สรุปประเด็น #BitcoinTalk200 "The Lies They Tell You"
Part 1 - Bitcoin : นิยามและคุณสมบัติหลัก
Bitcoin ถูกนำเสนอในฐานะ "Peer-to-Peer Electronic Cash System" ตามที่ระบุไว้ใน White Paper ปี 2008 ของ Satoshi Nakamoto คุณสมบัติสำคัญของ Bitcoin ที่ถูกเน้นย้ำคือ:
- P2P (Peer-to-Peer) System : เป็นระบบที่สามารถทำธุรกรรมระหว่างบุคคลกับบุคคลได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องมีตัวกลาง เช่น ธนาคารหรือหน่วยงานรัฐ
- Electronic Cash (เงินสดดิจิทัล) : ต่างจากเงินดิจิทัลทั่วไปที่เป็นเพียงการโอนหนี้ระหว่างบัญชี Bitcoin ทำหน้าที่เป็น "bearer instrument" หรือเงินที่ตัวมันเองมีมูลค่าและสามารถส่งมอบมูลค่าระหว่างกันได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านการบันทึกบัญชีหลังบ้านของธนาคาร
- Decentralized (ไร้ศูนย์กลาง) : ระบบถูกออกแบบมาให้ไม่มีหน่วยงานกลางใด ๆ ควบคุม ทำให้เป็นอิสระจากการแทรกแซงของรัฐบาลหรือธนาคารกลาง
- Limited Supply (จำนวนจำกัด) : มีจำนวนจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นจุดขายที่สำคัญที่สุด และถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบโต้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 (Hamburger/Subprime Crisis) ที่เกิดจากการพิมพ์เงินจำนวนมหาศาลเพื่ออุ้มสถาบันการเงิน ทำให้มูลค่าเงินในกระเป๋าประชาชนลดลงอย่างรวดเร็ว
Bitcoin ถูกมองว่าเป็นนวัตกรรมที่ "นำอำนาจในการพิมพ์เงินออกจากมือของรัฐบาล" และเป็น "Digital Sound Money" หรือทองคำดิจิทัล เนื่องจากความสามารถในการรักษามูลค่าและเป็นอิสระจากการควบคุม
Part 2 - วิวัฒนาการและปัญหาของระบบเงินเฟียต (Fiat Money)
อ. พิริยะ ชี้ให้เห็นว่าแนวคิดที่ว่าเงินจะต้องมีสินทรัพย์หนุนหลังนั้นเป็นความเข้าใจผิดในปัจจุบัน โดยใช้ประวัติศาสตร์ของเงินดอลลาร์สหรัฐและเงินบาทไทยเป็นตัวอย่าง:
1. เงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD)
- จาก Gold Standard สู่ Fiat Money : ในอดีตเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เคยถูกหนุนหลังด้วยทองคำ (Gold Standard) โดยสามารถนำธนบัตรไปแลกเป็นทองคำได้ในอัตราที่กำหนด อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงเริ่มขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งรัฐบาลระงับการแลกเปลี่ยนทองคำชั่วคราวเพื่อพิมพ์เงินสนับสนุนสงคราม
- Executive Order 6102 (1933) : ประธานาธิบดี Franklin D. Roosevelt ออกคำสั่งฉุกเฉินให้ประชาชนนำทองคำมาคืนธนาคารเพื่อรับเงินดอลลาร์ โดยมีบทลงโทษรุนแรงหากไม่ปฏิบัติตาม ไม่นานหลังจากนั้น อัตราแลกเปลี่ยนทองคำกับดอลลาร์ก็ถูกปรับลดลงอย่างมาก ทำให้มูลค่าดอลลาร์ลดลงทันทีถึง 33-40% "ผู้คนทุกคนที่ถือเงินดอลลาร์ในคืนนั้น ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเงินของพวกเขามีค่าน้อยลง 40% ภายในชั่วข้ามคืนด้วยกฎประกาศกฎหมายฉบับเดียว"
