COLDCARD อุปกรณ์ hardware wallet ที่ออกแบบมาเพื่อ #Bitcoin โดยเฉพาะ เน้นความปลอดภัย สามารถทำธุรกรรม #BTC แบบ "Air-gapped" ได้ (คืออุปกรณ์ไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตด้วยซ้ำ) 💳
วันนี้ เป็นวันครบรอบ 8 ปี ที่ Coldcard ได้เปิดตัวออกสู่ตลาด ! โดยได้เปิดตัววันแรก วันที่ 14 ธ.ค. 2017 !!! 👏
ไหนใครเคยลองใช้งานกันดูแล้วบ้างสหาย ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
พ่อมดคริปโต
npub1l8dv...g6c8
สวัสดีสหาย ! ข้าชื่อ ชับบี้ เจ้าของเพจ พ่อมดคริปโต แต่เนื่องจากตอนนี้อยู่ใน Nostr ก็จะออกแนวพ่อมดบิทคอยน์แทน55555 😂
COLDCARD อุปกรณ์ hardware wallet ที่ออกแบบมาเพื่อ #Bitcoin โดยเฉพาะ เน้นความปลอดภัย สามารถทำธุรกรรม #BTC แบบ "Air-gapped" ได้ (คืออุปกรณ์ไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตด้วยซ้ำ) 💳
วันนี้ เป็นวันครบรอบ 8 ปี ที่ Coldcard ได้เปิดตัวออกสู่ตลาด ! โดยได้เปิดตัววันแรก วันที่ 14 ธ.ค. 2017 !!! 👏
ไหนใครเคยลองใช้งานกันดูแล้วบ้างสหาย ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
ครบรอบ 15 ปี "วัน La Fuga" การจากไป พร้อม "คำเตือนสุดท้าย" ของซาโตชิ 👤
📌 เรื่องราวในตำนาน ก่อนคำเตือนครั้งสุดท้าย:
หลังจากประกาศชัดเจนเมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2011 แล้วว่า "จะย้ายไปทำอย่างอื่น" การปรากฏตัวของ Satoshi ก็ค่อย ๆ เลือนหายไปเหมือนเงาที่ถอยลับจากฉากหลังของโลกดิจิทัล
แน่นอน... เขาไม่ได้หายวับไปทีเดียว เขายังคงมาพิมพ์ตอบคำถามในฟอรัมบ้างบางครั้ง ตอบพวกคำถามเฉพาะทาง แต่เขาก็แทบไม่โผล่ในห้องแชทอีกเลย และจำกัดการสื่อสารไว้เฉพาะกับ Gavin และนักพัฒนาจำนวนไม่มากนักผ่านอีเมลที่เริ่มห่างหายเป็นช่วง ๆ
ในปลายปีนั้นเกิดสิ่งเล็ก ๆ อย่างหนึ่งซึ่งกลายเป็นสัญญาณใหญ่... เมื่อ Satoshi ถาม Gavin ว่าควรนำอีเมลของเขาไปใส่บนหน้าเว็บไซต์ #Bitcoin เพื่อเป็นช่องทางติดต่อหรือไม่ แต่ไม่นานนัก Gavin ก็พบว่าอีเมลเดิมของ Satoshi หายไปจากระบบราวกับถูกดึงออกอย่างตั้งใจ
และในวันนี้ เดือนนี้ เมื่อ 15 ปีที่แล้ว (13 ธ.ค. 2010) คือช่วงเวลาที่โลกได้เห็นข้อความสาธารณะจากเขาเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งข้อความดังกล่าวแลดูต่างไปจากทุกที เพราะมันไม่ใช่การประกาศกร้าวว่า Bitcoin จะมาเปลี่ยนโลกแต่อย่างใด ไม่ได้ดูยิ่งใหญ่เหมือนทุกที...
แต่ข้อความสุดท้ายดันเป็นเพียงการประกาศเปิดตัวซอฟต์แวร์ Bitcoin เวอร์ชัน 0.3.19 เท่านั้น พร้อมกับคำเตือนสุดท้ายก็ก่อนจะหายไปตลอดกาล “ยังมีวิธีโจมตี Bitcoin อีกหลายทาง กว่าที่ฉันจะนับได้”
หลังจากข้อความสุดท้ายนั้น... ก็ไม่มีใครได้เห็น Satoshi อีกเลย... ทุกสิ่งก็เงียบลง แต่โลกกลับไม่หยุดตามหาเขา ชุมชนในห้องแชทเริ่มผสมผสานเบาะแสเล็ก ๆ น้อย ๆ เข้าด้วยกันเพื่อพยายามตั้งข้อสงสัยว่าใครคือ Satoshi แต่ทั้งหมดก็ล้วนเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน และบุคคลนิรนามผุ้สร้าง Bitcoin ก็ได้หายไปจากโลกออนไลน์ตลอดการนับแต่นั้นมา 👀
ตึงเปรี๊ยะ !!! นั่นก็คือเรื่องราวในตำนานของ Satoshi Nakamoto นะสหาย ก่อนเขาจะหายไปตลอดกาล เป็นข้อความสุุดท้าย ที่สุดท้ายจริง ๆ ไม่ได้บอกลา (เพราะบอกไว้ก่อนนานแล้ว) แต่มาอัพเดทซอฟต์แวร์ กับคำเตือนแสนเรียบง่ายก่อนจะจากไปเท่านั้นเอง 👏
ทุกวันนี้เครือข่าย #BTC มันเติบโตขึ้นมาก แข็งแกร่งเกินกว่าผู้มีอำนาจใดจะมาโจมตีตามอำเภอใจอย่างง่ายดายได้แล้ว มันมาไกลมาก ๆ กลายเป็นเรื่องราวระดับโลกอยู่จนทุกวันนี้เลยแหละ ถ้าพี่แกยังอยู่คงจะภูมิใจนะ 💪
เหมือนในหนังเลยเนอะ !!! อย่างกับในฉากภาพยนตร์ ! และวันนี้ก็เป็นวันครบรอบ 15 ปี "ข้อความสุดท้ายจาก Satoshi Nakamoto" ถูกตั้งชื่อว่า "วัน La Fuga" (มาจากภาษาสเปน/อิตาลี) แปลว่า "การหายตัวไป" โดยน่าจะใช้คำนี้ให้มันเข้ากับบรรยากาศเหมือนในหนังนั่นแหละ คำมันฟังดูเป็น Chapter บทละครดี สุขสันต์วัน La Fuga นะสหาย 🙏
📝 ปล. บางเว็บไซต์อาจระบุว่าเป็นวันที่ 12 ธ.ค. 2010 แต่ถ้าว่ากันตามเวลาบ้านเรา มันเลยเที่ยงคืน เลยนับเป็นวันที่ 13 ธ.ค. 2010 แล้ว ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
ครบรอบ 17 ปี วันกำเนิด #Bitcoin Mailing List !!!
💬 ผู้สร้าง #BTC ซาโตชิ นากาโมโตะ ได้เริ่มต้น Bitcoin Mailing List บนเว็บ SourceForge พร้อมกับข้อความต้อนรับสั้น ๆ ว่า:
“Welcome to the Bitcoin mailing list!” (ยินดีต้อนรับสู่ Bitcoin Mailing List !)
