Jakk Goodday

Zero-JS Hypermedia Browser

avatar
Jakk Goodday
jakk@rightshift.to
npub1mqcw...nz85
#Siamstr

Notes (17)

The Heart of Life – John Mayer “เพลงที่เล่นให้ตัวเองฟัง ต่อให้มีคอร์ดผิดอยู่บ้าง ก็ซื่อสัตย์กว่าชีวิตที่เอาแต่เล่นตามโน้ตของคนอื่น” image แดดร่มลมตก ผมหอบเอากีตาร์ออกมานั่งเล่นที่สวนหลังบ้าน รอบกายไร้ซึ่งเวทีและผู้ชม เหลือเพียงลมอ่อนๆ ที่พัดเอากลิ่นดินชื้นน้ำรดต้นไม้มาแตะจมูก และมีเพียงเสียงสายกีตาร์กังวานอยู่เป็นเพื่อน สมัยเด็ก... ผมเคยเชื่อฝังหัวว่าคุณค่าของดนตรีผูกติดอยู่กับจำนวนผู้ฟัง ต้องยืนอยู่บนเวที ท่ามกลางเสียงปรบมือเกรียวกราว ถึงจะคุ้มค่าเหนื่อย ครั้นพอเติบโตขึ้น มุมมองนั้นกลับเปลี่ยนไป กลายเป็นว่าช่วงเวลาเงียบๆ ที่ได้ดีดกีตาร์กล่อมเกลาใจตัวเองในมุมสงบ กลับเป็นของขวัญที่ล้ำค่ายิ่งกว่า ในยามที่เราอยากหยิบมันขึ้นมาบรรเลงด้วยใจรัก ต่อให้โลกภายนอกจะหมุนไปอย่างไร ความสุขตรงหน้าก็เป็นสิทธิ์ของเราโดยสมบูรณ์ ไม่จำเป็นต้องรอให้ใครมาอนุญาต เสียงดนตรีในสวนย่อมมีจังหวะที่นิ้วกดพลาด หรือเสียงเพี้ยนไปบ้างเป็นธรรมดา ทว่าความรื่นรมย์ของการเล่นลำพัง คือการที่เราได้โอบรับความไม่สมบูรณ์เหล่านั้นไว้อย่างเต็มหัวใจ โดยไม่ต้องพะวงกับสายตาจับผิดของใคร ดนตรีสอนให้ผมเข้าใจว่าคอร์ดที่ผิดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเดินทาง ...ไม่ใช่จุดจบ หากเรามัวแต่ชะงักงันเพียงเพราะเสียงเดียวที่เพี้ยนไป เพลงรักทั้งเพลงคงไม่มีวันเดินทางไปถึงท่อนฮุกที่รออยู่ ชีวิตคนเราก็ดำเนินไปในท่วงทำนองเดียวกัน อาจมีการตัดสินใจที่พลั้งพลาด หรือถ้อยคำที่หลุดปากไปบ้าง หากเรายอมรับและฟังให้รู้ว่าผิดตรงไหน แล้วค่อยๆ ประคองใจกลับมาสู่คีย์เดิม ท่วงทำนองในช่วงต่อไปก็ยังคงไพเราะงดงามได้เสมอ ผมปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับเสียงเพลง ระบายความกังวลที่สะสมมาทั้งวันให้ไหลผ่านปลายนิ้วออกไปเรื่อยๆ จะไพเราะหรือแปร่งปร่าบ้างก็ไม่สำคัญเท่ากับความจริงที่ว่า... ทุกตัวโน้ตนั้นกลั่นออกมาจากใจของเราเอง จวบจนเวลาที่เก็บกีตาร์ลงกระเป๋า สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในใจอาจไม่ใช่ความรู้สึกว่าเก่งกาจขึ้น หากแต่เป็นความรู้สึกเบาสบายอย่างน่าประหลาด เพียงเท่านี้ก็เติมเต็มยามเช้าให้สมบูรณ์แล้ว เพราะที่สุดแล้วความสุขอาจเรียบง่ายเพียงแค่การอนุญาตให้ตัวเองได้บรรเลงเพลงชีวิตในแบบที่เป็น แม้จะมีร่องรอยของความผิดพลาดปะปนอยู่บ้างก็ตาม... #JakkDiary #Siamstr
2025-12-07 01:53:18 from 1 relay(s) View Thread →
ฟ้าสางรำไร พระจันทร์กลมโตยังลอยค้างอยู่เหนือแนวสายไฟ ผมยืนพิงรั้วหน้าบ้าน สูดอากาศเย็นฉ่ำเข้าปอดลึกๆ image ท่ามกลางความเงียบสงัด เสียงแรกที่แว่วมาทักทายเช้านี้ กลับไม่ใช่เสียงยวดยานพาหนะ หรือเสียงผู้คนจอแจ หากแต่เป็นเสียงนกตัวเล็กๆ ที่ส่งเสียงร้องแผ่วเบามาจากหลังคาบ้านข้างๆ ภาพนี้ทำให้ผมนึกถึงคำเปรียบเปรยเรื่อง "นกที่ตื่นเช้า" ซึ่งในความรู้สึกของผม มันมีความหมายลึกซึ้งกว่าแค่เรื่องของคนขยันที่ต้องรีบตื่นมาแข่งขันกับใคร นกที่ตื่นเช้าที่แท้จริง คือผู้ที่ตื่นรู้ก่อนที่เสียงอึกทึกของโลกภายนอกจะดังกลบเสียงหัวใจของตัวเอง ช่วงเวลารุ่งสางเปรียบเสมือนของขวัญที่ธรรมชาติมอบให้ เป็นห้วงเวลาสั้นๆ ที่โลกยังไม่ทันได้ดึงรั้งความสนใจของเราให้กระจัดกระจาย เปิดโอกาสให้เราได้ยินเสียงลมหายใจ และได้ฟังเสียงความคิดของตัวเองชัดๆ ก่อนที่คลื่นภาระหน้าที่และข่าวสารประจำวันจะถาโถมเข้ามาปะปนจนแยกไม่ออก ดังนั้น นกที่ผมอยากจะเป็น คือนกที่ใช้ช่วงเวลาแห่งแสงแรก ทบทวนกับตัวเองเงียบๆ ว่า "วันนี้... เราอยากใช้ชีวิตแบบไหน" โดยไม่ต้องคาดคั้นคำตอบที่ยิ่งใหญ่ ขอแค่ซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองสักข้อเดียว ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่งดงามแล้ว ชีวิตจริงอาจไม่ได้ลงล็อคสวยงามเหมือนตารางสอน บางวันเราอาจตื่นสายบ้าง หรือพักผ่อนน้อยบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ขอแค่เรายังเหลือพื้นที่เล็กๆ อนุญาตให้หัวใจได้ตื่นขึ้นมาสูดอากาศก่อนร่างกายสักนิด ไม่ว่าเข็มนาฬิกาจะชี้บอกเวลาเท่าไหร่ เราทุกคนก็สามารถเป็นนกที่ตื่นเช้าในแบบฉบับที่มีความสุขได้เสมอครับ #JakkDiary #Siamstr
2025-12-05 23:14:46 from 1 relay(s) View Thread →
"Natural is the new SEXY" หากเป็นเมื่อก่อน พอเอ่ยถึงคำว่า "แรงดึงดูด" ภาพในหัวของพวกเรามักจะผูกติดอยู่กับความสมบูรณ์แบบ ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมที่จัดทรงมาอย่างดี หรือภาพถ่ายที่ผ่านการเลือกมุมและแสงมาอย่างประณีต image จนบางทีเราลืมมองไปว่า เสน่ห์ที่แท้จริงนั้นซ่อนอยู่ในเนื้อแท้ของเรานี่เอง โดยไม่จำเป็นต้องไปสรรหาอะไรมาปรุงแต่งให้วุ่นวาย ผมเคยสังเกตใครบางคนที่เดินเข้ามาในวงสนทนา เขาแต่งตัวเรียบง่ายเพียงเสื้อยืดกางเกงเก่าๆ ไม่มียี่ห้อหรูหราประดับกาย แต่แปลกที่วินาทีที่เขานั่งลง บรรยากาศรอบข้างกลับดูสงบและเย็นลงอย่างน่าประหลาด สายตาของผู้คนหันไปหาเขาอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งที่เขาไม่ได้พยายามทำอะไรให้โดดเด่นเลย คำถามคือ... แรงดึงดูดนั้นมาจากไหน? มันไม่ได้มาจากรูปร่างหน้าตา ไม่ได้มาจากข้าวของมีราคา และไม่ใช่ถ้อยคำคมคายที่เตรียมมาพูด มันคือบรรยากาศของความสบายเนื้อสบายตัวของคนคนหนึ่ง ที่พอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น สายตาของเขาไม่ได้ร้อนรนเพื่อเอาชนะ และท่าทีของเขาก็บอกเราเงียบๆ ว่า "ฉันโอเคกับตัวเองในแบบนี้" ความสงบเย็นนี้เองที่แผ่ออกมา