- Bretton Woods Agreement (หลังสงครามโลกครั้งที่ 2) : กำหนดให้ดอลลาร์เป็นสกุลเงินสำรอง (reserve currency) ของโลก โดยมีมูลค่าเทียบเท่าทองคำ และบังคับให้ประเทศสมาชิก IMF ฝากทองคำไว้กับสหรัฐฯ
- Nixon Shock (1971) : ประธานาธิบดี Richard Nixon ประกาศยกเลิกการแลกเปลี่ยนดอลลาร์กับทองคำ ทำให้ทองคำมีราคาลอยตัวตามกลไกตลาด ดอลลาร์จึงไม่มีอะไรหนุนหลังอีกต่อไป กลายเป็นเงินเฟียตอย่างสมบูรณ์ "สหรัฐอเมริกาและเงินดอลลาร์สามารถชักดาบคนทั้งโลกที่ถือดอลลาร์ไว้ในมือได้ด้วยการบอกว่าดอลลาร์ที่คุณถืออยู่ ที่เราเคยบอกว่ามันมีค่าเท่ากับทองคำนั้นน่ะ วันนี้มันไม่มีค่าเท่ากับทองคำแล้วแหละ"
- Petrodollar : หลังจากปี 1971 ดอลลาร์พยายามผูกโยงมูลค่ากับน้ำมัน ทำให้ทุกประเทศที่ต้องการซื้อน้ำมันต้องใช้ดอลลาร์ สร้างอุปสงค์คงที่ให้กับดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม มูลค่าของดอลลาร์ก็ยังคงผันผวน และหนี้ที่ออกในรูปดอลลาร์ยังคงสร้างอุปสงค์ให้ดอลลาร์อย่างต่อเนื่อง
2. เงินบาทไทย
- จาก Silver Standard สู่ Fiat Money : ในอดีตเงินบาทเคยถูกหนุนหลังด้วยแร่เงิน (Silver Standard) เนื่องจากการค้าขายกับจีนและอินเดียที่ใช้เงินเป็นหลัก
- การเปลี่ยนสู่ Gold Standard (1902) : ไทยเปลี่ยนมาใช้มาตรฐานทองคำตามแนวโน้มของโลก โดย 1 บาทมีมูลค่าเท่ากับ 0.5518 กรัมทองคำ และมีการปรับค่าให้ 1 บาทแลกทองคำได้มากขึ้นในปี 1928
- การยกเลิกมาตรฐานทองคำ (1932) : เพื่อตอบสนองต่อวิกฤตเศรษฐกิจโลก ไทยเปลี่ยนการผูกค่าเงินบาทกับทองคำ ไปผูกกับเงินปอนด์สเตอร์ลิงแทน ซึ่งปอนด์กำลังเผชิญภาวะเงินเฟ้อ ทำให้เป็นการยกเลิกการหนุนหลังด้วยทองคำโดยปริยาย
- หลังสงครามโลกครั้งที่ 2: ไทยเข้าสู่ระบบ Bretton Woods โดยมีเงินดอลลาร์และสกุลเงินหลักอื่น ๆ เป็นทุนสำรอง แต่ยังคงสามารถผลิตเงินได้เพิ่มเติมผ่านระบบ Fractional Reserve Banking
- วิกฤตต้มยำกุ้ง (1997) : การพิมพ์เงินอย่างมหาศาลจากการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรง นำไปสู่การโจมตีค่าเงินบาท และทำให้เงินบาทลอยตัวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
- ปัจจุบัน : เงินบาทไทยไม่ได้มีสินทรัพย์มีค่าหนุนหลังโดยตรงเช่นเดียวกับดอลลาร์ "สิ่งเดียวที่มันแบ็คหลังมันอยู่ก็คือหนี้ที่เอามาจากความมั่งคั่งของผู้คนในอนาคต มาผลิตเป็นเงินในปัจจุบันนี้"
Part 3 - เงินเฟ้อ : ความเข้าใจผิดและผลกระทบที่แท้จริง
อ. พิริยะ วิพากษ์วิจารณ์แนวคิดเรื่อง "เงินเฟ้ออ่อน ๆ 2%" ที่ถูกนำมาใช้เป็นเป้าหมายของธนาคารกลางทั่วโลก :