📩 Mailing list คือ การรวมรายชื่ออีเมลสำหรับส่งข้อความหา "สมาชิกหลายคนพร้อมกัน” คล้าย ๆ เป็นแชทกลุ่มฉบับอีเมลนั่นแหละสหาย คือเป็นการคุยอีเมลที่แยกเธรดได้แบบฟอรัม อะไรแบบนั้น
💪 และ Mailing List ที่เกิดขึ้น ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น "Bitcoin Mailing List" นี้ก็ได้เป็นศูนย์กลางสื่อสารแรก ๆ ของเหล่านักพัฒนาและผู้ที่สนใจใน Bitcoin
🗓️ อย่าสับสนไทม์ไลน์นะสหาย... ซาโตชิ ส่ง "Bitcoin White Paper" ให้เหล่า Mailing List วันที่ 31 ต.ค. 2008 แต่นั่นเป็น Cryptography Mailing List คือกลุ่ม Mailing List ของคนที่สนใจเทคโนโลยีศาสตร์การเข้ารหัส Cryptography เท่านั้น แต่ Mailing List ที่เกิดขึ้นภายหลังในวันนี้ 10 ธ.ค. 2008 คือ Bitcoin Mailing List เป็น Mailing List เกิดใหม่ที่ว่ากันด้วยเรื่องของ Bitcoin โดยเฉพาะ ✍️
👉 ต่อมา... เมื่อเครือข่าย Bitcoin เริ่มเติบโตและชุมชนต้องการพื้นที่ที่รองรับการสนทนาทางเทคนิคได้มากขึ้น Mailing List เดิมจึงค่อย ๆ พัฒนาและถูกย้ายมาอยู่บน Google Groups แทน กลายมาเป็น Bitcoin Development Mailing List ที่หลายคนอาจรู้จักกันอยู่ในปัจจุบันนั่นเอง !!! 🎉
สุขสันต์วัน "The Bitcoin Mailing List Begins" นะสหาย !!! ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
จัดส่งขี้ถึงบ้าน แบบไม่ระบุตัวตน แค่จ่าย #Bitcoin มา ! เดือนเดียวรายได้ $10,000 ! 💩
กำเนิด Startup โฉมใหม่ไฟแรงผู้สร้างรายได้ราว "3.5 แสนบาทไทย" ภายใน 30 วันแรกหลังเปิดกิจการเท่านั้นเอง !!! พบกับบริการจัดส่ง "ขี้สด ๆ" ผ่านไปรษณีย์แบบไม่ระบุตัวตน ส่งตรงถึงบ้านคนที่คุณเกลียดขี้หน้า แลกค่าจ้างเป็น Bitcoin ภายใต้ชื่อแบรนด์ "ShitExpress" 🚚
เมื่อการจัดส่งที่รวดเร็ว ผนวกกับความตื่นเต้นในการส่งขี้ถึงบ้านผู้คน ธุรกิจแหวกใหม่จึงได้ถูกเปิดตัวสู่สาธารณะอย่างอลังการ โดยทางผู้ให้บริการได้เขียนเว็บบล็อกอธิบายต้นกำเนิดของบริการสุดหรรษา (?) อันเป็นไอเดียสุดบรรเจิดของตัวเองเอาไว้ซะยาวเฟื้อยจนลูกค้าต่างพากันขี้เกียจอ่าน ✍
นาย Peter ผู้ก่อตั้ง ShitExpress ได้เริ่ม "การทดลองทางการตลาด" ว่าถ้าเขาจะมีบริการ "ส่งขี้ม้าสด ๆ" ไปยังบ้านที่ผู้ใช้บริการระบุ จะมีคนสนใจมากน้อยแค่ไหน ทั้งที่ตอนเริ่มแรกเขายังไม่มีแม้แต่ม้าสักตัว และไม่มีความรู้เลยด้วยซ้ำว่าจะไปติดต่อหาขี้ม้าได้จากไหน ทุกอย่างที่เผยแพร่ออกไปเป็นเพียงการเริ่มต้นทดสอบตลาดเท่านั้น 🐴
พ่อหนุ่มนักธุรกิจไฟแรงได้เขียนเล่าทุกอย่างเอาไว้ว่า “ถ้ามีคนกดออเดอร์ขึ้นมาจริงล่ะ ? จะทำยังไง ? จะไปหาขี้ม้าจากไหนในเมืองนี้ ? ไหนจะเรื่องบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมแต่ราคาไม่แพง ?” 😅
“น้ำหนักและขนาดที่เหมาะสมล่ะ ? จะห่อยังไง ? ต้องมีอะไรเพิ่มเติมอีกไหม ? จะโน้มน้าวด่านตรวจศุลกากรให้เชื่อได้ยังไงว่านี่มันคือของขวัญราคา $3-5 จริง ๆ นะ ? แล้วไหนจะความรู้สึกแปลก ๆ ที่ต้องนำกล่องอุจจาระม้าเข้าไปยังที่ทำการไปรษณีย์อีก ?” เขียนปัญหามาจนดูเยอะแยะมากมาย แต่ถามว่าสุดท้ายพี่แกตัดสินใจทำไหม... ทำ ! 🤣
หลังจากได้รับออเดอร์แรกเข้ามาจริง ๆ ... พี่แกก็พยายามออกตามหาคอกม้าใกล้ ๆ และลองขอขี้ม้าจากเจ้าของดู สรุปเจ้าของดันให้ !!! คงเพราะปริมาณมันยังไม่เยอะขนาดนั้น ก็แค่ออเดอร์แรกอะเนอะ พี่แกเลยหอบขี้ม้ากลับมาแพ็คใส่บรรจุภัณฑ์และเตรียมจัดส่ง ในที่สุด... ออเดอร์แรกในฐานะ Startup ก็ได้มาถึงแล้ว ดีใจด้วยนะพ่อหนุ่ม 👏
จุดเปลี่ยนที่ทำให้ชีวิตของพี่แกโด่งดังเปรี้ยงปร้างขึ้นมา คือหลังจากเว็บข่าวเทคโนโลยี Motherboard ได้เขียนถึงธุรกิจของพี่แกในฐานะผู้ให้บริการจัดส่งขี้ม้าแลกกับ Bitcoin เว็บไซต์อื่น ๆ ก็เลยพากันลงข่าวตามด้วย ทำให้ยอดขายของพี่แกพุ่งทะยานขึ้นฟ้า ทะลุ $10,000 ภายในเดือนเดียว 🚀
ราคาขี้ม้าของพี่แกตกออเดอร์ละ $20 ก็หมายความว่าด้วยยอดขายทะลุ $10,000 ในเดือนเดียว พี่แกได้จัดส่งขี้ม้าสด ๆ ไปยังบ้านคนรวม 500 บ้านแล้ว !!! เอาจริงดิ !!! 500 หลัง !!! ความหมายคือ... Startup รายนี้ได้สร้างความฉิบหายทะลุ 500 ครัวเรือนไปเรียบร้อยแล้วในเดือนเดียว 🏘
เนื่องจากกิจการรุ่งเรืองรายได้ดีแบบนี้... พี่แกจึงตัดสินใจขยายช่องทางเพิ่มจาก Bitcoin อย่างเดียว เป็นเปิดรับ PayPal ด้วย 💳
และจากนั้นก็ยังคงให้บริการจัดส่งขี้ถึงบ้านคนที่ลูกค้าเกลียด ไปยังที่อยู่เป้าหมายแล้วกว่า 36 ประเทศทั่วโลก !!! นี่มันธุรกิจส่งออกนานาชาติเลยนะเนี่ยสหาย ทำเป็นเล่นไป55555 🌍
“ด้วยการสนับสนุนอันแข็งแกร่งจากลูกค้า เราจึงได้ขยายฐานการให้บริการเพิ่มขึ้นและเดี๋ยวจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่จะนำมาเสนอในอนาคตอันใกล้นี้” พ่อหนุ่ม Peter ผู้มีวิสัยทัศน์ด้านธุรกิจ (?) ได้เขียนเอาไว้ และยังทิ้งท้ายไว้อีกว่า “นอกเหนือจากนั้น เรายังต้องการเติบโตแบบกว้างขวาง โดยจะครอบคลุมพื้นที่ธุรกิจอื่น ๆ ให้มากขึ้น” 💪
อ่านจบแล้วเป็นยังไงกันบ้าง ? สนุกไหมสหาย ? สุดท้ายนี้... หากคำพูดคำจาหรือพฤติกรรมใด ๆ ที่ข้าได้แสดงออกไปในโลกออนไลน์หรือออฟไลน์ก็ดี และพวกเจ้ามองว่าเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม โปรดตักเตือนกันดี ๆ ด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยน และอย่าลืมโอน #BTC มาให้ข้าด้วย แล้วข้าจะปรับปรุงทันทีนะ รับประกันเห็นผลฉับไว อย่าเอา BTC ไปใช้บริการแบบนี้เพื่อส่งขี้มาบ้านข้าเลย ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
โคตรปั่น !!! เคยมีคนใช้ 1.6 #BTC ซื้อขนมแครกเกอร์ที่มีภาพ “ไมเคิล แจ็คสัน นมใหญ่" 🤣
นับเป็นอีกหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ขำขันของ #Bitcoin โดยในตอนเกิดเหตุการณ์... สมัยนั้น Bitcoin ตกเหรียญละ $12.5 เองสหาย ใช้จ่ายไปทั้งหมด 1.6 BTC ก็เท่ากับประมาณ $20 ในตอนนั้น ก็ตกเกือบ 700 บาทไทยอยู่นะสหาย ทำเป็นเล่นไป... แค่ขนมแครกเกอร์เนี่ยนะ 😅
