รวงทอง สุกงาม อร่ามทุ่ง
รอคน มุ่งหน้า มาเก็บเกี่ยว
สายหมอก โรยตัว พาดลดเลี้ยว
ผืนเดียว ห่มไว้ คล้ายม่านบัง
หมอกมัว ซับซ้อน ทัศนีย์
เหมือนกังวล ที่รุมรัง ไม่จืดจาง
บังปัญญา มืดมิด ไร้หนทาง
หลงลืมสิ้น ความจริง อันนิ่งงัน
แต่ม่าน หมอกนั้น คือสิ่งลวง
เกิดจากห้วง เย็นชื้น เพียงชั่วครู่
มิอาจคง ค้ำฟ้า ให้เชิดชู
ย่อมเลือนลับ เมื่ออาทิตย์ เริ่มกลับกลาย
รอเพียง ตะวัน ฉายแสงอุ่น
ไอหมอกขุ่น จักพลัน สิ้นแรงหาย
ดุจความทุกข์ ทานทน สำแดงกาย
เผยจริงได้ แห่งทุ่งทอง ที่รอคอย
GM #Siamstr
หมอกมัว ซับซ้อน ทัศนีย์
เหมือนกังวล ที่รุมรัง ไม่จืดจาง
บังปัญญา มืดมิด ไร้หนทาง
หลงลืมสิ้น ความจริง อันนิ่งงัน
แต่ม่าน หมอกนั้น คือสิ่งลวง
เกิดจากห้วง เย็นชื้น เพียงชั่วครู่
มิอาจคง ค้ำฟ้า ให้เชิดชู
ย่อมเลือนลับ เมื่ออาทิตย์ เริ่มกลับกลาย
รอเพียง ตะวัน ฉายแสงอุ่น
ไอหมอกขุ่น จักพลัน สิ้นแรงหาย
ดุจความทุกข์ ทานทน สำแดงกาย
เผยจริงได้ แห่งทุ่งทอง ที่รอคอย
GM #Siamstr

ภาพนี้สะท้อนชัดเจนในวงการฟุตบอล
ดังที่เราเคยเห็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พยายามแก้ปัญหาตลอดหลายปี ด้วยการโยนชื่อนักเตะระดับโลกเข้ามา
พวกเขาถูกคาดหวังให้เป็นคำตอบ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเพียงยาแก้ปวดชั่วคราว เพราะนั่นคือการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
คือการพยายามหาใครสักคนมากลบเกลื่อนอะไรบางอย่างที่พังทลาย
แต่เส้นทางของผมเริ่มต้นต่างออกไป
เรา (ผม) เริ่มจากศูนย์ จากทีมที่ไม่มีใครรู้จัก
ผมไม่ได้คร่ำครวญถึงความขาดแคลน
หรือโอดครวญว่าในมือเราไม่มีคนเก่ง
ผมไม่ได้ตั้งคำถามว่าใครจะเก่งพอจะทำงานให้เรา?
ผมตั้งคำถามว่าอะไรกันแน่ที่จะประกอบกันเป็นทีมที่ดี?
เรามองไปยังภาพใหญ่
มองธงที่ปักไว้ยังดาวเหนืออันไกลโพ้น
แล้วจึงเริ่มออกแบบองค์ประกอบเหล่านั้นขึ้นมา ค่อยๆ ขัดเกลาสิ่งที่เรามีในมือ
ผมไม่ได้มัวแต่วิ่งไล่ดับไฟ ปะผุสิ่งที่ผุพังไปวันๆ เรากำลังสร้างรากฐาน สร้างระบบความคิด สร้างความเข้าใจร่วมกัน
การเดินทางสายนี้ต้องอาศัยความอดทน
ผมเฝ้ามองวัตถุดิบที่เราค่อยๆ สรรหามา
อาจยังไม่ใช่เพชรน้ำงาม แต่ผมเห็นประกายบางอย่างในตัวพวกเขา
เราค่อยๆ เจียระไนพวกเขา
เรารอคอยให้เม็ดเหงื่อแห่งความพยายามได้ออกดอกออกผล เราไม่รีบเด็ดกินผลไม้ที่ยังดิบ
เพราะผมเชื่อมั่นว่าผลสุกจริงในเวลาที่ควร
ย่อมคุ้มค่ากับการรอคอยเสมอ แม้จะต้องใช้เวลานานเพียงใดก็ตาม
สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือศิลปะในการผสมผสานหัวใจของแต่ละคนให้กบายเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
หลายคนพยายามใช้พลังของตัวเองในการนำ
พยายามเปล่งแสงสว่างเพื่อให้ทีมเดินตาม
แต่สำหรับผม พลังบวกที่ยั่งยืน ต้องเกิดจากแสงเล็กๆ ที่เปล่งออกมาจากข้างในของทีมงานทุกคน
หน้าที่ของผมไม่ใช่การเป็นดวงอาทิตย์ มันคือการร้อยเรียงแสงดาวเหล่านั้นให้กลายเป็นท้องฟ้าผืนเดียวกัน สร้างบรรยากาศที่ทำให้พวกเขาอยากส่องสว่างด้วยตัวเอง
ปรัชญานี้คือสิ่งที่ผมชื่นชมในแนวคิดของรูเบน อโมริม
ผมไม่ได้อยากจะยกย่องในแทคติกหรือผลการแข่งขัน ผมรู้สึกชื่นชมที่เขาเข้ามาเปลี่ยนคำถามของสโมสรในมุมมองใหม่
เขาไม่ได้ถามว่าต้องซื้อใคร?
