ราคาข้าวของไม่ได้แพงขึ้น แต่เงินต่างหากที่ "เสื่อมค่า" ลงตลอดเวลา
ถ้าคุณอยากรู้ว่า เงิน เสื่อมค่าลงแค่ไหน?
ให้เทียบกับราคาทองคำ
เพราะทองคำ คือสิ่งที่มนุษย์เอามาใช้เป็น เงิน ยาวนานที่สุดหลายพันปี
แม้แต่ช่วงยุค Bretton Woods System (ก่อนพ.ศ. 2514) ที่เรามี เงินกระดาษ ใช้กันแล้ว
เงินที่แท้จริง ก็ยังคงเป็น ทองคำ
และเงินกระดาษ มีสถานะ "ตั๋วแลกเงิน" ที่สามารถเอาไปแลกคือเป็นเงินจริงๆ อย่างทองคำได้
จากรูปเห็นความบังเอิญที่เกิดขึ้นไหมครับ
สภาวะรายได้คนทำงานหยุดชะงัก สวนทางกับราคาข้าวของที่พุ่งขึ้นมหาศาล ในช่วงหลังปี พ.ศ. 2514 จนถึงปัจจุบัน
ซึ่งก็คือปีเดียวกับที่โลกเรา ใช้มาตรฐานการเงินใหม่
เรียกว่า มาตรฐานเฟียต
สาระสำคัญคือ เลิกผูกค่าเงิน กับ ทองคำ (ที่เสกไม่ได้)
เปลี่ยนมาใช้ พันธบัตร หรือ "หนี้" ที่เสกได้เท่าไรก็ได้จากอากาศ
นับตั้งแต่นั้น เงินเฟ้อที่เคยเป็นภัยคุกคาม และเป็นเรื่องชั่วคราว กลายมาเป็น "ของดีถาวร" ที่ขาดไม่ได้
ทุกอย่างก็เริ่มกลับตาลปัตร
จากยุคที่เคย เศรษฐกิจดี ผู้คนก็อยู่ดีกินดีตามไปด้วย (รูปแรก) สมัยที่เงินยังผูกค่ากับทอง
กลายเป็นว่า เศรษฐกิจโตทุกปี ราคาข้าวของแพงขึ้นทุกปี
แต่รายได้คนทำงาน ไม่โตตามอย่างรุนแรง
หนักถึงขั้น เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ หนี้ครัวเรือนหรือหนี้ประชาชน แซงมูลค่าเศรษฐกิจของประเทศไปเรียบร้อยแล้ว
ขณะที่มีคนกลุ่มเล็กๆ ยิ่งร่ำรวยขึ้น เพราะสามารถสร้างหนี้ได้มากกว่าในต้นทุนต่ำกว่าคน (มีไม่ถึง 5% ของประชากร) ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ มันถ่างออกยิ่งกว่ายุคไหนๆ
คนส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงอภิสิทธิ์นี้ ค่อยๆ ยากจนลงโดยไม่รู้ตัว ยิ่งนานชีวิตยิ่งยากขึ้น เพราะเงินเดือนโตไม่ทันค่าครองชีพ
แค่เวลา 50 กว่าปี
- เงินเดือนเริ่มต้นคนทำงานทั่วไป จากเคยซื้อข้าวได้เกิน 1000 จาน (เทียบเท่า 5-60,000 วันนี้) ซื้อทองได้ 2 บาท วันนี้เหลือ 2-300 จานที่กินไม่อิ่ม
- เคยผ่อนบ้านแค่ 10 ปี มาวันนี้ 30-40 ปี เริ่มเอาไม่อยู่
- เงินออมถูกทำลายมูลค่าอย่างหนัก ยิ่งถือนาน ยิ่งเสื่อมค่า เงินที่วันนี้ซื้อข้าวได้ 100 จาน อีก 30 ปีข้างหน้า มันจะเหลือ 10 จาน ถือเงิน 10 ล้านเฉยๆ ใช้ประหยัดๆ มันก็ไม่พอเกษียณนะครับ นอกจากจะเปลี่ยนมันเป็นสินทรัพย์อื่นที่รักษามูลค่าได้
- Gen Y กลายเป็นคนรุ่นแรกที่โดยเฉลี่ย ยากจนกว่าคนรุ่นพ่อแม่ อายุ 30-40 แล้ว ส่วนใหญ่ยังสร้างเนื้อสร้างตัวไม่ได้