แต่ถ้าเป็นตอนนี้ ขนมแครกเกอร์ที่มีรูป "ไมเคิล แจ็คสัน" เวอร์ชั่น "มีนมโต ๆ เป็นเต้าแบบผู้หญิง" จะเท่ากับถูกซื้อด้วยสิ่งที่มีมูลค่าราว $145,000 (ประมาณ 4.65 ล้านบาทไทยเลยนะไอบ้าเอ้ย !!!) 🍘
ซึ่งความจริงใครจะใช้จ่าย Bitcoin อย่างไรมันก็เป็นสิทธิ์ของเขานะสหาย เพียงแค่ดูจากมุมพวกเราที่มองย้อนกลับไปจากอนาคต มันก็อดขบขันไม่ได้อะเนอะ55555 กลายเป็นแครกเกอร์ที่มูลค่าแพงที่สุดในโลกไปเลยมั้งนั่น ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
ค่อย ๆ เก็บออม = ค่อย ๆ สะสม
เราถึงได้เรียกว่า "stack" sats 🧙♂️
#Bitcoin #BTC #พ่อมดคริปโต #siamstr
Cycle นี้ยังไงดีสหาย ? ไปต่อ... หรือพอก่อน ? 👀
#Bitcoin #BTC #พ่อมดคริปโต #siamstr
#Bitcoin ตายแล้ว !!! และทุกครั้งที่ได้ยินคำนี้มักจะเป็นแบบนี้ ✍
ทุกครั้งที่มีคำว่า "Bitcoin ตายแล้ว" ส่วนใหญ่ เป็นช่วงที่ราคา BTC ร่วงแรงจนแลดูย่อยยับ ตลาดน่ากลัวชวนหนีห่าง เพราะฉะนั้นมันจึงมักเป็นช่วงที่ "ราคาดี" เทียบเป็นเงิน Fiat แล้ว "ต้นทุนถูก" ใครใจถึงกล้าเข้าราคาช่วงนั้นแต่ละรอบนะสหาย โอ้โฮ... หวานเจี๊ยบบบ !!! ได้ของถูกกันไปหลายรอบเลย 😁
แต่แน่นอน มันคือการกระโดดเข้าไปรับมีด และข้า "ไม่เคยแนะนำให้ใครทำทั้งสิ้น" (หากพูดในมุมเก็งกำไรอะนะ...) บรรยากาศมันมาคุเกินใจจะกล้าไหว นอกจากสายเก็บออมที่เก็บทุกราคา กับนักลงทุนที่มีประสบการณ์มากมายจนอ่านบรรยากาศตลาดได้เฉียบขาด (มีไหมนะ ? ทำได้ขนาดนี้...) หรือไม่ก็คนบ้า !!! นอกนั้นบอกเลยแทบไม่มีใครกล้าเข้าไปซื้อ ณ จุดนั้นกันหรอกสหาย 😱
ยิ่งสายกราฟเทคนิคยิ่งไม่ต้องพูดถึง ปกติช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงที่กราฟจะอนุญาตให้เข้าได้ด้วยระบบเทรดใด ๆ แน่นอน แต่สายกราฟเขาเป็นนักเทรด ทุกอย่างชัดเจนว่าเขามาเก็งกำไรและต้องรักษาทุนตัวเอง ดังนั้นเขาไม่ได้ผิดหรอกนะ เขาแค่ทำตามวินัยเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ของเขา และช่วงที่มีคำว่า "Bitcoin ตายแล้ว" ก็ไม่น่าเป็นช่วงที่ดีสำหรับสายเก็งกำไร 💰
แต่เนื่องจากคำว่า "Bitcoin ตายแล้ว" มันได้ยินกันบ่อยเกินไป ราคาร่วงแรงทีไรก็บอกว่าตายกันทุกครั้งเลย แต่ก็ไม่เคยจะตายจริงสักที จนหลายคนเริ่มมองประโยคประมาณนี้เป็นอินดิเคอร์หรือจุดเข้าชั้นดีไปแล้วก็มีนะสหาย คริคริ 🤭
โพสต์นี้ไม่ได้มีจุดประสงค์จะให้กระโดดรับมีด ช้อนก้นหลุม หรืออะไรนะสหาย ทำตามวินัยตัวเองไป ใครเก็บออมก็เก็บตามหน้าที่ ใครเทรดก็ไม่ต้องเข้าถ้ายังไม่มีสัญญาณ โพสต์นี้แค่มาเล่าบรรยากาศคร่าว ๆ และสิ่งที่มักเกิดขึ้นซ้ำ ๆ เวลาเราได้ยินคำนี้เฉย ๆ และ... ช่วงนี้ที่ BTC ลงแรง ก็แอบเริ่มได้ยินคำพวกนี้แว่ว ๆ แล้วเหมือนกันแฮะ ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
ชาว #Bitcoin ไทยเฮ !!! Jack Dorsey ได้โพสต์ว่า "108" บน X (ชื่อเก่า Twitter) 🥳
ก็ไม่รู้ว่าพูดถึงอะไร หลายคนก็เข้าใจว่า... "แอบไปส่อง #siamstr มาปะเนี่ย !!!" เพราะถ้าใช่ก็น่าจะได้เห็น Bitcoiner ไทยมากมายซื้อ Bitcoin กันทีละ 108 บาท (ซึ่งก็ร่วมสนุกกันมาสักพักใหญ่แล้ว) มีแววจะไปเตะตาแคมเปญ 108 ของชาว Bitcoin ไทยเข้าปะเนี่ย ?! 😂
ซึ่งมันเป็นไปได้มาก ๆ เลยนะสหาย ! เพราะ Jack Dorsey มีพฤติกรรมสนับสนุน Bitcoin มาเนิ่นนานมากแล้ว และก็มีประวัติเข้าร่วมการละเล่นสนุก ๆ ตามอินเทอร์เน็ต ที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin ด้วยเช่นกัน เดี๋ยววันนี้จะไล่ประวัติของพี่แกให้ฟัง !!! ✍️
👉 Jack Dorsey เป็น Co-founder และอดีต CEO ของ Twitter (ก่อนจะเปลี่ยนชื่อแพลตฟอร์มเป็น X ภายหลังในยุค Elon Musk)
👉 ปัจจุบันก็ยังเป็นผู้ก่อตั้งร่วม, ผู้บริหารระดับสูง, และประธานกรรมการ ของแพลตฟอร์มที่ชื่อ Block มันคือแพลตฟอร์มที่เจ้าตัวเคยออกมาประกาศจะให้ร้านค้าต่าง ๆ สามารถรับชำระเงินเป็น #BTC ได้นั่นแหละสหาย
👉 แถมสมัยที่ Block ยังใช้ชื่อเก่า คือ Square พี่แกก็เคยทุ่มเงินซื้อ 5,000 BTC ให้บริษัทเก็บไว้จนเคยเป็นข่าวดังอีกด้วย และก็ยังแสดงท่าทีสนับสนุน Bitcoin อยู่เสมอมา
💬 วลีเด็ดของพี่แกที่เคยพูดก็อย่างเช่น "ในที่สุดโลกจะมีสกุลเงินเดียว อินเทอร์เน็ตจะมีสกุลเงินเดียว ส่วนตัวผมเชื่อว่ามันจะเป็น Bitcoin"
👉 หรือถ้ามีอีกอันที่ยังไม่ได้พูดถึงก็คือเป็นผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์ม Bluesky
👉 ยังมีอีกสหาย... รู้จัก Luke Dashjr กันไหม ? เขาคือผู้ที่เคยมีวีรกรรมมากมายบนหน้าประวัติศาสตร์ของ Bitcoin จนได้รับฉายา "เทวดาผู้พิทักษ์ Bitcoin" และแท้จริงยังเป็นผู้บุกเบิกสิ่งที่เรียกว่า Mining Pool อีกด้วย โดยในปี 2023 นั้น... Luke ก็ได้เปิดตัว Mining Pool ใหม่ ที่ชื่อว่า "Ocean" และหนึ่งในผู้ที่ร่วมลงทุนก็คือผู้ที่มอบฉายา "เทวดาผู้พิทักษ์ Bitcoin" ให้กับ Luke นั่นเอง คนนั้นก็คือ Jack Dorsey
⚡ ยังไม่หมด... เมื่อพูดเหตุการณ์ในตำนาน อย่างแคมเปญ "Lightning Network Torch" การละเล่นสุดสรรหาที่พาคนดังระดับโลกเข้าสู่วงการมากมาย และคนที่เข้าร่วมการละเล่นนี้ด้วย จนลากคนดังอื่น ๆ อีกหลายคนมารู้จักกับ Bitcoin Lightning Network หนึ่งในนั้นก็คือ Jack Dorsey
เอาล่ะครับ... พี่แจ็คครับ สนใจมาร่วมแคมเปญ 108 ของชาว siamstr ไหมครับ... ผลักให้เป็นไวรัลระดับโลกแบบตอน Lightning Network Torch ไปเลยยิ่งดี !!! แค่คิดก็สนุกกันแล้วเนอะ !!! ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
ครบรอบ 2 ปี... โลโก้ #Bitcoin โดนฉายขึ้นกลางตึกธนาคารกลางยุโรป !!! 🔥
ในคืนวันที่ 30 พฤศจิกายน 2023 มีกลุ่มปริศนาได้ฉายภาพโลโก้ #BTC ขนาดใหญ่ขึ้นบนตึกสำนักงานใหญ่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในเมืองแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี 📽
ข้างใต้โลโก้มีคำว่า “Study Bitcoin” (ศึกษาบิทคอยน์) ✍
จุดประสงค์ในปีนั้นคาดว่าเพื่อท้าทายและประท้วงธนาคารกลางยุโรป ในเรื่องนโยบายและการดำเนินการที่เกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล 📝
