 ปีก่อน เขาเคยโดนผู้คนมากมายเข้าใจผิดว่าเป็น Satoshi Nakamoto ผู้สร้าง Bitcoin ‼
แต่จะไม่ให้เข้าใจผิดได้ยังง๊ายย ก็ลุงแกดันชื่อ "Dorian Satoshi Nakamoto" ชื่อกลางกับนามสกุลตรงเป๊ะซะขนาดนั้น 🤣
ความซวยของลุงแกคือโดนนิตยสารกระแสหลักของสหรัฐ "Newsweek" ดันตีพิมพ์ชื่อลุงแกลงในรายชื่อผู้ต้องสงสัยว่าอาจจะเป็น Satoshi Nakamoto ตัวจริง !!!
ก็ดันมีนักข่าวหญิงที่ทำงานอยู่ในเครือนิตยสารนี้ ไปตามสอดแนมลุงแกแล้วฟันธงว่าใช่ชัวร์ ๆ น่ะสิสหาย... 👀
นักข่าวหญิงเคลมว่า Satoshi Nakamoto กับ Hal Finney เคยติดต่อกันแล้วเผลอทำเรื่องพลาดจนเป็นเหตุให้ทิ้งร่องรอย IP ไว้ แล้วเลข IP ที่ว่าดันอยู่แถวลอสแองเจลิส และลุงแกก็อยู่แถวลอสแองเจลิสพอดี !! บังเอิญมาก !!! 💻
เรื่องนี้จุดประกายให้ลุงแกถูกสัมภาษณ์ไม่เว้นวัน จนหลายคนเริ่มตั้งข้อสงสัยกันเองต่าง ๆ นานา เช่น วุฒิการศึกษา สาขาที่จบ ประวัติส่วนตัว หรือแม้แต่ทักษะในการพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง อะไรก็โดนจับโยงกันได้หมดจุดนี้ เพราะหลายคนดันเชื่อไปแล้วว่าลุงแกคือคนสร้าง #BTC จริง ๆ 55555 😅
นับวันเรื่องยิ่งบานปลายเลยเถิดจนลุงแกมีภาวะเครียดหนักมาก คนในครอบครัวต้องพากันมาออกสื่อขอร้องให้หยุดยุ่งกับลุงแก ไม่งั้นจะเริ่มฟ้องทนายแล้ว...
ชื่อของคุณลุงได้ถูกถอดออกจากรายชื่อผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็น Satoshi Nakamoto นานแล้ว ทำให้ลุงแกเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ตั้งแต่นั้นมา แต่สิ่งที่คงไม่มีวันลบออกไปได้ คงเป็นหน้าของคุณลุงแก ที่กลายเป็นมีมไวรัลซึ่งผู้คนคงจะไม่หยุดแชร์กันง่าย ๆ แน่ (ข้าก็ขออนุญาตแชร์อีกสักครั้ง ให้เข้าใจว่าคือลุงคนในภาพนะ ขอโทษนะลุงงง) 🙏
ด้วยเหตุการณ์นี้ บัญชีของผู้สร้าง Bitcoin ตัวจริง จึงได้ออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้เคลื่อนไหวมาเป็นเวลากว่า "5 ปี" โดยเขาได้โพสต์ลงเว็บไซต์ P2P Foundation ว่า "ผมไม่ใช่ Dorian Nakamoto" และข้อความนี้ก็ได้กลายเป็นข้อความสาธารณะครั้งสุดท้ายที่มีคนเห็น Satoshi Nakamoto โพสต์ ก่อนที่เขาจะหายไปตลอดกาลมาจนถึงวันนี้
และวันนี้ก็ครบรอบ 11 ปีแด่ข้อความสุดท้ายของ Satoshi Nakamoto ที่ต้องกลับมาเคลื่อนไหวในรอบ 5 ปีเพื่อช่วยคุณลุงผู้โชคร้ายเอาไว้ จึงถูกตั้งชื่อว่า... วัน "I am not Dorian Nakamoto" ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
#พ่อมดคริปโต #siamstr
ถ้าไม่มีอินเทอร์เน็ต... #Bitcoin ทำงานยังไง ?
EP.2 วิทยุคลื่นสั้น (Shortwave radio) 📻
🗒 คำเตือน: ข้อมูลทั้งหมดในโพสต์นี้ เรียบเรียงขึ้นมาจากการค้นคว้าข้อมูลภาคทฤษฎีด้วยตัวเอง ตัวผู้เขียนยังไม่เคยทดสอบทำภาคปฏิบัติจริง ๆ สักครั้งเลย ดังนั้นใช้วิจารณญาณไตร่ตรองข้อมูลกันด้วยนะสหาย หรือใครที่อยากเสริมหรือให้ปรับปรุงข้อมูลส่วนใดก็สามารถชี้แนะกันได้เลย
การทำธุรกรรมบนเครือข่าย Bitcoin ผ่านวิทยุคลื่นสั้นมันน่าตื่นเต้นตรงไหนรู้ไหมสหาย ? มันช่วยให้เราโอนและรับ #BTC กันได้ แม้ในพื้นที่ที่ขาดการเชื่อมต่อจากอินเทอร์เน็ตเฉย ๆ ... ไปจนถึงกรณีที่โลกเราจะไร้อินเทอร์เน็ตตลอดไปเลยด้วยนะ !!! แต่ก็เป็นแค่ภาคทฤษฎีว่าน่าจะทำได้เฉย ๆ นะสหาย แถมมันก็ต้องอาศัยซอฟต์แวร์เฉพาะทางและความรู้ความเชี่ยวชาญจากทั้งทางผู้รับและผู้ส่งด้วย ไม่สิ... จากคนทั้งเครือข่ายเลยต่างหากในบางกรณี 👏
เอาจริงนะ... วิทยุคลื่นสั้น หรือ Shortwave radio นับเป็นสื่อกลางในการใช้ติดต่อสื่อสารกัน "อันแรกของโลก" เลยก็ว่าได้ (ถ้าพูดในแง่การสื่อสารติดต่อกันข้ามพรหมแดนหรือทั่วโลก) มันเคยถูกใช้งานกันมาก่อนจะมีอินเทอร์เน็ตเสียอีก แถมเข้าถึงทุกคนด้วยนะ ขอแค่มีตัวรับสัญญาณและปรับคลื่นให้ตรงก็พอ 🌐
📌 สรุปขั้นตอนการทำงานแบบคร่าว ๆ:
ฝั่งคนโอนจะใช้ซอฟต์แวร์เพื่อทำการเข้ารหัส (encode) ข้อมูลธุกรรม ➡ ชุดข้อมูลธุรกรรมเหล่านั้นจะสามารถส่งผ่านสัญญาณวิทยุคลื่นสั้นได้ ➡ ผู้รับซึ่งมีอุปกรณ์ที่ใช้รับสัญญาณและถอดรหัสข้อมูลชุดดังกล่าว (decode) จะสามารถอ่านและส่งชุดธุรกรรมนั้นไปยังเครือข่าย Bitcoin ได้ ✅
📌 ซอฟต์แวร์ที่ใช้ทำธุรกรรมออฟไลน์
ตัวอย่างก็เช่น... ฟีเจอร์ PonyDirect ของกระเป๋า Samourai Wallet ที่ไม่เพียงจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถส่งธุรกรรม Bitcoin ผ่านสัญญาณวิทยุคลื่นสั้นได้เท่านั้น แต่ยังรองรับช่องทางอื่น ๆ และวิธีการอื่น ๆ อีกหลายวิธีในการทำธุรกรรมแบบออฟไลน์อีกด้วย จุดประสงค์หลักของฟีเจอร์ก็เพื่อความเป็นส่วนตัวและต่อต้านการกีดกั้นในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงอยากช่วยให้ผู้ที่ไม่ได้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตโดยตรงสามารถเข้าถึงการทำธุรกรรม Bitcoin ได้อีกด้วย 📶
📌 ตัวรับ/ส่งสัญญาณและเสาอากาศ
ไม่ต้องกลัวจะแพงหรือเข้าถึงยาก มันคือของที่คนทั่วไปก็สามารถเข้าถึงได้ หลายคนก็แอบซื้ออุปกรณ์มาเล่นเป็นงานอดิเรกด้วยซ้ำ แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีแบบราคาสูง ๆ ที่ในระดับองค์กรหรือระดับประเทศเขาใช้กัน ระยะใกล้และไกลก็จะแตกต่างกันออกไป มีแพงและจริงจังถึงขั้นรับหรือส่งสัญญาณกันได้ไกลมาก ไปจนถึงราคาประหยัดที่ใช้กันแค่ในระยะใกล้เคียงก็มี หลายคนก็คงเคยผ่านยุคใช้งานมาด้วยซ้ำ ใครเคยคือไม่เด็กแล้วนะ555555 ถ้าถามว่าจะย้อนกลับไปใช้มันทำไมอีก ก็คือเอาไปใช้สำหรับรับและส่งข้อมูลธุรกรรมกันผ่านทางสัญญาณวิทยุคลื่นสั้น 📡
📌 คอมพิวเตอร์
ผู้รับและผู้ส่งควรมีไว้สักเครื่อง เพื่อใช้เข้ารหัสและถอดรหัสกันไปมานั่นเอง 💻
🌍 กรณีที่โลกยังมีอินเทอร์เน็ต...
