การโกงและโกหก คือธรรมชาติของมนุษย์ แค่ถือบิทคอยคุณก็ไม่ต้อง "เชื่อใจ" ใครอีก - Sats And Sound Ep.53
จากประสบการณ์การใช้ชีวิต ทํางานของผมเอง ผมตกผลึกว่า
คนเราล้วนเห็นแก่ตัว และสามารถโกหกเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง
เอาตัวรอด และเอาเปรียบคนอื่นได้ตลอดเวลา
ถ้ามีโอกาส เห็นช่องทางโกง ก็โกงกันได้หมด
เพราะมันคือธรรมชาติของมนุษย์ในการเอาตัวรอด
ยิ่งเป็นเรื่องเงินๆทองๆ ผลประโยชน์ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ไม่สนิทบิดหมด บอกเพื่อนกันแต่เก็บทุกเม็ด
ยิ่งโต ยิ่งรู้ว่า สัญญาปากเปล่า ไม่มีหลักฐาน น่ากลัวมาก
ดังนั้นเวลาเราต้องการทําธุรกรรมที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ต่างๆ
เราจะให้ "บุคคลที่สาม" ที่น่าเชื่อถือมาเป็นตัวกลาง เพราะเรา "เชื่อใจ" ว่ามีโอกาสถูกโกงน้อยกว่าดีลกันแค่ 2 คน
คีย์เวิร์ดที่น่าสนใจในคลิปนี้คือ
พวกเราทุกคน อยู่ในระบบที่ต้อง "เชื่อใจตัวกลาง หรือ บุคคลที่สาม" ในระบบการเงินโลกที่มีมาอย่างยาวนาน
เช่น ธุรกรรมทางการเงิน เราก็เชื่อใจ ธนาคาร
ซื้อขาย อสังหาฯ เราก็เชื่อใจ เอเจ้น เจ้าหน้าที่กรมที่ดิน
ซื้อขาย หุ้น สินทรัพย์อืนๆ เราก็เชื่อใจ โบรกเกอร์
จะเห็นได้ว่า การจัดการสินทรัพย์ต่างๆของเรา เราจะชินกับการเชื่อใจ ตัวกลางมาตลอด
ที่จริงระบบนี้มันดีมากนะ ช่วยป้องกันการโกง รักษาผลประโยชน์ของสองฝ่ายได้
แต่โลกความจริงมันไม่ได้สีขาว ไม่ใสสะอาดขนาดนั้น
เมื่อมี "คน" เข้ามาในระบบ การโกงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์นั่นเอง
คนบางกลุ่ม หาช่องโหว่ในการเอาผลประโยชน์จากการเป็นตัวกลางได้อยู่ดี
ประเด็นที่ผมเน้นยํ้าในวันนี้ คือหลอกลวงระดับโลกที่พวกเราชินชากันมานาน
นั่นคือระบบการเงินโลกนั่นเอง
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ธนาคารเปรียบเสมือน "ตัวกลาง" ในการทําธุรกรรมการเงิน
ไม่ว่าจะในระดับบุคคล หรือ ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นแบงค์เอกชน หรือ FED
"ความเชื่อใจ"ที่พวกเราให้ "อํานาจ" ธนาคารในการควบคุมระบบการเงินนี่แหละ
ที่ทําให้ชีวิตเราจนและลําบากจากรุ่นสู่รุ่นไปเรื่อยๆ
ต้นเหตุมี ข้อเดียวเลยคือ เงินเฟ้อ การเพิ่มเงินเข้ามาในระบบ ส่งผลให้เงินเฟียตในมือของคนทั้งโลกเสื่อมค่าลงไปเรื่อยๆ
- FED พิมพ์เงิน อัดเข้ามาเข้ามาในระบบ ทํา QE พิมพ์เงินใช้หนี้เก่า พยุงเศรษฐกิจ
- ธนาคารเอกชน Fractional Reserve Banking เอาเงินฝากไปปล่อยกู้ต่อ เกิดเงินปลอมๆทางบัญชีมากมาย
ใครสนใจไปดูคลิป ความจริงของเงินเฟียต และ ระบบการเงินโลกที่กลุ่มนายทุน "ไม่อยากให้พวกเรารู้"
ใน playlist sats ผมได้ ได้ขยี้ประเด็นนี้ไว้แล้ว
การปล่อยให้ธนาคารพิมพ์เงินเป็นว่าเล่น มา 50 ปีแบบนี้ มันก็เกิดจากการเชื่อใจ คําพูดสวยหรูของนักการเมือง
และความไม่รู้ถึงความเลวร้ายของเงินเฟ้อ
นับตั้งแต่ปี 1971 เงินดอลล่าเสื่อมค่าไป 99 เปอร์เซนแล้ว
จากคลิป 1 ล้าน Sats รวยกว่า 1 ล้านบาท จริงเหรอ?
