Product ที่ Apple พยายามขายเมื่อคืนไม่ใช่ iPhone 15 pro ไม่ใช่ Apple Watch Ultra 2
แต่เป็น Carbon Neutral ต่างหาก เรียกว่าขายจนน่าเกลียด ถถถ
Sam Yuta
samyuta@nostrcheck.me
npub1n32m...6e28
A normal person
ทดสอบส่ง note จาก python ด้วย pynostr :D
#ThailandZapathon #Siamstr 

2 ยกกำลัง 256 ใหญ่แค่ไหน?
เนื่องมาจากวันก่อนผม orange pilled เพื่อนสำเร็จ 555 กำลังสั่งซื้อ HWW ผมเตรียมจะอธิบายเรื่อง seed กับเลข 2^256 เลยเอามาเขียนลงไว้ด้วยดีกว่า
2^256 คืออะไร?
ไม่มีอะไรมาก แค่เอา 2 คูณกัน 256 ครั้งเท่านั้นเอง ซึ่งได้เท่ากับ
115792089237316195423570985008687907853269984665640564039457584007913129639936
ก็แค่นั้นเอง
ถ้าจะอ่านเป็นภาษาไทยก็ 1.16 แสนล้านล้านล้านล้านล้านล้านล้านล้านล้านล้านล้านล้าน เอง
ถ้าเทียบกับปริมาณอื่น ๆ ที่คนอาจจะคุ้นเคย
โอกาสถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 เท่ากับ 1 ในล้าน --> 2^20
จำนวนคนไทย 70 ล้านคน --> 2^26
จำนวนคนทั้งโลก 8000 ล้านคน --> 2^33
จำนวนแมลงทั้งหมดบนโลกประมาณ 1 ล้านล้านล้านตัว --> 2^60
จำนวนเม็ดทรายบนโลกประมาณ 7.5 x 10^18 เม็ด --> 2^63
จำนวนอะตอมบนโลกประมาณ 1.33 x 10^50 อะตอม --> 2^166
จำนวนอะตอมทั้งหมดในจักรวาลเท่าที่เราสังเกตได้ โดยประมาณ 10^80 อะตอม --> 2^266
เรียกได้ว่า 2^256 ใหญ่เกือบจะเทียบเท่าอะตอมทั้งหมดที่เราจะสังเกตได้แล้ว เอาแค่ระดับอะตอมบนโลกจะมีกี่คนที่เลือกหยิบอะตอมเดียวกับเราได้
แล้วทำไมตัวเลขนี้ถึงสำคัญ
เมื่อเราสร้าง Hierarchical Deterministic (HD) wallet เราจะสุ่มสร้าง seed ซึ่งเป็นรหัสที่เป็นเลข 0 หรือ 1 ทั้งหมด 256 ตัว ซึ่งทำให้มีรูปแบบที่แตกต่างกัน 2^256 แบบ และสามารถเปลี่ยนไปเป็น Mnemonic Phrase 24 คำให้เราจำได้ง่าย ๆ (หรือ 2^128 แบบสำหรับ 12 คำ)
เท่ากับว่าถ้ามีใครซักคนพยายามจะเดา seed เราแบบไม่มีข้อมูลอะไรเลย โอกาสถูกเท่ากับ 1 ใน 1.16 แสนล้านล้านล้านล้านล้านล้านล้านล้านล้านล้านล้านล้าน
ต่อใน reply ⬇️
เราน่าลองมีธีมแต่ละรอบ #ThailandZapathon นะครับ (เช่นรู้จัก bitcoin ได้ยังไง, มีมประจำอาทิตย์ คำถาม survey ง่ายๆขำๆ ) แบบไม่บังคับใครอยากโพสเรื่องอื่นก็ไม่ว่ากัน เผื่อคนไม่รู้จะโพสอะไรจะได้มีอะไรมาแลก sats บ้างครับ
That's cool! #ThaiNostich #Siamstr #ThailandZapathon
รัฐเอาเงินไปจากคุณด้วยวิธีไหนบ้าง
.