- ที่มาของเป้าหมาย 2% : ตัวเลข 2% ไม่มีที่มาจากทฤษฎีหรือการวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ใด ๆ แต่เป็นเพียงตัวเลขที่ถูก "กะๆ เอา" โดยธนาคารกลางนิวซีแลนด์ในปี 1990 เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการใช้นโยบายการเงิน
- CPI (Consumer Price Index) ที่บิดเบือน : ตัวเลขเงินเฟ้อที่ประกาศโดยรัฐบาล (CPI) ไม่ได้สะท้อนภาวะเงินเฟ้อที่แท้จริงอีกต่อไป เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยน "ตะกร้าสินค้า" ที่ใช้วัดและคำนิยามของสินค้าในตะกร้า ตัวอย่างเช่น การนำไข่ออกจากตะกร้าเมื่อราคาพุ่งสูงขึ้น หรือการย้ายราคาบ้านไปอยู่ในหมวดการลงทุนแทน ทำให้ตัวเลข CPI ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก "ทำไมเราเห็นข้าวของมันแพงขึ้น 7-8% 10% 20% แต่ตัวเลขเงินเฟ้อที่รัฐบาลแถลงออกมายังอยู่แค่ 2% 3% หรือบางทีติดลบด้วยซ้ำ"
- ความสัมพันธ์ระหว่างเงินเฟ้อและ Productivity : ในอดีตยุคมาตรฐานทองคำ แม้จะมีเงินเฟ้อเล็กน้อย แต่ Productivity ที่สูงกว่าทำให้ผู้คนสามารถซื้อของได้มากขึ้นทุกปี เพราะเทคโนโลยีและประสิทธิภาพการผลิตทำให้ราคาสินค้าลดลง สิ่งนี้เรียกว่าภาวะเงินฝืด แต่เป็นภาวะที่คนเต็มใจใช้จ่ายเพราะเงินออมมีมูลค่าเพิ่มขึ้น
- เงินเฟ้อที่แท้จริงคือการปล้น : การกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อ 2% หมายถึงการตั้งเป้าให้ "ข้าวของจะแพงขึ้น 2% ทุกปี นั่นหมายความว่าเงินจะต้องมีอำนาจจับจ่ายลดน้อยลง 2% ทุกปี" ผู้ที่พิมพ์เงินได้ก่อนจะได้รับประโยชน์จากเงินใหม่ก่อนที่ราคาสินค้าจะปรับขึ้น (Seigniorage Effect) ทำให้คนใกล้ชิดอำนาจร่ำรวยขึ้น ในขณะที่ประชาชนทั่วไปต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นและมูลค่าเงินออมที่ลดลง "เงินที่อยู่ในกระเป๋าของเราถูกทำให้เสื่อมมูลค่าลง โดยที่เราไม่ได้มีอำนาจหรือไม่ได้มีปากไม่มีเสียง ไม่สามารถต่อรองหรือไม่สามารถถกเถียงอะไรได้ เราอยู่เฉย ๆ เราก็จน เราเก็บออมเราก็จน"
Part 4 - CBDC (Central Bank Digital Currency) และการสูญเสียอิสรภาพ
อ. พิริยะ เตือนว่าโลกกำลังก้าวไปสู่ระบบ CBDC ซึ่งจะทำให้ :
- สูญเสียความเป็นส่วนตัว : การทำธุรกรรมทุกบาททุกสตางค์จะอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ ทำให้ข้อมูลและทรัพย์สินสูญหายไปอย่างสิ้นเชิง
- เงินเป็นเครื่องมือควบคุม : เงินจะเปลี่ยนจากเครื่องมือในการเก็บออมความมั่งคั่ง กลายเป็น "เครื่องมือในการควบคุมประชาชนโดยเบ็ดเสร็จเด็ดขาด"
Part 5 - Bitcoin ในฐานะทางเลือก
Bitcoin ถูกนำเสนอในฐานะทางออกสำหรับปัญหาของระบบการเงินปัจจุบัน เพราะ :
- เป็นเงินที่รักษาคุณค่าได้จริง : ด้วยจำนวนที่จำกัดและกระบวนการผลิตที่โปร่งใสและแข่งขันได้ ทำให้ไม่มีใครสามารถพิมพ์ Bitcoin เพิ่มเพื่อลดทอนมูลค่าได้ "นี่คือสาเหตุที่ Bitcoin ถูกออกแบบมาให้มีจำนวนแค่ 21 ล้านบิทคอยน์ ไม่สามารถผลิตได้มากไปกว่านี้"