จนทำให้คนที่อยู่ใกล้พลอยรู้สึกวางใจและกล้าที่จะเป็นตัวเองไปด้วย นี่แหละครับ คือความหมายของความเป็นธรรมชาติ เสน่ห์แบบนี้ ไม่ใช่การพยายามทำตัวให้ใครรัก มันเกิดจากการยอมรับความจริงที่ว่า... "ต่อให้บางคนจะไม่ชอบเรา ก็ไม่เป็นไร" คนที่ใจนิ่งพอและอยู่กับตัวเองได้ จะไม่รู้สึกว่าต้องรีบพูดแทรก ไม่ต้องเร่งแสดงความเก่งกาจ หรือต้องคอยออกความเห็นไปเสียทุกเรื่อง เขาจึงกลายเป็นคนที่มีที่ว่างให้คนอื่นได้หายใจ อยู่ใกล้แล้วรู้สึกร่มเย็น จะหัวเราะด้วยกันก็ไม่เหนื่อย หรือจะแค่นั่งเงียบๆ ข้างกันก็ไม่อึดอัดใจ พลังงานแบบนี้นี่เอง ที่ผมคิดว่ามีความเซ็กซี่และน่าค้นหายิ่งกว่าการปรุงแต่งใดๆ ผมเรียกมันว่าการสร้าง สนามพลังสั่นพ้อง (Synharmonic Field) สำหรับผม ในยุคนี้คนที่มีท่าทีต่อชีวิตที่ดี นั้นน่ามองและชวนหลงใหลยิ่งกว่าคนที่มีเพียงรูปร่างหน้าตาสวยงามเสียอีกครับ คนที่มีเสน่ห์ คือคนที่โอบกอดร่องรอยบาดแผลของตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องซุกซ่อนอดีต แต่ก็ไม่ฟูมฟายเอาความเจ็บปวดไปสาดใส่ใคร คือคนที่ล้มแล้วลุกขึ้นมาปัดฝุ่นเดินต่อได้เงียบๆ โดยไม่ต้องป่าวประกาศให้โลกรู้ว่าตัวเองเข้มแข็งเพียงใด คนแบบนี้มักมีแรงดึงดูดลึกลับบางอย่างที่ทำให้เราอยากขยับเข้าไปใกล้ อยากนั่งฟังเขาเล่าเรื่อง หรือเพียงแค่อยากรู้ว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง ถึงได้มีสายตาที่มองโลกด้วยความเข้าใจลึกซึ้งเช่นนี้ แน่นอนครับว่า การดูแลตัวเองให้สะอาดสะอ้าน น่ามอง และน่าเข้าใกล้ ยังคงเป็นประตูด่านแรกที่สำคัญเสมอ แต่หากภายในใจยังคงวุ่นวาย ยังหิวโหยการยอมรับ หรือยังต้องคอยประเมินคุณค่าตัวเองผ่านสายตาคนอื่น... ต่อให้ภายนอกจะดูดีสักแค่ไหน ลึกๆ แล้วมันก็จะยังมีความรู้สึกฝืนเจือปนออกมาอยู่ดี ความเป็นธรรมชาติที่แท้จริง คือการดูแลสมดุลกายและใจให้ดี จนความงามมันล้นออกมาเองโดยที่เราไม่ต้องพยายามเค้น มากกว่าการปล่อยเนื้อปล่อยตัวไปตามยถากรรม บางที... จุดเริ่มต้นของเสน่ห์อาจไม่ได้อยู่ที่การไปขวนขวายเรียนรู้อะไรเพิ่ม แต่อยู่ที่การค่อยๆ วางสิ่งที่หนักอึ้งในใจลงเสียบ้าง วางความอยากเอาชนะ วางความกังวลว่าต้องเป็นคนสำคัญ วางความกลัวที่จะถูกมองว่าเป็นคนธรรมดา แล้วลองหันกลับมาสำรวจดูว่า ในวันที่เราไม่ต้องพยายามเป็นใคร ไม่ต้องแสดงอะไร เรายังหลงเหลืออะไรที่เป็นเนื้อแท้ของตัวเองอยู่บ้าง? หากคุณยังยิ้มให้กับคนธรรมดาคนนั้นในกระจกได้ และรู้สึกอยากเป็นเพื่อนกับเขา นั่นแปลว่าเสน่ห์ที่แท้จริงได้เริ่มผลิบานในใจคุณแล้วครับ "เสน่ห์ที่จะอยู่กับเราไปตลอดกาล เกิดจากความกล้าหาญที่จะยอมรับความจริงของตัวเอง มากกว่าการพยายามปรุงแต่งเปลือกนอกให้เกินจริง ในวันที่ไม่มีแสงไฟ ไม่มีเวที เหลือเพียงแค่เรา... ที่ยังคงเป็นเราอย่างสมบูรณ์" #JakkDiary #SynharmonicField #Siamstr
2025-12-02 06:29:30 from 1 relay(s) View Thread →
image #บทเรียนเรื่องการแบกน้ำหนักและการยืนหยัด เย็นวันหนึ่งผมยืนมองเสาไฟหน้าบ้านเก่าหลังหนึ่ง แดดสีทองส่องเฉียงลงมาโดนเสาปูนที่ขึ้นคราบดำ ลวดสายไฟพะรุงพะรังพุ่งออกไปหลายทิศ เหนือหลังคาสังกะสีที่เริ่มหม่น ต้นไม้ใหญ่ข้างบ้านผลัดใบจนเหลือแต่กิ่งแห้งๆ ทะลุขึ้นไปแตะท้องฟ้าสีน้ำเงินใส ภาพตรงหน้าหาใช่โปสเตอร์ท่องเที่ยวไม่ ทว่ามันเต็มไปด้วยเรื่องเล่าของการยืนอยู่ตรงนี้ เสาไฟต้นนี้อาจไม่เคยมีใครถ่ายรูปมัน ต้นไม้แห้งตรงนั้นก็ไม่ค่อยมีใครชื่นชมสักเท่าไหร่ ทั้งคู่มิได้มีหน้าที่ทำให้โลกสวยงามขึ้น มันมีหน้าที่รับน้ำหนัก.. เสาไฟแบกสายไฟไว้ทั้งซอย ต้นไม้เคยแบกใบ เคยให้ร่มเงาในฤดูที่ยังเขียวขจี บ้านเก่าข้างหลังแบกชีวิตคนทั้งครอบครัวมาหลายสิบปี ผมนึกถึงคนรอบตัวหลายคน คนที่อาจไม่โดดเด่น ไม่ขึ้นชื่อบนป้าย แต่ถ้าเขาถอนตัวออกไป ชีวิตของใครอีกหลายคนอาจจะสั่นคลอนทันที เราเคยมองพวกเขาด้วยสายตาแบบนี้บ้างไหม? เหมือนที่มองเสาไฟเก่าๆ ที่ยังยืนทำงาน เหมือนที่มองบ้านเก่าที่คอยรับฝน รับแดดแทนคนอยู่ข้างใน สายไฟข้างล่างพันกันยุ่งเหยิง ทว่าพอเงยหน้าขึ้น ท้องฟ้ากลับดูโล่งสะอาด ชีวิตเราก็คล้ายภาพนี้... ข้างล่างคือกองภาระ หนี้ งาน ความคาดหวัง สายแต่ละเส้นดึงเราไปคนละทิศละทาง บางวันเราจ้องแต่ความยุ่งเหยิงระดับสายตา จนลืมว่าเหนือหัวขึ้นไปอีกนิดเดียว ยังมีฟ้าให้หายใจอยู่ ไม่ใช่ให้เลิกใส่ใจภาระข้างล่าง ทว่าเพื่อเตือนตัวเองว่า... เวลาเหนื่อยเกินไป ลองถอยออกมาหนึ่งก้าว เงยหน้าอีกนิด ให้ใจได้เห็นท้องฟ้าในตัวเองบ้าง ฟ้ามิได้แก้ปมสายไฟ หากแต่มันช่วยมอบพื้นที่ว่างให้เราเรียงลมหายใจใหม่ เสาไฟต้นเดียวในภาพแบกสายไฟหลายเส้น บางเส้นมาจากบ้านหลังนี้ บางเส้นข้ามถนนไปเข้าอีกหลัง แต่ละเส้นมีเรื่องราวของมันเอง ผมนึกถึงตัวเราเวลาต้องรับบทหลายอย่าง เป็นลูก เป็นพ่อแม่ เป็นเพื่อน เป็นหัวหน้า เป็นลูกน้อง ทุกบทบาทส่งแรงดึงบางอย่างเข้ามาพันรอบตัว เสาไฟที่ดีต้องแข็งแรง ต่อให้แข็งสักเพียงใด ก็รับสายได้อย่างจำกัด ห้อยมากเกินไป วันหนึ่งก็เอน หรือหัก คนเราก็เช่นกัน... การรู้จักบอกตัวเองว่า เส้นนี้ขอไม่รับเพิ่มแล้ว นั่นแหละคือความแข็งแรง เป็นการถนอมเสาที่ทั้งซอยฝากไฟไว้ต่างหาก บางทีสิ่งที่ต้องกล้าทำหาใช่รับงานเพิ่ม ทว่าอาจเป็นการปีนขึ้นไปจัดสายที่พันกันมานาน แยกให้ออกว่าสายไหนคือหน้าที่ สายไหนคือความเคยชินที่ไม่มีใครใช้แล้ว มองเลยออกไปที่ต้นไม้แห้งข้างบ้านนั้น ผมเห็นภาพของฤดูกาลชัดขึ้น ครั้งหนึ่งมันเคยเขียวขจี เคยให้ร่ม เคยมีนกมาทำรัง วันนี้ยืนเปลือยกิ่งรอเวลาเปลี่ยนฤดูอีกครั้ง ตัวบ้านเองก็แก่ลงทีละปี คนในบ้านก็เช่นกัน สุดท้ายทุกสิ่งก็ต้องยอมรับความไม่จีรัง