เมื่อคุณมีรายได้
1. จากการทำงาน เงินเดือน รายได้ส่วนตัวอื่น ๆ --> ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
2. จากองค์กรที่คุณเป็นเจ้าของ --> ภาษีเงินได้นิติบุคคล
3. จากการลงทุนเช่น เงินปันผล ดอกเบี้ย --> ภาษีเงินได้ (หัก ณ ที่จ่าย)
.
เมื่อคุณใช้จ่าย
1. ในสินค้าและบริการทั่วไป --> ภาษีมูลค่าเพิ่ม
2. ในสินค้าที่รัฐอยากควบคุมการบริโภค --> ภาษีสรรพสามิต
3. ในบริการของรัฐ หรือขออนุญาตรัฐในการทำอะไรบางอย่าง เช่น ใบขับขี่ พาสปอต ใบอนุญาตก่อสร้าง และอื่น ๆ อีกมากมาย
.
เมื่อคุณครอบครองเงินหรือทรัพย์สิน
1. ถือครองที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ --> ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
2. ถือเงินสดไว้เฉย ๆ --> รัฐผลิตเงินและเครดิตเพิ่ม มาเจือจางมูลค่าของเงินที่คุณถือลงได้
3. เมื่อคุณตาย จะส่งต่อสิ่งที่คุณครอบครองให้ลูกหลาน --> ภาษีมรดก
.
เมื่อไม่ทำตามที่รัฐอนุญาตให้ทำ
1. ทำผิดกฎหมาย หรือข้อบังคับ --> ค่าปรับและโทษปรับ
2. เมื่อคุณเปิดกิจการที่รัฐไม่ค่อยอยากให้คุณทำ --> ภาษีธุรกิจเฉพาะ
.
ในเงินก้อนเดียวกันที่คุณหามาด้วยความยากลำบาก เราโดนเก็บภาษีซ้ำซ้อนหลายทาง ตั้งแต่ได้มา ใช้จ่ายมัน หรือจะเก็บมันไว้
อย่างน้อยการถือ bitcoin ไว้ก็น่าจะช่วยได้ซัก 2 ข้อ เพราะพวกพี่เค้าเอาทุกทาง
.
#ThaiNostich #Siamstr #ThailandZapathon
Bitcoin ผันผวนน้อยลงจริงมั้ย
.
ด้วยสมมติฐานที่หลายๆคนพูดกันว่า เมื่อเวลาผ่านไปแล้วคนถือ bitcoin เป็นแหล่งเก็บมูลค่ามากขึ้น ความผันผวนของราคา bitcoin ในหน่วย usd น่าจะลดลงไปเรื่อย ๆ แล้วมันเป็นอย่างงั้นจริงมั้ย ลองมาดูข้อมูลกันครับ
.
.
ขั้นตอนและวิธีการในการทำ
- ใช้ข้อมูลเทียบกันระหว่าง BTC, THB, Gold (เพราะไม่รู้จะเทียบกับอะไรดี) ในหน่อยของ dollar (ของ THB เป็น THB/USD นะครับ)
- คำนวน % การเปลี่ยนแปลงระหว่าง close เมื่อวานกับวันนี้
- หา Standard Deviation by month ใช้เป็นตัวแทนความผันผวน
- plot รวมกัน BTC, THB, Gold
.
ได้ผลลัพธ์ประมาณนี้ครับ ดูแล้วสรุปได้ว่ายังไงกันครับ
.
note & disclaimer
- ใช้ข้อมูล BTC-USD, USD-THB, GOLD มาจาก Yahoo Finance ช่วงเวลาที่ใช้ 2015 - 2023
- ข้อมูลในอดีตไม่ได้สะท้อนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
- ไม่ได้เป็นคำแนะนำในการลงทุน ทุกคนควรบริหารความเสี่ยงด้วยตัวเอง
.
