ตั้งแต่ช่วงปี 2013/2014 ราคาของบิตคอยน์ได้วิ่งตามอัตราการเปลี่ยนแปลงของการเจริญเติบโตของอุปทานเงินโลกในความหมายอย่างกว้าง (M2) ในหน่วย USD มาเสมอ
พูดอีกอย่างก็คือ จากมุมมองของนักลงทุนมหภาค (ซึ่งมีความแตกต่างอย่างชัดเจนกับกลุ่มผู้ใช้งานเครือข่าย) มันคือสินทรัพย์ที่เหมาะสำหรับการเล่นกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพคล่องโลกมากที่สุด มันคือเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่เกิดจากการพิมพ์เงินของโลก ไม่ใช่เงินเฟ้อจากดรรชนีราคาสินค้า
ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งของดรรชนีเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ ยังส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อทางปริมาณเงินของโลกอย่างมีนัยสำคัญ
ดังนั้น เพื่อที่จะทำการวิเคราะห์ราคาในกรอบเวลาที่สั้นลงมาสักหน่อย (ยกตัวอย่างเช่นพวกคนที่ออกมาบอกว่าราคาจะทำ ATH ก่อนฮาล์ฟวิงครั้งต่อไป) เราจำเป็นต้องมองถึงอัตราเงินเฟ้อเชิงปริมาณเงิน และสภาพคล่องของโลก เนื่องจากนั่นคือแหล่งที่มาของอุปสงค์ภายนอกส่วนใหญ่
ตอนนี้ บิตคอยน์เป็นเหมือนกับสปริงที่หดตัวอยู่ในทางฝั่งอุปทาน (พวกสิงห์พนันออกไปกันหมดแล้ว และเหรียญก็ย้ายไปอยู่ในมือที่แข็งแกร่งของผู้ถือระยะยาว) แต่ปัจจัยทางฝั่งอุปสงค์ (ซึ่งจะส่งผลต่อราคา) ยังเป็นเรื่องของสภาพคล่องโดยรวมของโลกเสียส่วนใหญ่
>>เสริมต่อจากลิน
หลังจากฮาล์ฟวิง แรงอัดของสปริงในฝั่งอุปทานจะรุนแรงขึ้นอีก แต่ตราบใดที่สภาวะทางสภาพคล่องของโลกยังย่ำแย่ เราจะยังไม่เห็นอุปสงค์ในปริมาณที่มีนัยสำคัญ และปัจจัยระยะสั้นในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นกรณีของการผิดนัดชำระหนี้ และการประกาศล้มละลายของบริษัทผู้ลงทุนในกลุ่มอสังหาฯ จีน ไปจนถึงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของเฟด ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลลบต่อสภาพคล่องทั้งสิ้น
จนกว่าจะมีการแตกหัก คงยากที่จะเห็นอุปสงค์จากภายนอกไหลเข้ามา แต่เมื่อมันมา มันจะมาแบบถ่าโถม ทันที รุนแรง และรวดเร็ว
View quoted note →
Login to reply
Replies (1)
ขอบคุณอาจารย์ที่แปลให้ครับ มาบ่อยๆ ฮะ ชอบ