เป็นที่ทราบกันดีในปีที่เกิดเรื่อง... ธนาคารกลางยุโรปไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับ Bitcoin และสกุลเงินดิจิทัลแบบกระจายอำนาจอื่น ๆ (แม้ที่กระจายอำนาจริงมันจะมีแค่ BTC อะแค้ก--- 🤣) เป็นฝ่ายที่ต่อต้าน BTC มากที่สุดเจ้าหนึ่งเลยก็ว่าได้ ✋
ธนาคารกลางยุโรปเคยให้เหตุผลว่าสกุลเงินดิจิทัลเหล่านี้เป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพทางการเงิน, การคุ้มครองผู้บริโภค, และอำนาจอธิปไตยทางการเงิน ฮั่นแน้ !!! 👀
นอกจากนี้ธนาคารกลางยุโรปยังทำงานในการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลยูโรของตนเอง ก็คือ CBDC นั่นแหละ ซึ่งธนาคารอ้างว่าสกุลเงินดิจิทัลยูโรจะปลอดภัย, มีประสิทธิภาพ, และสะดวกสบายกว่าสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน จย้าาาาาาา เครจย้า 🙄
ไม่ใช่แค่เพื่อประท้วงเท่านั้น กลุ่มนิรนามที่ฉายโลโก้ในคืนนั้นยังเผยว่าพวกเขาต้องการสร้างความตระหนักรู้และจุดประกายการอภิปรายเกี่ยวกับอนาคตของเงินและระบบการเงินในยุคดิจิทัล โดยหวังให้ "...ผู้คนคิดถึงความหมายและคุณค่าของเงิน และแง่มุมที่ว่าเงินมันส่งผลต่อชีวิตยังไงบ้าง" 😎
การฉายโลโก้ Bitcoin บนอาคาร ECB ไม่ใช่ครั้งแรกนะสหาย ความจริงมีเหตุการณ์ประมาณนี้เกิดขึ้นมาแล้วเพียบ เช่น ไปฉายโลโก้ BTC บนสถานที่สำคัญ ไปวาดภาพใกล้ธนาคารกลาง 🎨
ตึงเปรี๊ยะ !!! แรงขับเคลื่อนมันดีจริง ๆ เลยนะสหาย วงการนี้มีอะไรเคลื่อนไหวจนออกสื่อตลอดเวลา ไม่เคยอ่อมกันเลย ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
เด็กมหาลัยยืนชูป้ายออกช่องกีฬาดัง หวังขอ #Bitcoin จากแม่ แต่ได้ไป 22 #BTC !!! 🔥
อย่างที่เห็นเลยสหาย... เด็กมหาลัยในภาพ ยืนชูป้าย "HI MOM SEND" ต่อด้วย QR Code และโลโก้ Bitcoin อารมณ์แบบ "เฮ่ แม่ ส่ง Bitcoin ให้หน่อย" (ส่งผ่าน QR Code ที่ชูนั่นแหละ55555) 🤭
แต่ไม่ได้ยืนชูตามท้องถนนนะ แต่ยืนถือป้ายนี้ออกช่องกีฬาชื่อดังของอเมริกา "ESPN" เอากับน้องแกสิ ! ไม่รู้มีคนเห็นไปตั้งกี่คนเลยตอนนั้น 🤣
เรื่องนี้เกิดขึ้นราว 12 ปีก่อน จบลงที่เด็กคนนี้ได้รับ Bitcoin ไปราว ๆ 22 BTC ซึ่ง ณ วันนี้มีมูลค่า "เกือบ $2 ล้าน" (เกิน 64 ล้านบาทไทย) 🎉
ปะ... สหาย เราไปหาป้ายกันคนละอันเถอะ อะแซวเล่นนน ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
กว่า 13 ปีแล้ว กับเหรียญทอง #Bitcoin ในตำนาน และ Jay ผู้สร้างวัฒนธรรม "Wen Lambo?" 🥇
ไอหนุ่มแลมโบกลับมาอีกแล้วสหาย ! โดยหลังจากพลิกชีวิตจากการ All in ลงในการ์ดจอเพื่อขุด #BTC ก็ยังซื้อรถแลมโบกินีด้วย Bitcoin จนโลกต้องจารึกว่า "แลมโบ" คือสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จในตลาดคริปโต จนทำเอาคนถามหาแต่แลมโบกันทั้งตลาด ("Wen Lambo?") แต่เขายังเหลืออีกตำนาน... 🤣
นอกจากเรื่องราวต่าง ๆ ข้างต้น พี่แกยังเป็นผู้ซื้อ "เหรียญทอง Casascius" หรือเหรียญทองกลม ๆ ที่มีโลโก้ Bitcoin สวยสง่า เป็นของกายภาพที่จับต้องได้ในชีวิตจริง แล้วแถมด้านในยังมี Bitcoin จริง ๆ ฝังอยู่ 1,000 BTC ด้วยนะ !!! 🔥
เหรียญทองของเขาถือว่าเป็นของแรร์สุด ๆ เพราะมันมีเพียงแค่ 3 ชิ้นบนโลก !!! และความจริงมันคือเหรียญที่มีมูลค่า "มากที่สุดในโลก" ณ ตอนนี้เลยด้วยซ้ำ !!! จนเขาให้สัมภาษณ์ว่า... การที่ผู้คนรู้ว่าเหรียญมีมูลค่าขนาดนี้อยู่กับเขา แอบเครียดมากกว่าภูมิใจ 💰
กรอบใส่เหรียญจะมีตัวเลขฐาน 2 จึงมีแต่เลข 0 กับ 1 รอบ ๆ แบบโคตรเท่สะใจ ถูกใจสาย Geek หรือคนที่อินกับการเขียนโค้ดเลยสหาย ! 💻
เหรียญทองดังกล่าวระบุไว้ชัดเจนว่าเป็น "ทองคำบริสุทธิ์ .999" (ทองคำ 99.9%) น้ำหนัก "1 ทรอยออนซ์" ตรงด้านบนของหน้าเหรียญ ⚖
มีปีระบุไว้พร้อมชื่อเหรียญ โดยสลักเอาไว้ด้านขวาของหน้าเหรียญว่า "2012 Casascius" 📌
นอกจากนั้นตรงหน้าเหรียญด้านซ้ายยังมีการสลักคำเอาไว้ว่า "Vires in numeris. ซึ่งเป็นภาษาละติน แปลได้ประมาณว่า "พลังอยู่ที่จำนวน" เป็นวลีที่มักใช้ในบริบทของ Bitcoin ตีความได้ประมาณว่าความปลอดภัยและความเชื่อมั่นของระบบไม่ได้ขึ้นอยู่กับหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เกิดจากการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานจำนวนมากในเครือข่าย ทุกธุรกรรม โหนด หรือบล็อกที่เพิ่มเข้ามาจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งและความปลอดภัยของระบบแบบกระจายศูนย์ คาดว่าหมายถึงอะไรประมาณนั้น 🗣
เจ้าเหรียญทองที่ว่ามีระบุสลักไว้ชัดเจนตรงด้านล่างของหน้าเหรียญ ว่ามีอยู่ "1,000 Bitcoins" อยู่ในนี้จ้า ซึ่งก็จะมีชุด Private Key สำหรับเข้าถึง 1,000 BTC อยู่ในนั้น ใต้ฉลากที่มีไว้ป้องกันการงัดแงะ (เพราะถ้ามีการเปิดออก มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย ฉลากนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันการแอบเปิดแบบไม่ให้ใครรู้โดยเฉพาะ) 📜
Jay ซื้อเหรียญนี้มาทั้งหมดในราคา $5,000 แต่ปัจจุบันแค่มูลค่า Bitcoin ข้างในก็ตก $67M (หกสิบเจ็ดล้านดอลลาร์สหรัฐ) เข้าไปแล้ว !!! ก็คือถ้าแกะเอา BTC ข้างในตอนนี้มาขาย (สมมุตินะ แต่ Jay คงไม่ทำ เพราะเขารัก Bitcoin มาก ๆ) คิดเป็นเงิน Fiat เขาจะได้กำไร "13,400,000 เท่า" แค่นั้นเอ๊งงง !!! 🚀
แหม่... อยากจะได้สักเหรียญจังเลยน้า ใครมีส่งให้พ่อมดได้นะสหาย ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
#Bitcoin วันนั้นได้แม็คโดนัลด์ 1 มื้อ
วันนี้ได้รถมาเซราติ คันละ 7 ล้าน ! 🎉
“ตอนปี 2011 หรือหลังจากนั้นนี่แหละ ผมถอน 2-4 Bitcoin เพื่อซื้อ McDonald's กินหนึ่งมื้อ” - ผู้ประกอบการชาวออสเตเลีย นามว่า "Kane Ellis" 🗣
โชคดีนะที่เขาขายแค่จำนวนเล็ก ๆ จากที่ถืออยู่
ไม่งั้นอาจจะต้องมานั่งเสียดายไปทั้งชีวิตแน่ 😅
ตอนนั้นแค่ถอนไปซื้อแม็คโดนัลด์กินมื้อเดียว
โดนไป 2-4 Bitcoin โดยประมาณ เลยนะ 🔥
แต่หลังจากเวลาผ่านไป เขาก็กะว่าจะถอนอีก
ซึ่งก็กะถอนจำนวนเล็ก ๆ เหมือนเดิมนั่นแหละ
เห็นว่าจะเอามาปรนเปรอตามใจตัวเองบ้าง 😁
แต่ไอจำนวนเล็ก ๆ ที่ว่ารอบนี้มันไม่เท่าเดิม !