- ตัวเองยังลำบาก จะสร้างครอบครัวก็ยาก ทำงานทั้งผัวทั้งเมีย เลี้ยงลูกสักคนนึงแทบตาย จนอัตราการตายแซงอัตราการเกิดไปเป็นที่เรียบร้อย
- เมื่อคนจำนวนมากมีชีวิตยากลำบาก ก็จำเป็นต้องเห็นแก่ตัวไว้ก่อนเพื่อเอาตัวรอด ไม่มีเวลาไปคิดถึงคนอื่นหรือคิดถึงส่วนรวม คุณภาพสังคมก็ค่อยๆ แย่ลง
ตัวอย่างคนเกิดทันยุคนั้น คือ แม่ผมเอง เป็นครูชั้นผู้น้อย ได้เงินเดือนเริ่มต้น 1,080 บาท ข้าวจานละ 1 บาท ทองบาทละ 5-600 เริ่มทำงานก็มีชีวิตที่มั่นคงทันที สร้างครอบครัวตั้งแต่อายุน้อย ผ่อนบ้านหลังแรกจบอายุ 30 ต้น
คนเริ่มทำงานวันนี้ ต้องมีเงินเดือนอย่างต่ำ 50,000 ถึงจะพอมีคุณภาพชีวิตพอๆ กับเขา
แล้วถ้า 54 ปีที่ผ่าน เงิน ยังคงหนุนหลังด้วย ทองคำ เหมือนเมื่อก่อน จะเกิดอะไรขึ้น?
เส้นสีเหลือง (รูปล่าง) คือ ราคาข้าวของต่าง ๆ ในหน่วยทองคำ มันเห็นชัดๆ ว่า ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคโดยเฉลี่ย มันเท่าๆ เดิม และมีแนวโน้มถูกลงด้วยซ้ำ
เพราะอะไร?
1. ทองคำเสกไม่ได้ ถูกจำกัดด้วยธรรมชาติ ไม่ว่าเทคโนโลยีดีแค่ไหน เราก็ไม่เคยขุดทองคำได้มากกว่า 2% ต่อปีอย่างถาวร
2. ความสามารถในการพิมพ์เงิน "ถูกจำกัด" จะพิมพ์เงินต้องไปหาทองคำมาสำรองก่อน
3. ดังนั้น เงินกระดาษที่มีทองคำหนุนหลัง จึงเก็บรักษามูลค่าได้ เงินต่อหน่วยมีมูลค่ามากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เพราะเศรษฐกิจ (demand) โตมากกว่า ปริมาณเงิน (supply)
บวกกับ เทคโนโลยีที่ดีขึ้นทุกวัน มันเข้ามาช่วยลดต้นทุนในการค้าและการผลิตลงเรื่อยๆ สินค้าถูกลงแต่คุณภาพดีขึ้น ค่าครองชีพค่อยๆ ลดเมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนในสังคมก็มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นทีละน้อย
แต่ในวันนี้ เมื่อเงินถูกสร้างจาก "หนี้" ที่เสกขึ้นจากอากาศ
ไม่จำเป็นต้องหาทองคำมาสำรองอีกต่อไป
มันปลดล็อก ความสามารถในการพิมพ์เงิน "ไม่จำกัด" ปริมาณเงินขึ้นอยู่กับดุลพินิจของ กลุ่มคนที่ควบคุมแท่นพิมพ์เงิน สุดท้ายเราก็เข้าสู่ยุคเอะอะพิมพ์เงินแบบเต็วตัว ผ่านกลไกการสร้างหนี้
แม้เทคโนโลยีดีขึ้นแค่ไหน ลดต้นทุนได้มากเท่าไหร่ มันก็ไม่มากพอที่จะหยุดยั้งราคาทุกสิ่งให้แพงขึ้น เพราะ
เศรษฐกิจและความมั่งคั่งของชาติ เสก ไม่ได้
แต่เงินกลับ เสก ได้ง่ายๆ จากอากาศ ในอัตราที่มากกว่า การเติบโตของเศรษฐกิจ "หลายเท่า" ทุกปี ต่อเนื่องหลายสิบปีที่ผ่านมา
ยกตัวอย่างเช่น
ปีก่อน เมกาพิมพ์เงิน 2 ล้านดอลต่อนาที
วันนี้ เมกาพิมพ์เงิน 3 ล้านดอลต่อนาที
อัตราการเสกเงินเพิ่มขึ้น 50% ภายในปีเดียว
คำถามคือ เศรษฐกิจของเขา โตขึ้นเท่าไหร?
แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะเงินดอลลาร์คือมาตรฐานของโลกใบนี้ ทุกประเทศต้องใช้มันเป็นทุนสำรอง และเป็นหน่วยกลางในการค้าขายระหว่างกัน
ดังนั้นเมื่อพี่เบิ้ม ทำการสร้างเงินเฟ้อ มันจะถูกส่งออกไปให้ทั้งโลก ช่วยกันรับผิดชอบ
ส่วนไทยเรา ปริมาณเงินเพิ่มขึ้นเฉลี่ย ปีละ 6.67% ทบต้น
คำถามคือ มีกี่ปี ที่เศรษฐกิจเราโตระดับนั้น? คำตอบคือแทบไม่มี
ทางที่ง่ายที่สุด และมีประสิทธิภาพสูงสุด ในออกจากวงจรอุบาทว์ ระบบส้นตีนสารชั่วนี่ คือ เปลี่ยนเงินปลอมๆ ชาติหมานี่ เป็น "บิตคอยน์" ให้มากที่สุด เท่าที่สภาพคล่องในชีวิตยังถูไถไปต่อได้
จริงหรือเพ้อเจ้อ อนาคตมาดูกัน
#Siamstr
ถ้าคุณอยากรู้ว่า เงิน เสื่อมค่าลงแค่ไหน?
ให้เทียบกับราคาทองคำ
เพราะทองคำ คือสิ่งที่มนุษย์เอามาใช้เป็น เงิน ยาวนานที่สุดหลายพันปี
แม้แต่ช่วงยุค Bretton Woods System (ก่อนพ.ศ. 2514) ที่เรามี เงินกระดาษ ใช้กันแล้ว
เงินที่แท้จริง ก็ยังคงเป็น ทองคำ
และเงินกระดาษ มีสถานะ "ตั๋วแลกเงิน" ที่สามารถเอาไปแลกคือเป็นเงินจริงๆ อย่างทองคำได้
จากรูปเห็นความบังเอิญที่เกิดขึ้นไหมครับ
สภาวะรายได้คนทำงานหยุดชะงัก สวนทางกับราคาข้าวของที่พุ่งขึ้นมหาศาล ในช่วงหลังปี พ.ศ. 2514 จนถึงปัจจุบัน
ซึ่งก็คือปีเดียวกับที่โลกเรา ใช้มาตรฐานการเงินใหม่
เรียกว่า มาตรฐานเฟียต
สาระสำคัญคือ เลิกผูกค่าเงิน กับ ทองคำ (ที่เสกไม่ได้)
เปลี่ยนมาใช้ พันธบัตร หรือ "หนี้" ที่เสกได้เท่าไรก็ได้จากอากาศ
นับตั้งแต่นั้น เงินเฟ้อที่เคยเป็นภัยคุกคาม และเป็นเรื่องชั่วคราว กลายมาเป็น "ของดีถาวร" ที่ขาดไม่ได้
ทุกอย่างก็เริ่มกลับตาลปัตร
จากยุคที่เคย เศรษฐกิจดี ผู้คนก็อยู่ดีกินดีตามไปด้วย (รูปแรก) สมัยที่เงินยังผูกค่ากับทอง
กลายเป็นว่า เศรษฐกิจโตทุกปี ราคาข้าวของแพงขึ้นทุกปี
แต่รายได้คนทำงาน ไม่โตตามอย่างรุนแรง
หนักถึงขั้น เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ หนี้ครัวเรือนหรือหนี้ประชาชน แซงมูลค่าเศรษฐกิจของประเทศไปเรียบร้อยแล้ว