ผมได้เอา M2 หรือปริมาณเงินในระบบของประเทศไทย เทียบตั้งแต่ปี 2009-2025 ให้ดู
สรุปได้ว่า เงินเฟ้อในระบบ 6.01% ทบต้น เฟ้อขึ้น 158% ในเวลาแค่ 16 ปี
ใครสนใจเข้าไปดูคลิปนั้นได้
ถ้ายังไม่น่ากลัว ไม่เห็นภาพ
จากข้อมูล ใน trading view ปริมาณ M2 หรือ money supply ในประเทศไทย
มีการใส่ข้อมูลครั้งแรกในปี 1997 หน่วย ล้านล้านบาท
มกราคม 1997 มีปริมาณเงินทั้งหมด 4.73T
มกราคม 2009 มีปริมาณเงินทั้งหมด 8.60T
เวลาผ่านไป 12 ปี
ปริมาณเงินทั้งหมดได้เพิ่มขึ้น 3.87 T หรือคิดเป็นประมาณ 81.82%
หน่วยล้านล้านบาทมันเยอะขนาดไหน เผื่อบางคนไม่เห็นภาพ
3,870,000,000,000
จากนั้นในปี 2009 - 2025
พวกเราได้ผ่านมาหลายวิกฤต เช่น Hamburger Crisis สงคราม ความไม่สงบทั่วโลก Covid19
(บิทคอยใช้งานจริง ปี 2009) ส่งผลให้รัฐบาลโลกต้องพิมพ์เงินออกมามากมายเพื่อผยุงและกระตุ้นเศรษฐกิจ พิมพ์เยอะกว่าเงินเก่าที่มีอยู่ในระบบ
มกราคม 2009 มีปริมาณเงินทั้งหมด 8.60T
มกราคม 2025 มีปริมาณเงินทั้งหมด 22.37T
เวลาผ่านไป 16 ปี
ปริมาณเงินได้เพิ่มขึ้น 13.77T หรือคิดเป็นประมาณ 160.12%
ปี 1997 - ปี 2009 ปริมาณเงินเพิ่มขึ้น 3.87 T
ป 2009 - ปี 2025 ปริมาณเงินเพิ่มขึ้น 13.77T
ปริมาณเงินเพิ่มขึ้น 3.55 เท่าในเวลา 16 ปี
เริ่มเห็นยังทําไมเงินเฟ้อ ขนาดนี้ น่ากลัวมาก
ตัวเลขนี้มันบอกว่า 16 ปีที่ผ่านมา เรามีการพิมพ์เงินเพิ่มขึ้นมาในระบบมากเป็นอัตราเร่ง พิมพ์มากกว่าเดิม 2-3 เท่าจากวิกฤตต่างๆมากมาย เหมือนที่บอกไปแล้ว ส่งผลทําให้เงินบาทในระบบมากขึ้นมหาศาล ผลที่ตามมาคือเงินเฟ้อ
- ทําให้ทุกคนจนลงอย่างอัตโนมัติ
เอาให้เห็นภาพชัด
ปี 1997 คุณมีเงิน 1แสนบาท
ปี 2025 คุณมีเงิน 5แสนบาท
ผ่านไป 28 ปี รวยขึ้น มีเงินเพิ่ม 5 เท่า แน่ใจเหรอ???