เสาไฟจะผุ ต้นไม้จะผลัดใบ บ้านจะเปลี่ยนมือ ทุกอย่างต้องยอมรับความไม่ถาวรเหมือนกัน พอคิดเช่นนี้แล้ว... ใจเลยอ่อนลงกับทั้งตัวเองและคนอื่น ถ้ายังต้องยืนร่วมเฟรมกันอยู่ในฤดูเดียวกัน ก็ขอใช้ช่วงเวลานี้ดูแลกันให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยืนมองภาพนี้นานๆ แล้วได้บทสรุปเงียบๆ ว่า เราไม่จำเป็นต้องเป็นอะไรที่สวยงามให้คนชม ขอแค่เป็นเสาที่มั่นพอให้คนรอบข้างพิงได้บ้าง เป็นต้นไม้ที่ยืนอยู่แม้มีบางฤดูที่แห้งโกร๋น และอย่าลืมเผื่อฟ้าไว้เหนือหัวตัวเองเสมอ ในวันที่สายชีวิตพันกันยุ่ง ลองมองภาพนี้อีกที เสาไฟเก่า ต้นไม้แห้ง บ้านเก่า และฟ้ากว้าง ทุกอย่างต่างทำหน้าที่ของตัวเองเงียบๆ มันก็เพียงพอแล้วสำหรับการมีอยู่ในโลกใบนี้ “บางชีวิตเกิดมาเพื่อแบกสายไฟให้ทั้งซอยให้สว่าง บางชีวิตเกิดมาเพื่อเป็นเงาไม้ให้ใครสักคนได้หลบแดด ไม่จำเป็นต้องสวยที่สุด แค่ยืนอยู่ให้ไหว ทว่าต้องอยู่ด้วยกันให้ดีที่สุดในฤดูนี้” #JakkDiary #Siamstr
2025-11-29 05:52:54 from 1 relay(s) View Thread →
"เงาเพื่อนรัก" image เช้าวันนี้ที่ค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นฤดูหนาว ผมเดินช้าๆ อยู่กลางถนนเงียบๆ เสื้อกันหนาวซ้อนสองสามชั้นต้านลมเย็น แดดอ่อนส่องลงมาตรงๆ จนรู้สึกอุ่นนิดๆ พอเงยหน้าขึ้นจากพื้น ก็เห็นเพื่อนเก่าเดินขนานไปด้วยกัน... เงานั่นเอง เงายาวเหยียดออกไปข้างหน้าเหมือนคนคอยนำทาง แม้ไม่พูดสักคำ มันก็ตามติดทุกก้าวที่ผมขยับ ตอนยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพ ผมรู้สึกแปลกๆ แนบอยู่ในอก ความรู้สึกนั้นไม่ได้มาจากเงาบนถนน ทว่าเงาในใจต่างหากที่ผมมองเห็นชัดขึ้น ผมเคยอ่านงานของ คาร์ล ยุง นักจิตวิทยาสายลึก เขาบอกว่าเรามีส่วนหนึ่งซ่อนอยู่ในตัว... เรียกส่วนนั้นว่า “เงา” มันคือส่วนที่เราไม่อยากมองตรงๆ ทั้งความกลัว ความอิจฉา ความโกรธ ความอาย รวมถึงศักยภาพบางอย่างที่เราไม่กล้าใช้ เพราะกลัวคนจะไม่รัก พอลองมองชีวิตตัวเองย้อนกลับไป เงาไม่เคยหายไปที่ไหน แค่เปลี่ยนรูปไปตามช่วงวัย ตอนเด็ก มันอาจเป็นเสียงกระซิบว่า “อย่าถาม เดี๋ยวครูดุ” ตอนโตกลายเป็นประโยค “อย่าลอง เดี๋ยวหน้าแตก” หรือกระซิบย้ำๆ ว่า “ยังไม่ดีพอหรอก อย่าออกไปยืนข้างหน้าเลย” หลายครั้งเราไม่ได้ยินเสียงมันชัดนัก ทว่าอาการของเราก็ดังออกมาแทน เช่น เราอาจหงุดหงิดง่าย พาลคนอื่น เกลียดคนบางแบบโดยไม่รู้เหตุผล ยุงบอกว่า ตอนนั้นเราไม่ได้แค่เกลียดเขาเท่านั้น เพราะเราอาจกำลังเกลียดเงาในตัวเราเองที่สะท้อนออกมาผ่านเขา ผมเริ่มมองเงาในใจเหมือน “เพื่อนที่กล้าเล่าเรื่องจริง” มากที่สุดคนหนึ่ง เพื่อนที่ไม่เกรงใจเราเลย คอยบอกตรงๆ ว่าแผลไหนยังไม่หาย ตรงไหนที่เรายังโกหกตัวเองอยู่ เวลาผมโกรธใครแรงๆ เพื่อนเงานี่แหละที่กระซิบเบาๆ ว่า “ลองดูดีๆ สิ เขาอาจทำในสิ่งที่นายเองก็เคยอยากทำแต่ไม่กล้า หรือเคยทำแล้วรู้สึกผิด” ฟังแล้วเจ็บ แต่ถ้าไม่ฟังเลย วงจรเดิมก็จะตามมา อีกมุมหนึ่ง เงาบนถนนวันนี้เตือนผมว่า เงาก่อตัวได้เพราะมีแสง ยิ่งแสงแรง เงายิ่งคม เ หมือนช่วงที่เราเริ่มตั้งใจเติบโต ชัดเจนกับคุณค่าบางอย่างในชีวิต เรากลับเห็นด้านมืดของตัวเองชัดขึ้น หลายคนเลยเข้าใจว่า “ยิ่งโต ยิ่งแย่” ความจริงแล้วเราเพียงแค่ “มองเห็นตัวเองมากกว่าเดิม” แสงในที่นี้อาจเป็นความรู้ใหม่ ประสบการณ์ที่สอนหนักๆ หรือคนรอบตัวที่กล้าตั้งคำถามกับเรา เมื่อแสงส่องเข้ามา เงาในใจก็มีรูปร่าง เราจึงเริ่มเห็นเส้นขอบของมันชัดขึ้น ระหว่างเดินกลางแดด ผมมองเงายาวบนถนน แล้วรู้สึกว่า เงายังมีหน้าที่อีกอย่างหนึ่ง คือทำตัวเหมือนเข็มทิศพาเรากลับบ้าน ทุกครั้งที่ผมใช้ชีวิตสวนทางกับหัวใจ เงาจะหนักขึ้นเป็นพิเศษ ก้าวเท้าลำบาก ทำงานที่ไม่เชื่อแม้แต่น้อย อยู่ในความสัมพันธ์ที่ต้องสวมหน้ากากตลอดเวลา หรือรับบทคนเก่งทั้งที่อยากขอให้ใครสักคนช่วยประคอง เงาในใจไม่เคยอยู่เฉย มันส่งสัญญาณผ่านความเหนื่อยประหลาดๆ ผ่านอารมณ์ที่เดือดง่าย ผ่านคำถามซ้ำซากว่า “นี่ใช่ชีวิตที่เราอยากอยู่จริง ๆ หรือเปล่า” ถ้าเราไม่หนีสายตาตัวเอง เงาเหล่านี้จะกลายเป็นเข็มทิศ ชี้ให้เห็นทิศทางที่ตรงกว่า อาจยังเดินไปไม่ได้ทันที แต่อย่างน้อยเรารู้แล้วว่า “บ้านอยู่ทางไหน” ในสายของยุง เป้าหมายหาใช่การลบเงาให้หายไปไม่ หากคือ “ทำความรู้จักและรับมันเป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา” ฟังดูยาก... แต่ก็เริ่มจากเรื่องเล็กๆ ได้เลย เมื่อโกรธใครจนเกินเหตุ ลองถามตัวเองว่า ส่วนไหนในเขาที่เหมือนเรา เมื่ออิจฉาใครบางคน ลองมองดูดีๆ ว่า นั่นอาจเป็นด้านที่เราเองก็มีแววอยู่ แค่ยังไม่เคยอนุญาตให้มันออกมา เรายอมรับว่า “นี่ก็เป็นเราเหมือนกัน” หาใช่การยอมจำนนต่อเงา แล้วค่อยเลือกวิธีใช้พลังนั้นอย่างที่ไม่ทำร้ายตัวเองและคนรอบข้าง ความสบายใจอาจไม่ได้มาจากการหนีด้านมืด ทว่ามันเริ่มต้นจากเช้าวันธรรมดา ที่เรายืนมองเงาบนถนน แล้วยอมรับว่า ทั้งแสง ทั้งเงา ล้วนเป็นรูปร่างเดียวกันของคำว่า “ฉันเอง” นั่นแหละ #jakkdiary #Siamstr
2025-11-22 03:32:29 from 1 relay(s) View Thread →