#ThaiNostich #Siamstr
.
note & disclaimer
- ใช้ข้อมูล BTC-USD, USD-THB, GOLD มาจาก Yahoo Finance ช่วงเวลาที่ใช้ 2015 - 2023
- ข้อมูลในอดีตไม่ได้สะท้อนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
- ไม่ได้เป็นคำแนะนำในการลงทุน ทุกคนควรบริหารความเสี่ยงด้วยตัวเอง
.
#ThaiNostich #SiamstrThe Crypto Catch-22: Why Bitcoin Only
By JESSE MYERS, 2 Aug 2023
บทความแปลไทยจากต้นฉบับ
.
.
ทุกคนต่างเรียนรู้ด้วยทางที่เจ็บปวดเสมอ ผมก็เช่นกัน ตอนที่เราเริ่มสนใจในสกุลเงินดิจิทัล เราจึงเริ่มสำรวจสิ่งที่มีอยู่ ทุกอย่างดูเหมือนจะน่าตื่นเต้น บางอย่างก็น่าสนใจจนไม่สามารถต้านทานได้
.
ดังนั้น เราจึงเลือกลงทุนในหลากหลายเหรียญ คิดว่านั่นคือสิ่งรอบคอบแล้ว แต่ในทางปฏิบัติ ยิ่งคุณเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง หรือยิ่งอยู่ในตลาดนานขึ้น ความเข้าใจของคุณก็จะเติบโตขึ้นว่าที่นี่มีสินทรัพย์เพียงอย่างเดียวที่คุ้มค่าที่จะถือครอง: บิทคอยน์
.
ถ้าคุณเป็นคนใหม่ต่อสกุลเงินดิจิทัล ความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานจำนวนมากสามารถหลีกเลี่ยงได้ ถ้าคุณตั้งใจที่จะเข้าใจเหตุผล
.
.
.
นี่คือสามเหตุผลหลักที่ทำให้บิทคอยน์เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลเดียวที่คุ้มค่าต่อการถือครอง:
1. ความขาดแคลนดิจิทัล (Digital scarcity) เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เพียงครั้งเดียว
2. เงินเป็น Network Effect ตัวแม่ และสุดท้ายมันจะเหลือแค่แบบเดียว
3. ปริศนาดิจิทัลที่ซับซ้อน ทำให้ไม่มีการแข่งขันจริงจังต่อบิทคอยน์ได้
.
#ThaiNostrich #Siamstr #ThailandZapathon
อ่านต่อใน reply ⬇️

The Crypto Catch-22: Why Bitcoin Only
Three key reasons why Bitcoin is the only cryptoasset worth holding
The Crypto Catch-22: Why Bitcoin Only
By JESSE MYERS, 2 Aug 2023
.
บทความแปลไทยจากต้นฉบับ
.
ทุกคนต่างเรียนรู้ด้วยทางที่เจ็บปวดเสมอ ผมก็เช่นกัน ตอนที่เราเริ่มสนใจในสกุลเงินดิจิทัล เราจึงเริ่มสำรวจสิ่งที่มีอยู่ ทุกอย่างดูเหมือนจะน่าตื่นเต้น บางอย่างก็น่าสนใจจนไม่สามารถต้านทานได้
.
ดังนั้น เราจึงเลือกลงทุนในหลากหลายเหรียญ คิดว่านั่นคือสิ่งรอบคอบแล้ว แต่ในทางปฏิบัติ ยิ่งคุณเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง หรือยิ่งอยู่ในตลาดนานขึ้น ความเข้าใจของคุณก็จะเติบโตขึ้นว่าที่นี่มีสินทรัพย์เพียงอย่างเดียวที่คุ้มค่าที่จะถือครอง: บิทคอยน์
.