- คืนอำนาจให้กับประชาชน : การที่ Bitcoin ไร้ศูนย์กลางและทนทานต่อการแทรกแซงจากรัฐ ทำให้ประชาชนสามารถมีอิสรภาพในการทำธุรกิจ เก็บออม และส่งต่อความมั่งคั่งให้กับคนรุ่นต่อไปได้อย่างแท้จริง "ทำให้เราสามารถมีเงินที่สามารถรักษา มูลค่าได้ อย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี"
- นวัตกรรมเปลี่ยนโลก : Bitcoin คือสิ่ง "ที่นำเอาอำนาจในการพิมพ์เงินออก จากมือของรัฐบาล โดยใช้วิธีอันแยบยลที่รัฐบาลไม่สามารถยับยั้งได้" และระบบที่กระจายตัวไปทั่วโลกทำให้แข็งแกร่งพอที่จะต้านทานการโจมตีจากรัฐได้
โดยสรุป อ. พิริยะ เน้นย้ำว่า Bitcoin ไม่ได้มีมูลค่าในตัวเอง แต่มีมูลค่าเพราะสิ่งที่มันทำได้ คือการเป็นระบบการเงินที่รวดเร็ว ต้นทุนต่ำ ปลอดภัย และที่สำคัญที่สุดคือ "เป็นเงินที่เวลาคุณถือไว้เนี่ย ไม่มีใครมาทำให้มันเสื่อมมูลค่าด้วยการไปผลิตมันเพิ่มขึ้น โดยที่คุณควบคุมไม่ได้ได้ด้วย"
ที่มา : เพราะพวกเขายังโกหกไม่เลิก โลกถึงต้องมี Bitcoin (ความลับการเงินโลก 81 นาที)
Link : https://youtu.be/WCnnbMNJwc8
สั่งซื้อหนังสือ #TheBitcoinStandard คลิก
📌 bit.ly/TheBitcoinStandard-Shopee
สั่งซื้อหนังสือ #เศรษฐศาสตร์เล่มเดียวจบ คลิก
📌 bit.ly/EIOL-Shopee
สั่งซื้อหนังสือ #เงินเฟ้อคือคดีอาญา คลิก
📌 bit.ly/InflationIsACrime-Shopee
#SiamStr
สรุปประเด็น #BitcoinTalk200 "The Lies They Tell You"
Part 1 - Bitcoin : นิยามและคุณสมบัติหลัก
Bitcoin ถูกนำเสนอในฐานะ "Peer-to-Peer Electronic Cash System" ตามที่ระบุไว้ใน White Paper ปี 2008 ของ Satoshi Nakamoto คุณสมบัติสำคัญของ Bitcoin ที่ถูกเน้นย้ำคือ:
- P2P (Peer-to-Peer) System : เป็นระบบที่สามารถทำธุรกรรมระหว่างบุคคลกับบุคคลได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องมีตัวกลาง เช่น ธนาคารหรือหน่วยงานรัฐ
- Electronic Cash (เงินสดดิจิทัล) : ต่างจากเงินดิจิทัลทั่วไปที่เป็นเพียงการโอนหนี้ระหว่างบัญชี Bitcoin ทำหน้าที่เป็น "bearer instrument" หรือเงินที่ตัวมันเองมีมูลค่าและสามารถส่งมอบมูลค่าระหว่างกันได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านการบันทึกบัญชีหลังบ้านของธนาคาร
- Decentralized (ไร้ศูนย์กลาง) : ระบบถูกออกแบบมาให้ไม่มีหน่วยงานกลางใด ๆ ควบคุม ทำให้เป็นอิสระจากการแทรกแซงของรัฐบาลหรือธนาคารกลาง
- Limited Supply (จำนวนจำกัด) : มีจำนวนจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นจุดขายที่สำคัญที่สุด และถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบโต้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 (Hamburger/Subprime Crisis) ที่เกิดจากการพิมพ์เงินจำนวนมหาศาลเพื่ออุ้มสถาบันการเงิน ทำให้มูลค่าเงินในกระเป๋าประชาชนลดลงอย่างรวดเร็ว