"ชื่อที่ถูกกู้คืน" ...แด่คนที่ขังตัวเองไว้ในความผิดพลาด image ไม่กี่วันก่อน... ความเงียบของกล่องข้อความถูกทำลายด้วยชื่อหนึ่ง ชื่อที่หายไปจากวงโคจรเกือบสามปีเต็ม ตัวอักษรเรียงกันด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย แต่ก็แบกน้ำหนักอะไรบางอย่างเอาไว้มหาศาล “สวัสดีครับพี่ตั้ม... เวลามันผ่านไปไวจริง ๆ ผมไม่อยากผัดวันไปเรื่อย ๆ อีกแล้ว ช่วงที่ผ่านมา ผมเอาเสียงในหัวมาบั่นทอนตัวเองเยอะไป... ผมคิดถึงช่วงที่ได้สร้างแรงถีบในคอมมูนี้ครับ” อ่านจบผมนิ่งไปพักใหญ่... ความเงียบนั้นไม่ได้ว่างเปล่า... มันอัดแน่นด้วยความยินดีที่รู้ว่า “เขา” หาทางกลับมาเจอ ย้อนกลับไปในปี 2022 ในวันที่โลกคริปโตยังเป็นเพียงห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ บนกลุ่มดิสคอร์ดชื่อ Local Bitcoin Thailand ยุคที่ยังไร้ชื่อ Right Shift คอมมูนิตี้ยังไร้รูปทรงที่ชัดเจน วงล้อมวันนั้นมีคนเพียงไม่กี่คน อาจารย์ขิง อาร์ม ตั๋ง บอส คนอื่นๆ และเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อาสารับหน้าที่ดูแลหลังบ้าน ตั้งเซิร์ฟเวอร์ จัดหมวดหมู่ คอยเปิดประตูต้อนรับคนแปลกหน้า เดิมทีเขาสนใจสินทรัพย์ดิจิทัลในภาพกว้าง ไม่ได้เจาะจงบิตคอยน์ แต่การซึมซับ บทสนทนา และการถกเถียง ค่อย ๆ เปลี่ยนเขาไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งเขากล้าเรียกตัวเองว่า “บิตคอยเนอร์” ได้เต็มเสียง เขาอยู่ตรงนั้น... ในเงาของงานหลายอย่าง ตั้งแต่จัดระเบียบกลุ่ม จนถึงมีตอัพสีส้มครั้งแรกท่ามกลางกลิ่นโรงเบียร์มิตรสัมพันธ์ งานแปลหนังสือ เว็บบทความ ฯลฯ แม้นามจะไม่ปรากฏบนหน้าเพจ... ทว่ารอยนิ้วมือของเขากลับประทับแน่นอยู่บนอิฐก้อนแรก ๆ ของที่นี่ สำหรับผม เขาคือหนึ่งในราก รากแขนงเล็ก ๆ ที่ช่วยพยุงต้นไม้ต้นนี้ในวันที่ลมยังแรง แล้วชีวิตก็ผลักเขาเข้าสู่ทางแคบ... จุดที่ต้องตัดสินใจด้วยความเร็วสูง การเรียน การเลี้ยงชีพ ความฝันที่จะดูแลตัวเอง... ทุกอย่างวิ่งเข้ามาชนพร้อมกัน เขาจำเป็นต้องหาเงิน ต้องประคองอนาคต จนจำยอมเลือกเส้นทางที่เร่งรีบ เส้นทางที่ต้องแลกด้วยศรัทธาบางอย่างที่เคยสร้างไว้ รายละเอียดไม่จำเป็นต้องขุดซ้ำ แต่ในวันที่เขาจะหายไปจากวงโคจร เรามีโอกาสคุยกันยาวครั้งหนึ่ง เสียงของเขามีรอยร้าว ความเหนื่อย ความสับสน และความเสียใจที่ไหลปนออกมาในจังหวะหายใจ ผมบอกเขาไปเพียงสั้น ๆ ให้เวลาไปจัดการชีวิต... เอาให้รอด เอาให้นิ่ง วันไหนเบาลง อยากกลับมา ประตูบานเดิมก็ไม่ได้ล็อก สิ้นบทสนทนานั้น เขาเงียบหายไปจากกลุ่ม ไม่ได้หายไปจากโลก แค่หายไปจากพื้นที่ที่เขาเคยอนุญาตให้ตัวเองมีความสุข สามปีผ่านไป... คอมมูนิตี้เติบโต กิ่งก้านขยาย กลุ่มใหม่ผุดขึ้น สายสัมพันธ์ถักทอ งานอีเวนต์และเรื่องเล่ามากมายหลั่งไหล ในสายตาคนนอก มันคือภาพความสนุก แต่ในสายตาของคนที่เคยก่ออิฐก้อนแรก... ภาพเหล่านี้คงมีรสชาติที่ขมปร่า ผมเชื่อว่าเขายังอยู่... นั่งอยู่เงียบ ๆ ตรงมุมมืดสักแห่งหลังหน้าจอ มองดูการเติบโตด้วยความยินดี... และความน้อยเนื้อต่ำใจในเวลาเดียวกัน เขาเล่าให้ฟังในข้อความล่าสุดว่า ตลอดช่วงที่หายไป เสียงในหัวเล่นวนอยู่ประโยคเดียว “ทำไมวันนั้นถึงเลือกแบบนั้น?” เขาพิพากษาตัวเองซ้ำ ๆ ทุกวัน โทษหนักจนไม่กล้าแม้แต่จะก้าวเท้ากลับเข้ามาในที่ที่เคยรัก เรื่องของเขาทำให้ผมย้อนกลับมาเปิดพจนานุกรมในใจ ที่ๆ ผมพยายามลบคำว่า “ล้มเหลว” ทิ้งไปตั้งนานแล้ว อยากมองทุกการสะดุดเป็นค่าเทอมของปัญญา ในเมื่อมันสอนเราได้ชัดเจนว่า “อะไรไม่ควรทำซ้ำ” เราจะไม่เรียกมันว่าการก้าวเดินได้อย่างไร? เราโทษตัวเองได้ครับ... การรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเองคือความงดงามของมนุษย์ เพียงแต่อีกด้านหนึ่ง... หากนิ้วที่ชี้เข้าหาตัวเองไม่เคยลดลงเลย นิ้วนั้นจะกลายเป็นกรงขัง และเราจะขังตัวเองไว้ในห้องมืดของความละอายตลอดไป การโทษตัวเองไม่ควรเป็นคำพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต มันควรเป็นแค่บทเรียนบทหนึ่ง... อ่านให้จบ แล้วพลิกหน้าต่อไป ผมบอกเขา... ในสายตาผม เขาไม่ใช่คนทรยศเส้นทาง เขาเป็นแค่คนที่เหนื่อย จนเผลอเลี้ยวเข้าซอยแคบไปชั่วคราว กลับรถลำบากอยู่พักใหญ่ แต่สุดท้าย... เขาก็หาทางกลับมาเจอถนนหลักจนได้ เราไม่จำเป็นต้องชดใช้ความผิดพลาดด้วยการเนรเทศตัวเองจากความสุขตลอดกาล แค่รู้ว่าเลือกพลาด ก็พอแล้ว หลังจากนั้นคือแบบฝึกหัดของการ “วางไม้พายลง” รู้จักให้อภัยตัวเอง แล้วค่อย ๆ หันหัวเรือกลับมา วิธีกลับมาไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ ไม่ต้องเริ่มโปรเจกต์กู้โลก เพียงแค่ออกมาเชื่อมกับผู้คนที่กำลังลงมือทำ มายืนอยู่ข้างเวที ช่วยยกโต๊ะ ช่วยฟัง ช่วยหัวเราะ เดี๋ยวงานที่เหมาะมือจะไหลมาหาเอง ที่นี่ไม่ได้ต้องการคนสมบูรณ์แบบ ต้องการแค่คนที่พร้อมจะเรียนรู้... และลุกขึ้นเดินใหม่ไปด้วยกัน ผมไม่รู้ว่าในวันที่คุณอ่านมาถึงบรรทัดนี้ ในใจคุณมี “คนตัวเล็ก ๆ” ซ่อนตัวอยู่มุมไหนบ้างหรือเปล่า คนที่เคยพลาด เคยเปลี่ยนทาง แล้วใช้เวลาหลายปีลงโทษตัวเองอยู่เงียบ ๆ ในห้องขังที่สร้างเอง ถ้าใช่... ผมอยากจะบอกเบา ๆ ว่า โทษตัวเองได้นะ... แต่อย่าให้นานเกินไป อย่าให้เสียงนั้นดังจนกลบโอกาสที่จะเริ่มใหม่ วันหนึ่งหากคุณเดินเข้ามาในงานของเรา แล้วมีน้องคนหนึ่งเดินมาทักด้วยรอยยิ้มเขิน ๆ ว่า.. “สวัสดีครับ ผมชื่อแฮ่มครับ” ผมฝากยิ้ม ฝากคำทักทาย และฝากอ้อมกอดจากทุกคนไว้ล่วงหน้า เพื่อต้อนรับเขา... และโอบกอดส่วนหนึ่งในตัวเราทุกคน ที่ต่างกำลังหาทางกลับบ้านอยู่เหมือนกัน #JakkDiary #Siamstr
2025-11-21 04:06:35 from 1 relay(s) View Thread →