ถ้าคุณเป็นคนใหม่ต่อสกุลเงินดิจิทัล ความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานจำนวนมากสามารถหลีกเลี่ยงได้ ถ้าคุณตั้งใจที่จะเข้าใจเหตุผล
.
.
.
นี่คือสามเหตุผลหลักที่ทำให้บิทคอยน์เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลเดียวที่คุ้มค่าต่อการถือครอง:
1. ความขาดแคลนดิจิทัล (Digital scarcity) เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เพียงครั้งเดียว
2. เงินเป็น Network Effect ตัวแม่ และสุดท้ายมันจะเหลือแค่แบบเดียว
3. ปริศนาดิจิทัลที่ซับซ้อน ทำให้ไม่มีการแข่งขันจริงจังต่อบิทคอยน์ได้
.
.
ความขาดแคลนดิจิทัลเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เพียงครั้งเดียว
.
คุณไม่สามารถ “เก็บคุณค่า” (store value) ในอินเทอร์เน็ตได้ อินเทอร์เน็ตเป็นเพียงข้อมูล - ในรูปแบบของ 0 และ 1 - โดยคอมพิวเตอร์ของคุณแปลเลข 0 และ 1 เป็นคำและรูปภาพ ปัญหาของข้อมูลคือสามารถคัดลอกไปได้ นั่นคือลักษณะสำคัญของข้อมูล — มันไร้ตัวตน ซึ่งทำให้มีคุณสมบัติที่น่าทึ่งของการถ่ายทอดด้วยความเร็วแสง และสามารถทำซ้ำได้ไม่จำกัด
.
แต่การทำซ้ำนี้ไม่สามารถใช้กับ”คุณค่า” (value) ได้
เพื่อให้”คุณค่า”มีอยู่ในอินเทอร์เน็ตอย่างแท้จริง จำเป็นต้องมีระบบที่จำกัดภายในขอบเขตที่ไม่จำกัดของอินเทอร์เน็ต ระบบที่มีโครงสร้างที่จำกัดการทำซ้ำของข้อมูล เพื่อสร้างระบบความขาดแคลนดิจิทัล
.
และนั่นคือสิ่งสะท้อนอยู่ในอุดมการณ์ของสร้างบิทคอยน์ขึ้นมา
.
เหตุผลที่คุณไม่สามารถคัดลอกและวางบิทคอยน์ได้ก็เพราะบิทคอยน์ไม่ใช่ jpeg ที่ประกอบด้วย 0 และ 1 เมื่อคุณเป็นเจ้าของบิทคอยน์ สิ่งที่คุณเป็นเจ้าของจริง ๆ คือฉันทามติของทุกคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายบิทคอยน์ว่า คุณมีสิทธิ์ใน 1 ใน 21 ล้านเหรียญของปริมาณบิทคอยน์ทั้งหมด อีกความหมายคือ คุณไม่ได้เป็นเจ้าของสิ่งที่มีตัวตน; คุณเป็นเจ้าของสิทธิทรัพย์ที่ไม่สามารถถูกถอดถอนได้ และในที่สุด นั่นคือสาระสำคัญของ”คุณค่า” — การควบคุมฝ่ายเดียวในสิ่งที่จำกัด
.
ระบบฉันทามติของคุณค่านี้มีปัญหาเล็กน้อย แม้จะเป็นไปไม่ได้ที่จะคัดลอกค่าภายในขอบเขตของระบบที่มีกำแพงคอยล้อมไว้ ก็ยังสามารถคัดลอกและวางระบบทั้งหมดได้
.
และแน่นอน ข้อมูลที่สามารถคัดลอกได้ ... สามารถทำซ้ำได้ไม่จำกัด มีต้นทุนต่ำในการสร้างสำเนาใหม่ของระบบดั้งเดิม และนั่นคือสิ่งที่เราเห็นในสินทรัพย์ดิจิทัล บิทคอยน์เป็นตัวอย่างแรกของระบบความขาดแคลนดิจิทัล สกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ ทั้งหมดเป็นสำเนาของระบบความขาดแคลนดิจิทัลนี้ ปรับปรุงด้วยสิ่งตกแต่งต่างๆ เพื่อทำให้ดูแตกต่าง ใหม่ และดีกว่า
.