Bitcoin ถูกมองว่าเป็นนวัตกรรมที่ "นำอำนาจในการพิมพ์เงินออกจากมือของรัฐบาล" และเป็น "Digital Sound Money" หรือทองคำดิจิทัล เนื่องจากความสามารถในการรักษามูลค่าและเป็นอิสระจากการควบคุม
Part 2 - วิวัฒนาการและปัญหาของระบบเงินเฟียต (Fiat Money)
อ. พิริยะ ชี้ให้เห็นว่าแนวคิดที่ว่าเงินจะต้องมีสินทรัพย์หนุนหลังนั้นเป็นความเข้าใจผิดในปัจจุบัน โดยใช้ประวัติศาสตร์ของเงินดอลลาร์สหรัฐและเงินบาทไทยเป็นตัวอย่าง:
1. เงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD)
- จาก Gold Standard สู่ Fiat Money : ในอดีตเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เคยถูกหนุนหลังด้วยทองคำ (Gold Standard) โดยสามารถนำธนบัตรไปแลกเป็นทองคำได้ในอัตราที่กำหนด อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงเริ่มขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งรัฐบาลระงับการแลกเปลี่ยนทองคำชั่วคราวเพื่อพิมพ์เงินสนับสนุนสงคราม
- Executive Order 6102 (1933) : ประธานาธิบดี Franklin D. Roosevelt ออกคำสั่งฉุกเฉินให้ประชาชนนำทองคำมาคืนธนาคารเพื่อรับเงินดอลลาร์ โดยมีบทลงโทษรุนแรงหากไม่ปฏิบัติตาม ไม่นานหลังจากนั้น อัตราแลกเปลี่ยนทองคำกับดอลลาร์ก็ถูกปรับลดลงอย่างมาก ทำให้มูลค่าดอลลาร์ลดลงทันทีถึง 33-40% "ผู้คนทุกคนที่ถือเงินดอลลาร์ในคืนนั้น ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเงินของพวกเขามีค่าน้อยลง 40% ภายในชั่วข้ามคืนด้วยกฎประกาศกฎหมายฉบับเดียว"
- Bretton Woods Agreement (หลังสงครามโลกครั้งที่ 2) : กำหนดให้ดอลลาร์เป็นสกุลเงินสำรอง (reserve currency) ของโลก โดยมีมูลค่าเทียบเท่าทองคำ และบังคับให้ประเทศสมาชิก IMF ฝากทองคำไว้กับสหรัฐฯ
- Nixon Shock (1971) : ประธานาธิบดี Richard Nixon ประกาศยกเลิกการแลกเปลี่ยนดอลลาร์กับทองคำ ทำให้ทองคำมีราคาลอยตัวตามกลไกตลาด ดอลลาร์จึงไม่มีอะไรหนุนหลังอีกต่อไป กลายเป็นเงินเฟียตอย่างสมบูรณ์ "สหรัฐอเมริกาและเงินดอลลาร์สามารถชักดาบคนทั้งโลกที่ถือดอลลาร์ไว้ในมือได้ด้วยการบอกว่าดอลลาร์ที่คุณถืออยู่ ที่เราเคยบอกว่ามันมีค่าเท่ากับทองคำนั้นน่ะ วันนี้มันไม่มีค่าเท่ากับทองคำแล้วแหละ"
- Petrodollar : หลังจากปี 1971 ดอลลาร์พยายามผูกโยงมูลค่ากับน้ำมัน ทำให้ทุกประเทศที่ต้องการซื้อน้ำมันต้องใช้ดอลลาร์ สร้างอุปสงค์คงที่ให้กับดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม มูลค่าของดอลลาร์ก็ยังคงผันผวน และหนี้ที่ออกในรูปดอลลาร์ยังคงสร้างอุปสงค์ให้ดอลลาร์อย่างต่อเนื่อง
2. เงินบาทไทย
- จาก Silver Standard สู่ Fiat Money : ในอดีตเงินบาทเคยถูกหนุนหลังด้วยแร่เงิน (Silver Standard) เนื่องจากการค้าขายกับจีนและอินเดียที่ใช้เงินเป็นหลัก