"บางทีเราไม่ได้เกือบเสียรถ เราเกือบเสียบทเรียนสำคัญไปต่างหาก" image เช้านี้ผมรู้สึกว่าตัวเองออกจากบ้านด้วยใจลอย ๆ ไม่รีบมาก แต่ก็ไม่ช้าพอจะมองอะไรให้ละเอียด มอเตอร์ไซค์จอดไว้หน้าบ้าน เสียบกุญแจ สตาร์ตรถ ขับไปทำงาน พอไปถึงก็ลากสังขารขึ้นห้องเหมือนวันทั่ว ๆ ไป จนกระทั่งเลิกงานกำลังจะกลับบ้าน ผมเดินลงมา ยืนมองรถนิ่ง ๆ อยู่พักหนึ่ง รู้สึกแปลก ๆ เหมือนลืมอะไรสักอย่าง พอจะเอื้อมไปหยิบกุญแจในกระเป๋ากางเกง กลับคว้าเจอแต่หน้ากากอนามัย ใจเริ่มหน่วง ๆ เลยก้มลงไปมองแผงคอรถ กุญแจเสียบคาอยู่ตรงนั้นทั้งวัน แถมอยู่ในโหมดเปิดครบชุด เอาจนแบตหมดเกลี้ยง ตอนนั้นผมไม่ได้คิดเรื่องแบตเลย คิดอยู่คำเดียวว่า “โชคดีเหลือเกินที่รถยังอยู่” ในอีกโลกหนึ่ง รถคันเดิมอาจหายไปตั้งแต่เช้า อาจไม่มีเสียงสตาร์ตรถให้ได้ยินอีก ไม่มีเวลาให้นั่งยิ้มแห้งกับความซุ่มซ่ามของตัวเองแบบวันนี้ ผมมองหาคนรู้จัก ขอให้ช่วยพาไปหาที่จัมป์แบต วุ่นวายอยู่พักใหญ่ กว่าจะกลับมาสตาร์ตรถได้อีกครั้งก็เสียแรง เสียเวลาไปไม่น้อย แต่ระหว่างยืนรอ ผมกลับรู้สึกว่าเรื่องใหญ่สุดไม่น่าจะใช่แบตหมด และอาจไม่ใช่เรื่องรถอาจโดนขับหายไป เรื่องใหญ่คือ “ใจที่เผลอ” ต่างหาก กุญแจดอกเล็ก ๆ ที่เสียบไว้ตรงนั้นทั้งวัน เหมือนรูโหว่เล็ก ๆ ในชีวิต ที่เราเปิดค้างไว้โดยไม่รู้ตัว บางทีเราก็ไม่ต่างจากรถคันนี้สักเท่าไร ดูเหมือนปกติ วิ่งไปมาได้ทั้งวัน แต่บางจังหวะก็เผลอวางสิ่งสำคัญทิ้งไว้ในที่ล่อแหลม ฝากไว้กับดวง ฝากไว้กับความเมตตาของคนแปลกหน้า แล้วค่อยย้อนมาบอกตัวเองว่า “รอดตัวไปครั้งหนึ่ง” ความโชคดีในวันแบบนี้นับว่าเป็นบุญ แต่ถ้าต้องใช้บ่อย ๆ ชีวิตก็คงเหนื่อย ผมยืนมองกุญแจที่ยังเสียบคาอยู่ แล้วถามตัวเองเบา ๆ ว่า... จริง ๆ แล้วอยากฝากชีวิตไว้กับอะไร กับนิสัยเผลอ ๆ ที่หวังพึ่งโชค หรือกับสติเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ ฝึกให้ไม่เปิดช่องว่างแบบนี้ตั้งแต่แรก เรื่องลืมกุญแจนี้อาจจะดูเล็ก แต่ในใจผมมันเสียงดังพอสมควร มันดังเตือนว่า... อาจมีอีกหลายเรื่องในชีวิตที่เราเผลอเปิดไว้แบบนี้เหมือนกัน ข้อความที่ยังไม่ตอบ คำขอโทษที่ผัดวันประกันพรุ่ง ร่างกายที่ยังไม่ยอมหันมาดูแล หรืออาจจะเป็นหัวใจที่ให้คนอื่นเข้ามาเดินเล่นได้ง่ายจนเกินไป เราอาจรอดมาได้แล้วหลายครั้ง รอดจากการโดนตำหนิ รอดจากอุบัติเหตุ รอดจากเหตุการณ์ที่แค่เปลี่ยนรายละเอียดอีกนิดเดียว ชีวิตอาจไม่เหมือนเดิมอีกเลย ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่า ความโชคดีไม่ควรกลายเป็นข้ออ้างให้เราประมาทต่อไป ผมไม่ได้อยากกลายเป็นคนหวาดระแวงไปเสียทุกอย่าง เพียงแต่อยากให้ “ใจที่เผลอ” มีคนคอยปลุกบ้างบางที เหตุการณ์เช้าวันนี้ก็เลยทำหน้าที่นั้นได้อย่างดี ตอนดึงกุญแจออกจากช่องสตาร์ต ผมคงไม่ถึงกับสัญญากับตัวเองว่าจะไม่พลาดอีกเลย รู้ดีว่าคงไม่มีใครทำได้ แค่อาจจะบอกเบา ๆ ว่า ต่อจากนี้อยากให้การไม่ลืม มาจากความตั้งใจ มากกว่าหวังให้โลกเมตตา บางวันเราอาจยังพลาดอยู่ดี แต่ถ้าทุกครั้งที่พลาด เราได้เรียนรู้และปิดรูรั่วไปทีละจุด ต่อให้โชคดีอาจจะลดลงไปบ้าง.. ชีวิตก็คงไม่สั่นไหวง่ายเหมือนรถคันที่เสียบกุญแจทิ้งไว้ทั้งวันอีกต่อไป “ต่อให้โลกเมตตากับเราแค่ไหน สุดท้ายคนเฝ้าดูประตูชีวิต ก็คือสติเล็ก ๆ ในตัวเราเอง” #JAKKDiary #Siamstr
2025-11-20 10:54:17 from 1 relay(s) View Thread →
ช่วงนี้ผมหยุดมองตัวเลขตัวหนึ่งบ่อยเป็นพิเศษ เลขธรรมดา ๆ ที่เห็นอยู่ทุกวันอยู่แล้ว แต่วันหนึ่งมันกลายเป็นตำแหน่งที่ผมยืนอยู่พอดี image เลยเผลอหยิบขึ้นมาคิดต่อเงียบ ๆ เลขนี้เขียนง่าย แค่ 4 กับ 1 วางเคียงกัน ตอนเด็ก ๆ ผมเคยชอบเลขคู่ เลขกลม ๆ ดูเรียบร้อยน่าไว้ใจ พอโตขึ้นกลับรู้สึกถูกชะตากับเลขที่ไม่ค่อยกลมกล่อมเท่าไร ยังไงก็หารไม่ลงตัวกับใครง่าย ๆ เลขนี้เป็นจำนวนเฉพาะ หารได้แค่ด้วย 1 กับตัวมันเอง ผมไม่ได้อยากอยู่คนเดียว แค่เริ่มเข้าใจมากขึ้นว่า ชีวิตไม่จำเป็นต้องลงตัวกับทุกคนทุกวงเสมอไป บางความสัมพันธ์ห่างออก บางบทบาทค่อย ๆ วางลง เหลือเพียงไม่กี่อย่างที่อยากดูแลให้ดีจริง ๆ เหมือนลดตัวประกอบส่วนเกินออกทีละนิด ให้เหลือแก่นที่ใจยอมรับโดยไม่ต้องเถียงกันอีก พอมองลึกเข้าไปอีกหน่อย... เลข 4 อยู่ข้างหน้าเหมือนเสาบ้านสี่ต้น นึกถึงฐานที่อยากยืนให้มั่นขึ้นเรื่อย ๆ สุขภาพที่ไม่ควรผลัดวันประกันพรุ่ง งานที่ยังอยากทำด้วยความหมาย คนไม่กี่คนที่อยากอยู่ใกล้แล้วปลอดภัยทั้งสองฝ่าย ส่วนเลข 1 เล็ก ๆ ข้างหลัง เหมือนพื้นที่เล็ก ๆ ที่ยังอยากเริ่มต้นใหม่ อยากลองเป็นมือใหม่กับบางเรื่อง ฝึกฟังให้ลึกขึ้น ฝึกวางให้บ่อยขึ้น ฝึกอยู่กับตัวเองโดยไม่ต้องหาที่พึ่งภายนอกตลอดเวลา เมื่อก่อนเคยอยากสะสมอะไรหลายอย่าง คำชม ตำแหน่ง โอกาส ตอนนี้กลับสนใจคุณภาพของลมหายใจมากกว่า อยู่ในห้องเงียบ ๆ แล้วใจเบาได้หรือเปล่า ได้นั่งกินข้าวกับคนที่รักโดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูบ่อยขนาดไหน หัวเราะได้เต็มปอดโดยไม่ต้องแกล้งเข้มแข็งเท่าเดิมไหม ตัวเลขที่ยืนอยู่ตรงกลางตอนนี้เลยเป็นเหมือนเครื่องเตือนว่า... ข้างนอกไม่จำเป็นต้องเพิ่มอะไรนักแล้ว สิ่งที่ควรเพิ่มคือเนื้อที่ว่างข้างใน ให้หัวใจไม่ต้องวิ่งตามทุกกระแสเหมือนเมื่อก่อน บางความฝันอาจไม่ไปถึง บางเส้นทางอาจปิดไปถาวร แปลกดี… พอยอมรับได้ ใจกลับโล่งขึ้น เหมือนได้เก็บของในห้องเก่า คัดออกเสียบ้าง เหลือไว้เฉพาะที่ยังรักจริง ๆ ผมไม่ได้แน่ใจหรอกว่าเข้าใจโลกมากขึ้นแค่ไหน แค่รู้สึกว่าทุกปีที่ผ่าน น้ำหนักของคำว่าพอแล้ว มันชัดขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าวันหนึ่งมีใครถามว่า ตัวเลขช่วงนี้สอนอะไรกับชีวิตบ้าง ก็คงตอบได้เพียงว่า... มันชวนให้เลือกยืนบนฐานที่มั่นคงสักไม่กี่อย่าง กล้าตัดตัวประกอบที่ไม่จำเป็น แล้วรักษาใจดวงเล็ก ๆ ให้ยังกล้าลอง กล้ารัก กล้าผิดพลาด โดยไม่ต้องรอคำยืนยันจากโลกมากเท่าเดิม เท่านี้… ก็นับว่าเป็นของขวัญชิ้นใหญ่แล้ว สำหรับตัวเลขที่กำลังยืนอยู่ตรงนี้ #Siamstr
2025-11-20 04:18:44 from 1 relay(s) View Thread →