ขณะที่มีคนกลุ่มเล็กๆ ยิ่งร่ำรวยขึ้น เพราะสามารถสร้างหนี้ได้มากกว่าในต้นทุนต่ำกว่าคน (มีไม่ถึง 5% ของประชากร) ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ มันถ่างออกยิ่งกว่ายุคไหนๆ
คนส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงอภิสิทธิ์นี้ ค่อยๆ ยากจนลงโดยไม่รู้ตัว ยิ่งนานชีวิตยิ่งยากขึ้น เพราะเงินเดือนโตไม่ทันค่าครองชีพ
แค่เวลา 50 กว่าปี
- เงินเดือนเริ่มต้นคนทำงานทั่วไป จากเคยซื้อข้าวได้เกิน 1000 จาน (เทียบเท่า 5-60,000 วันนี้) ซื้อทองได้ 2 บาท วันนี้เหลือ 2-300 จานที่กินไม่อิ่ม
- เคยผ่อนบ้านแค่ 10 ปี มาวันนี้ 30-40 ปี เริ่มเอาไม่อยู่
- เงินออมถูกทำลายมูลค่าอย่างหนัก ยิ่งถือนาน ยิ่งเสื่อมค่า เงินที่วันนี้ซื้อข้าวได้ 100 จาน อีก 30 ปีข้างหน้า มันจะเหลือ 10 จาน ถือเงิน 10 ล้านเฉยๆ ใช้ประหยัดๆ มันก็ไม่พอเกษียณนะครับ นอกจากจะเปลี่ยนมันเป็นสินทรัพย์อื่นที่รักษามูลค่าได้
- Gen Y กลายเป็นคนรุ่นแรกที่โดยเฉลี่ย ยากจนกว่าคนรุ่นพ่อแม่ อายุ 30-40 แล้ว ส่วนใหญ่ยังสร้างเนื้อสร้างตัวไม่ได้
- ตัวเองยังลำบาก จะสร้างครอบครัวก็ยาก ทำงานทั้งผัวทั้งเมีย เลี้ยงลูกสักคนนึงแทบตาย จนอัตราการตายแซงอัตราการเกิดไปเป็นที่เรียบร้อย
- เมื่อคนจำนวนมากมีชีวิตยากลำบาก ก็จำเป็นต้องเห็นแก่ตัวไว้ก่อนเพื่อเอาตัวรอด ไม่มีเวลาไปคิดถึงคนอื่นหรือคิดถึงส่วนรวม คุณภาพสังคมก็ค่อยๆ แย่ลง
ตัวอย่างคนเกิดทันยุคนั้น คือ แม่ผมเอง เป็นครูชั้นผู้น้อย ได้เงินเดือนเริ่มต้น 1,080 บาท ข้าวจานละ 1 บาท ทองบาทละ 5-600 เริ่มทำงานก็มีชีวิตที่มั่นคงทันที สร้างครอบครัวตั้งแต่อายุน้อย ผ่อนบ้านหลังแรกจบอายุ 30 ต้น
คนเริ่มทำงานวันนี้ ต้องมีเงินเดือนอย่างต่ำ 50,000 ถึงจะพอมีคุณภาพชีวิตพอๆ กับเขา
แล้วถ้า 54 ปีที่ผ่าน เงิน ยังคงหนุนหลังด้วย ทองคำ เหมือนเมื่อก่อน จะเกิดอะไรขึ้น?
เส้นสีเหลือง (รูปล่าง) คือ ราคาข้าวของต่าง ๆ ในหน่วยทองคำ มันเห็นชัดๆ ว่า ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคโดยเฉลี่ย มันเท่าๆ เดิม และมีแนวโน้มถูกลงด้วยซ้ำ
เพราะอะไร?