- การเปลี่ยนสู่ Gold Standard (1902) : ไทยเปลี่ยนมาใช้มาตรฐานทองคำตามแนวโน้มของโลก โดย 1 บาทมีมูลค่าเท่ากับ 0.5518 กรัมทองคำ และมีการปรับค่าให้ 1 บาทแลกทองคำได้มากขึ้นในปี 1928
- การยกเลิกมาตรฐานทองคำ (1932) : เพื่อตอบสนองต่อวิกฤตเศรษฐกิจโลก ไทยเปลี่ยนการผูกค่าเงินบาทกับทองคำ ไปผูกกับเงินปอนด์สเตอร์ลิงแทน ซึ่งปอนด์กำลังเผชิญภาวะเงินเฟ้อ ทำให้เป็นการยกเลิกการหนุนหลังด้วยทองคำโดยปริยาย
- หลังสงครามโลกครั้งที่ 2: ไทยเข้าสู่ระบบ Bretton Woods โดยมีเงินดอลลาร์และสกุลเงินหลักอื่น ๆ เป็นทุนสำรอง แต่ยังคงสามารถผลิตเงินได้เพิ่มเติมผ่านระบบ Fractional Reserve Banking
- วิกฤตต้มยำกุ้ง (1997) : การพิมพ์เงินอย่างมหาศาลจากการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรง นำไปสู่การโจมตีค่าเงินบาท และทำให้เงินบาทลอยตัวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
- ปัจจุบัน : เงินบาทไทยไม่ได้มีสินทรัพย์มีค่าหนุนหลังโดยตรงเช่นเดียวกับดอลลาร์ "สิ่งเดียวที่มันแบ็คหลังมันอยู่ก็คือหนี้ที่เอามาจากความมั่งคั่งของผู้คนในอนาคต มาผลิตเป็นเงินในปัจจุบันนี้"
Part 3 - เงินเฟ้อ : ความเข้าใจผิดและผลกระทบที่แท้จริง
อ. พิริยะ วิพากษ์วิจารณ์แนวคิดเรื่อง "เงินเฟ้ออ่อน ๆ 2%" ที่ถูกนำมาใช้เป็นเป้าหมายของธนาคารกลางทั่วโลก :
- ที่มาของเป้าหมาย 2% : ตัวเลข 2% ไม่มีที่มาจากทฤษฎีหรือการวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ใด ๆ แต่เป็นเพียงตัวเลขที่ถูก "กะๆ เอา" โดยธนาคารกลางนิวซีแลนด์ในปี 1990 เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการใช้นโยบายการเงิน
- CPI (Consumer Price Index) ที่บิดเบือน : ตัวเลขเงินเฟ้อที่ประกาศโดยรัฐบาล (CPI) ไม่ได้สะท้อนภาวะเงินเฟ้อที่แท้จริงอีกต่อไป เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยน "ตะกร้าสินค้า" ที่ใช้วัดและคำนิยามของสินค้าในตะกร้า ตัวอย่างเช่น การนำไข่ออกจากตะกร้าเมื่อราคาพุ่งสูงขึ้น หรือการย้ายราคาบ้านไปอยู่ในหมวดการลงทุนแทน ทำให้ตัวเลข CPI ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก "ทำไมเราเห็นข้าวของมันแพงขึ้น 7-8% 10% 20% แต่ตัวเลขเงินเฟ้อที่รัฐบาลแถลงออกมายังอยู่แค่ 2% 3% หรือบางทีติดลบด้วยซ้ำ"
- ความสัมพันธ์ระหว่างเงินเฟ้อและ Productivity : ในอดีตยุคมาตรฐานทองคำ แม้จะมีเงินเฟ้อเล็กน้อย แต่ Productivity ที่สูงกว่าทำให้ผู้คนสามารถซื้อของได้มากขึ้นทุกปี เพราะเทคโนโลยีและประสิทธิภาพการผลิตทำให้ราคาสินค้าลดลง สิ่งนี้เรียกว่าภาวะเงินฝืด แต่เป็นภาวะที่คนเต็มใจใช้จ่ายเพราะเงินออมมีมูลค่าเพิ่มขึ้น