“ต้นไม้ไม่ได้โตเพราะวันฟ้าใสวันเดียว คนก็เหมือนกัน… แข็งแรงขึ้นจากหลายเช้าที่ลมแรง” image เช้านี้ลมเย็นกว่าทุกวัน ผมตื่นมาแล้วเลื่อนประตูออกไปที่ระเบียง ลมหนาวยามสายพัดรวดเดียวเข้าหน้า กลิ่นฝนเจืออยู่ในอากาศ ฟ้าทึมทั้งผืน ไม่มีแดดอุ่นให้ยืนตากเหมือนหลายเช้าก่อนหน้า เม็ดฝนโปรยเบา ๆ พอให้พื้นเปียกพราว แต่ยังไม่ถึงกับต้องวิ่งหลบ กลางภาพเช้าแบบนั้น มีต้นพะยอมต้นหนึ่งยืนเด่นอยู่ตรงลานด้านล่าง จำได้ดีว่าวันที่เขายกมาลงหลุม ต้นยังผอมสูง ไม่มีใบสักเท่าไร กิ่งโปร่งจนเห็นฟ้าข้างหลังชัด แวบแรกที่มองก็เผลอคิดในใจว่า “มันรอดหรือเปล่านะ?” ดินยังใหม่ น้ำยังไม่ซึม รากยังไม่รู้ทางลง ไม่รู้เหมือนกันว่าจากวันนั้นถึงวันนี้ผ่านมากี่ปีแล้ว สามหรือห้าปีก็ไม่แน่ใจ รู้แค่ว่าฝนหลายฤดูรดลงมาจนต้นเดิมที่เคยโล่ง กลายเป็นพะยอมใบดก แน่นทั้งต้น ให้ร่มเงารถที่จอดอยู่ข้างล่างได้สบาย ลมหนาวเช้านี้พัดแรงพอควร ใบทั้งต้นเอนลู่ไปทางเดียวกัน พอหอบลมชุดใหญ่ผ่าน เสียงใบเสียดสีกันดังพรืดเหมือนคลื่นซัดเข้าฝั่ง แต่ลำต้นกลับยืนนิ่ง แทบไม่ขยับ ตัวต้นเหมือนคนที่ยืนเท้าเป๊ะอยู่กับที่ ปล่อยให้แค่ชายเสื้อปลิวตามแรงลม ผมนั่งมองแล้วดันนึกถึงชีวิตคนขึ้นมาเสียเฉย ๆ วัยหนึ่ง... เราอาจเหมือนพะยอมเพิ่งลงหลุม ย้ายจากที่เดิมมาอยู่ที่ใหม่ หน้าไหนก็ดูแปลกไปหมด ตัวเองก็ดูผอมบาง ไร้ใบ ไม่มีใครเชื่อว่าจะยืนไหว คนเดินผ่านแอบมองแล้วส่ายหน้าเบา ๆ อยู่ในใจ ทั้งที่ไม่มีใครรู้เลยว่าใต้ดิน รากกำลังค่อย ๆ ซอนไซลงทีละเส้น กว่าจะหยั่งรากลึกก็ต้องเจอทั้งแดดจัด ฝนหนัก ลมแรง ผ่านฤดูที่ฟ้าเปิดบ้าง ฟ้าปิดบ้าง บางวันมีคนมาหลบแดดใต้ร่ม บางวันยืนเปียกฝนตามลำพัง แต่ทุกวันก็ยืนอยู่ที่เดิม ทำงานเงียบ ๆ ชีวิตเราก็ไม่ต่างกันเท่าไร... วันไหนข่าวร้ายถาโถม ใจทั้งดวงอาจเอนไปทางใดทางหนึ่ง เหมือนใบพะยอมที่ลู่ตามลม คิดมากไปหมด กังวลสารพัด แต่ถ้าโคนยังฝังแน่นอยู่กับสิ่งที่เชื่อ ยืนอยู่บนพื้นฐานเดิม ไม่เผลอถอนรากหนี ลมแรงแค่ไหนก็พัดได้แค่ส่วนใบ ลมแบบเช้าวันนี้มีประโยชน์อย่างหนึ่ง คือช่วยให้เห็นชัดว่าต้นไหนหยั่งรากลึกแล้ว ต้นไหนแค่ยืนสวยเวลาไม่มีอะไรสั่นสะเทือน ใจคนก็เหมือนกัน... ช่วงฟ้าสว่างสดใส ใครก็ดูมั่นคงไปหมด ต้องรอดูตอนลมมา ฝนลง จึงจะรู้ว่าในอกเกาะอะไรไว้จริง ๆ ผมเคยมองหาแต่แดดอุ่น ๆ คิดว่าเช้าที่ดีต้องมีแสงสีทองส่องใบไม้ พอได้มานั่งฟังลมหนาวซัดพะยอมทั้งต้นแบบนี้ ถึงเริ่มยอมรับว่า ฤดูที่ฟ้าหม่นก็มีหน้าที่ของมันเหมือนกัน ช่วยทดสอบกิ่ง ช่วยให้รากขยับตัวลึกลงไปอีกหน่อย บางทีเราอาจไม่ต้องขอให้ชีวิตมีแต่วันฟ้าใส แค่หวังให้หัวใจกลายเป็นต้นไม้ที่ยืนไหวได้ทุกฤดูกาลก็พอแล้ว... เช้านี้ผมนั่งมองพะยอมโดนลมซัด ใบพรืดไปคนละทางกับฝนที่โปรยลงมาเบา ๆ แล้วแอบบอกตัวเองในใจว่า... ต่อให้วันข้างหน้ามีลมแรงกว่านี้อีกหลายครั้ง อย่างน้อยก็อยากยืนให้ได้แบบต้นนี้ โคนแน่น รากลึก ส่วนใบ… จะปลิวไปทางไหน ก็ปล่อยให้ลมพาไปเถอะนะ #Jakkdiary #Siamstr
2025-11-19 03:56:27 from 1 relay(s) View Thread →
“เคยอยากให้เวลาเดินเร็ว พอโตขึ้น… แค่ขอให้มันช้าลงสักนิดก็ยังดี” นาฬิกาแขวนผนังเรือนเดิม เข็มยังเดินเท่าเดิม แต่ความรู้สึกที่มองมัน… กลับไม่เหมือนเดิมเลย image ตอนอายุ 9 ขวบ ผมนั่งเงยหน้าดูนาฬิกาในห้องเรียน หนึ่งคาบเหมือนยืดยาวทั้งฤดูร้อน เสียง “ติ๊ก… ติ๊ก…” แต่ละครั้งช้าเสียจนใจร้อน จาก 9 ไป 18 เหมือนต้องเดินต่ออีกเท่าชีวิตที่เคยมีมา เวลาข้างหน้าดูหนาแน่น เต็มไปด้วย “เมื่อไหร่จะโตสักที” ผ่านมาถึงวัย 35 หันไปดูนาฬิกาเรือนเดิม จาก 35 ไป 36 คือแค่ขีดเล็ก ๆ บนเส้นชีวิตอันยาวเหยียด หนึ่งปีไม่ถึงสามเปอร์เซ็นต์ของประสบการณ์ทั้งหมด เลยรู้สึกเหมือนเพียงหลับตาแล้วลืมตาใหม่ เวลาเดินเท่าเดิม… แค่ใจเรานี่แหละ ผ่านมามากจนรู้ว่า หนึ่งปีมันมีน้ำหนักไม่เท่ากันในแต่ละวัย ตอนเด็ก ๆ หนึ่งปีคือทุ่งกว้าง เต็มไปด้วย “ครั้งแรก” ครั้งแรกที่ล้ม ครั้งแรกที่รัก ครั้งแรกที่ผิดหวัง พอโตขึ้น หนึ่งปีเหลือเท่าใบไม้แผ่นเดียว แต่บนใบไม้นั้น เต็มไปด้วยรอยขีดของเรื่องราว บทเรียนพวกนี้ไม่ได้เกี่ยวกับความฉลาดอะไรเลย เป็นแค่การมองโลกกว้างขึ้นทีละน้อย แล้วค่อยเห็นตัวเองชัดขึ้นตามไปด้วย เมื่อเริ่มรู้สึกว่าเวลาเดินเร็ว ความกลัวจริง ๆ ไม่ได้เกี่ยวกับอายุ มันค้างอยู่ในคำถามเดียว… ในหลายปีที่ผ่าน เราเคยเผลอปล่อยช่วงเวลาสำคัญให้ไหลหายไปกี่ครั้งแล้ว นาฬิกาบนผนังไม่เคยเร่งเสียง มันเดินไปตามจังหวะเดิมตั้งแต่วันแรกที่แขวน คนที่เปลี่ยนคือคนที่ยืนมอง บางวัน… เสียง “ติ๊ก” เตือนให้นึกถึงคนที่ยังไม่ได้โทรหา งานที่อยากเริ่มแต่ยังผัดวัน คำขอโทษที่ติดอยู่ตรงปลายลิ้นมานานหลายปี เวลาอาจเดินไวขึ้นในความรู้สึก แต่วินาทีตรงหน้า ยังเต็มเปี่ยมเท่าเดิมเสมอ ในห้องเงียบ ๆ ที่มีเพียงนาฬิกาแขวนบนผนัง เสียงเข็มไม่เคยเร่งให้โต หรือเร่งให้เราชนะใคร มันแค่กระซิบเบา ๆ ว่า… วันนี้… ยังมีโอกาสอยู่ จะใช้มันอย่างไร ขึ้นอยู่กับคนที่ยืนมองนั่นเอง #Jakkdiary #Siamstr
2025-11-18 09:49:06 from 1 relay(s) View Thread →
#เด็กขอบสนาม ผมเติบโตในบ้านที่ตั้งชิดขอบสนามโรงเรียน แต่เหมือนถูกวางอยู่คนละโลกกับมัน image ครอบครัวไม่ค่อยสนับสนุนให้ผมออกกำลังกายเท่าไร อาจเพราะรูปร่างผอมบาง หรือเพราะเขาไม่เห็นว่าผมจะไปไกลได้ในกีฬาอะไรสักอย่าง แต่ผมกลับหลงรักเสียงฟุตบอลตั้งแต่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากติกามีกี่ข้อ ทุกเย็น ผมยืนอยู่ข้างสนาม มองพี่ ๆ น้า ๆ ในหมู่บ้านวิ่งไล่บอลกันแบบบ้าน ๆ สนามฝุ่นฟุ้ง ลูกบอลเก่า ๆ และเสียงหัวเราะที่ไม่เคยแพ้อะไรทั้งนั้น ตอนนั้นผมเป็นได้แค่เด็กขอบสนาม ทำอะไรไม่เป็น นอกจากรอจังหวะที่บอลหลงมาแล้วรีบวิ่งไปเก็บคืนให้เขา แต่บางที… ชีวิตก็เปิดช่องแคบ ๆ ให้คนตัวเล็กได้มุดเข้าไป โดยไม่ถามว่าพร้อมไหม เมื่อทีมวัยรุ่นของหมู่บ้านเริ่มตะเวนท้าแข่งหมู่บ้านอื่น ผมก็ขอติดสอยห้อยตาม ขับมอเตอร์ไซค์กันเป็นขบวน ลุยกันแบบไร้รูปแบบ ไม่มีโค้ช ไม่มีแท็กติก มีแต่ความมันส์ในหัวใจและความอยากชนะที่ไม่มีเหตุผลรองรับอะไรเลย จากเด็กขอบสนาม ผมได้เลื่อนขั้นเป็นเด็กเก็บบอลหลังประตู จากเด็กเก็บบอล ผมได้เลื่อนขั้นเป็นไลน์แมนจำเป็น เพราะวันนั้นหาใครไม่ได้จริง ๆ มันเริ่มจากแบบนั้น... แบบที่ไม่มีใครตั้งใจเลือกผมเลยสักครั้งเดียว #วันแรกที่ได้ลงสนาม ผมซ้อมเองทุกวัน เพราะคิดว่าบางทีถ้าดันมีคนขาดจริง ๆ ผมอาจได้ลงสักห้านาที ผมมักจะตื่นตีห้า ออกวิ่งเป็นสิบกิโล ลากยางรถยนต์จนหลังอาน เดาะบอลจนดึก แล้วเช้าอีกวันก็ไปโรงเรียนด้วยขาที่ล้าจนแทบก้าวไม่ออก แต่ก็ไม่มีใครสนใจอยู่ดี... ผมไม่เก่งขนาดนััน ไม่มีประสบการณ์ ผมเป็นตัวเลือกสุดท้ายเสมอ จนวันหนึ่ง... คนก็ขาดจริงๆ และผมถูกส่งลงเพื่อให้ครบ 11 คน เท่านั้นเอง พวกเขาให้ผมเล่นกองหน้า ผมไม่รู้เรียกมันว่ากองหน้าดีไหม เพราะสิ่งเดียวที่ผมทำเป็น คือ วิ่งให้เร็วที่สุดแล้วหวดให้แรงที่สุด เกมวันนั้นเราโดนบุกแทบทั้งแมตช์ บอลกระเด้งกระดอนมั่วไปหมด กองหลังทีมเรามีทักษะเดียวคือสาดโด่งให้ไกลที่สุด และในหนึ่งจังหวะที่ดูเหมือนไม่มีอะไรให้ลุ้นเลย กองหลังคนหนึ่งก็หวดบอลขึ้นหน้าไปแบบมั่ว ๆ แต่ดันเป็นขึ้นหน้าไปทางผมพอดี และผมยืนหัวโด่อยู่คนเดียวแบบที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น ผมวิ่ง... วิ่งเท้าเปล่า วิ่งจนลมในอกตีขึ้นมา วิ่งจนเท้าแทบไม่รู้สึกถึงพื้น ตอนรู้ตัวอีกที ผมทิ้งกองหลังไว้ไกลมาก บอลกระเด้งมาพอดี ผมหยุดคิด ไม่วางแผน ไม่เหลียวดูผู้รักษาประตู ผมหวดเต็มข้อด้วยหลังเท้า หวังแค่ว่าให้มันเข้ากรอบก็พอ ลูกบอลพุ่งวาบเหมือนลูกไฟ เสียบเข้าประตูแบบที่ผมเองยังไม่อยากเชื่อว่าทำได้ เสียงเฮดังขึ้นรอบตัว แต่เสียงที่ดังที่สุด คือเสียงในใจผมเอง เหมือนมีใครมากระซิบว่า “เห็นไหม… มาถึงตรงนี้ได้ก็เพราะไม่ยอมเดินออกจากสนามไปก่อน” ประตูนั่นไม่ได้ทำให้ผมเก่งขึ้นทันที มันทำให้ผมรักฟุตบอลแบบถอนตัวไม่ขึ้นตั้งแต่วินาทีนั้น #จากเด็กขอบสนามสู่คนที่ต้องเดินออกจากสนามเพราะร่างกายไม่ไหว หลังจากนั้นผมเล่นให้กับทุกทีมที่ผมไปอยู่ด้วย ไม่เคยเป็นตัวหลัก แต่ก็ไม่เคยขาดซ้อม ผมเคยเป็นกัปตันทีมคณะในมหาวิทยาลัยช่วงหนึ่ง ชีวิตเหมือนจะพาผมไปไกลกว่าที่ตัวเองเคยคิดไว้มาก จนวันหนึ่ง... ร่างกายก็บอกกับผมว่า “พอได้แล้ว” ผมประสบอุบัติเหตุ กระดูกเท้าแตก พักยาวจนเล่นไม่ได้อีกแบบเดิม พอกลับมาเล่นกับทีมโรงพยาบาลก็เจ็บซ้ำ ข้อเท้าพลิกซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้าย ผมต้องยอมรับบางอย่างที่ยากที่สุดในชีวิต ผมไม่สามารถกลับไปเป็นนักบอลแบบเดิมได้อีกแล้ว สิบปีผ่านไป... ผมยังคิดถึงสนามเดิม ๆ ยังคิดถึงเสียงรองเท้าสตั๊ดเสียดพื้น ยังคิดถึงลมที่ปะทะหน้าเวลาวิ่งสุดแรง ยังคงคิดถึงลูกยิงแรกในชีวิตที่เปลี่ยนผมไปตลอดกาล... #สิ่งที่ฟุตบอลสอนผม มันไม่ใช่เรื่องความเก่ง ไม่ใช่เรื่องของชัยชนะ ไม่ใช่เรื่องรางวัลจากใครสักคนสักนิดเดียว ฟุตบอลสอนผมว่า... โอกาสมักตกใส่หัวคนที่ยังยืนอยู่ในสนาม แม้จะไม่มีใครเลือกก็ตาม มันสอนผมว่า... จังหวะที่เปลี่ยนชีวิต มักเกิดตอนที่เราเองยังไม่พร้อม มันสอนผมว่า... แม้ร่างกายจะหยุดเล่นได้ แต่ความรักบางอย่างจะไม่เคยหายไปไหน บางอย่างเราไม่ได้สูญเสีย มันแค่เปลี่ยนที่อยู่ จากปลายเท้า มาอยู่ในหัวใจ และผมก็ยังเป็นเด็กขอบสนามคนนั้นเสมอ เพียงแต่วันนี้… ผมมองสนามจากอีกมุมหนึ่งเท่านั้นเอง... image #jakkdiary #siamstr
2025-11-14 06:08:59 from 1 relay(s) View Thread →
“ทุกๆเช้าคุณมีอยู่สองทางเลือก เลือกที่จะนอนต่อกับความฝันนั้นของคุณ หรือไม่ก็ลุกขึ้นไปไล่ล่ามัน” - เออร์ลิง เบราท์ ฮาแลนด์ #ลมหนาวมาแล้ว #Siamstr image
2025-11-14 02:30:28 from 1 relay(s) View Thread →
"โลกไม่เคยแบ่งผิวว่าดีหรือร้าย มีเพียงสายตาเราที่ตีเส้นให้มันเอง" ใต้กำแพงเก่าที่เงียบเชียบ ท่อน้ำทิ้งสีซีดทอดตัวผ่านแผงวัชพืชที่เติบโตอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ทั้งคู่... image หนึ่งเพราะกลิ่นของสิ่งปฏิกูล อีกหนึ่งเพราะมันถูกมองว่าพื้นที่นี้หญ้ารกมาตลอดชีวิต แต่เมื่อลองมองให้นานขึ้นอีกนิด เสียงบางอย่างก็เหมือนจะลอยขึ้นมาจากภาพธรรมดาตรงหน้า ราวกับโลกกำลังใช้ฉากเล็กๆ นี้กระซิบคำสอนบางอย่างที่มนุษย์มักฟังผ่านเสมอ... ท่อที่รั่วอาจเป็นเพียงแผลของระบบที่ใช้งานมาอย่างยาวนาน ไม่มีใครตั้งใจให้มันทรุดโทรม แต่ความทรุดโทรมก็เกิดขึ้นได้อย่างไร้เจตนา เหมือนดั่งเช่นใจคน ที่บางครั้งก็ปล่อยความเจ็บปวดซึมออกมาเงียบๆ โดยไม่รู้ตัว และในรอยรั่วนั้น... วัชพืชกลับเป็นสิ่งแรกที่ตอบรับ เหมือนผู้คนบางกลุ่มที่มักงอกงามจากพื้นที่ซึ่งคนอื่นหลีกเลี่ยง อาจเพราะพวกเขาถูกรูปชีวิตพาให้ยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อมองลึกลงไปอีกหน่อย... วัชพืชที่ถูกมองว่าไร้ค่า กลับเป็นส่วนหนึ่งของลมหายใจโลก ผลิตออกซิเจนผ่านใบเล็กๆ ที่ไม่เคยขอเสียงสรรเสริญ เหมือนใครหลายคนที่ทำหน้าที่เล็กๆ ของตัวเองอย่างเงียบๆ แม้จะไม่โดดเด่นหรือถูกบันทึกไว้ในที่ใด แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของสมดุลบางอย่างที่ทำให้ผู้คนรอบข้างอยู่รอด ส่วนท่อน้ำทิ้ง... ต่อให้ถูกมองด้วยความรังเกียจ มันก็ยังเป็นเส้นเลือดของระบบหนึ่งที่ทำให้เมืองดำเนินต่อไปได้ เป็นสิ่งรับของเสียเพื่อให้ที่อื่นสะอาดกว่าเดิม ไม่ไดัต่างจากอีกหลายชีวิตที่ทำงานหนักในเงามืด จนบางครั้งคนที่ได้ประโยชน์ยังไม่เคยรู้ว่าตัวเองพึ่งพาใครอยู่ บางทีภาพนี้อาจไม่ได้บอกว่าท่อดีหรือร้าย วัชพืชงามหรือทราม มันอาจเพียงชวนให้เราหยุดแล้วมองว่า... ในพื้นที่ที่เรามองว่าไม่น่าดูเอาเสียเลย แท้จริงอาจยังมีบางอย่างกำลังทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ โดยไม่ต้องการให้ใครยกย่องหรือมองเห็น และบางที…ความงามบางรูปแบบก็เกิดขึ้นในที่ที่ไม่เคยถูกตั้งใจให้มีความงามเลยก็ได้ “ความงามบางแบบไม่ต้องการคำยืนยัน เพราะมันงอกขึ้นจากความจริงล้วนๆ" #Siamstr
2025-11-13 06:18:28 from 1 relay(s) View Thread →
เมื่อสถานที่เปลี่ยนไม่ได้... ก็แค่ลองเปลี่ยนมุมที่นั่ง ความสุขมักซ่อนอยู่ในมุม...ที่เราไม่เคยมอง อย่าเพิ่งสู้กับความซ้ำซาก... ลองอยู่กับมันอย่างเข้าใจ บางทีความสุข...ก็แค่การยิ้มให้กับความธรรมดาในทุกๆ วัน GA #siamstr image
2025-11-13 05:21:20 from 1 relay(s) View Thread →
“ปีกที่ใกล้อัคคี” นกที่บินใกล้ๆ นกฟินิกซ์ จะบินได้ไกล.. image ณ ชายป่าหิมพานต์อันไกลโพ้น มีฝูงปักษาน้อยใหญ่ต่างฝึกฝนการบิน บ้างฝึกเพื่อความเร็ว บ้างฝึกเพื่อความสูง มีเพียงเฒ่าปักษาตนหนึ่ง ที่มักจะบินไปไกลที่สุด แลกลับมาเป็นตนสุดท้ายเสมอ วันหนึ่ง ปักษารุ่นหนุ่มผู้ทะนงในปีกตน เอ่ยถามเฒ่าปักษาว่า “ท่านผู้เฒ่า ท่านมิได้มีปีกที่แข็งแรงกว่าข้า หรือมีสายตาที่คมกล้ากว่าข้าเสียเท่าใด เหตุใดท่านจึงสามารถเดินทางข้ามขุนเขาได้ไกลกว่าเราทั้งปวงนักเล่า” เฒ่าปักษาหรี่ตามองขอบฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสี ก่อนจะตอบด้วยเสียงอันสงบนิ่ง “ปีกที่แข็งแรง ทำให้เจ้าบินได้สูง ปีกที่รวดเร็ว ทำให้เจ้าบินได้ไว ...แต่การจะบินให้ได้ไกลนั้น เจ้าต้องใช้สิ่งอื่น” “สิ่งใดเล่าท่าน?” ปักษารุ่นหนุ่มถามด้วยความสงสัย เฒ่าปักษาเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับกำลังย้อนรำลึกถึงอดีต “ในวัยหนุ่มของข้า ข้าก็เคยทะนงตนเช่นเจ้า ข้าคิดว่าข้าคือผู้ที่รวดเร็วที่สุด จนกระทั่งข้าได้พบเขา... พญาฟินิกซ์” “ท่านเคยพบพญาฟินิกซ์งั้นหรือ!?” ปักษารุ่นหนุ่มร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น “ข้ามิได้พบ... ข้าเพียงได้บินเคียงใกล้มันอยู่หนึ่งฤดูกาล” เฒ่าปักษาเล่าต่อ “เขาไม่เคยสอนสิ่งใดข้า ไม่เคยเอ่ยปากแม้แต่คำเดียว เขาเพียงแค่เป็นในสิ่งที่เขาเป็น เมื่อฝนมา พายุโหมกระหน่ำ เราต่างหลบซ่อน แต่พญาฟินิกซ์กลับบินทะยานเข้าสู่ใจกลางพายุ... มันใช้พายุนั้นเพื่อยกระดับปีกของมันให้สูงขึ้น เมื่อมันเหนื่อยล้าจนสุดกำลัง มันมิได้หยุดพัก... แต่ลำตัวมันกลับลุกไหม้เป็นเปลวไฟ ร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน กลายเป็นเพียงกองเถ้าถ่าน ...และข้าคิดว่านั่นคือจุดจบของมัน” “แต่มันมิใช่...?” ปักษารุ่นหนุ่มกระซิบ “มิใช่” เฒ่าปักษาพยักหน้าช้าๆ “รุ่งอรุณวันต่อมา จากกองเถ้าถ่านนั้น มันก็ผงาดขึ้นมาใหม่ ปีกของมันงดงามและแข็งแกร่งกว่าเดิมเสียอีก วันนั้นข้าจึงได้เข้าใจ ...การบินสูงนั้นง่ายดาย การบินไวนั้นไม่ยาก แต่การบินไกลอย่างแท้จริงนั้น มันหมายถึงการรู้ว่า เมื่อเจ้าเผชิญพายุ... เจ้าจะใช้มันเป็นแรงส่งได้อย่างไร และเมื่อเจ้าล้มลงจนกลายเป็นเถ้าถ่าน... เจ้าจะลุกขึ้นมาจากความล้มเหลวนั้นได้อย่างไร” เฒ่าปักษาหลับตาลง “ข้ามิเคยเรียนรู้วิธีที่จะลุกไหม้ดั่งพญาฟินิกซ์ แต่เพียงแค่การได้บินเคียงใกล้มัน... ข้าก็ได้ซึมซับมาตรฐานของมันมาโดยไม่รู้ตัว ข้าเรียนรู้ที่จะไม่กลัวพายุ และข้าเรียนรู้ที่จะไม่หวาดหวั่นต่อการร่วงหล่น นี่กระมัง... คือเหตุผลที่ปีกอันธรรมดาของข้า ยังคงพาข้าเดินทางได้ไกลกว่านกทั้งปวงในป่านี้” #Siamstr
2025-11-11 10:34:22 from 1 relay(s) View Thread →
"โรงละคร...ในหัว" มีเสียงหนึ่งซ่อนเร้นอยู่ในจิต มันกระซิบชิดใกล้ไหวแผ่วผ่าน เป็นนักเล่าปั้นเรื่องเปลืองนิทาน คอยจัดฉากวางลานละครเรา image มันหยิบยื่นความจริงเพียงครึ่งเสี้ยว มาปรุงแต่งบิดเบี้ยวเกลียวสังขาร สวมใส่แว่นปรุงอัตตาพาวิจารณ์ บิดความจริงทิ้งแก่นสารจนบานปลาย มันฉวยใช้อดีตที่กรีดแผล เอาความกลัวมาแปรแก้ความหมาย เอาความอยากหลากเล่ห์เสน่ห์พราย โศกเดียวดายฉาบทาเลนส์เห็นโลกพัง เราพ่ายแพ้เขวใจในไฟเศร้า ในเรื่องเล่าพารุมสุมโมหัง ใจร้อยรัดพันธนาล้ากำลัง ลืมคุมคลั่งคล้อยตนจนอับปาง กลายเป็นหุ่นถูกชักยักย้ายร่าง โรงละครอ้างว้างวางมนต์ขลัง เรื่องจริงแท้หรือเรื่องเล่าที่เราฟัง เสียงนั้นดังอยู่ในหัวหรือขั้วใจ ต้องวิ่งวนทนทุกข์รุกรานจิต หลงทิศทางชีวิตมิตรจางหาย เหนื่อยแสนทนไร้ที่ทางจะวางกาย อยากปลดถ่ายปล่อยใจอันไร้แรง ความจริงคือเสียงนั้นมันแค่แสร้ง เงากำกับจัดแสงแต่งสว่าง เปิดแผลเก่าในจิตเราที่เคยจาง จงหยุดรู้ให้แจ้งพรางทางละคร เมื่อเฝ้ามองนั่งเล็งเพิ่งในจิต เสียงที่ลวงจะสิ้นฤทธิ์มิแผลงศร หุ่นจะเห็นเส้นใยที่ไชชอน แยกเรื่องหลอนพ้นอัตตาพาอนิจจัง #วิชาข้ามแม่น้ำล่องหน #Siamstr
2025-11-11 05:27:53 from 1 relay(s) View Thread →
รวงทอง สุกงาม อร่ามทุ่ง รอคน มุ่งหน้า มาเก็บเกี่ยว สายหมอก โรยตัว พาดลดเลี้ยว ผืนเดียว ห่มไว้ คล้ายม่านบัง image หมอกมัว ซับซ้อน ทัศนีย์ เหมือนกังวล ที่รุมรัง ไม่จืดจาง บังปัญญา มืดมิด ไร้หนทาง หลงลืมสิ้น ความจริง อันนิ่งงัน แต่ม่าน หมอกนั้น คือสิ่งลวง เกิดจากห้วง เย็นชื้น เพียงชั่วครู่ มิอาจคง ค้ำฟ้า ให้เชิดชู ย่อมเลือนลับ เมื่ออาทิตย์ เริ่มกลับกลาย รอเพียง ตะวัน ฉายแสงอุ่น ไอหมอกขุ่น จักพลัน สิ้นแรงหาย ดุจความทุกข์ ทานทน สำแดงกาย เผยจริงได้ แห่งทุ่งทอง ที่รอคอย GM #Siamstr
2025-11-11 00:48:00 from 1 relay(s) View Thread →