เมื่อผมสร้างภาพนี้ครั้งแรกในปี 2021 เพื่อเน้นถึงลักษณะที่สามารถทำซ้ำได้ไม่จำกัดของสกุลเงินดิจิทัล มีสกุลเงินดิจิทัลรวมประมาณ 7,000 สกุล ตอนนี้มีประมาณ 30,000 สกุล มากขึ้น 4 เท่าในเพียง 2 ปี
.
ในทางนี้ หากมีใครซื้อสกุลเงินดิจิทัลใหม่ เอาเฉพาะที่ผลิตเพิ่มไม่ได้ ด้วยอัตราส่วนคงที่ในปี 2021 อย่างต่อเนื่อง ... ส่วนแบ่งการถือครองของยอดจำหน่ายรวมใน "ตลาดสำเนาของความขาดแคลนดิจิทัล" ก็ยังถูกเจือสูญ 4 เท่าอยู่ดี นั่นคือการสูญเสียค่า 75% ในเพียง 2 ปี
.
นั่นยังไม่รวมว่า มันต้องมีสมมติฐานว่าสกุลเงินดิจิทัลทั้งหมดมีค่าเท่ากันอีกต่างหาก
ตอนนี้ มาพิจารณาความเป็นจริงของ ”คุณค่า” กัน...
.
.
เงินเป็น Network Effect ตัวแม่ และสุดท้ายมันจะเหลือแค่แบบเดียว
.
ผลกระทบเครือข่าย (Network Effect) เกิดขึ้นเมื่อคุณค่าของระบบเพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้น (โทรศัพท์, อินเทอร์เน็ต, เฟซบุ๊ก, เป็นต้น) กฎของเมตคาล์ฟอธิบายถึงคุณค่าของเครือข่ายเป็นสัดส่วนกับจำนวนผู้ใช้ยกกำลังสอง
.
เงินเป็น Network Effect ตัวแม่ — เราสร้างความมั่งคั่งโดยการเลือกให้คุณค่าแบบของเงินที่คนอื่นให้คุณค่า และเราสูญเสียความมั่งคั่งถ้าเราเลือกผิด (Beanie babies, ดอกทิวลิป, NFTs) เนื่องจากความกดดันนี้ ทำให้สุดท้ายมันจะเหลือเงินแค่แบบเดียว
.
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมทองจึงเป็นมาตรฐานการเงินทั่วโลกที่ไม่ซ้ำใครหลังจากการทดลองของตลาดเสรีกว่า 70,000 ปี ในการใช้สินค้าชนิดต่าง ๆ เป็นเงิน มันเป็นสินค้าที่ยากที่สุดที่จะทำเพิ่มขึ้นและดังนั้นเป็นที่เก็บรักษาคุณค่าที่เชื่อถือได้ที่สุดสำหรับความมั่งคั่งที่หาได้ยาก
.
ผลลัพธ์ของสิ่งนี้คือมนุษย์เก็บความมั่งคั่งมากขึ้น 40 เท่าในทอง (คุณค่ารวม ประมาณ 12 ล้านล้านดอลลาร์ ) มากกว่าสินค้าที่เก็บรักษาคุณค่าอันดับที่ 2 คือแร่เงิน (คุณค่ารวม ประมาณ 300 พันล้านดอลลาร์)
.
สิ่งนี้เรียกว่า Schelling point (เป็นความเข้าใจร่วมกันในการเลือกตัวเลือกที่เหมาะสมหรือเป็นที่ยอมรับในสถานการณ์ที่ไม่สามารถสื่อสารได้ มันเป็นความเข้าใจหรือความตกลงที่เป็นธรรมชาติที่คนส่วนใหญ่จะเลือก), จุดโฟกัสในทฤษฎีเกม เมื่อมนุษย์เก็บความมั่งคั่ง พวกเขาเลือกที่จะเก็บรักษาคุณค่าโดยมุ่งหมายว่า ผู้อื่นจะให้คุณค่ากับสิ่งนั้นในอนาคต
.