เข้าใจว่าบางพื้นที่อาจเข้าไม่ถึงอินเทอร์เน็ต จึงจำเป็นจะต้องเลือกใช้งานวิธีนี้ หลักการก็แค่ส่งสัญญาณวิทยุคลื่นสั้นและให้ผู้รับสัญญาณคอยทำหน้าที่กระซิบต่อกันไปเรื่อง ๆ จนไปถึง Node ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอยู่ แค่นั้นก็หมดปัญหา และแน่นอนว่า Node ดังกล่าวก็ต้องมีตัวรับสัญญาณเช่นกัน
🌍 กรณีที่โลกขาดอินเทอร์เน็ตชั่วคราว
กรณีนี้ก็แค่กระซิบต่อกันไปเรื่อย ๆ ก่อน จนกว่าอินเทอร์เน็ตจะกลับมา และทุกอย่างก็อาจเข้าสู่สภาวะปกติ อย่างน้อยการรับข้อมูลจากดาวเทียม อย่าง Blockstream (ที่โพสต์ไปรอบก่อน) ก็เป็นอีกวิธีที่ดีในการคอยให้ Node ของเราได้รับการอัพเดทข้อมูลเครือข่าย Bitcoin เรื่อย ๆ แบบฟรี ๆ ระหว่างโลกอยู่ภายใต้ระบบวิทยุคลื่นสั้นชั่วคราว สามารถนำมาประกอบกันได้
🌍 กรณีที่โลกขาดอินเทอร์เน็ตตลอดไป
หากเรามีการอัพเดทข้อมูลของ Node ให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ... หรืออาจจะใช้ดาวเทียมที่พึ่งพูดไปเป็นทางเลือกในการอัพเดทข้อมูลเครือข่ายก็ได้ จากนั้นก็แค่ใช้ระบบกระซิบต่อกันไปเรื่อย ๆ เหมือนที่เคยทำ เพียงแต่เราไม่ได้ส่งต่อข้อมูลกันผ่านอินเทอร์เน็ต แต่เหล่าเครื่องขุดและ Node พากันมาส่งข้อมูลกระจายกันผ่านสัญญาณวิทยุคลื่นสั้นทั้งหมดก็พอ (ทุกคนต้องติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่กล่าวไปทั้งหมดเพื่อให้เกิดภาพนั้น) เครือข่าย Bitcoinจะดำเนินต่อไปภายใต้สัญญาณวิทยุคลื่นสั้นแทน !!!
❌ อุปสรรค:
การดำเนินต่าง ๆ อาจจะเชื่องช้าลง ไม่ไวเท่าตอนใช้อินเทอร์เน็ต แถมแลดูจะใช้งานได้ยากขึ้นในชีวิตประจำวันด้วย แน่นอนว่าการจะให้ทุกคนมาติดเครื่องรับส่งสัญญาณวิทยุมันก็อาจจะฟังดูตลก แต่มันก็อาจเป็นสิ่งจำเป็นของทุกครัวเรือนไปแล้วถ้าโลกไร้อินเทอร์เน็ตจริง และอย่างน้อยมันก็เป็นวิธีที่เป็นไปได้อีกหนึ่งวิธีที่ Bitcoin จะดำเนินต่อไปเช่นนี้ในโลกทื่ไร้อินเทอร์เน็ตตลอดกาล (ตอบโจทย์สมใจคนที่คอยเฝ้าแต่จะถามเรื่องนี้เพื่อเอาชนะบิทคอยน์55555)
แน่นอนว่า EP ต่อไปจะตามมาอีก ใครชอบซีรีส์นี้ก็รอติดตามกันยาว ๆ ได้เลยสหาย แต่สิ่งที่อยากทิ้งท้ายของโพส์นี้คือ... ถ้าอินเทอร์เน็ตหาย ฉิบหายกันทั่วโลกนะ ระบบธนาคารแบบดั้งเดิมก็ไม่เหลือเหมือนกัน ดังนั้นแทนที่จะมาห่วง Bitcoin ไปห่วงอย่างอื่นที่น่ากลัวกว่านี้ไหม ห่วงชีวิตและความปลอดภัยของตัวเองก่อนอันดับแรกเลย จะมาถามหาการใช้งานโดยไร้อินเทอร์เน็ตอะไรแค่กับ BTC อย่างเดียวเนี่ย ไอบ้า !!! ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
วันนี้ เมื่อ 8 ปีก่อน เราเคยเฉลิมฉลอง "วัน #Bitcoin เทียบเท่าทองคำ 1 ออนซ์" แต่ดูวันนี้สิ 🥳
วันที่ 3 มีนาคม 2017 คือวันที่ถูกตั้งชื่อว่า "Gold Parity Day" (วันเทียบเท่าทองคำ) เพราะมันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่ราคา 1 #BTC มีมูลค่าเทียบเท่ากับ "ทองคำ 1 ออนซ์" หลายคนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้จริงในยุคนั้น !!! ทำเอาชาว Bitcoin ดีอกดีใจกันถ้วนหน้า 🎉
แต่หลังจากเทศกาลนี้ถูกฉลองมายาวนานถึง 8 ปี มาดูตอนนี้สิสหาย... Bitcoin เดินทางมาไกลมาก ๆ ซึ่งเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา 1 BTC มีค่าทะลุ "แซงทองคำ 1 กิโลฯ" ไปแล้วด้วยซ้ำ !!! 🚀
ในตอนนั้น 1 BTC ราคา 88,000 ในขณะที่ "ทองคำ หนัก 1 กก." อยู่ที่ $83,556.17 โดยประมาณ นับว่าเราเคยผ่านจุดที่ Bitcoin เคยแซงทองคำ 1 กก. มาแล้วอย่างเป็นทางการ แม้ตอนนี้ทอง 1 กก. จะพุ่งไป $91,884.58 ในขณะที่ 1 Bitcoin ยังอยู่แถว $85,000-$86,000 ก็ตาม ⚖️