เขาถามว่าทำไมคนที่มีอยู่ถึงเล่นไม่ได้?
เขาเริ่มรื้อสร้างความเข้าใจ เขาเริ่มแก้ที่ต้นเหตุ เขาศรัทธาในกระบวนการมากกว่าตัวบุคคล
มันทำให้ผมนึกถึงวันที่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันอำลาทีม เขาอาจทิ้งทีมที่ดูขี้เหร่ในสายตาคนนอก (แต่มันก็คือทีมที่เป็นแชมป์)
เพราะเขาคือคนที่รู้จักคนพวกนั้นดีที่สุด เขารู้ว่าอะไรขับเคลื่อนจิตวิญญาณของทีม
ท้ายที่สุด... คนที่ปั้นทีมมากับมือย่อมผูกพันด้วยหัวใจที่ต่างออกไป
เราย่อมรู้ว่าทีมนี้พุ่งไปข้างหน้าได้เพราะอะไร
หากวันหนึ่งมีคนอื่นมารับช่วงต่อ พวกเขาย่อมประเมินสิ่งที่เราสร้างด้วยเลนส์ของตัวเอง
พวกเขาสวมแว่นตาคนละอันกับเรา
พวกเขามีหัวใจคนละดวง
พวกเขาอาจมองว่าทีมนี้ไม่สวยงาม
และอาจพยายามเติมฮีโร่คนใหม่เข้ามา เพื่อทำลายจิตวิญญาณเดิมที่เคยหล่อเลี้ยงทีมไว้
จนทุกอย่างค่อยๆ เดินไปสู่การพังทลายลงอีกครั้ง
การสร้างทีมที่แท้จริงในความคิดผมนั้น ไม่ใช่การเร่งสะสมคนเก่ง
มันคือการสร้างกระบวนการ เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน
...ด้วยหัวใจของคนของเราเอง
#Siamstr
ผมไม่ได้อยากมานั่งวิเคราะห์ว่างานนี้จะได้กี่คะแนน หรือจะถูกมองว่าดีมากแค่ไหน
ในฐานะเพื่อนร่วมทางไปสู่เป้าหมายเดียวกัน สิ่งที่ผมรู้สึกมีเพียงอย่างเดียวคือ.. ผมอยากจะไปอยู่ตรงนั้น อย่างน้อยก็เพื่อส่งกำลังใจ ให้เขารู้ว่าไม่ได้เดินอยู่ลำพัง
ทุกครั้งที่เห็นเพื่อน ๆ ค่อย ๆ ก้าวเข้ามามีบทบาทในเส้นทางนี้ ผมรู้สึกทั้งภูมิใจและปิติ เหมือนสิ่งที่เราเคยช่วยกันปลูกเอาไว้ กำลังมีต้นใหม่งอกขึ้นมาด้วยพลังและวิถีของพวกเขาเอง
และผมก็เห็นว่านี่เป็นโอกาสอันงดงาม ที่พวกเราจะได้กลับมาล้อมวงกันอีกครั้งในเชียงใหม่
ไม่ต้องมีภาระ ไม่ต้องมีวัตถุประสงค์ใหญ่โต แค่ได้ไปเจอกัน หัวเราะ กอดคอ เหมือนที่เคยทำ…มันก็มากพอแล้ว
ผมไม่อยากเรียกสิ่งนี้ว่ามีตอัพ หรือการรวมพล เพราะมันไม่ใช่การจุดพลุเรียกพรรคพวก และไม่ใช่การบังคับว่าใครต้องมา
คนที่อาจไม่ได้มาก็ไม่ได้ขาดอะไรไป ผมแค่คิดถึงทุกคนมากจริง ๆ เท่านั้นเองครับ
ท้ายที่สุด…
ผมเชื่อว่าพลังที่แท้จริงไม่ได้มาจากเวทีหรือตัวงาน แต่มาจากการที่พวกเราจะไปอยู่ตรงนั้นด้วยกัน
โดยไม่มีใครต้องสั่ง ไม่ต้องบังคับ แต่ละคนก็จะเอาความสามารถและหัวใจในแบบของตัวเองเข้ามาเติมเต็ม
และแค่นั้น…มันก็ทรงพลังมากพอแล้ว #Siamstr
ปกติเราก็ประเมินความพอใจของตัวเองอยู่ตลอดเวลา แต่ก็มักจะดูทีละเรื่อง งานบ้าง เงินบ้าง สุขภาพบ้าง ทว่าเราไม่เคยเห็นมันในภาพรวมแบบวงล้อ พอเห็นออกมาเป็นแผนภาพเดียว มันชัดขึ้นทันทีว่าบางด้านเราเผลอมองข้ามไป บางด้านเราโฟกัสมากเกินไปจนอีกด้านเหี่ยวเฉาไปโดยไม่รู้ตัว
สิ่งหนึ่งที่ Wheel บอกผมคือ แหล่งพลังบวกที่แท้จริงของเรามันมาจากตรงไหน เมื่อเห็นชัดแล้ว เราก็รู้ว่าพลังจากตรงนี้เองที่ช่วยดันให้ส่วนอื่น ๆ ค่อย ๆ กระดิกตามขึ้นมา เหมือนล้อที่อาจไม่สมบูรณ์แบบ แต่ยังหมุนไปข้างหน้าได้ เพราะมีซี่หลักคอยพยุงอยู่