- เงินเฟ้อที่แท้จริงคือการปล้น : การกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อ 2% หมายถึงการตั้งเป้าให้ "ข้าวของจะแพงขึ้น 2% ทุกปี นั่นหมายความว่าเงินจะต้องมีอำนาจจับจ่ายลดน้อยลง 2% ทุกปี" ผู้ที่พิมพ์เงินได้ก่อนจะได้รับประโยชน์จากเงินใหม่ก่อนที่ราคาสินค้าจะปรับขึ้น (Seigniorage Effect) ทำให้คนใกล้ชิดอำนาจร่ำรวยขึ้น ในขณะที่ประชาชนทั่วไปต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นและมูลค่าเงินออมที่ลดลง "เงินที่อยู่ในกระเป๋าของเราถูกทำให้เสื่อมมูลค่าลง โดยที่เราไม่ได้มีอำนาจหรือไม่ได้มีปากไม่มีเสียง ไม่สามารถต่อรองหรือไม่สามารถถกเถียงอะไรได้ เราอยู่เฉย ๆ เราก็จน เราเก็บออมเราก็จน"
Part 4 - CBDC (Central Bank Digital Currency) และการสูญเสียอิสรภาพ
อ. พิริยะ เตือนว่าโลกกำลังก้าวไปสู่ระบบ CBDC ซึ่งจะทำให้ :
- สูญเสียความเป็นส่วนตัว : การทำธุรกรรมทุกบาททุกสตางค์จะอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ ทำให้ข้อมูลและทรัพย์สินสูญหายไปอย่างสิ้นเชิง
- เงินเป็นเครื่องมือควบคุม : เงินจะเปลี่ยนจากเครื่องมือในการเก็บออมความมั่งคั่ง กลายเป็น "เครื่องมือในการควบคุมประชาชนโดยเบ็ดเสร็จเด็ดขาด"
Part 5 - Bitcoin ในฐานะทางเลือก
Bitcoin ถูกนำเสนอในฐานะทางออกสำหรับปัญหาของระบบการเงินปัจจุบัน เพราะ :
- เป็นเงินที่รักษาคุณค่าได้จริง : ด้วยจำนวนที่จำกัดและกระบวนการผลิตที่โปร่งใสและแข่งขันได้ ทำให้ไม่มีใครสามารถพิมพ์ Bitcoin เพิ่มเพื่อลดทอนมูลค่าได้ "นี่คือสาเหตุที่ Bitcoin ถูกออกแบบมาให้มีจำนวนแค่ 21 ล้านบิทคอยน์ ไม่สามารถผลิตได้มากไปกว่านี้"
- คืนอำนาจให้กับประชาชน : การที่ Bitcoin ไร้ศูนย์กลางและทนทานต่อการแทรกแซงจากรัฐ ทำให้ประชาชนสามารถมีอิสรภาพในการทำธุรกิจ เก็บออม และส่งต่อความมั่งคั่งให้กับคนรุ่นต่อไปได้อย่างแท้จริง "ทำให้เราสามารถมีเงินที่สามารถรักษา มูลค่าได้ อย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี"
- นวัตกรรมเปลี่ยนโลก : Bitcoin คือสิ่ง "ที่นำเอาอำนาจในการพิมพ์เงินออก จากมือของรัฐบาล โดยใช้วิธีอันแยบยลที่รัฐบาลไม่สามารถยับยั้งได้" และระบบที่กระจายตัวไปทั่วโลกทำให้แข็งแกร่งพอที่จะต้านทานการโจมตีจากรัฐได้
โดยสรุป อ. พิริยะ เน้นย้ำว่า Bitcoin ไม่ได้มีมูลค่าในตัวเอง แต่มีมูลค่าเพราะสิ่งที่มันทำได้ คือการเป็นระบบการเงินที่รวดเร็ว ต้นทุนต่ำ ปลอดภัย และที่สำคัญที่สุดคือ "เป็นเงินที่เวลาคุณถือไว้เนี่ย ไม่มีใครมาทำให้มันเสื่อมมูลค่าด้วยการไปผลิตมันเพิ่มขึ้น โดยที่คุณควบคุมไม่ได้ได้ด้วย"
ที่มา : เพราะพวกเขายังโกหกไม่เลิก โลกถึงต้องมี Bitcoin (ความลับการเงินโลก 81 นาที)
Link : https://youtu.be/WCnnbMNJwc8
สั่งซื้อหนังสือ #TheBitcoinStandard คลิก
📌 bit.ly/TheBitcoinStandard-Shopee
สั่งซื้อหนังสือ #เศรษฐศาสตร์เล่มเดียวจบ คลิก
📌 bit.ly/EIOL-Shopee
สั่งซื้อหนังสือ #เงินเฟ้อคือคดีอาญา คลิก
📌 bit.ly/InflationIsACrime-Shopee
#SiamStr
Login to reply
Replies (1)
ขอบคุณครับ