ยังไงราคาทองคำจะคงที่ไว้ได้นานแค่ไหน หรือราคา Bitcoin จะลงหรือขึ้นต่อมากกว่านี้อีกไหม จะกลับมามีการพลิกแซงกันเกิดขึ้นอีกครั้งหรือเปล่า... ต้องรอติดตามกันต่อไปสหาย แต่สำหรับวันนี้ สุขสันต์วัน Gold Parity Day นะ !!! ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
รูปปั้นนี้อาจน่าเลื่อมใสกว่าคนจริง ๆ 🙏
เหตุผลง่ายมากเลยสหาย ก็แค่... !!! 💖
น่าจะทราบกันดี ว่ารูปปั้นนี้เป็นรูปปั้นของ "ซาโตชิ นากาโมโตะ" ผู้สร้าง #Bitcoin นั่นเอง ซึ่งจะบอกว่ารูปปั้นนี้เป็นตัวแทนของพี่แกก็ได้อยู่แหละ หรือความจริงแล้วทุกรูปปั้นไหน ๆ ก็เป็นได้ทั้งนั้น เพราะตัวตนที่เรียกว่า "ซาโตชิ นากาโมโตะ" ไม่ใช่วัตถุ แต่เป็น "แนวคิด" ที่ได้ทิ้งไว้แก่โลกใบนี้ทั้งใบ 🧠
"เราทุกคนคือซาโตชิ" 🍻
แล้วก็ไม่ได้จะบอกนะสหาย ว่าซาโตชิจะน่าเลื่อมใสกว่าใคร ๆ ทุกคนบนโลก แต่ใช้คำว่า "อาจ" เพราะคาดว่าน่าจะน่าเลื่อมใสกว่าใคร ๆ ที่เรานึกถึงไม่น้อยเลยแน่นอน ไม่ใช่ทุกคน แต่น่าจะหลายคน ทั้งที่ไม่ได้มีตัวตนเป็นรูปธรรมแท้ ๆ 👤
เหตุผลที่ซาโตชิช่างน่าเลื่อมใส อย่างแรกคงหนีไม่พ้นการที่เขาได้สร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ อย่าง #BTC ทิ้งเอาไว้ให้แก่มนุษยชาติ แต่เชื่อไหมสหาย... แม้พี่แกจะมีคนนับถือมากมายสักแค่ไหน ชื่อเสียงโด่งดังก้องโลกสักเท่าไร แต่ก็ไม่เคยมีเลยแม้เพียงสักคราเดียว... ที่ซาโตชิจะกระทำสิ่งเหล่านี้ ❌
✊ เขาไม่เคย "ซื้อ, ขาย, หรือใช้จ่าย" BTC ของตัวเองแม้แต่เหรียญเดียว
แน่นอนว่าเคย "โอน" แต่ก็เพื่อทดสอบเครือข่ายหรือทำให้คู่สนทนาเข้าใจกลไกการทำงานของมันเท่านั้น ไม่เคยโอนเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ไม่เคยมีเรื่องของเงิน Fiat มาเกี่ยวข้อง ไม่เคยซื้อ ไม่เคยขาย และไม่เคยใช้จ่ายเพื่อแลกกับสิ่งของและบริการอะไรเลย แม้เพียงสักครั้งเดียว
✊ เขาไม่เคยชี้นำ โปรโมท ทำการตลาด หรือกระทำการใดที่เป็นการ "เอื้อผลประโยชน์" ต่อนักลงทุนสักกลุ่มเดียว ไม่สิ ต้องใช้คำว่า "สักคนเดียว" เลยจึงจะถูก แม้แต่ตัวเขาเองก็ตาม
✊ เขาไม่เคยโกงผู้ที่เข้ามาใช้งานเครือข่ายที่เขาสร้าง เขาไม่เคยหักหลังผู้ที่ศรัทธาในตัวเขา มากกว่านั้นคือเขาไม่เคยเรียกร้องขอความเชื่อใจ เขาใช้ตรรกะของโค้ดเป็นตัวปฏิบัติ ตรรกะที่ตัวเขาเองแม้จะกลับมาในวันนี้... ก็ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงหรือแทรกแซงได้อีกต่อไป
🎁 สิ่งเดียวที่เขาเคยทำ นั่นคือการเขียนโค้ดแบบ Open-source ที่ทุกคนสามารถเข้ามาอ่านและตรวจสอบได้ ทุกบรรทัด ทุกตัวอักษร และได้มอบมันทิ้งไว้ให้แก่มวลมนุษยชาติแบบฟรี ๆ !!! 👏
ทุกวันนี้ แม้ตัวตนของเขาจะไม่อยู่แล้ว (หมายถึงไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวอีกต่อไปแล้ว) แต่แนวคิดที่เขาได้ทิ้งไว้ให้โลกใบนี้ จะยังคงอยู่สืบไป ผ่านผู้คนที่เห็นชอบในอุดมการณ์และพร้อมสานต่อเจตนารมณ์ของเขา ขอบคุณที่ได้สร้าง "เงินที่ดีที่สุด" ให้แก่โลกใบนี้นะ ซาโตชิ นากาโมโตะ ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🌎🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
ยิ่งเวลาผ่านไป... เราจะค้นพบว่า... 🧙♂️
เงินที่ล้นเหลือ ทำให้มีสินทรัพย์ได้ยาก
เงินที่ได้ยาก ทำให้มีสินทรัพย์ล้นเหลือ
#Bitcoin #BTC #พ่อมดคริปโต #siamstr

ถ้าไม่มีอินเทอร์เน็ต... #Bitcoin ทำงานยังไง ?