เมื่อคิดถึงเหตุผลนี้ ลองมาอัปเดตภาพข้างต้นเพื่อแสดงคุณค่าสัมพันธ์ของสกุลเงินดิจิทัลที่มีอยู่ โดยแทนที่ด้วยขนาดของวงกลมแต่ละวง
.
ลองคิดดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณแสดงภาพข้างต้นให้ 100 คน แล้วถามพวกเขาว่าวงกลมไหนมีมูลค่ามากที่สุด หรือดีกว่า วงกลมไหนที่พวกเขาคิดว่า 99 คนอื่นจะเลือก นั่นคือ Schelling point โดยที่เค้าไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
.
.
ปริศนาดิจิทัลที่ซับซ้อน ทำให้ไม่มีการแข่งขันจริงจังต่อบิทคอยน์ได้
.
นอกจากความแข็งแกร่งของบิทคอยน์ในฐานะที่เป็นความขาดแคลนดิจิทัลที่ไม่ซ้ำใครและผลกระทบของ network effect เราจะลองมาพูดถึงจุดอ่อนของคู่แข่งของบิทคอยน์กันดู
.
ในขณะที่การตลาดสำหรับสกุลเงินดิจิทัลเฉพาะจะเน้นไปที่ชุดคุณสมบัติและสเปคที่โดดเด่น สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดก็เป็นเพียงประดับประดา สิ่งที่สำคัญคือคำถามง่ายๆ: สินทรัพย์ไหนที่คนเลือกถือครองเป็นที่เก็บรักษามูลค่า? บิทคอยน์นำอยู่เยอะ
.
ดังนั้น สกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ทุกสกุลที่ถูกสร้างขึ้นหลังจากบิทคอยน์ยังต้องคอยวิ่งไล่ตาม แต่ยังไงก็ตาม สิ่งที่จำเป็นในการตามแซงเองนั้น ทำให้สกุลเงินดิจิทัลใด ๆ ไม่สามารถเป็นคู่แข่งจริง ๆ ของบิทคอยน์
.
ในนวนิยายสงครามแซตีร์ที่โด่งดัง Catch-22 นักบทสร้างภาพขัดแย้งที่แน่นหนาของนโยบายทางทหาร: ถ้าทหารได้เป็นบ้า เขาไม่ต้องไปในภารกิจ; แต่ทหารบ้าต้องขอถูกยกเว้น และคำขอนี้แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้บ้า
.
เปรียบเทียบกันคือ โครงการสตาร์ทอัพสกุลเงินดิจิทัลทุกโครงการ ต้องเผชิญกับปริศนาที่เป็นไปไม่ได้ (paradox) ขณะที่พยายามตามแซงบิทคอยน์ นั่นคือ:
- คุณไม่สามารถตามแซงบิทคอยน์ได้โดยไม่มีทีมผู้นำและงบประมาณการตลาด
- ด้วยทีมผู้นำและงบประมาณการตลาด คุณเป็นบริษัทที่ปลอมตัวเป็นโปรโตคอลที่กระจายอำนาจ
.
ผลลัพธ์สุดท้ายของสิ่งนี้ชัดเจนมาก: สกุลเงินดิจิทัล 30,000 สกุลที่พยายามจะยึดตำแหน่งในตลาด เป็นโครงการ “กระจายอำนาจในนามเท่านั้น” (DINO, decentralized in name only”) ตามคำศัพท์ของประธาน SEC Gary Gensler พวกเขามีทีมผู้นำที่ทำงานเพื่อแนะนำโครงการด้วยวัตถุประสงค์ในการส่งผลตอบแทนการลงทุนสำหรับผู้ถือโทเค็นดิจิทัลของพวกเขา ตามคำจำกัดความชัดเจนของ Howey Test นี้หมายความว่าพวกเขาเป็นบริษัทที่นำเสนอหุ้นที่ไม่ได้รับใบอนุญาต
.