ไอเล็กน่ะใช่ แต่ถอนออกมามูลค่ามันเพิ่ม !!!
จนซื้อรถมาเซราติสีเหลือง ได้คันหนึ่ง !!! 🏎
คันละ $200,000 (เกือบ 7 ล้านบาทไทย) 📌
การใช้จ่าย #BTC ที่ตัวเองมี ไม่ผิดนะสหาย
แต่พออ่านเรื่องนี้จบ ใครจะกล้าใช้ฟระ !!! 🤣
พวกเจ้าคิดว่าไงสหาย ? ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
สมัยก่อน กระเป๋า #Bitcoin ของชาวบ้านทั่วไป จะถือกันคนละ 50 #BTC ก็นับเป็นเรื่องปกติ 😲
โดยเมื่อ 14 ปีก่อน การจะโอนเข้าโอนออกกันเป็นหลัก Bitcoin (ไม่ได้โอนเป็นทศนิยมหรือหน่วยย่อยที่เรียกว่า Satoshi หรือ Sat) เช่น โอนทีละ 20 BTC นับว่าไม่แปลกและไม่ได้น่าตกใจอะไรเลย เรียกได้ว่าสามารถพบได้ในชีวิตประจำวัน 🌞
ซึ่งถ้าเป็นปัจจุบันนี้ 50 BTC จะเป็นมูลค่าเกิน $5M (เกิน 161 ล้านบาทไทย) เผลอ ๆ ขยับที Whale Aleart นี่แจ้งเตือนกันแล้ว 🐳
ล่าสุดพึ่งเห็นมาเลย กระเป๋ามีเงินหลักล้านดอลโดน freeze ก็ขึ้นแจ้งเตือนแล้ว BTC ขยับหลักร้อยก็แจ้งเตือน ซึ่งก็ไม่แปลกหรอก มูลค่ามันเยอะ ไม่ได้ว่าอะไรคนที่ติดตามเลยนะสหาย แค่เล่าสู่กันฟังว่าเมื่อก่อนจำนวนเท่านี้มันปกติมาก อารมณ์พาย้อนวันวาน ฟังปู่เล่าหน่อยนะหลาน อะไรงี้ สงสัยเหงา 🤣
บรรยากาศเมื่อก่อน มันดูสนุกดีเนอะ เข้าใจเลยว่าทำไมถึงมีแนวคิดเหรียญแบบ Dogecoin เกิดขึ้น เพราะเมื่อก่อนมันก็ดูเป็นของเล่นปุ๊กปิ๊กที่โอนให้กันได้สนุกสนานและเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์ให้ผู้คนได้ติดต่อสื่อสารกันจริง ๆ นั่นแหละ แต่ทุกวันนี้ถามว่ามันเติบโตมาในทางที่ถูกที่ควรแล้วไหม แน่นอนสหาย ข้าเชื่อเยี่ยงนั้น ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
การ์ดจอธรรมดา...
ขุดเจอ 25 #BTC !!!
รุ่นเก๋าเขาทำกัน ! 😎
.
เครื่องขุดหน้าตาประหลาด
ที่เราเห็นในภาพประกอบ
มันคือเครื่องขุด #Bitcoin
ใช้ขุดได้จริง ๆ นะ !!!
สมัยยุครุ่นเก๋าเขาขุดกัน
.
ถ้าใครเกิดสงสัยขึ้นมาว่า
มันก็แค่ "การ์ดจอ" ธรรมดา
ที่อยู่ในคอมเราไม่ใช่เหรอ ?
คำตอบคือ... ใช่เลย !!!
มันแค่ GPU คอมนี่แหละ
.
แต่อย่าทำเป็นเล่นไปนะ
เพราะในบล็อกแรกสุด
ของ Halving ปี 2012
(Halving ครั้งแรกของโลก)
เคยมีคนใช้มันขุดสำเร็จ
.
ตอน Halving ครั้งแรก
รางวัลของผู้ที่ปิดบล็อกได้
จากบล็อกละ 50 BTC
จะลดลงไปครึ่งหนึ่ง
เหลือ 25 BTC ต่อบล็อก
.
การ์ดจอธรรมดาอันเดียว
ได้ 25 BTC ในบล็อกนั้น
เปิด Halving ปุ๊บ...
ปิดบล็อกแรกสำเร็จเลย
และได้รางวัลทั้งหมด
.
แต่เพื่อความแฟร์นะสหาย
ต้องบอกไว้ก่อนว่าสมัยนั้น
ยังไม่ได้มีเครื่อง ASIC
.
คนส่วนใหญ่ก็ใช้แค่ GPU
และก่อนหน้านั้นเป็น CPU
บน Laptop ก็มีด้วยซ้ำ
.
จึงอาจนับว่าความสำเร็จนี้
ไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือโชคดีนัก
(หมายถึงในด้านกำลังขุด)
เพราะคู่แข่งส่วนใหญ่เอง
ก็เป็นการ์ดจอเหมือนกัน
.
และไม่นานในปี 2013
ซึ่งเวลาไล่เลี่ยกันมาก
เครื่อง ASIC ค่อยมา
.
โดยรุ่นของการ์ดจอที่ใช้
คือซีรีส์ Radeon HD 5800
ซึ่งการ์ดจอนี้ราคา $500
หรือประมาณ 16,145 บาท
ถือว่าก็แรงแล้วมั้ง สมัยนั้น
.
หลายคนอาจจะมองว่า...
การ์ดจอสเปคแค่นี้ "แพงจัง"
ก็คงไม่แปลก เพราะสมัยนั้น
การ์ดจอยังราคาสูงมากกก
รุ่นแรง ๆ ก็มีแค่ประมาณนี้
.
ต่างกับสมัยนี้ที่มีแรงกว่ามาก
แถมรุ่นเก่า ๆ ที่ออกมานาน...
ก็ราคาตกจนถูกแบบทุกวันนี้
.
แต่ความพีคที่ชวนเอาตกใจ
คือการ์ดจอที่ว่าไปเครื่องนี้
พึ่งเริ่มขุดได้ไม่ถึงสัปดาห์ 🔥
.
บางคนขุดมาทั้งชีวิตก็มี
ยังไม่เคยปิดบล็อกได้สักครั้ง
อันนี้ขุดไม่ถึงสัปดาห์ได้เลย
.
ซึ่งผู้ที่ขุดได้ตอนนั้นคือ
Mining Pool ชื่อ "Slush"
(มีข่าวประกาศไปทั่วเลย)
.
ใครไม่รู้จัก Mining Pool
มันคือการเอาพลังขุด
จากเครื่องขุดตัวเอง
ส่งไปรวมกันเพื่อช่วยกันขุด
แล้วแบ่งรางวัลที่ได้ร่วมกัน
.
เจ้าของการ์ดจอในตำนาน
ที่ใช้ปิดบล็อกสำเร็จนี้
ใช้ชื่อเล่นว่า "laughingbear"
.
ภายหลัง (26 ส.ค. 2013)
การ์ดจอนี้ได้ถูกขายให้กับ
"ช้างน้อย" (Chaang Noi)
สมาชิกชื่อดังคนหนึ่งใน...
เว็บไซต์ BitcoinTalk
.