EP.1 ดาวเทียม (Blockstream) 🛰
🗒 คำเตือน: ข้อมูลทั้งหมดในโพสต์นี้ เรียบเรียงขึ้นมาจากการค้นคว้าข้อมูลภาคทฤษฎีด้วยตัวเอง ตัวผู้เขียนยังไม่เคยทดสอบทำภาคปฏิบัติจริง ๆ สักครั้งเลย ดังนั้นใช้วิจารณญาณไตร่ตรองข้อมูลกันด้วยนะสหาย หรือใครที่อยากเสริมหรือให้ปรับปรุงข้อมูลส่วนใดก็สามารถชี้แนะกันได้เลย
การทำธุรกรรมบนเครือข่าย Bitcoin ผ่านบริการดาวเทียมของ Blockstream ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้ผู้ใช้ โอนและรับ #BTC กันได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ! 👏
ดาวเทียมที่โคจรอยู่รอบโลกของ Blockstream จะช่วยถ่ายทอดข้อมูลทั้งหมดบนบล็อคเชนของ Bitcoin ทำให้ทุกคนที่มีจานรับสัญญาณดาวเทียมสามารถเข้าถึง Bitcoin ได้โดยไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ต ซึ่งจานรับสัญญาณดาวเทียมก็คือเจ้าแผ่นจานที่หลายบ้านเคยติดตั้งไว้ดูทีวีกันนั่นแหละสหาย 📡
ด้วยวิธีนี้ ผู้ใช้งานจึงสามารถส่งธุรกรรมบนเครือข่าย Bitcoin กันได้ โดยอาศัยแค่บริการดาวเทียมจาก Blockstream ผนวกกับอุปกรณ์ออฟไลน์ไม่กี่อย่างเท่านั้นเอง อาจจะดูไม่ค่อยสะดวกเหมือนตอนใช้อินเทอร์เน็ตนะสหาย แต่ในวันที่อินเทอร์เน็ตหายไป วิธีนี้จะยังใช้ได้ผลแน่นอน (ตราบใดที่ไม่มีใครไปสอยดาวเทียมร่วงอะนะ55555) 👍
📌 องค์ประกอบสำคัญ:
- จานดาวเทียม: แผ่นจานสำหรับใช้รับสัญญาณดาวเทียม พร้อม USB SDR ราคาถูก ๆ สักชิ้นหนึ่ง (SDR = Software Defined Radio เป็นอุปกรณ์ที่เอาไว้เสียบกับพอร์ต USB และเสาอากาศเพื่อใช้รับสัญญาณนั่นเอง)
- Blockstream Satellite Software: เป็นซอฟต์แวร์แบบ Open-source ที่เอาไว้ใช้ถอดรหัสสัญญาณดาวเทียมให้กลายเป็นข้อมูลบล็อคเชน
- ตัวส่งสัญญาณธุรกรรม: เรารับสัญญาณและข้อมูลจากดาวเทียมที่โคจรอยู่รอบโลกได้ฟรี ๆ ก็จริง แต่การจะทำธุรกรรมจำเป็นต้องยิงสัญญาณจากภาคพื้นดินกลับขึ้นไปบนดาวเทียมด้วย ดังนั้นเราจึงอาจต้องมีตัวส่งสัญญาณหรือพึ่งพาบริการจากบุคคลที่สาม เป็นต้น
📌 สรุปขั้นตอนการทำงานแบบคร่าว ๆ:
ผู้ใช้สร้างธุรกรรมแบบออฟไลน์ผ่านซอฟต์แวร์ ➡ ตัวส่งสัญญาณหรือผู้ให้บริการบุคคลที่สามจะช่วยส่งข้อมูลนั้นขึ้นไปหาดาวเทียมบนฟ้าให้ ➡ ดาวเทียมบนฟ้าได้รับสารและกระซิบสารนี้ต่อลงไปยังเครือข่าย Bitcoin ➡ คำสั่งถูกส่งไปถึงเครือข่าย ธุรกรรมจึงเกิดขึ้นบนเครือข่าย Bitcoin !!! ✅
📌 ว่ากันด้วยเรื่อง "ค่าใช้จ่าย"
ไม่ต้องห่วงสหาย ทั้ง SDR และจานดาวเทียมไม่ได้แพงเกินคนทั่วไปจะซื้อ (ถ้าเรามีจำนวน Bitcoin เยอะพอให้ห่วงเรื่องอินเทอร์เน็ตล่มหมดโลกจริง ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ถือว่าสบายมาก) ส่วนค่าบริการจากบุคคลที่สามหรือหากฝากส่งไปกับตัวส่งสัญญาณของใคร ก็อาจจะต้องเสียค่าบริการเพิ่มเติม
สังเกตุไหมสหายว่าเราต้องพึ่งพาบริษัทที่ชื่อว่า Blockstream ค่อนข้างเยอะเลย... งั้นเรามาทำความรู้จักกับแบรนด์นี้กันสักหน่อยนะ บริษัทนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและ Bitcoin เป็นหนึ่งในองค์กรที่มีอิทธิพลต่อระบบนิเวศของ Bitcoin มาก ๆ โดยนอกจากเรื่องดาวเทียมแล้วก็ยังเคยพัฒนาหลายอย่างขึ้นมาบนระบบนิเวศของ BTC เช่น Liquid Network, Blockstream Green Wallet, Blockstream Explorer, และเปิดให้บริการด้านการขุด Bitcoin ด้วยนะ ฟังดูยิ่งใหญ่น่าดูเลยล่ะสิ 👑
❌ แต่... ดาวเทียมของ Blockstream ก็อาจไม่ได้ส่งสัญญาณครอบคลุมได้ทุกพื้นที่ทั่วทั้งโลกนี่นา... แล้วไหนจะเรื่องถ้าเราไม่อยากพึ่งพาหรือเชื่อใจแบรนด์ ๆ เดียวแบบนี้อีก ดาวเทียมยังเป็นตัวเลือกที่ใช้งานได้จริงอยู่ไหม ?
👉 คำตอบ... ยังใช้ได้ !!! แต่แค่อาจจะต้องแบกรับหลายเรื่องหากไม่มี Blockstream:
- อันดับแรก เราต้องมีดาวเทียมเองก่อน !!!
- การเชื่อมต่อกับเครือข่าย Bitcoin คืออีกด่านที่ตามมา เราต้องหาวิธีให้ดาวเทียมของเรามันรับข้อมูลจากบล็อกและ mempool แถมยังต้องหาวิธีถ่ายทอดข้อมูลไปยังเครื่องขุดต่าง ๆ บนพื้นโลกอีก แน่นอนว่าทั้งหมดที่พูดมาทางเทคนิคสามารถทำได้จริง แต่แค่ต้องเริ่มปรับแต่งโครงสร้างพื้นฐานดาวเทียมเองตั้งแต่เริ่มเลย ซึ่งแค่คิดก็แทบจะไม่ไหวสำหรับคนทั่วไปแล้ว
- ไม่พอ ซอฟต์แวร์ของ Blockstream เป็น Open-source ก็จริง แต่อันนั้นเขาทำไว้ให้ผู้ใช้บริการของเขาใช้งาน ดังนั้นหากจะไม่พึ่งพาแบรนด์นี้ อย่าลืมพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ใช้ถอดรหัสสัญญาณดาวเทียมให้กลายเป็นข้อมูลบล็อกเชนเองด้วยล่ะสหาย อาจจะลองเอาตัว Open-source ที่เขาทำไว้ก่อนมาปรับแต่งหรืออะไรแบบนี้ดูก็ได้ล่ะมั้ง55555
- สุดท้าย... อย่าลืมหาพาร์ทเนอร์ภาคพื้นดิน (หรือจะตั้งสถานีส่งสัญญาณเองเลยก็แล้วแต่) ที่จะเป็นตัวส่งสัญญาณจากภาคพื้นดินขึ้นไปยังดาวเทียมด้วยล่ะสหาย เพราะมันต้องใช้ทุกครั้งเวลามีคนบนพื้นโลกคิดจะทำธุรกรรม5555555
และนี่ก็เป็นหนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้เราทำธุรกรรมบนเครือข่าย Bitcoin ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ตน่ะนะสหาย ไหนใครอยากลองวิธีนี้ในยามอินเทอร์เน็ตหายบ้าง ? ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr#Bitcoin คือ เงินที่ยุติธรรมที่สุดที่โลกเคยมี ⚖