และแน่นอน เราได้เข้าสู่ยุคของการบังคับใช้กฎหมาย ในสัปดาห์นี้เพียงอย่างเดียว หน่วยงาน SEC ได้ฟ้องผู้ก่อตั้ง HEX ที่โคตรน่ารำคาญใน 3 ข้อหาของการฉ้อโกงหุ้น และได้บอก CEO ของ Coinbase ว่า "ทรัพย์สิน [สกุลเงินดิจิทัล] ทุกชิ้นนอกจากบิทคอยน์เป็นหุ้น"
.
.
สรุปสุดท้าย:
- บิทคอยน์คือการประดิษฐ์ของความขาดแคลนดิจิทัล และสกุลเงินดิจิทัลทุกสกุลตั้งแต่นั้นเป็นแค่ของเลียนแบบ
- เงินเป็น Network Effect ตัวแม่ และบิทคอยน์ได้ชนะแล้ว
- ผู้ท้าทายทั้งหมดต่อบิทคอยน์ในที่สุดก็เป็นบริษัทที่ส่งเสริมการนำเสนอหุ้นที่ไม่ได้รับใบอนุญาต และ SEC กำลังจะดำเนินการต่อพวกเขา
.
เอาล่ะ ด้วยเงินที่หาได้ยากของคุณที่ตกอยู่ในสถานการณ์นี้ เลือกวงกลมที่คนอื่นจะให้มูลค่ามากที่สุด แต่อย่าใช้เวลานานเกินไป เพราะ 99% ที่เหลือของโลกก็กำลังตัดสินใจเช่นกัน...
.
.
**บทความนี้แปลร่วมกันระหว่างผม (ผู้ไม่เคยแปลบทความมาก่อน) กับผู้ช่วย AI ยี่ห้อหนึ่ง แก้กันเหนื่อย ฮ่าๆๆ

The Crypto Catch-22: Why Bitcoin Only
Three key reasons why Bitcoin is the only cryptoasset worth holding
.
เหตุผลที่คุณไม่สามารถคัดลอกและวางบิทคอยน์ได้ก็เพราะบิทคอยน์ไม่ใช่ jpeg ที่ประกอบด้วย 0 และ 1 เมื่อคุณเป็นเจ้าของบิทคอยน์ สิ่งที่คุณเป็นเจ้าของจริง ๆ คือฉันทามติของทุกคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายบิทคอยน์ว่า คุณมีสิทธิ์ใน 1 ใน 21 ล้านเหรียญของปริมาณบิทคอยน์ทั้งหมด อีกความหมายคือ คุณไม่ได้เป็นเจ้าของสิ่งที่มีตัวตน; คุณเป็นเจ้าของสิทธิทรัพย์ที่ไม่สามารถถูกถอดถอนได้ และในที่สุด นั่นคือสาระสำคัญของ”คุณค่า” — การควบคุมฝ่ายเดียวในสิ่งที่จำกัด
.
ระบบฉันทามติของคุณค่านี้มีปัญหาเล็กน้อย แม้จะเป็นไปไม่ได้ที่จะคัดลอกค่าภายในขอบเขตของระบบที่มีกำแพงคอยล้อมไว้ ก็ยังสามารถคัดลอกและวางระบบทั้งหมดได้
.