มีรูปภาพจำนวนหนึ่ง
ของการ์ดจอเครื่องนี้
ถูกโพสต์ลงใน Bitmit
เว็บซื้อขายของออนไลน์
หน้าตาคล้าย Ebay
แต่ใช้ Bitcoin ซื้อขาย
แต่ตอนนี้ภาพหายหมด
.
หวังว่าเรื่องนี้จะอ่านกัน
แล้วสนุกสนานนะสหาย
ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
.
#พ่อมดคริปโต #siamstr
"พื้นฐาน" ของ #Bitcoin ไม่เคยเปลี่ยนไป...
มีแต่ "ใจคน" ที่เปลี่ยน... (ตามราคา555) 🧙♂️
#BTC #พ่อมดคริปโต #siamstr
ครบรอบ 15 ปี "#Bitcoin Logo Day" !!! 🎉
วันกำเนิดโลโก้ #BTC ที่ใช้กันมาจนวันนี้ 🎂
วันนี้ (1 พ.ย.) แต่เป็นเมื่อปี 2010 ถือเป็น...
วันเกิดโลโก้ Bitcoin สีส้มอ้วนกลมที่ใช้กัน
ซึ่งมันก็คือโลโก้อันปัจจุบันนี้แหละ !!! 🥳
ภาพโลโก้ BTC ที่พวกเราใช้กันทุกวันนี้นั้น...
ถูกสร้างขึ้นและเผยแพร่โดยศิลปินท่านหนึ่ง
ที่ใช้นามแฝงบนโลกออนไลน์ว่า "bitboy"
ซึ่งเป็นนามแฝงบนเว็บ Bitcointalk forum
ซึ่งก็คือเว็บที่โลโก้นี้ถูกเผยแพร่ครั้งแรก 🖼
โลโก้นี้ถูกระบุรายละเอียดต่าง ๆ ไว้ชัดเจน
เช่น "ภาพนี้ปรับเอียง 14% ตามเข็มนาฬิกา"
เป็นภาพตัดพื้นหลังโปร่งใส สกุลไฟล์ PNG
ก่อนที่จะมีแบบ vector ให้โหลดภายหลัง
มีลองวางให้ดูทั้งบนพื้นหลังสว่างและมืด 😲
และในหัวข้อกระทู้เดียวกันที่โพสต์เอาไว้...
bitboy ก็ยังแปะภาพอื่น ๆ อีกมากมายเลย
ตัวอย่าง เช่น "Bitcoin Accepted Here",
"Love Bitcoin", และ "Bitcoin wallet" 👏
แต่ภาพที่ชุมชนชอบมาก เสียงตอบรับดีสุด
จนถูกยกให้เป็นภาพแบรนด์ดิ้งของ Bitcoin
ที่ "ดีที่สุดตลอดกาล" ก็คือ "Bitcoin Logo"
และมันก็ถูกใช้งานมาจนถึงวันนี้นั่นเอง ! 💖
นี่ก็คือที่มาของภาพโลโก้ Bitcoin นั่นเอง
เหรียญสีส้ม กลม ๆ ที่เอียงตามเข็ม 14%
กระทู้ดังกล่าวยังอยู่เลยนะสหาย ไปดูได้
เดี๋ยวแปะวาร์ปให้ แค่ภาพอาจหายหมด...
คงหมดอายุ ไม่ก็เซิร์ฟเวอร์ที่รับฝากภาพ
คงจะปิดตัวหรือบินไปแล้ว ไม่แน่ใจแฮะ
หวังว่าจะอ่านสนุกนะ ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
ครบรอบ 49 ปี !!! วันกำเนิด Public/Private Key !!! ถ้าไม่มีสิ่งนี้ #Bitcoin และคริปโตก็ไม่เกิด 👏
1 พ.ย. ของทุกปี ถูกตั้งให้เป็นวัน "Diffie-Hellman day" เพื่อรำลึกถึง Whitfield Diffie และ Martin E. Hellman ผู้ริเริ่มแนวคิดเรื่องคู่ Public Key และ Private Key ซึ่งมันทำให้ศาสตร์ Cyptography ก้าวผ่านกำแพงด่านสำคัญของมนุษยชาติมาได้จนวันนี้ !!! คารวะจากใจจริงขอรับ 🙏
ในสมัยก่อน ศาสตร์ Cryptography เคยติดปัญหาใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา นั่นคือการที่ "ผู้รับและผู้ส่ง ต้องใช้ Secret Key เดียวกัน" 🗝
Secret Key เปรียบเสมือนเป็น "กุญแจลับ" ที่ใช้สำหรับ "เข้ารหัสข้อความ" (encrypt) ดังนั้นหากเราอยากจะสื่อสารกับใครแบบลับ ๆ เราจำเป็นจะต้องมี Secret Key เพื่อใช้เข้ารหัสข้อความเสียก่อน 👍
แต่ประเด็นคือ... ไอเจ้า Secret Key มันดันจำเป็นต้องใช้เพื่อ "ถอดรหัสข้อความ" (decrypt) ด้วยเช่นกัน !!! ดังนั้นถ้าอีกฝ่ายไม่มี Secret Key ของเรา ก็จะไม่สามารถอ่านข้อความที่เราสื่อสารไปหาได้ !!! เอ้า !!! ง่าย ๆ คือคนสองคนจะต้องใช้ Secret Key เดียวกัน เพื่อเข้ารหัสข้อความและถอดรหัสข้อความกันไปมา ไม่เช่นนั้นก็จะไม่สามารถสื่อสารกันลับ ๆ สองคนได้ (แค่ฟังก็นึกภาพงานงอกออกเต็มเลย) 🤣
ตอนนี้ถ้าให้เห็นภาพง่าย ๆ ... เราต้องใช้ Secret Key ในการล็อค และต้องใช้มันในการปลดล็อคด้วยเช่นกัน ตอนนี้จึงเหมือน Secret Key มันเป็นทั้ง "แม่กุญ+ลูกกุญแจ" ในอันเดียว ถ้าเราอยากสื่อสารกับใคร ก็ต้องยอมให้เขารู้ Secret Key ของเราด้วย ทีนี้พอจะจินตนาการปัญหาที่จะตามมาได้ไหมสหาย ? 🙃
❌ ปัญหาที่ตามมา คือ... ก็ในเมื่อทั้งผู้รับและผู้ส่งมี Secret Key เดียวกัน หมายความว่าเขาก็จะแอบอ่านข้อความที่เราคุยกับคนอื่นโดยใช้ Secret Key นี้ได้เช่นกัน (ถ้าเราแบ่ง Secret Key ให้คนอื่นใช้มากกว่า 1 คน) นี่คือปัญหาแรก !!!