นี่คือเหตุผลที่ไม่อาจมีที่สองต่อจาก #BTC 👇
📌 ไม่มีผู้ก่อตั้ง: Bitcoin ไม่ได้มีผู้สร้างเป็นตัวเป็นตน เพราะมันเกิดขึ้นจากตัวตน (ซึ่งอาจเป็นแค่บุคคลหรืออาจเป็นกลุ่มคนก็ได้) ที่ใช้นามแฝงว่า "Satoshi Nakamoto"
📌 ไม่มีรากฐานการปกครอง: Bitcoin ทำงานโดยไม่มีหน่วยงานหรือองค์กรใดคอยกำกับดูแลส่วนกลาง
📌 ไม่มีการขุดล่วงหน้า: Bitcoin ไม่เคยมี Pre-mine ไม่เคยมี Allocation ทุกคนเริ่มเข้าถึง BTC ได้พร้อมกันทั่วโลก โดยไม่เคยมีการจัดสรรปันส่วนไว้ให้แก่บุคคลใดหรือกลุ่มคนใดโดยเฉพาะเจาะจงตั้งแต่ก่อนจนถึงหลังออกสู่สาธารณชน
📌 ไม่มีวงใน: ข้อมูลของ Bitcoin เป็น open-source ทั้งหมด ไม่มีใครที่เข้าถึงข้อมูลส่วนไหนก่อนใครทั้งนั้น ทุกอย่างเปิดเผย อยู่ที่ว่าใครจะพยายามศึกษาช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง
📌 ไม่มีนักลงทุนแรกเริ่ม: ไม่มีการระดมทุนอะไรก่อนจะสร้างโปรเจ็กต์ทั้งนั้น ดังนั้นจะไม่มีใครมีส่วนแบ่งหรือควรจะได้รับผลประโยชน์จาก Bitcoin นับตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบันนี้
📌 ไม่มีสำนักงานหรือเว็บไซต์องค์กร: Bitcoin ไม่มีสำนักงานให้ใครเข้าถึงได้ในโลกกายภาพ และแม้แต่เว็บไซต์ที่ถูกควบคุมโดยส่วนกลางก็ไม่มี ทุกเว็บไซต์ต่างเป็นบุคคลภายนอกที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ Bitcoin เลย แถมยังพากันกระจายตัวและต่างให้ข้อมูลตามมิติของตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องดีที่เราจะเปรียบเทียบและประเมินข้อมูลต่าง ๆ จากหลายเว็บไซต์ด้วยตัวเอง ดีกว่าเชื่อถือเว็บไซต์เดียวโดยใช้ความไว้วางใจ
📌 ไม่มีการจ่ายเงินให้ทีมงาน: ทั้งการตลาดและการพัฒนาต่าง ๆ บนระบบนิเวศของ Bitcoin ไม่จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายส่วนกลาง เพราะ Bitcoin ไม่มีทีมงานประจำ ทุกอย่างต่างเกิดจากความสมัครใจที่จะมีส่วนร่วม และเป็นไปตามกลไกเสรี
📌 ไม่มีแม้แต่ราคาเริ่มต้น: Bitcoin ไม่มีการเปิดขายที่ราคาเริ่มต้น ไม่มีการ IPO หรือ ICO ใด ๆ ทั้งสิ้นนับตั้งแต่เปิดตัวมา ราคาทุกอย่างที่เห็นเป็นไปตามกลไกตลาดทั้งหมด แถมความต้องการซื้อยังมาจากคุณสมบัติที่เป็นอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะมีธุรกิจอะไรค้ำหลัง จึงไม่ต้องมีการประเมินมูลค่าพื้นฐาน ไม่ต้องถูกตัดสินว่าราคาไหนแพงไปหรือถูกไป ยิ่งมันสร้างผลกระทบต่อโลกได้มากเท่าไร และผู้คนมองว่ามันจะเข้ามาแก้ปัญหาจากเงินที่ไม่ดีได้เพิ่มมากขึ้นเท่าไร ราคาของมันก็พร้อมจะขยับตามความต้องการของตลาดในท้ายที่สุด ส่วนการที่ราคาผันผวนจากการถูกเก็งกำไร ส่วนตัวข้าว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะอย่างไรการเก็งกำไรก็ไม่ได้กระทบพื้นฐานและคุณสมบัติของ BTC แม้แต่น้อยเลย
📌 ไม่มีช่องให้มนุษย์แทรกแซงได้: Bitcoin ถูกปกครองโดยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่กระจายตัวกันทั่วโลก ไม่มีมนุษย์คนใดหรือกลุ่มใดที่คิดจะเปลี่ยนแปลงหรือแทรกแซงระบบก็ทำได้ตามใจชอบ ตราบเท่าที่สิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่เครือข่ายทั่วโลกต้องการจริง ๆ (ซึ่งคาดว่าหากมีจริงมันก็ควรจะเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนได้รับประโยชน์ร่วมกันถ้วนหน้า)
และนี่คือเหตุผลที่ไม่อาจมีที่สองรองจาก Bitcoin เพราะ Decentralized ของแท้ ไม่มีคำปลอบใจ ขอให้โชคดีมีชัยนะสหายเอ๋ย ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
📌 ไม่มีผู้ก่อตั้ง: Bitcoin ไม่ได้มีผู้สร้างเป็นตัวเป็นตน เพราะมันเกิดขึ้นจากตัวตน (ซึ่งอาจเป็นแค่บุคคลหรืออาจเป็นกลุ่มคนก็ได้) ที่ใช้นามแฝงว่า "Satoshi Nakamoto"
📌 ไม่มีรากฐานการปกครอง: Bitcoin ทำงานโดยไม่มีหน่วยงานหรือองค์กรใดคอยกำกับดูแลส่วนกลาง
📌 ไม่มีการขุดล่วงหน้า: Bitcoin ไม่เคยมี Pre-mine ไม่เคยมี Allocation ทุกคนเริ่มเข้าถึง BTC ได้พร้อมกันทั่วโลก โดยไม่เคยมีการจัดสรรปันส่วนไว้ให้แก่บุคคลใดหรือกลุ่มคนใดโดยเฉพาะเจาะจงตั้งแต่ก่อนจนถึงหลังออกสู่สาธารณชน
📌 ไม่มีวงใน: ข้อมูลของ Bitcoin เป็น open-source ทั้งหมด ไม่มีใครที่เข้าถึงข้อมูลส่วนไหนก่อนใครทั้งนั้น ทุกอย่างเปิดเผย อยู่ที่ว่าใครจะพยายามศึกษาช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง
📌 ไม่มีนักลงทุนแรกเริ่ม: ไม่มีการระดมทุนอะไรก่อนจะสร้างโปรเจ็กต์ทั้งนั้น ดังนั้นจะไม่มีใครมีส่วนแบ่งหรือควรจะได้รับผลประโยชน์จาก Bitcoin นับตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบันนี้
📌 ไม่มีสำนักงานหรือเว็บไซต์องค์กร: Bitcoin ไม่มีสำนักงานให้ใครเข้าถึงได้ในโลกกายภาพ และแม้แต่เว็บไซต์ที่ถูกควบคุมโดยส่วนกลางก็ไม่มี ทุกเว็บไซต์ต่างเป็นบุคคลภายนอกที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ Bitcoin เลย แถมยังพากันกระจายตัวและต่างให้ข้อมูลตามมิติของตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องดีที่เราจะเปรียบเทียบและประเมินข้อมูลต่าง ๆ จากหลายเว็บไซต์ด้วยตัวเอง ดีกว่าเชื่อถือเว็บไซต์เดียวโดยใช้ความไว้วางใจ