1. ทองคำเสกไม่ได้ ถูกจำกัดด้วยธรรมชาติ ไม่ว่าเทคโนโลยีดีแค่ไหน เราก็ไม่เคยขุดทองคำได้มากกว่า 2% ต่อปีอย่างถาวร
2. ความสามารถในการพิมพ์เงิน "ถูกจำกัด" จะพิมพ์เงินต้องไปหาทองคำมาสำรองก่อน
3. ดังนั้น เงินกระดาษที่มีทองคำหนุนหลัง จึงเก็บรักษามูลค่าได้ เงินต่อหน่วยมีมูลค่ามากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เพราะเศรษฐกิจ (demand) โตมากกว่า ปริมาณเงิน (supply)
บวกกับ เทคโนโลยีที่ดีขึ้นทุกวัน มันเข้ามาช่วยลดต้นทุนในการค้าและการผลิตลงเรื่อยๆ สินค้าถูกลงแต่คุณภาพดีขึ้น ค่าครองชีพค่อยๆ ลดเมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนในสังคมก็มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นทีละน้อย
แต่ในวันนี้ เมื่อเงินถูกสร้างจาก "หนี้" ที่เสกขึ้นจากอากาศ
ไม่จำเป็นต้องหาทองคำมาสำรองอีกต่อไป
มันปลดล็อก ความสามารถในการพิมพ์เงิน "ไม่จำกัด" ปริมาณเงินขึ้นอยู่กับดุลพินิจของ กลุ่มคนที่ควบคุมแท่นพิมพ์เงิน สุดท้ายเราก็เข้าสู่ยุคเอะอะพิมพ์เงินแบบเต็วตัว ผ่านกลไกการสร้างหนี้
แม้เทคโนโลยีดีขึ้นแค่ไหน ลดต้นทุนได้มากเท่าไหร่ มันก็ไม่มากพอที่จะหยุดยั้งราคาทุกสิ่งให้แพงขึ้น เพราะ
เศรษฐกิจและความมั่งคั่งของชาติ เสก ไม่ได้
แต่เงินกลับ เสก ได้ง่ายๆ จากอากาศ ในอัตราที่มากกว่า การเติบโตของเศรษฐกิจ "หลายเท่า" ทุกปี ต่อเนื่องหลายสิบปีที่ผ่านมา
ยกตัวอย่างเช่น
ปีก่อน เมกาพิมพ์เงิน 2 ล้านดอลต่อนาที
วันนี้ เมกาพิมพ์เงิน 3 ล้านดอลต่อนาที
อัตราการเสกเงินเพิ่มขึ้น 50% ภายในปีเดียว
คำถามคือ เศรษฐกิจของเขา โตขึ้นเท่าไหร?
แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะเงินดอลลาร์คือมาตรฐานของโลกใบนี้ ทุกประเทศต้องใช้มันเป็นทุนสำรอง และเป็นหน่วยกลางในการค้าขายระหว่างกัน
ดังนั้นเมื่อพี่เบิ้ม ทำการสร้างเงินเฟ้อ มันจะถูกส่งออกไปให้ทั้งโลก ช่วยกันรับผิดชอบ
ส่วนไทยเรา ปริมาณเงินเพิ่มขึ้นเฉลี่ย ปีละ 6.67% ทบต้น
คำถามคือ มีกี่ปี ที่เศรษฐกิจเราโตระดับนั้น? คำตอบคือแทบไม่มี
ทางที่ง่ายที่สุด และมีประสิทธิภาพสูงสุด ในออกจากวงจรอุบาทว์ ระบบส้นตีนสารชั่วนี่ คือ เปลี่ยนเงินปลอมๆ ชาติหมานี่ เป็น "บิตคอยน์" ให้มากที่สุด เท่าที่สภาพคล่องในชีวิตยังถูไถไปต่อได้
จริงหรือเพ้อเจ้อ อนาคตมาดูกัน
#Siamstr