อีกอย่างคือมันทำให้เห็นการ trade-off ที่เราทำโดยไม่รู้ตัว เพื่อได้มาซึ่งความพอใจในบางเรื่อง เราก็อาจเผลอปล่อยอีกเรื่องให้ตกหล่นไป เช่นโฟกัสงานจนสุขภาพร่วง หรือบางคนอาจเลือกอยู่กับครอบครัวจนเพื่อนไม่ค่อยได้เจอ พอเห็นแบบนี้มันทำให้ใจเราซื่อสัตย์ขึ้น ว่าเราให้ค่ากับอะไร และกำลังละเลยอะไรอยู่
ที่น่าสนใจคือ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะให้คะแนนเต็มสิบกับสักด้านหนึ่ง เพราะธรรมชาติของมนุษย์ก็มักมีแรงผลักดันให้ไขว่คว้าสิ่งที่ดีกว่าอยู่เสมอ ความไม่พอใจเล็ก ๆ นี่เองที่ทำให้เรายังอยากเดินต่อ แต่ผมก็เชื่อว่าความรู้สึกอยากได้มากกว่านี้จะค่อย ๆ เบาบางลงเมื่อเราโตขึ้น ผ่านประสบการณ์มากขึ้น เราจะเริ่มเห็นว่าความพอดีอาจมีค่ามากกว่าความสมบูรณ์แบบ
สิ่งสำคัญอีกข้อคือ ผลการประเมินนี้มันไม่ใช่ข้อสอบ ไม่มีผิดถูก ไม่มีใครควรเอามาเทียบกัน วงล้อของแต่ละคนก็เป็นแค่ไม้บรรทัดที่เราวัดความพอใจของตัวเอง ไม่ได้เอาไว้ชี้ว่าของใครดีกว่าใคร
สำหรับผม มันเป็นเหมือนเข็มทิศที่คอยปลุกสติ ว่าตอนนี้เรากำลังทุ่มความสุขไว้กับด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไปหรือเปล่า และในที่สุดแล้ว เราอาจกลับมาต้องการสิ่งที่เคยละเลยอยู่นั่นเอง หรือแม้แต่สิ่งที่ผมได้บอกน้องอิสร คนโสดก็ไม่จำเป็นต้องให้คะแนน Partner & Love ต่ำ เพราะบางทีการอยู่ลำพังก็เป็นความสุขในรูปแบบของเขาแล้ว
ผมยังเห็นด้วยว่า ความสุขแต่ละด้านมันโยงใยกัน ยากที่จะยกระดับด้านใดด้านหนึ่งแล้วหวังว่าภาพรวมทั้งชีวิตจะดีขึ้นทั้งหมด เช่น ถ้าสุขภาพไม่ดี ความสัมพันธ์ก็มักสั่นคลอน ถ้าการเงินแย่ ความมั่นใจหรือแพสชั่นก็สั่นตาม การจะปรับวงล้อให้สมดุลจึงไม่ใช่แค่เลือกหมุนซี่ใดซี่หนึ่ง แต่ต้องมองมันทั้งวง
แม้น้อง ๆ ในทีมเราจะโตแล้ว ผ่านงาน ผ่านชีวิตมาพอสมควร แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าการมีน้องอ้อมคอยชวนใช้เครื่องมือนี้ มันเติมเต็มมุมมองที่หายไปได้จริง ๆ ทำให้เราได้มองชีวิตจากมุมที่ไม่เคยสังเกต
แล้วคำถามสุดท้ายก็คือ.. เราควรหรือไม่ควรสนใจลองทำ Wheel of Life?
ส่วนตัวผมคิดว่า…มันไม่ได้เป็นเรื่องของควรหรือไม่ควร แต่ขึ้นอยู่กับว่าเรากำลังหาคำตอบอะไรในชีวิต
ถ้าอยากหาความสมบูรณ์แบบ คงไม่ใช่ แต่ถ้าอยากเห็นภาพรวมชัด ๆ ว่าเรากำลังเดินทางอยู่ตรงไหน กำลังพอใจกับอะไร และกำลังเผลอละเลยอะไรอยู่ ผมว่ามันเป็นเข็มทิศที่คุ้มค่าที่จะลองใช้สักครั้ง
วงล้อฯ ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายหรอกครับ.. มันคือบทสนทนาที่ดีระหว่างเรากับตัวเอง และนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เราเดินไปอย่างมีสติขึ้น
#Siamstr #LGM