❌ ไม่พอนะ... เราจะไว้ใจได้ยังไง ว่าผู้รับจะเอา Secret Key เราไปเพื่อใช้ถอดรหัสอ่านข้อความอย่างเดียว ในเมื่อมันคือ Secret Key เดียวกันกับที่เขาสามารถใช้เข้ารหัสข้อความและเป็นผู้ส่งได้เหมือนกัน ผู้รับจึงจะแกล้งตีเนียนเป็นผู้ส่งก็ได้ ส่งข้อความและตีเนียนเป็นอีกฝ่ายหนึ่งก็ได้ ก็ไม่รู้อยู่แล้วนิว่าใครรับใครส่ง เพราะคนเข้ารหัสกับคนถอดรหัสมันคือคนที่มี Secret Key เดียวกัน
ทีนี้... ถ้าโลกยังฝืนดันทุรังใช้ศาสตร์ Cyptography ที่มีช่องโหว่ใหญ่ขนาดนี้กันต่อไป จนถึงขั้นเข้าสู่ยุค Cryptocurrency ขึ้นมา ไม่อยากจะนึกภาพเลย... ในโลกที่คนโอนเงินและคนรับเงินต้องใช้ Secret Key เดียวกัน 😱
ผู้รับเงินที่รู้ Secret Key ของผู้โอน ก็จะสามารถใช้จ่ายเงินในกระเป๋าได้โดยไม่ต้องขออนุญาต สามารถเซ็นธุรกรรมต่าง ๆ หรือ Sign Smart Contract ใด ๆ ก็ได้ จะโยกเงินเราไปที่อื่นเล่น ๆ ยังไงก็ได้ อลม่านกันหมดแน่นอนทีนี้ ต้องขอบคุณนักนวัตกรรมยุคก่อน ๆ ที่ใส่ใจกับปัญหานี้ ไม่ทู่ซี้จะมองข้ามปัญหาและพัฒนาอะไรต่อไปมั่ว ๆ ซั่ว ๆ (เข้าใจเนอะว่าจะสื่ออะไร หึหึ...) เราจึงไม่ต้องประสบกับพหุจักรวาลนั้นกัน ฮู้เร่ !!! 55555555 🌌
และต้องขอขอบคุณ Diffie และ Hellman ที่ริเริ่ม "คู่ Public Key และ Private Key" ขึ้นมา ✅
โดยทั้ง Public Key และ Private Key จะมีความเชื่อมโยงกันในเชิงคณิตศาสตร์ ก็เลยเป็นที่มาที่หลายคนกลัวจะโดน Quantum Computer ย้อนรอยหา Private Key กันหนักหนานั่นแหละ คือมันก็ไม่ใช่ว่ามันไม่มีความเสี่ยงหรอก ตอนนี้มันยังมี แต่ขอไม่พูดเรื่องนี้แล้วนะ ขี้เกียจจะตอบแล้ว แหะ ๆ 😅
โดย Public Key จะมีไว้ใช้ encrypt ได้อย่างเดียว แต่ไม่สามารถใช้ decrypt ได้ เราจึงสามารถส่งในพื้นที่สาธารณะหรือให้ใครรับรู้ก็ได้ โดยไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยในเชิงการเข้ารหัส เพราะต่อให้คนนอกเห็น "แม่กุญแจ" ของเรา แต่เขาก็ไม่มีอะไรมาไข ส่วน Private Key ที่ทำหน้าที่เปรียบเสมือน "ลูกกุญแจ" อันนี้เราต้องเก็บไว้ให้ปลอดภัย เรารู้ได้คนเดียว ไม่ต้องทะลึ่งบ้องไปแชร์ให้ใครทั้งนั้น 🔐
ด้วยเหตุนี้ ศาสตร์ Cyptography จึงแก้ปัญหาคอขวดในอดีตได้ และทำให้เราได้มี #BTC รวมถึงพวกเหรียญคริปโตอื่น ๆ ใช้กันจนปัจจุบันนี้นั่นเองงงง ขอบคุณฮ้าฟฟู่ววว 🎉
และหากย้อนไปยังวันที่เปเปอร์เรื่องนี้ถูกปล่อยออกมา (1 พ.ย. 1976) วันนี้ก็ถือเป็นวันครบรอบ 49 ปีแล้ว หวังว่าจะอ่านสนุกกันนะสหาย ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
ฉลอง 17 ปี #Bitcoin Whitepaper Day ด้วย 17 Fun Facts เกี่ยวกับ Bitcoin White Paper !!! 🤩
🗓️ 1. วันนี้ เป็นวันครบรอบ 17 ปี ที่ White Paper
ของเครือข่าย Bitcoin ถูกเผยแพร่สู่สาธารณชน
โดย Satoshi Nakamoto ตัวผู้สร้าง #BTC เอง
วันนี้ เดือนนี้ เมื่อ 17 ปีก่อน (31 ตุลาคม 2008)
จึงนับเป็นวันปล่อย White Paper แบบทางการ !
(ผู้ที่ได้รับกลุ่มแรกคือเหล่า Mailing List)
📃 2. Bitcoin White Paper ยาวเพียง 2,736 คำ
สั้นกว่าเปเปอร์วิชาการทั่วไปโดยเฉลี่ยราวครึ่งหนึ่ง
(เปเปอร์วิชาการยาวเฉลี่ย 4,000 ถึง 10,000 คำ)
📛 3. มีคำว่า Bitcoin ในเปเปอร์เพียงแค่ 2 ครั้ง
หลายคนเชื่อว่า Satoshi Nakamoto ไม่ได้คิดไว้
และอาจจะมาตั้งชื่อโปรเจ็กต์นี้ว่า Bitcoin ทีหลัง
โดยมีหลักฐานปรากฎไว้ด้วยว่า ซาโตชิ "อาจจะ"
ตั้งใจเรียก “Electronic Cash” หรือ “Netcoin”
ในตอนเริ่มคิดโปรเจ็กต์ (เดี๋ยวแปะวาร์ปให้555)
⏲ 4. ใน White Paper ไม่มีคำว่า "blockchain"
และไม่มีคำว่า "cryptocurrency" แม้แต่คำเดียว
แต่ซาโตชิเรียกสิ่งที่ทำหน้าที่ blockchain ว่า...
"เซิร์ฟเวอร์ประทับเวลา" (timestamp server)
ส่วนเปเปอร์เวอร์ชั่นก่อนหน้า เรียก "timechain"
📦 5. คำที่ใช้บ่อยที่สุด คือ คำว่า "block"
โดย "บล็อก" คือชุดธุรกรรมที่ได้รับการ...
"ประทับเวลา" ลงบนบล็อกเชนแล้ว และได้รับ
"การอนุมัติว่าถูกต้อง" จากเครือข่าย Bitcoin
ซึ่งคำนี้ถูกใช้บ่อยถึง 48 ครั้งใน White Paper
ทั้งนี้คือไม่ได้นับพวกที่เติม s ต่อท้ายนะสหาย
เช่น คำว่า "transaction" กับ "transactions"
จะนับว่าเป็นคนละคำกัน คำไหนถูกใช้กี่ครั้งว่าไป
ทั้งสองคำจะไม่ถูกนับจำนวนการใช้รวมกันนะ
🔢 6. ไม่ได้มีสมการคณิตศาสตร์เยอะขนาดนั้น
หลายคนอาจเข้าใจว่าเปเปอร์นี้ต้อง Geek มาก
คงมีสมการทางคณิตศาสตร์เต็มไปหมดแน่เลย
แต่ความจริง "ไม่ใช่เลย" สหาย นับทั้งเปเปอร์
ประกอบด้วยสมการทางคณิตศาสตร์ทั้งหมด...
เพียงแค่ "3 สมการ" เท่านั้น (เดี๋ยวแปะวาร์ป)
แถมนิด ทั้ง 3 สมการที่ยกขึ้นมาประกอบนั้น...
เพื่อแสดงให้เห็นถึงความน่าจะเป็นที่จะมีคน...
โจมตีหรือขัดขวางเครือข่าย Bitcoin ได้นั่นเอง
คนอ่านจะได้เห็นภาพว่าเครือข่ายปลอดภัย 💪
✍ 7. ซาโตชิเขียนโค้ดก่อนเขียนเปเปอร์
โดยมีข้อความที่เขาเคยบอกว่าเขานั้น...
เขียนโค้ดอยู่ราว 2 ปีก่อนปล่อยเปเปอร์
🗣 8. Bitcoin White Paper มีการอ้างอิง
ถึงแหล่งข้อมูล 8 รายการ ซึ่งในนั้นมีพูดถึง
โปรเจ็กต์ที่พยายามจะสร้างเงินสดดิจิทัล
อย่าง B-money โดย Wei Dei และพูดถึง
Hashcash โดย Adam Back ด้วยเช่นกัน
และในปัจจุบัน ก็มีเพียงแค่ Adam Back
ที่ยังมีมีส่วนร่วมอยู่ในโลกคริปโตทุกวันนี้
(หมายถึงในบรรดาชื่อคนทีพูดถึงอะนะ555)
💻 9. มีการระบุว่า CPU ใช้สร้างบล็อก
ใน White Paper ระบุว่าพลังงานจาก CPU
จะถูกใช้เพื่อสร้างบล็อก ซึ่งไม่ใช่แล้ว !
ปัจจุบันข้อนี้จึงไม่ได้ถูกต้องเสียทีเดียว
เพราะพลังงานคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่
ที่ใช้กันในเครือข่าย มาจากเครื่อง ASIC
🎃 10. จงใจปล่อยในวัน Halloween ?!
วันที่และเวลาแบบเป๊ะ ๆ ที่ปล่อยเปเปอร์
คือ... "วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม" !!! ปี 2008
ณ ตอน 14:10 น. ตามเวลาฝั่งตะวันออก
หลายคนจึงคาดเดาว่าเป็นการ "ตั้งใจ"
เพื่อจะได้เล่นกับธีมของวัน Halloween
ในเรื่อง "การดับสูญและเกิดสิ่งใหม่"
สื่อถึงช่วงเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยเก่า
ที่เงินแบบเก่ากำลังจะได้เวลาจบไป
และได้เวลากำเนิดยุคสมัยเงินใหม่ขึ้น
แต่ก็ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันได้เลย
เป็นเพียงการคิดต่อยอดกันเองเท่านั้น
🤏 11. ไม่มีการพูดเรื่อง 21 ล้านเหรียญ !!!
หลายคนเชื่อว่าเรื่อง Bitcoin จะมีกี่เหรียญ
ซาโตชิน่าจะตัดสินใจเป็นส่วนท้าย ๆ สุดเลย
เพราะในเปเปอร์ไม่มีพูดถึงแม้แต่คำเดียว
มาประกาศเรื่องนี้เอาตอน มกราคม ปี 2009
🔥 12. เป็นที่ถกเถียงยับตอนเปเปอร์ออก !