ปี 1997 คุณมีเงิน 1แสนบาท แต่เงินในระบบมี 4.73T
สัดส่วนของเงินคุณเมื่อเทียบกับระบบ
≈ 0.0000000211416488
ปี 2025 คุณมีเงิน 5แสนบาท แต่เงินในระบบมี 22.37T
สัดส่วนของเงินคุณเมื่อเทียบกับระบบ
≈ 0.0000000223513634
ในความจริง ถ้าเทียบกับปริมาณเงินในระบบ
ผ่านไป 28 ปี สินทรัพย์ของคุณเพิ่มแค่ 0.946 เท่า เท่านั้น ( ไม่ใช่ 5 เท่าอย่างที่คิดไว้ )
ถ้าเงินในระบบยิ่งมาก แล้วคุณหาเงินหรือเก็บเงินได้ไม่ทัน คุณจะยิ่งจนลงเรื่อยๆ
- คนที่แย่ที่สุดคือคนไม่มีความรู้ทางการเงินที่ถูกต้อง/หาเงินไม่ทันเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ในโลก จะจนลงอย่างไม่รู้ตัว
- เงินใหม่หายาก ข้าวของแพงขึ้น หาเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้สักที เงินเก่าที่เก็บก็เสื่อมค่าลงไปเรื่อยๆ
นี่คือสิ่งที่ทั้งคนไทย และคนทั่วโลกส่วนใหญ่เผชิญอยู่ในตอนนี้
- ความเฮียคือ การพิมพ์เงินและเงินเฟ้อมันหยุดไม่ได้ และยังคงพิมพ์เงินในอัตราเร่งที่มากขึ้นเรื่อยๆ คนรุ่นหลังจะจนลง และใช้ชีวิตลําบากขึ้นเรื่อยๆ
พวกเราปล่อยให้สิ่งเลวร้ายนี้เกิดขึ้นเพราะ ความเชื่อใจ และรู้ไม่เท่าทันคําโกหก หลอกลวง ของคนมีอํานาจนั่นเอง
พอมาเจอบิทคอย โลกผมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ในเมื่อ มีคนเท่ากับโกง เท่ากับเชื่อใจไม่ได้
เราก็ไม่ต้องเชื่อใจใครเลย บิทคอยทําให้เราไม่ต้องเชื่อใจใครอีกต่อไป
ในอดีตผมก็คือมนุษย์เงินเฟียต ที่ทํางาน ใช้ชีวิต ใช้จ่าย ลงทุนแบบไม่สมํ่าเสมอ ผ่านไป 10 ปี
มีคําถามขึ้นมาในหัวว่า ทําไมเรายังรู้สึกไม่มั่นคง ทั้งๆที่เราก็พยายามทุกอย่าง แล้ว??
ผมเคยแชร์ประสบการณ์ ในคลิป รู้จัก บิทคอย และ เป็น Bitcoiner ได้ยังไง แชร์ ปสก เข้าไปดูกันได้
ซาโตชิ ผู้คิดค้นบิทคอย มีความเข้าใจสันดานดิบของมนุษย์มากๆนะ เขารู้ดีว่า ระบบที่ผ่านตัวกลาง
ต้องอาศัยความเชื่อใจ และสามารถเกิดช่องโหว่ให้โกงกันได้ตลอด
ดังนั้นบิทคอยก็เลยถูกออกแบบมาให้ ป้องกันการโกงตั้งแต่แรก
บิทคอยเป็นการเงินแบบไร้ตัวกลาง กระจายศูนย์
มีหลายๆฝ่ายทํางานร่วมกันเช่น developer miner node user คอยตรวจสอบกันและกัน รักษาผลประโยชน์ของตัวเอง
ทํางานร่วมกันโดยไม่ต้องเชื่อใจกัน
ยิ่งมีกลุ่มคนมากขึ้น ก็จะยิ่งทําให้ระบบการตรวจสอบ ความเป็น Anti-Fragile ของบิทคอยทําให้ยิ่งถูกโจมตี
ยิ่งสร้าง Network ที่แข็งแกร่งขึ้นอีก
บิทคอยถูกสร้างมาให้ป้องกันการโกงตั้งแต่แรกเลย โดยใช้การตรวจสอบจากกลุ่มคนหลายๆกลุ่ม หลายๆหน้าที่