📌 ไม่มีการจ่ายเงินให้ทีมงาน: ทั้งการตลาดและการพัฒนาต่าง ๆ บนระบบนิเวศของ Bitcoin ไม่จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายส่วนกลาง เพราะ Bitcoin ไม่มีทีมงานประจำ ทุกอย่างต่างเกิดจากความสมัครใจที่จะมีส่วนร่วม และเป็นไปตามกลไกเสรี
📌 ไม่มีแม้แต่ราคาเริ่มต้น: Bitcoin ไม่มีการเปิดขายที่ราคาเริ่มต้น ไม่มีการ IPO หรือ ICO ใด ๆ ทั้งสิ้นนับตั้งแต่เปิดตัวมา ราคาทุกอย่างที่เห็นเป็นไปตามกลไกตลาดทั้งหมด แถมความต้องการซื้อยังมาจากคุณสมบัติที่เป็นอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะมีธุรกิจอะไรค้ำหลัง จึงไม่ต้องมีการประเมินมูลค่าพื้นฐาน ไม่ต้องถูกตัดสินว่าราคาไหนแพงไปหรือถูกไป ยิ่งมันสร้างผลกระทบต่อโลกได้มากเท่าไร และผู้คนมองว่ามันจะเข้ามาแก้ปัญหาจากเงินที่ไม่ดีได้เพิ่มมากขึ้นเท่าไร ราคาของมันก็พร้อมจะขยับตามความต้องการของตลาดในท้ายที่สุด ส่วนการที่ราคาผันผวนจากการถูกเก็งกำไร ส่วนตัวข้าว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะอย่างไรการเก็งกำไรก็ไม่ได้กระทบพื้นฐานและคุณสมบัติของ BTC แม้แต่น้อยเลย
📌 ไม่มีช่องให้มนุษย์แทรกแซงได้: Bitcoin ถูกปกครองโดยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่กระจายตัวกันทั่วโลก ไม่มีมนุษย์คนใดหรือกลุ่มใดที่คิดจะเปลี่ยนแปลงหรือแทรกแซงระบบก็ทำได้ตามใจชอบ ตราบเท่าที่สิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่เครือข่ายทั่วโลกต้องการจริง ๆ (ซึ่งคาดว่าหากมีจริงมันก็ควรจะเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนได้รับประโยชน์ร่วมกันถ้วนหน้า)
และนี่คือเหตุผลที่ไม่อาจมีที่สองรองจาก Bitcoin เพราะ Decentralized ของแท้ ไม่มีคำปลอบใจ ขอให้โชคดีมีชัยนะสหายเอ๋ย ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstrค่อย ๆ เก็บออม = ค่อย ๆ สะสม
เราถึงได้เรียกว่า "stack" sats 🧙♂️
#Bitcoin #BTC #พ่อมดคริปโต #siamstr


วิธีซึ่งให้ได้มานั้นไม่ยากสหาย... 🤔
1) เจาะพื้นโลก
2) ช่วยสร้างความปลอดภัยให้เครือข่าย
3) ขโมยมูลค่าจากคนเก็บออม
ชอบอันไหนกัน ? ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#Bitcoin #BTC #พ่อมดคริปโต #siamstrยิ่งนับวัน การจะครอบครองสัก 1 #BTC
ยิ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ 👐💎
และหากยิ่งในอนาคตมี Demand มากขึ้น (ตามสมมุติฐาน) ในขณะที่ Supply เรารู้อยู่แล้วว่านับวันมีแต่จะผลิตใหม่ได้ลดลง และปลายทางยังมีจำนวนจำกัดอีกด้วย ก็ยิ่งไม่แปลกที่เราอาจจะต้องใช้ Productivity และเวลาในชีวิตเรามากขึ้นไปอีกในการจะแลกมา เพราะมัน "ขาดแคลน" ขึ้นทุกวัน
#Bitcoin คือนวัตกรรมประเภทนั้น มันคือประมาณ 0.1% ที่เราไม่ค่อยได้เห็นกัน ✅
🎯 ดังนั้น หากสหายของข้าผู้ใด รู้ตัวว่ามิใช่ผู้สามารถหาเงินล้านได้โดยง่าย ในขณะที่ก็ดันมีความฝันอยากจะเก็บให้ได้สัก 1 Bitcoin อยู่เช่นกัน วิธีที่ข้าแนะนำคงหนีไม่พ้นการค่อย ๆ Stack Sats เก็บหอมรอมริบเศษของ BTC ไปเรื่อย ๆ สักวันก็จะถึงฝั่งฝันเอง
✍ และแน่นอน... อย่าลืมบริหารกระแสเงินสดในชีวิตประจำวันให้ดี เพราะราคาของ BTC ขึ้นชื่อเรื่องความผันผวนระยะสั้น ต่อให้จะไม่มองเทียบเงิน Fiat ก็ไม่ควรไป All-in เพราะสภาพคล่องในชีวิตจริงก็สำคัญต่อการไปถึงเป้าหมายในการเก็บออมของเราเช่นกัน
📝 ถ้าใครไม่ได้มีเป้าหมายอะไรแบบนั้นก็ไม่ว่ากัน แต่ใครที่ตั้งเป้าไว้แล้วว่าจะต้องมีให้ได้ ข้าคงขอแนะนำวิธีนี้ที่สุด ข้าคิดว่าเหมาะสำหรับคนทั่วไปที่เงินล้านไม่ได้คิดจะหาก็หาได้ง่ายดายขนาดนั้น
📌 แต่อย่าเข้าใจผิดนะสหาย !!! การที่นับวันยิ่ง "ขาดแคลน" หรือนับวันยิ่งยากจะครอบครองให้ครบ 1 BTC ได้ ไม่ได้หมายความว่า BTC จะเข้าถึงยากขึ้นสำหรับคนทั่วไปแม้แต่น้อยเลย ทุกคนยังสามารถเข้าถึงได้ง่ายดายเหมือนเดิม เพราะ Bitcoin มีคุณสมบัติที่เรียกว่า "Divisability" ความสามารถในการแบ่งออกเป็นหน่วยย่อยได้
👉 โดย 1 Bitcoin สามารถแบ่งได้เป็น "ร้อยล้าน Satoshi" (ทศนิยม 8 ตำแหน่ง) เลยทีเดียว ยิ่งถ้าใช้งานบน Lightning Network จะยิ่งแบ่งได้เยอะกว่าปกติมากขึ้นไปอีก ของแทร่ !!!
ดังนั้น แม้ในอนาคตเราอาจยิ่งขาดแคลนและหาครอบครองจนครบ 1 BTC ได้ยากขึ้น แต่นวัตกรรมนี้จะยัง "เหลือใช้" เพียงพอสำหรับทุกคนบนโลกอย่างแน่นอน พูดแล้วก็ขอตัวไปสร้าง Productivity เพื่อ Stack Sats เพิ่มก่อนนะสหาย ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr


ข้าเองก็เป็นสายลงทุนสหาย เทรดก็ทำ เก็บออมก็ด้วย แต่ทั้งหมดทั้งปวง มันก็จะวนมาอยู่ดี 🤣
#Bitcoin #BTC #พ่อมดคริปโต #siamstr


ไม่มีการตัด #Bitcoin ออกจากระบบ ❌
มีแค่จะเข้าร่วมหรือตัดตัวเองออกไป ✅
Bitcoin คือเงินที่ทุกคนสามารถใช้ได้
ไม่แบ่งพรหมแดน ไม่เคยแบ่งสัญชาติ
มันคือ "ทางเลือก" ไม่ใช่ "คำขอ"
ถ้าว่ากันด้วยการ "มีสิทธิ์" ใช้งาน...
ทุกคนมีสิทธิ์ใช้งาน #BTC ได้ทั้งสิ้น ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr


"เงินเฟ้อ" อยู่กัดกินใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด ! แถมมันซ่อนเนียนอยู่ในรายจ่ายทุกวันของเรา !!! 😱 💰
.
📌 หลายคนมักเข้าใจผิดว่า "เงินเฟ้อ = ข้าวของแพงขึ้น" ซึ่งมันก็ใช่ แต่นั่นเป็นแค่รูปแบบหนึ่งที่เราพบได้ในชีวิตประจำวันเท่านั้น ความจริงเงินเฟ้อยังมีรูปแบบอื่นที่เนียนซ่อนอยู่ในชีวิตประจำวันรอบตัวเรา... บางทีมันใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด และมันคอยกัดกินคุณภาพชีวิตของเราในทุก ๆ วันโดยที่เราไม่รู้ตัว มาลองดูกันเถอะว่าเงินเฟ้อซ่อนอยู่ในรูปแบบใดบ้าง ! 👉
📌 รูปแบบที่ 1: Price Inflation
.
👉 รูปแบบนี้เราคุ้นชินกันแทบทุกคน มันก็คือการ "ขึ้นราคาสินค้า" โดยตรงนี่แหละ !
.
👉 แรก ๆ อาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่พอสัก 5-10 ปีผ่านไป รู้ตัวอีกทีข้าวของที่เคยใช้รอบตัวก็แพงขึ้นเป็นหลายเท่าตัวแล้ว เช่น ค่าข้าว สมัยข้ายังเด็กนะสหาย... มันจานละ 20 บาทเอง (น้ำแข็ง+น้ำเปล่า = ฟรีไม่อั้น) เดี๋ยวนี้ 60 บาทยังกินแทบไม่อิ่ม เสียค่าน้ำแยกอีกต่างหาก บางที่น้ำแข็งก็ต้องซื้อ ยิ่งย้อนไปรุ่นปู่ย่าตายายยิ่งไม่ต้องพูดถึง ก๋วยเตี๋ยวสมัยนั้นชามละไม่ถึง 1 บาท ! (สกุลเงินไทยหลัก "สตางค์" ที่ 100 สตางค์ เท่ากับ 1 บาท ยังเคยถูกใช้งานในชีวิตประจำวันกันอยู่เลย) และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งความน่ากลัวของเงินเฟ้อ
.
👉 ในสมัยใหม่ การขึ้นราคาอาจไม่ได้ออกมาในตัวเลขราคาโดยตรง แต่มันแฝงเพิ่มมากับการยัดค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือที่เราคุ้นหูกันในคราบของคำว่า "VAT" (Value Added Tax) เป็นต้น ค่าใชจ่ายเพิ่มเติมเหล่านี้มันถูกรวมลงไปในค่าใช้จ่ายของผู้บริโภค เป็นการผลักต้นทุนที่สูงขึ้นไปให้ผู้บริโภคแบกรับเองในรูปแบบหนึ่ง (ส่วนใหญ่ก็ทำเพื่อตอบสนองต่อต้นทุนในการผลิตที่สูงขึ้นของผู้ผลิตเองนั่นแหละ แค่เลือกจะไม่ขึ้นราคาสินค้าโดยตรงเฉย ๆ)
.
📝 ปล. แต่จะไปว่าพ่อค้าแม่ค้าก็ไม่ได้นะ เพราะวัสดุหรือวัตถุดิบ ที่เขาต้องใช้เพื่อผลิตสินค้าให้เรามันก็แพงขึ้นเหมือนกัน ต้นทุนของเขาก็สูงขึ้น ทีนี้ก็อยู่ที่ว่าใครจะแบกรับได้ไหวแค่ไหนแล้วแหละ
📌 รูปแบบที่ 2: Deterioration
.
👉 แทนที่จะขึ้นราคา หรือไปยัดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมให้ลูกค้า ก็แค่คงราคาเดิมไว้ โดยการไปลดตุ้นทุนในกระบวนการผลิตแทน และส่วนใหญ่มักจบลงที่การ "ลดคุณภาพ" ของวัสดุหรือวัตถุดิบที่ใช้ผลิตสินค้าลง หันไปใช้ของที่ประสิทธิภาพน้อยกว่าแต่ถูกลง เพื่อให้สามารถคงราคาสินค้าไว้ที่เดิมได้
.
👉 สิ่งที่ลูกค้าจะได้คือราคาเดิม แต่สิ่งที่ลูกค้าจะเสียคือ "คุณภาพ" ไม่ต้องแปลกใจถ้าข้าวของเครื่องใช้หลายอย่างในชีวิตประจำวัน ยิ่งออกรุ่นใหม่มันยิ่งพังง่ายกว่ารุ่นเดิม ๆ หรือของอร่อยในวัยเด็กจากแบรนด์ดังเจ้าเดิม ๆ ทำไมกินแล้วรู้สึกมันอร่อยน้อยลง บางทีเราอาจจะคิดไปเอง ? หรือบางทีวัสดุ/วัตถุดิบที่ใช้ผลิตมันอาจจะห่วยลงจริง ๆ ก็ได้ 👀
.
👉 หลายครั้งสินค้ารุ่นใหม่ก็พยายามหาฟีเจอร์ต่าง ๆ มาทดแทน เปลี่ยนดีไซน์ (ขั้นตอนนี้ก็เนียนลดการใช้วัสดุได้) หรือทำให้อะไรที่มันดูล้ำขึ้น แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ... "รุ่นเก่า ๆ ทำไมมันพังยากกว่านี้เยอะเลยฟระ ?" บางทีคำตอบมันอาจจะซ่อนอยู่ในสิ่งที่เรียกว่าเงินเฟ้อก็เป็นได้
📌 รูปแบบที่ 3: Shrinkflation
.
👉 มันคือการ "ลดปริมาณ" หรือ "ลดขนาด" ของสินค้าลง เพื่อจะได้ใช้วัตถุดิบน้อยลง จะได้สามารถขายในราคาเท่าเดิมได้
.
👉 เคยเห็นร้านข้าวที่พยายามจะขายราคาเดิมเอาใจลูกค้า แต่ดันให้น้อยลงเรื่อย ๆ ไหม ? ส่วนหนึ่งก็เพราะต้นทุนเขาสูงขึ้น ทำให้เขาต้องประหยัดวัตถุดิบยังไงล่ะ เมื่อก่อนเรียก "กะเพราไก่" แต่เดี๋ยวนี้ต้องเรียก "กะเพราวิญญาณไก่" 55555555
.
👉 ขนมห่อ ๆ นับวันยิ่งมีแต่ลมมากขึ้นเรื่อย ๆ ซองพองนะ แต่แกะไปดูข้างใน มีปริมาณขนมจริงอยู่นิดเดียวเอง และมันคงจะน้อยลงไปอีกเรื่อย ๆ เพราะแลดูเงินคงจะไม่มีวันหยุดเฟ้อ 🤣
.