เหล่า Mailing List (รายชื่อผู้จะได้รับอีเมล)
ต่างถกเถียงกันดุเดือดหลังเปเปอร์ออกมา
จนผู้ดูแลต้องเข้ามาแทรกกลางและห้ามไว้
โดยบอกให้คุยกันแค่เรื่องโปรโตคอลเท่านั้น
หยุดลามไปจวกเงิน Fiat, ภาษี, หรืออื่น ๆ
และถ้าอยากคุยให้ก็ทำ Mailing List แยก
ซึ่ง Satoshi และ Hal Finney ก็ทำแยกจริง
🤔 13. คนแรกที่ตอบกลับเปเปอร์ยังอยู่ !
James A. Donald คือคนแรกที่ตอบกลับ
เพื่อแสดงความเห็นที่มีต่อ White Paper
ซึ่งทุกวันนี้เขาก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่ตอนนั้น...
เขาดันไม่เชื่อด้วยซ้ำว่ามันจะสำเร็จได้จริง
😎 14. Hal Finney นี่แหละของแทร่ !!!
เขาคือคนทดลองใช้งาน Bitcoin คนแรก
และให้การสนับสนุนซาโตชิเรื่อยมาแต่เดิม
ทันทีที่ได้อ่าน White Paper เขาพูดเลยว่า
ระบบ Proof of Work นี่แหละ เป็นแนวคิด
ที่ "มีแนวโน้มจะสำเร็จสูงมาก ๆ" 💪
⚖ 15. White Paper โดนกฎหมายโจมตี
หลายคนตอนนั้นก็ดราม่ากันยับ ไม่แฟร์เลย
แต่ช่างเถอะ เพราะมันทำให้แข็งแกร่งขึ้น
หลัง White Paper โดนสั่งลบ ก็มีเว็บไซต์
หลายแห่งทั่วโลกช่วยกันกระจายให้เลย
แม้แต่เว็บของภารรัฐสหรัฐและเมืองไมอามี
ก็มี White Paper นี้แปะบนหน้าเว็บเช่นกัน
แม้แต่บริษัทมหาชน อย่าง บริษัท Block
และบริษัท Microstrategy ก็ด้วย อิอิ ! 💪
📱 16. บางส่วนของเปเปอร์ก็ไม่ได้ไปต่อ
ใน White Paper ซาโตชิเคยมีเสนอเรื่อง
การแก้ปัญหาด้าน Scaling เอาไว้ โดยใช้
"Simple Payment Verification (SPV)"
เป็นแนวคิดที่จะทำให้ผู้ใช้ยืนยันธุรกรรม
โดยไม่ต้องดาวน์โหลดข้อมูลทั้งหมดมา
ไม่ต้องดึงมาหมดทั้งเครือข่ายบล็อกเชน
แต่แนวคิดนี้ยังมีช่องโหว่และไม่ได้ไปต่อ
(ซึ่งซาโตชิก็รู้ ไม่ได้บอกว่ามันสมบูรณ์)
ข้อเสนอนี้ไม่ได้ถูกนำมาใช้ในท้ายที่สุด
ไม่ได้ถูกพัฒนาต่อ และมีทางอื่นมาแทน
🌐 17. เว็บไซต์แรกที่ให้โหลดเปเปอร์
คือ "Bitcoin .org" ปัจจุบันก็ยังมีอยู่นะ
แถมมีให้เลือกโลดมากกว่า 40 ภาษา
แต่ประเด็นคือ... ข้าได้ยินมาว่าเว็บนี้นั้น
เคยมีประวัติโดนแฮ็คอยู่ และเคยมีเหตุ
ปล่อย client เวอร์ชั่นอันตรายลงในเว็บ
ใครจะเข้าไปยุ่งอะไรกับเว็บนี้ก็ดูให้ดีนะ
เสียหายโทษใครไม่ได้ เช็คกันเอง555
จบแล้วกับ 17 Fun Facts เกี่ยวกับ
#Bitcoin White Paper เพื่อฉลอง
ครบรอบ 17 ปี Whitepaper Day
อ่านกันเพลิน ๆ นะ ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
ทุกอย่างเริ่มขึ้นจากอีเมลฉบับนี้ !!! ครบรอบ 17 ปี อีเมลในตำนาน 📧
📌 วันศุกร์ที่ 31 ต.ค. ปี 2008 เป็นวันที่ Satoshi Nakamoto (ซาโตชิ นากาโมโตะ) ได้ส่งอีเมลฉบับสำคัญของโลก ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งในภายหลัง จนเกิดเป็น #Bitcoin และก้าวข้ามกาลเวลามาจนถึงทุกวันนี้
📝 ศัพท์เทคนิคในอีเมลฉบับนี้ก็ เช่น:
- peer-to-peer = บุคคลถึงบุคคล
- double-spending = การใช้จ่ายซ้ำซ้อน
(เช่น การพยายามทำให้เกิดการโอนเงินจำนวนเดิมที่เคยถูกโอนออกไปแล้วซ้ำอีกรอบ ทั้งที่เงินจำนวนนั้นควรจะถูกโอนออกไปได้แค่รอบเดียว เรียกง่าย ๆ คือการพยายามจะใช้จ่ายเงินก้อนเดิมซ้ำทั้งที่ตัวเองใช้จ่ายไปแล้ว)
- proof-of-work = หลักฐานการทำงาน
(เป็นกลไกฉันทามติที่ใช้ตรวจสอบความถูกต้องในบล็อกเชน หนึ่งในจุดประสงค์หลักที่ถูกคิดค้นขึ้นมาก็เพื่อแก้ไขปัญหา double-spending)
- Hashcash = ชื่อของบล็อกเชนรุ่นบรรพบุรุษที่มาก่อน Bitcoin
อีเมลดังกล่าวใช้หัวข้อว่า "Bitcoin P2P e-cash paper" และเริ่มเกริ่นด้วยการจั่วหัวว่า "ฉันกำลังพัฒนาระบบเงินอิเล็กทรอนิคที่เป็นแบบ peer-to-peer เต็มตัว โดยไม่ต้องเชื่อใจบุคคลที่สาม"
ในอีเมลมีการแนบลิงค์เปเปอร์เอาไว้ให้ผู้ที่สนใจได้เข้าไปอ่านกันแบบละเอียดกันได้ และแอบมีการเปรยคุณสมบัติเอาไว้ในอีเมลก่อนว่า:
✍️ คุณสมบัติหลัก:
- ป้องกัน double-spending ด้วยเครือข่าย peer-to-peer
- ไม่มีการสร้างเหรียญขึ้นมาก่อนหรือมีบุคคลที่สามที่ต้องเชื่อใจใด ๆ
- สามารถมีส่วนร่วมแบบนิรนามได้
- เหรียญใหม่จะเกิดจากระบบ proof-of-work สไตล์ Hashcash
โดยการพิสูจน์การทำงานเพื่อทำให้เกิดเหรียญใหม่ขึ้นมานี้ยังเสริมพลังให้กับเครือข่ายเพื่อป้องกัน double-spending
ประมาณนี้สหาย ที่เหลือพี่แกก็เล่นแปะ Abstract ซะยาวเหยียด ก่อนจะปิดท้ายด้วยลิงค์เปเปอร์อีกรอบ และทิ้งชื่อ Satoshi Nakamoto ลงท้ายตามฉบับคนจดหมายสมัยก่อน 📫
อีเมลในตำนานฉบับนี้ได้ถูกส่งไปให้ Cryptography Mailing List ซึ่งเป็นลิสต์รายชื่ออีเมลของเหล่า cryptographer, นักวิจัย, และผู้ที่มีไฟในคริปโต ณ ตอนนั้น คืออีเมลเหล่านี้มาสมัครขอรับข้อมูลไว้จากเว็บไซต์ เวลาซาโตชิส่งอีเมลหา Cryptography Mailing List ก็คืออีเมลจะถูกส่งกระจายไปให้ทุกคนที่พูดถึงข้างต้นโดยอัตโนมัติ 👍
และทุกวันนี้ #BTC มาไกลมาก ! อีเมลฉบับดังกล่าวนับว่าเป็นอีเมลในตำนานที่ช่วยให้เกิดนวัตกรรมที่ยิ่งใหญของโลกที่ชื่อ Bitcoin เลยก็ว่าได้ เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างก่อนจะมีตลาดคริปโตให้เทรดกันแบบทุกวันนี้ 🤣
และวันนี้ก็ครบรอบ 17 ปีของอีเมลฉบับดังกล่าวแล้วนะสหาย !!! Happy Bitcoin Whitepaper Day นะสหาย !!! ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr