ทำไมแนวคิดจาก โคลนติดล้อ ของรัชกาลที่ 6 จึงยังสะท้อนชัดในสังคมปัจจุบัน
ในปี พ.ศ. 2460 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ รัชกาลที่ 6 ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง “โคลนติดล้อ” ขึ้น เพื่อสะท้อนพฤติกรรม ความคิด และจุดอ่อนของคนในสังคมไทยยุคนั้น ที่แม้จะอยู่ในช่วงของความทันสมัย การศึกษา และการเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตก แต่ก็เต็มไปด้วย “โคลน” แห่งความคิดที่ยังติดอยู่กับวงจรเดิม ๆ
กว่าร้อยปีผ่านไป โลกหมุนไปไกลด้วยเทคโนโลยี การเมือง และเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับไว แต่เมื่อเราย้อนกลับมาอ่าน “โคลนติดล้อ” ในวันนี้ กลับพบว่าคำเตือนทั้ง 12 ข้อในพระราชนิพนธ์ชิ้นนี้ ยังคงสะท้อนสังคมไทยยุคปัจจุบันได้อย่างแม่นยำจนน่าตกใจ
ทำไมพฤติกรรมแบบ "เลียนฝรั่งโดยไม่ไตร่ตรอง", "ความนิยมในตำแหน่งมากกว่าคุณภาพ", "ความสัมพันธ์ที่ฉาบฉวย", หรือ "การตัดสินเร็วในโลกออนไลน์" จึงยังคงเกิดขึ้นในยุคที่เราคิดว่า “พัฒนาแล้ว”? หรือแท้จริงแล้ว ความเจริญภายนอกไม่ได้เปลี่ยนรากของความคิดเราไปเลย?
บทความนี้จะพาผู้อ่านกลับไปสำรวจแนวคิดทั้ง 12 ข้อจาก โคลนติดล้อ และชี้ให้เห็นว่า โคลนเหล่านั้นไม่ได้ติดอยู่ที่ล้อของยุคอดีตเท่านั้น...แต่มันยังติดอยู่ใน “ความคิด” ของเราทุกคนในวันนี้อย่างลึกซึ้ง
--------------------------------------------------------------------------------------------------
1. การเอาอย่างโดยไม่ตริตรอง
ในอดีต พฤติกรรมของคนไทยบางกลุ่มในยุครัชกาลที่ 6 มีแนวโน้มเอาอย่างชาวตะวันตกโดยไม่คิดถึงความเหมาะสมกับบริบทของตนเอง เช่น การแต่งกาย การพูดจา การรับประทานอาหาร หรือแม้แต่การใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันเพื่อแสดงตนว่า "ศิวิไลซ์" ทั้งที่ไม่เข้าใจความหมายหรือคุณค่าที่แท้จริงของวัฒนธรรมนั้น เป็นการเอาเปลือกของตะวันตกมาใช้โดยขาดแก่นสาร และขาดการไตร่ตรองถึงผลกระทบต่อรากวัฒนธรรมของตนเอง
มาถึงปัจจุบัน พฤติกรรมดังกล่าวยังคงอยู่ แต่เปลี่ยนรูปแบบและขยายขอบเขตกว้างขึ้น คนจำนวนมากให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์มากกว่าคุณค่า เช่น ต้องการเรียนในมหาวิทยาลัยชื่อดังเพราะชื่อเสียงมากกว่าความรู้ ต้องการมีบ้านหลังใหญ่หรือรถหรูไม่ใช่เพราะความจำเป็น แต่เพราะกลัวว่าจะดูด้อยกว่าคนอื่นในสายตาสังคม บางคนพยายามแต่งตัวหรือใช้ชีวิตตามอินฟลูเอนเซอร์ที่เห็นในโซเชียล ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเหล่านั้นมีชีวิตจริงอย่างที่เห็นหรือไม่
เรากำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ที่สังคมบอกเราว่าอะไรคือ “สิ่งที่ควรมี” จนเราหลงลืมถามตัวเองว่า “สิ่งนี้จำเป็นจริงหรือ?” หรือ “เราต้องการมันจริงไหม?” การไล่ล่าไลฟ์สไตล์เพื่อให้คนอื่นยอมรับกำลังทำให้ผู้คนตกอยู่ในวังวนของความเครียด หนี้สิน และความกลวงเปล่าทางจิตใจ โดยไม่ได้หยุดคิดถึงความพอเพียงหรือความเหมาะสมกับตัวเอง
จึงควรย้อนกลับไปเรียนรู้บทเรียนจากอดีตว่า การเอาอย่างโดยไม่ตริตรอง ไม่ได้ทำให้เราก้าวหน้าอย่างแท้จริง แต่กลับทำให้เราหลงทางจากตัวตนและวัฒนธรรมของเราเอง การมีปัญญาเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับตนเองโดยไม่หลงตามกระแส จึงจะได้มีชีวิตอย่างที่ตนเองต้องการอย่างแท้จริง
2. การทำตนให้ต่ำต้อย
ในอดีต คนไทยจำนวนไม่น้อยมีทัศนคติที่มองตนเองต่ำกว่าชาวตะวันตก ทั้งในด้านความรู้ ความสามารถ และอารยธรรม ความเชื่อนี้นำไปสู่การพึ่งพาอาศัยชาวต่างชาติจนเกินควร ไม่กล้าคิด ไม่กล้าทำสิ่งใดด้วยตนเอง หากไม่มีคำแนะนำหรือแบบแผนจากภายนอก จนเกิดการทำลายความมั่นใจในศักยภาพของคนในชาติ
เมื่อย้อนกลับมามองปัจจุบัน แม้จะมีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง แต่ “การทำตนให้ต่ำต้อย” ยังคงแฝงตัวอยู่ในรูปแบบใหม่ คือความเชื่อว่า “ปัจเจกไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ด้วยตัวเอง” โลกในยุคที่รัฐ กลไกตลาด หรือสื่อมีอิทธิพลสูง ทำให้คนจำนวนมากรู้สึกหมดพลัง เชื่อว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับ "ระบบ" หรือ "ผู้มีอำนาจ" เราถูกทำให้รู้สึกว่า หากไม่มีรัฐสนับสนุน ไม่มีองค์กรช่วยเหลือ เราไม่สามารถริเริ่มหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้
ความคิดเช่นนี้เป็นจุดอ่อนที่สำคัญ เพราะมันบั่นทอนความเชื่อในศักยภาพของตนเอง หลายคนเริ่มโทษสิ่งรอบข้างมากกว่ามองย้อนเข้ามาที่ตัวเราเอง กลายเป็นสังคมที่รอความช่วยเหลือมากกว่าจะลงมือเปลี่ยนแปลง
ในบริบทนี้ แนวคิด “individualism” หรือปัจเจกนิยม จึงไม่ควรถูกมองว่าเห็นแก่ตัวเสมอไป ในทางกลับกัน มันคือแนวคิดที่ส่งเสริมให้มนุษย์ตระหนักถึงคุณค่าและพลังในตัวเอง การเริ่มเปลี่ยนแปลงจากจุดเล็กที่สุด เช่น การมีวินัย การริเริ่มสร้างสรรค์ การกล้าคิดต่างและลงมือทำในสิ่งที่เชื่อ ล้วนสามารถสะสมกลายเป็นพลังเปลี่ยนแปลงสังคมในระยะยาว
หากผู้คนในสังคมเชื่อในศักยภาพของปัจเจกมากขึ้น มองว่าตนเองคือ "เจ้าของความเปลี่ยนแปลง" มากกว่าผู้รอรับผลกระทบ สังคมย่อมสามารถก้าวข้ามความล้าหลังไปได้อย่างแท้จริง
3. การบูชาหนังสือจนเกินเหตุ
การให้ความสำคัญหรือยึดถือ ตัวหนังสือ/ตำรา มากเกินไป จนเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดหรือมีความศักดิ์สิทธิ์เหนือการ คิดวิเคราะห์ หรือ ประสบการณ์จริง อาจนำไปสู่การขาดความยืดหยุ่นทางความคิด หรือการยึดติดกับทฤษฎีโดยไม่ดูบริบท
หนึ่งในปัญหาสำคัญของยุคปัจจุบัน คือ การนำความรู้ ข้อมูล และแนวคิดจากตะวันตกมาใช้โดยไร้วิจารณญาณ เราเชื่อในสิ่งที่เห็นในหนังสือ รายงาน หรือสื่อกระแสหลัก โดยไม่ได้ถามว่า "ข้อมูลนี้จริงหรือไม่?" "มันเหมาะกับบริบทของเราไหม?" หรือแม้แต่ "มันมีอคติหรือเจตนาแอบแฝงหรือเปล่า?"
ตัวอย่างเช่น ความเชื่อที่แพร่หลายว่า น้ำมันพืช ดีกว่า น้ำมันหมู หรือ เนย ซึ่งมาจากการโฆษณาของอุตสาหกรรมน้ำมันพืชในตะวันตก ทั้งที่ต่อมามีงานวิจัยมากมายชี้ว่ากรดไขมันโอเมก้า 6 ในปริมาณสูงอาจก่อให้เกิดการอักเสบในร่างกายได้ หรือความเชื่อว่า ไขมันอิ่มตัว เลวร้าย ทั้งที่ร่างกายเราจำเป็นต้องใช้ไขมันประเภทนี้ในกระบวนการสร้างฮอร์โมนและซ่อมแซมเซลล์
ในมุมของโภชนาการ ความเชื่อว่าคาร์โบไฮเดรตเป็นอาหารหลักที่ดี หรือการประณามเนื้อสัตว์ว่าเป็นต้นเหตุของโรค ทั้งที่หลักฐานใหม่จำนวนมากชี้ตรงกันข้าม กลายเป็นการผลักให้คนจำนวนมากกลัวไขมัน และรับประทานน้ำตาลและแป้งแทน
ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ การที่ผู้คน เชื่องานวิจัยจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ เพียงเพราะชื่อเสียงของสถาบันนั้น โดยไม่พิจารณาว่า ใครเป็นผู้ให้ทุน ใครได้ประโยชน์ และใครเป็นผู้ตีความผลลัพธ์สุดท้าย งานวิจัยจำนวนมากในยุคปัจจุบันถูกกำกับโดย Corporate Agenda หรือกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน เช่น งานวิจัยทางโภชนาการที่ได้รับเงินสนับสนุนจากอุตสาหกรรมน้ำตาล หรืออาหารแปรรูป ซึ่งมักหลีกเลี่ยงการพูดถึงผลเสียของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ หรือบิดเบือนผลเพื่อสร้างภาพบวกให้สินค้า
งานวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์เองก็ไม่ได้บริสุทธิ์เสมอไป ทฤษฎีบางชุดที่เน้นการเก็บภาษี หรือการอัดฉีดเงินจากรัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ มักได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มการเมืองที่มีอำนาจ และสถาบันที่ใกล้ชิดกับกลไกของรัฐ การเชื่อโดยไม่ตั้งคำถามว่าสิ่งที่ “นักวิชาการพูด” เป็นจริงเสมอ อาจทำให้เรากลายเป็นเพียงผู้รับที่ถูกชี้นำโดยไม่รู้ตัว
ทางด้านการเมืองก็เช่นกัน การยึดติดกับแบบแผนประชาธิปไตยตะวันตกโดยไม่เข้าใจพื้นฐานของสังคมไทย นำไปสู่ความเข้าใจผิดและการผลักแนวคิดที่ไม่สอดคล้องกับบริบทจริงของประเทศ
ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงสิ่งที่ รัชกาลที่ 6 เคยวิจารณ์ไว้ใน “โคลนติดล้อ” ว่า การบูชาหนังสือ หรือความรู้จากภายนอกโดยไม่ผ่านกระบวนการไตร่ตรองของตนเอง จะไม่ต่างจากการเดินตามรอยเท้าที่ไม่รู้ว่าพาไปที่ใด
สิ่งที่เราต้องฟื้นคืนในวันนี้คือ “การตั้งคำถาม” และ “ความกล้าคิดต่าง” ไม่ใช่ในความหมายของการดื้อรั้น แต่ในฐานะผู้แสวงหาความจริง เพื่อให้สังคมไม่ตกเป็นเหยื่อของอำนาจเบื้องหลังที่แฝงมากับ “ความรู้สำเร็จรูป”
4. ความนิยมเป็นเสมียน
ผู้คนจำนวนมากมีความต้องการหรือมองว่าการทำงานในตำแหน่ง เสมียน หรือ ข้าราชการ
นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยมีค่านิยมที่หยั่งรากลึกเกี่ยวกับการเป็น "ข้าราชการ" หรือ "เสมียน" ในระบบของรัฐ ว่าคือเส้นทางชีวิตที่มั่นคงและน่านับถือ เด็กจำนวนมากจึงเติบโตมากับเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว คือการสอบบรรจุเข้าสู่ระบบราชการให้ได้ ด้วยความเชื่อว่าเป็นอาชีพที่ "ปลอดภัย" มีสวัสดิการดี และมีเกียรติในสายตาผู้ใหญ่
อย่างไรก็ตาม ความนิยมนี้กลายเป็นดาบสองคมที่ค่อย ๆ บั่นทอนศักยภาพของประเทศในระยะยาว เพราะแม้ข้าราชการจะมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ให้บริการสาธารณะ แต่ ข้าราชการไม่ใช่กลไกหลักในการสร้าง Productivity หรือผลิตภาพทางเศรษฐกิจ พวกเขาไม่ใช่ผู้สร้างสินค้า บริการ หรือนวัตกรรมที่ผลักดันให้ประเทศเติบโตอย่างแท้จริง
เมื่อเด็กยุคใหม่ส่วนใหญ่เลือกเส้นทางข้าราชการ และละทิ้งความกล้าหาญในการสร้างธุรกิจ วิจัย เทคโนโลยี หรือแม้แต่ลงมือประกอบอาชีพอิสระ สังคมจะกลายเป็นระบบที่ภาครัฐต้องคอยเลี้ยงดูพลเมืองที่ไม่พร้อมเสี่ยง และไม่พร้อมสร้างมูลค่าใหม่ให้ระบบเศรษฐกิจ
รัฐมีหน้าที่ให้บริการประชาชนและสนับสนุนภาคเอกชน ไม่ใช่เป็นผู้จ้างงานหลักของประเทศ แต่ความเชื่อที่ฝังรากว่ารัฐคือ "ที่พึ่ง" มากกว่าคือ "ผู้สนับสนุน" ทำให้เกิดการบิดเบือนของโครงสร้างแรงงานและการพัฒนาประเทศ
ค่านิยม "เป็นเสมียน" จึงควรถูกตั้งคำถาม และทบทวนใหม่อย่างจริงจัง สังคมควรเปลี่ยนจากการสรรเสริญความมั่นคง เป็นการ ส่งเสริมความสามารถในการคิด สร้าง และนำพาเศรษฐกิจชาติไปข้างหน้า ควรสร้างระบบที่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้ล้มเหลว เรียนรู้ และเติบโตจากการลงมือทำจริง ไม่ใช่เพียงการนั่งอยู่ในระบบที่ถูกออกแบบมาให้อยู่นิ่ง ๆ รอคำสั่ง
หากเรายังปล่อยให้สังคมยึดติดกับ "เก้าอี้" มากกว่า "คุณค่า" อนาคตของประเทศจะเต็มไปด้วยผู้ทำงานที่ไม่มีไฟ และไม่มีฝัน ขณะที่โลกหมุนไปไกลกว่าที่เรานั่งอยู่
5.ความเห็นผิด
ในยุคที่โลกไร้พรมแดน วัฒนธรรมตะวันตกแพร่กระจายอย่างรวดเร็วผ่านสื่อ อินเทอร์เน็ต และโซเชียลมีเดีย ทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อยเริ่มหลงลืมรากเหง้าและสิ่งงดงามในวัฒนธรรมของตนเอง พฤติกรรมบางอย่างที่ไม่เหมาะสมกับสังคมไทย เช่น การพูดจาหยาบคายในที่สาธารณะ การแต่งกายล่อแหลมในบริบทไม่เหมาะสม หรือการดูแคลนพิธีกรรมดั้งเดิม กลับถูกมองว่าเป็น “เสรีภาพ” และ “ความกล้าแสดงออก”
แต่การเลียนแบบวัฒนธรรมที่ไม่สอดคล้องกับโครงสร้างทางจิตวิญญาณของไทยนั้น มิใช่ความก้าวหน้า หากแต่เป็น การลดคุณค่าของตนเองอย่างลึกซึ้ง เพราะเป็นการปฏิเสธสิ่งที่เป็นพื้นฐานของความเป็นไทย และยอมจำนนต่อการครอบงำทางความคิดจากภายนอก
กิจกรรมพื้นฐานในวิถีไทย เช่น การทำบุญตักบาตร การไหว้พระสวดมนต์ การกราบลาผู้ใหญ่ การแสดงความเคารพต่อครูบาอาจารย์และพ่อแม่ เหล่านี้ล้วนเป็นรากฐานที่เสริมสร้างความอ่อนน้อม ความเคารพ ความสัมพันธ์ในครอบครัว และความสมานฉันท์ในสังคม ซึ่งต่างจากวัฒนธรรมที่ให้ค่าสูงสุดกับ “ตัวตน” และความสำเร็จเฉพาะบุคคล
ประเทศใดก็ตามที่ต้องการพัฒนาอย่างยั่งยืน ต้องเริ่มต้นจากการ ยกย่องในคุณค่าของตนเอง พัฒนาให้ดีขึ้น แทนที่จะมองว่าสิ่งของตัวเองล้าสมัยหรือไร้ค่า วัฒนธรรมไทยไม่จำเป็นต้องแข่งขันกับโลกตะวันตกในด้านเทคโนโลยีหรือความทันสมัยเสมอไป แต่อาจเป็นผู้นำในด้านจิตวิญญาณ สันติภาพ และความงดงามทางจริยธรรม หากคนในชาติไม่ละทิ้งสิ่งเหล่านี้เสียก่อน
6. ถือเกียรติไม่มีมูล
ในสังคมปัจจุบัน เรามักพบว่าความเข้าใจเรื่อง สิทธิเสรีภาพ ถูกตีความแบบสุดโต่งจนกลายเป็น การไม่เคารพผู้ใหญ่ หรือผู้มีประสบการณ์ หลายคนอ้างว่าโลกเปลี่ยนไปแล้ว ความคิดเก่าไม่จำเป็นต้องฟัง หรือไม่ควรให้ความสำคัญกับอาวุโสเพียงเพราะอายุ แต่หากพิจารณาให้ลึก จะพบว่า ความคิดเช่นนี้ไม่ได้สะท้อนความเสมอภาคที่แท้จริง แต่กลับเป็นการละเลย “คุณค่า” ที่แฝงอยู่ในประสบการณ์และวุฒิภาวะของผู้อื่น
การ “ถือเกียรติไม่มีมูล” คือ การที่คนบางกลุ่มมองว่าตนมีสิทธิ์ทุกอย่างโดยไม่ต้องแสดงความเคารพใด ๆ กับใคร ไม่ยอมรับคำเตือน ไม่เปิดใจฟังความคิดเห็นของผู้ใหญ่ และมักตัดสินว่าแนวคิดเก่าเป็นสิ่งล้าหลัง ทั้งที่ในความเป็นจริง หลายครั้ง คำพูดของคนรุ่นก่อนมีคุณค่าที่เรายังมองไม่เห็นในวัยเยาว์
เราอาจเคยดื้อดึง ไม่ฟังพ่อแม่ ครู หรือญาติผู้ใหญ่ในวัยเด็ก แต่เมื่อโตขึ้นและผ่านประสบการณ์ของชีวิตมากขึ้น จึงค่อยเข้าใจว่าหลายสิ่งที่ท่านพูดไว้ คือคำเตือนจากความปรารถนาดี ไม่ได้ถูกเสมอไป แต่ก็มักมี "เหตุผลที่ควรฟัง"
เสรีภาพไม่ใช่การปฏิเสธทุกสิ่งที่ไม่ตรงกับเรา แต่คือการมีวุฒิภาวะพอที่จะฟัง เห็นต่างอย่างสุภาพ และรู้ว่าเมื่อใดควรน้อมรับ หากสังคมยังคงเข้าใจเสรีภาพว่าเป็นการปฏิเสธกรอบทุกอย่าง สุดท้ายแล้วเราจะเหลือเพียงคนที่พูดดัง แต่ไม่มีใครฟังกันจริง ๆ
ความเคารพไม่ใช่การประจบ แต่คือการยอมรับว่าเราไม่ใช่ผู้รู้ทั้งหมด และในบางครั้ง การฟังผู้มีประสบการณ์ อาจช่วยให้เราไม่ต้องเดินซ้ำรอยผิดซ้ำ ๆ และอาจนำไปสู่ชีวิตที่ราบรื่นกว่าเดิม
7. ความจนไม่จริง
“ความจน” ที่กล่าวถึงในที่นี้ ไม่ใช่ความจนของผู้ที่ขาดโอกาสอย่างแท้จริง เช่น ผู้พิการ เด็กด้อยโอกาส หรือผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลความช่วยเหลือ แต่คือ “ความจนไม่จริง” — ความจนที่เกิดจาก การมีรายได้แต่ไม่รู้จักจัดการทรัพยากรของตนเองอย่างมีสติ
ในสังคมปัจจุบัน มีคนจำนวนไม่น้อยที่มีเงินเดือน มีรายได้ประจำ มีโอกาสในการใช้จ่าย แต่กลับเลือกดำเนินชีวิตอย่างสุรุ่ยสุร่าย เช่น ใช้เงินเกินตัวเพื่อซื้อของแบรนด์เนม กินหรู เที่ยวบ่อย หรือผ่อนของฟุ่มเฟือยหลายชิ้นโดยไม่มีแผนการเงินที่ดี ทั้งที่รายได้เหล่านั้น หากใช้ด้วยความรอบคอบและมุ่งเน้นการพัฒนา เช่น การลงทุนกับความรู้ ทักษะ หรือการออมระยะยาว ก็สามารถเปลี่ยนชีวิตได้อย่างมาก
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เงินไม่พอ แต่อยู่ที่ แนวคิดผิด ๆ ว่า “มีเท่าไหร่ก็ใช้ได้” โดยไม่รู้จักคำว่า “วางแผน” หรือ “อนาคต” การใช้จ่ายเพื่อภาพลักษณ์ ทำให้คนจำนวนมากติดอยู่ในวังวนของหนี้บัตรเครดิต หนี้ผ่อนสินค้า และความเครียดทางการเงิน ทั้งที่มีรายได้ไม่น้อยเลย
สิ่งที่สังครควรตระหนักคือ ความจนบางประเภทไม่ได้มาจากโชคชะตา แต่มาจากพฤติกรรมและทัศนคติที่ผิดพลาด และนี่คือสิ่งที่ควรได้รับการชี้ให้เห็นอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่เพื่อดูถูกหรือซ้ำเติมใคร แต่เพื่อให้คนเหล่านั้นได้มีโอกาสทบทวนตนเอง และพัฒนาไปสู่ชีวิตที่มั่นคงและยั่งยืนกว่าที่เป็นอยู่
การรู้จักใช้ทุน—ไม่ว่าจะเป็น “เงิน เวลา หรือความรู้”—ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คือรากฐานของการหลุดพ้นจาก “ความจนไม่จริง” และสร้างโอกาสให้ชีวิตเจริญก้าวหน้าอย่างแท้จริง
8. แต่งงานชั่วคราว
แม้จะเข้าสู่โลกยุคใหม่แล้ว แต่ “การแต่งงานชั่วคราว” ก็ยังคงปรากฏอยู่ในสังคมไทย เพียงแค่เปลี่ยนรูปแบบจากการคลุมถุงชนในอดีต มาเป็น การเลือกคู่ชีวิตโดยหวังผลตอบแทนทางสังคม หน้าตา หรือฐานะ มากกว่าการพิจารณาจิตใจ ความคิด หรือคุณธรรมของคนคนนั้นอย่างแท้จริง
คู่รักจำนวนไม่น้อยตัดสินใจแต่งงานกันเพราะอีกฝ่ายมี “โปรไฟล์” น่าประทับใจ — หน้าที่การงานดี บ้านรวย หน้าตาดี มีชื่อเสียงในสังคม หรือแม้กระทั่งแต่งเพื่อต่อยอดสถานะของตนเอง โดยมองว่าทั้งหมดนี้คือ “ความรักที่มีเหตุผล” แต่ในความเป็นจริง หากความสัมพันธ์เหล่านั้นไม่มีพื้นฐานจากทัศนคติและคุณค่าร่วมกัน ก็เปราะบางต่อความเปลี่ยนแปลง
เมื่อเวลาผ่านไป รูปลักษณ์จางลง หน้าที่การงานเปลี่ยนไป หรือสังคมหันไปสนใจสิ่งอื่น ความสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่บนเปลือกก็เริ่มสั่นคลอน เพราะมันไม่เคยหยั่งรากลึกลงในจิตใจ
การแต่งงานที่ยืนยาวไม่ได้ขึ้นอยู่กับภาพลักษณ์หรือสถานะภายนอก แต่ขึ้นอยู่กับว่า เรามองเห็น “คนตรงหน้า” ด้วยสายตาที่ลึกพอหรือไม่ — เข้าใจแนวคิด เข้าถึงคุณธรรม และยอมรับในข้อบกพร่องของกันและกันได้หรือเปล่า
ในยุคที่ความรักถูกเร่งด้วยภาพบนหน้าฟีด ความหรูหราถูกยกย่อง และการ “แต่งงานเพื่อจุดหมายทางโลก” กลายเป็นเรื่องธรรมดา การกลับมาทบทวนว่า เรารัก “ใคร” และ “เพราะอะไร” จึงเป็นคำถามสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
9. ความไม่รับผิดชอบของบิดามารดา
ในยุคปัจจุบัน ความไม่รับผิดชอบของพ่อแม่ไม่ได้ปรากฏในรูปของการทอดทิ้งทางกายภาพเพียงอย่างเดียว แต่ปรากฏในรูปแบบที่แนบเนียนและน่าเป็นห่วงยิ่งกว่า — คือการ ละเลยทางใจและเวลา โดยไม่รู้ตัว
พ่อแม่จำนวนมากให้ลูกอยู่กับแท็บเล็ต โทรศัพท์ หรือหน้าจอโซเชียลตั้งแต่ยังเล็ก ด้วยความเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะ “ช่วยเลี้ยง” หรือ “ให้ความรู้” แทนตนเอง ทั้งที่ในความจริง สิ่งเหล่านี้เพียงแค่กล่อมเด็กให้นิ่ง แต่ไม่ได้สร้างทักษะชีวิต ความอบอุ่น หรือกรอบความคิดที่มั่นคง
ยิ่งไปกว่านั้น บางครอบครัวมองว่า “หน้าที่ของพ่อแม่” จบลงเพียงแค่การส่งลูกเข้าโรงเรียน โดยไม่สนใจว่าโรงเรียนสอนอะไร ลูกเผชิญอะไรในแต่ละวัน หรือได้รับอิทธิพลจากใครบ้าง พ่อแม่ไม่ได้พูดคุย ไม่เล่นด้วย ไม่สังเกตอารมณ์ลูก และไม่สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เขาได้พูดความรู้สึกออกมา
ผลลัพธ์คือ สายสัมพันธ์ระหว่างลูกกับพ่อแม่ค่อย ๆ จางหาย และเด็กต้องเติบโตโดยอิง “คำของเพื่อน” มากกว่า “คำของพ่อแม่” ในวันที่เขาต้องการแนวทางหรือความเข้าใจ เขาจึงหันไปพึ่งกลุ่มเพื่อน ซึ่งในบางครั้งอาจมีแนวคิดที่เบี่ยงเบนหรือทำร้ายเขาโดยไม่ตั้งใจ
การเลี้ยงลูกไม่ใช่แค่การให้กินให้อยู่ หรือส่งเข้าโรงเรียนดี ๆ แต่คือการ อยู่ข้าง ๆ อย่างเข้าใจ มีเวลาให้ พูดคุยอย่างลึก และเป็นตัวอย่างของความคิดที่ดี เพราะเด็กไม่ได้เรียนรู้จากคำสอนเท่ากับ “พฤติกรรมของคนใกล้ตัว”
หากครอบครัวยังปล่อยให้เทคโนโลยีเป็นพ่อแม่แทน และปล่อยให้ระบบเป็นผู้กำหนดแนวทางชีวิตลูก เราจะสร้างคนรุ่นใหม่ที่ขาดราก และหลงทิศในโลกที่ซับซ้อนขึ้นทุกวัน
10. การค้าสาว
แม้สังคมจะเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคใหม่ที่พูดถึงความเท่าเทียมและสิทธิสตรีกันอย่างกว้างขวาง แต่ในความเป็นจริง ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยยังคงถูกล่อลวง ถูกลดทอนให้กลายเป็นเพียง “สินค้า” ทั้งโดยเจตนาและโดยไม่รู้ตัว
สื่อในปัจจุบันเต็มไปด้วยเนื้อหาที่เร้าอารมณ์ เรื่องลามกที่ถูกส่งตรงถึงมือผู้คนผ่านหน้าจอสมาร์ตโฟนและโซเชียลมีเดียในทุกวัน โดยไม่มีขอบเขตหรือเกราะป้องกันใด ๆ โดยเฉพาะกับเด็กและเยาวชน ที่กำลังอยู่ในวัยค้นหาตัวเอง
ผมไม่ได้ต้องการตัดสินว่าสิ่งนี้ “ถูก” หรือ “ผิด” เพราะความจริงในแต่ละชีวิตมีความซับซ้อนและบริบทที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่ผมอยากชวนให้เราทุกคนตั้งคำถามก็คือ — เราอยู่ในสังคมแบบไหน? ที่มองร่างกายของผู้หญิงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเอามาแลกเปลี่ยน โฆษณา หรือเรียกยอดวิวได้โดยไม่รู้สึกอะไร
คำถามที่ลึกกว่านั้นคือ — สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อความคิดของเด็กรุ่นใหม่อย่างไร? เมื่อพวกเขาเติบโตมากับภาพผู้หญิงที่ถูกนำเสนอด้วยมุมมองทางเพศมากกว่าความสามารถและคุณค่า เด็กจะมองมนุษย์เพศหญิงอย่างไร? และพวกเขาจะมองตัวเองอย่างไรในสังคมที่บอกว่า "คุณมีค่าเมื่อคุณดูดีและเซ็กซี่"?
แม้แต่ตัวผมเองก็ไม่ได้รอดพ้นจากอิทธิพลเหล่านี้ และนั่นยิ่งทำให้ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ปัญหาของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของ "สภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรม" ที่เราทุกคนมีส่วนร่วมในฐานะผู้เสพ ผู้ผลิต และผู้เพิกเฉย
เราอาจไม่สามารถเปลี่ยนสื่อทั้งหมดได้ในทันที แต่เราเริ่มได้ด้วยการตั้งคำถามกับสิ่งที่เคยคิดว่าเป็นเรื่องปกติ และเปิดพื้นที่สนทนาใหม่ ๆ ที่มองเห็นศักดิ์ศรีของมนุษย์มากกว่าการบริโภคกันและกัน
11. ความหยุมหยิม
ในยุคที่โลกอันกว้างใหญ่บรรจุอยู่ในฝ่ามือของทุกคน ผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถือและโซเชียลมีเดีย การมองเห็นความผิดพลาด ความแตกต่าง หรือชีวิตของผู้อื่น จึงกลายเป็นเรื่องง่ายและฉับไว จนหลายครั้ง เรากล้าวิพากษ์ วิจารณ์ หรือตัดสินคนอื่นทันที ทั้งที่อาจยังเห็นไม่ครบถ้วนแม้แต่เศษเสี้ยวของความจริง
เราอยู่ในโลกที่ “ความเห็น” มาก่อน “การเข้าใจ”
เราตัดสินใจว่าใครผิดใครถูก จากเพียงพาดหัวข่าว หรือโพสต์ไม่กี่บรรทัด โดยไม่เคยรู้เลยว่าเบื้องหลังนั้นคืออะไร เราแชร์ความเกลียดชังได้ภายในไม่กี่วินาที แต่ไม่ค่อยมีใครใช้เวลาแม้เพียง 1 นาทีเพื่อไตร่ตรองก่อนจะแสดงความคิดเห็น
พฤติกรรมแบบนี้คือ ความหยุมหยิมในรูปแบบใหม่ — ไม่ใช่เพียงการจับผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือความใจแคบเหมือนในอดีต แต่คือการ ขาดเมตตา ขาดความอดทน และขาดความเข้าใจต่อความเป็นมนุษย์ของกันและกัน
การเฝ้าติดตามความผิดของผู้อื่น โดยไม่ได้พยายามเข้าใจเจตนา หรือพยายามช่วยให้ดีขึ้น กลายเป็นวัฒนธรรมที่ฝังรากในโลกออนไลน์ ความล้มเหลวของคนหนึ่ง ถูกทำให้เป็นความบันเทิงของอีกคนหนึ่ง การสะใจกลายเป็นแรงผลักดันของคอมเมนต์ และ “คำตัดสินหมู่” ถูกใช้แทนความยุติธรรม
เราต้องตั้งคำถามกับตนเอง — เราใช้เทคโนโลยีเพื่อเปิดโลก หรือปิดใจ?
เพราะแม้ข้อมูลจะเปิดกว้างกว่าที่เคย แต่ถ้าเราใช้มันเพื่อมองโลกด้วยสายตาคับแคบ สุดท้ายเราก็เพียงแค่ มองโลกทั้งใบผ่านรูเล็ก ๆ ของอคติในใจเราเอง
12. หลักฐานไม่มั่นคง
(เมื่อคนรุ่นใหม่ยืนอยู่บนพื้นทราย และใช้เวลาอย่างไม่รู้คุณค่า)
ในอดีต “หลักฐานไม่มั่นคง” อาจหมายถึงผู้ที่แม้มีหน้าที่การงานดี แต่ยังใช้ชีวิตอย่างไร้ความรับผิดชอบ เช่น ติดอบายมุข หลงใหลการพนัน จนทำให้ชีวิตไม่มีเสถียรภาพและยากจะก้าวหน้า
ในปัจจุบัน ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้หายไป—แต่กลับขยายตัวและแฝงมาในรูปแบบใหม่ที่ดู "ปกติ" กว่าเดิม คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยมีหน้าที่การงานดี รายได้ไม่น้อย แต่กลับใช้ชีวิตแบบ ขาดเป้าหมาย ขาดการวางแผน และขาดการบริหารเวลา
เวลาว่างที่ควรเป็น “ทุน” อันมีค่าสำหรับการพัฒนาตนเอง ถูกนำไปใช้หมดไปกับสิ่งที่เรียกว่า “โดปามีนราคาถูก” เช่น
การเล่น TikTok, Instagram Reels, Netflix แบบไร้จุดหมาย
การหมกมุ่นกับ คอนเทนต์ไวรัลที่ให้ความบันเทิงทันที แต่ไม่หลงเหลืออะไรในระยะยาว
การใช้จ่ายเกินตัวเพื่อเลียนแบบไลฟ์สไตล์ในโซเชียล
หรือแม้กระทั่งติดการพนันออนไลน์ ซึ่งในปัจจุบันแฝงตัวอย่างแนบเนียนในรูปแบบเกมและโฆษณาบนทุกแพลตฟอร์ม
ผลลัพธ์คือชีวิตที่ดูเหมือนมี "งานดี เงินดี" แต่กลับไม่มีรากฐานใดที่มั่นคงในจิตใจและอนาคต เป็นคนที่ยืนอยู่บนพื้นทราย ทุกอย่างอาจพังได้ในพริบตา เพราะไม่มีการสะสมทุนทางปัญญา ทุนทางการเงิน หรือแม้แต่ทุนทางความคิดที่จะพาชีวิตไปไกลกว่าเดิม
สิ่งที่ควรตระหนักไม่ใช่แค่ว่า "เวลาว่างมีไว้พักผ่อน" — แต่คือ เวลาว่างคือทรัพยากรที่มีค่าที่สุดสำหรับการสร้างชีวิตที่มั่นคง ถ้าเราใช้มันเพื่อเสพติดความบันเทิงระยะสั้น เราก็จะติดอยู่กับชีวิตระยะสั้นเช่นกัน
#siamstr