👉 บางสินค้าก็ชัดเจนเลยนะ... จากราคานี้เคยได้ 4 ชิ้น ทุกวันนี้ขายราคาเดิม แต่แกะห่อมาเหลือ 3 ชิ้นด้านใน พอเข้าใจเงินเฟ้อที่ซ่อนอยู่ในชีวิตประจำวันรูปแบบนี้กันไหม ?
ใครคิดออกอีกบ้างว่ามีเงินเฟ้อรูปแบบใดซ่อนอยู่ในชีวิตประจำวันของพวกเราอีกสหาย ?! ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
📌 รูปแบบที่ 1: Price Inflation
.
👉 รูปแบบนี้เราคุ้นชินกันแทบทุกคน มันก็คือการ "ขึ้นราคาสินค้า" โดยตรงนี่แหละ !
.
👉 แรก ๆ อาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่พอสัก 5-10 ปีผ่านไป รู้ตัวอีกทีข้าวของที่เคยใช้รอบตัวก็แพงขึ้นเป็นหลายเท่าตัวแล้ว เช่น ค่าข้าว สมัยข้ายังเด็กนะสหาย... มันจานละ 20 บาทเอง (น้ำแข็ง+น้ำเปล่า = ฟรีไม่อั้น) เดี๋ยวนี้ 60 บาทยังกินแทบไม่อิ่ม เสียค่าน้ำแยกอีกต่างหาก บางที่น้ำแข็งก็ต้องซื้อ ยิ่งย้อนไปรุ่นปู่ย่าตายายยิ่งไม่ต้องพูดถึง ก๋วยเตี๋ยวสมัยนั้นชามละไม่ถึง 1 บาท ! (สกุลเงินไทยหลัก "สตางค์" ที่ 100 สตางค์ เท่ากับ 1 บาท ยังเคยถูกใช้งานในชีวิตประจำวันกันอยู่เลย) และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งความน่ากลัวของเงินเฟ้อ
.
👉 ในสมัยใหม่ การขึ้นราคาอาจไม่ได้ออกมาในตัวเลขราคาโดยตรง แต่มันแฝงเพิ่มมากับการยัดค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือที่เราคุ้นหูกันในคราบของคำว่า "VAT" (Value Added Tax) เป็นต้น ค่าใชจ่ายเพิ่มเติมเหล่านี้มันถูกรวมลงไปในค่าใช้จ่ายของผู้บริโภค เป็นการผลักต้นทุนที่สูงขึ้นไปให้ผู้บริโภคแบกรับเองในรูปแบบหนึ่ง (ส่วนใหญ่ก็ทำเพื่อตอบสนองต่อต้นทุนในการผลิตที่สูงขึ้นของผู้ผลิตเองนั่นแหละ แค่เลือกจะไม่ขึ้นราคาสินค้าโดยตรงเฉย ๆ)
.
📝 ปล. แต่จะไปว่าพ่อค้าแม่ค้าก็ไม่ได้นะ เพราะวัสดุหรือวัตถุดิบ ที่เขาต้องใช้เพื่อผลิตสินค้าให้เรามันก็แพงขึ้นเหมือนกัน ต้นทุนของเขาก็สูงขึ้น ทีนี้ก็อยู่ที่ว่าใครจะแบกรับได้ไหวแค่ไหนแล้วแหละ
📌 รูปแบบที่ 2: Deterioration
.
👉 แทนที่จะขึ้นราคา หรือไปยัดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมให้ลูกค้า ก็แค่คงราคาเดิมไว้ โดยการไปลดตุ้นทุนในกระบวนการผลิตแทน และส่วนใหญ่มักจบลงที่การ "ลดคุณภาพ" ของวัสดุหรือวัตถุดิบที่ใช้ผลิตสินค้าลง หันไปใช้ของที่ประสิทธิภาพน้อยกว่าแต่ถูกลง เพื่อให้สามารถคงราคาสินค้าไว้ที่เดิมได้
.
👉 สิ่งที่ลูกค้าจะได้คือราคาเดิม แต่สิ่งที่ลูกค้าจะเสียคือ "คุณภาพ" ไม่ต้องแปลกใจถ้าข้าวของเครื่องใช้หลายอย่างในชีวิตประจำวัน ยิ่งออกรุ่นใหม่มันยิ่งพังง่ายกว่ารุ่นเดิม ๆ หรือของอร่อยในวัยเด็กจากแบรนด์ดังเจ้าเดิม ๆ ทำไมกินแล้วรู้สึกมันอร่อยน้อยลง บางทีเราอาจจะคิดไปเอง ? หรือบางทีวัสดุ/วัตถุดิบที่ใช้ผลิตมันอาจจะห่วยลงจริง ๆ ก็ได้ 👀
.
👉 หลายครั้งสินค้ารุ่นใหม่ก็พยายามหาฟีเจอร์ต่าง ๆ มาทดแทน เปลี่ยนดีไซน์ (ขั้นตอนนี้ก็เนียนลดการใช้วัสดุได้) หรือทำให้อะไรที่มันดูล้ำขึ้น แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ... "รุ่นเก่า ๆ ทำไมมันพังยากกว่านี้เยอะเลยฟระ ?" บางทีคำตอบมันอาจจะซ่อนอยู่ในสิ่งที่เรียกว่าเงินเฟ้อก็เป็นได้
📌 รูปแบบที่ 3: Shrinkflation
.
👉 มันคือการ "ลดปริมาณ" หรือ "ลดขนาด" ของสินค้าลง เพื่อจะได้ใช้วัตถุดิบน้อยลง จะได้สามารถขายในราคาเท่าเดิมได้
.
👉 เคยเห็นร้านข้าวที่พยายามจะขายราคาเดิมเอาใจลูกค้า แต่ดันให้น้อยลงเรื่อย ๆ ไหม ? ส่วนหนึ่งก็เพราะต้นทุนเขาสูงขึ้น ทำให้เขาต้องประหยัดวัตถุดิบยังไงล่ะ เมื่อก่อนเรียก "กะเพราไก่" แต่เดี๋ยวนี้ต้องเรียก "กะเพราวิญญาณไก่" 55555555
.
👉 ขนมห่อ ๆ นับวันยิ่งมีแต่ลมมากขึ้นเรื่อย ๆ ซองพองนะ แต่แกะไปดูข้างใน มีปริมาณขนมจริงอยู่นิดเดียวเอง และมันคงจะน้อยลงไปอีกเรื่อย ๆ เพราะแลดูเงินคงจะไม่มีวันหยุดเฟ้อ 🤣
.
👉 บางสินค้าก็ชัดเจนเลยนะ... จากราคานี้เคยได้ 4 ชิ้น ทุกวันนี้ขายราคาเดิม แต่แกะห่อมาเหลือ 3 ชิ้นด้านใน พอเข้าใจเงินเฟ้อที่ซ่อนอยู่ในชีวิตประจำวันรูปแบบนี้กันไหม ?
ใครคิดออกอีกบ้างว่ามีเงินเฟ้อรูปแบบใดซ่อนอยู่ในชีวิตประจำวันของพวกเราอีกสหาย ?! ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr"การเปลี่ยนจาก Proof of Work มาเป็น Proof of Stake ไม่ใช่อะไรใหม่..." แปลว่าอะไรลองไปคิดกันเอาเอง ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#Bitcoin #BTC #พ่อมดคริปโต #siamstr