มันสุดยอดมากๆ เป็นระบบการเงินที่เหมาะสมกับโลกปัจจุบันมาก โกงยาก โปร่งใส ตรวจสอบ และใช้ได้จริง
และตัวผมเองที่ไม่เชื่อใจใครง่ายๆอยู่แล้ว ชอบบิทคอยมากๆ ทุกอย่างมันลงล็อคเลย
เราจัดการสินทรัพย์ที่มีด้วยตัวเราเองได้ ไม่ต้องพึ่งใคร ซึ่งสิ่งนี้มันกระตุ้นให้ผม ต้องศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับบิทคอยมากขึ้น
ทำให้รู้ว่า บิทคอย ระบบการเงินไร้ศูนย์ที่ถูกออบแบบมาโดยเข้าใจมนุษย์อย่างแท้จริงซึ่งแก้ไขจากความผิดพลาดในอดีต
และสามารถถูกพัฒนาได้เรื่อยๆ โดยอาศัย consensus ของทุกคนในระบบ
- บิทคอยเป็นสินทรัพย์เดียวบนโลกที่มีจํากัดอย่างแท้จริง
- ถูกทําให้เฟ้อไม่ได้ ต่างจากสินทรัพย์อื่นๆ
- ที่สําคัญไม่มีใครเปลี่ยนกฏข้อนี้ได้ถ้าคนในระบบไม่ยินยอม
สรุป
1 การโกงและโกหก คือ ธรรมชาติของมนุษย์ เพราะเราอยู่ในโลกเงินเฟียต ที่ต้องเอาตัวรอด High Time Preference
2 มองโลกแบบไม่สวย ระบบไหนมี "คน/ตัวกลาง" เข้าไปเกี่ยว ถ้ามีช่องโหว่ โกงได้ บางคนก็โกง ระบบไหนเอาเปรียบคนอื่นได้ เขาก็ทํา เช่น การเงินโลกที่อาศัยตัวกลาง สุดท้ายแบงค์ก็เป็นคนที่เพิ่มเงินเข้ามาในระบบจนเกิดเงินเฟ้อ
3 ในโลกการเงินเก่า การตัดสินใจครั้งใหญ่ ขึ้นอยู่กับคนมีอํานาจไม่กี่คน พวกเขาจะคิดถึงประโยชน์ของตัวเองก่อน
ดังนั้น ไปถามหาความเชื่อใจกับคําพูดของคนเหล่านั้นไม่ได้ การโกหกว่าจะช่วยพยุงเศรษฐกิจ ช่วยแก้ไขความยากจนนั้นเป็นของปลอม
4 เราถูกสอนให้เชื่อใจ กับระบบการเงินโดยไม่ตั้งข้อสงสัยมานานกว่า 50 ปี ส่งผลให้ตอนนี้เวรกรรมทีได้รับคือ เงินเฟ้อมหาศาล
ทุกคนจนลงอย่างอัตโนมัติ
5 บิทคอยคือทางรอด เพราะ มันคือเงินไร้ตัวกลาง ถูกออกแบบมาให้โกงไม่ได้ตั้งแต่แรก ขั้นตอนที่คนต้องเข้าไปเกี่ยวไม่สามรถเปลี่ยนแปลงกฏเหล็กของบิทคอยในการเป็นเงินที่ดี เงินที่ไม่เสื่อมค่าได้
6 บิทคอย คือ ความอิสระ เป็นสินทรัพย์ที่เราไม่ต้องเชื่อใจใคร แต่นั่นก็คือความรับผิดชอบของเราเอง ถ้าเราทํา seed หลุด โอนผิด บิทคอยทั้งหมด สามารถหายไปได้ทันที
อยากให้ตั้งคําถามเกี่ยวกับความเชื่อใจในระบบการเงินโลก ที่เกิดปัญหาการโกงในปัจจุบัน คุณยังอยากอยู่ในระบบนั้นมั้ย
แล้วถ้ามีบิทคอยที่มาแก้ปัญหาเรื่องนี้ คุณคิดอย่างไร?
คุณจะต้องโดนโกง โดนหลอก ให้ได้บทเรียนมาก่อน แล้วคุณจะเริ่มเข้าใจบิทคอยจริงๆ เหมือนกับผม
#siamstr #satsandsound #btc #bitcoin #การโกง #โกหก
Login to reply