และแน่นอน ข้อมูลที่สามารถคัดลอกได้ ... สามารถทำซ้ำได้ไม่จำกัด มีต้นทุนต่ำในการสร้างสำเนาใหม่ของระบบดั้งเดิม และนั่นคือสิ่งที่เราเห็นในสินทรัพย์ดิจิทัล บิทคอยน์เป็นตัวอย่างแรกของระบบความขาดแคลนดิจิทัล สกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ ทั้งหมดเป็นสำเนาของระบบความขาดแคลนดิจิทัลนี้ ปรับปรุงด้วยสิ่งตกแต่งต่างๆ เพื่อทำให้ดูแตกต่าง ใหม่ และดีกว่า
.
เมื่อผมสร้างภาพนี้ครั้งแรกในปี 2021 เพื่อเน้นถึงลักษณะที่สามารถทำซ้ำได้ไม่จำกัดของสกุลเงินดิจิทัล มีสกุลเงินดิจิทัลรวมประมาณ 7,000 สกุล ตอนนี้มีประมาณ 30,000 สกุล มากขึ้น 4 เท่าในเพียง 2 ปี
.
ในทางนี้ หากมีใครซื้อสกุลเงินดิจิทัลใหม่ เอาเฉพาะที่ผลิตเพิ่มไม่ได้ ด้วยอัตราส่วนคงที่ในปี 2021 อย่างต่อเนื่อง ... ส่วนแบ่งการถือครองของยอดจำหน่ายรวมใน "ตลาดสำเนาของความขาดแคลนดิจิทัล" ก็ยังถูกเจือสูญ 4 เท่าอยู่ดี นั่นคือการสูญเสียค่า 75% ในเพียง 2 ปี
.
นั่นยังไม่รวมว่า มันต้องมีสมมติฐานว่าสกุลเงินดิจิทัลทั้งหมดมีค่าเท่ากันอีกต่างหาก
ตอนนี้ มาพิจารณาความเป็นจริงของ ”คุณค่า” กัน...
.
.
เงินเป็น Network Effect ตัวแม่ และสุดท้ายมันจะเหลือแค่แบบเดียว
.
ผลกระทบเครือข่าย (Network Effect) เกิดขึ้นเมื่อคุณค่าของระบบเพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้น (โทรศัพท์, อินเทอร์เน็ต, เฟซบุ๊ก, เป็นต้น) กฎของเมตคาล์ฟอธิบายถึงคุณค่าของเครือข่ายเป็นสัดส่วนกับจำนวนผู้ใช้ยกกำลังสอง
.
เงินเป็น Network Effect ตัวแม่ — เราสร้างความมั่งคั่งโดยการเลือกให้คุณค่าแบบของเงินที่คนอื่นให้คุณค่า และเราสูญเสียความมั่งคั่งถ้าเราเลือกผิด (Beanie babies, ดอกทิวลิป, NFTs) เนื่องจากความกดดันนี้ ทำให้สุดท้ายมันจะเหลือเงินแค่แบบเดียว
.
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมทองจึงเป็นมาตรฐานการเงินทั่วโลกที่ไม่ซ้ำใครหลังจากการทดลองของตลาดเสรีกว่า 70,000 ปี ในการใช้สินค้าชนิดต่าง ๆ เป็นเงิน มันเป็นสินค้าที่ยากที่สุดที่จะทำเพิ่มขึ้นและดังนั้นเป็นที่เก็บรักษาคุณค่าที่เชื่อถือได้ที่สุดสำหรับความมั่งคั่งที่หาได้ยาก
.
ผลลัพธ์ของสิ่งนี้คือมนุษย์เก็บความมั่งคั่งมากขึ้น 40 เท่าในทอง (คุณค่ารวม ประมาณ 12 ล้านล้านดอลลาร์ ) มากกว่าสินค้าที่เก็บรักษาคุณค่าอันดับที่ 2 คือแร่เงิน (คุณค่ารวม ประมาณ 300 พันล้านดอลลาร์)
.
สิ่งนี้เรียกว่า Schelling point (เป็นความเข้าใจร่วมกันในการเลือกตัวเลือกที่เหมาะสมหรือเป็นที่ยอมรับในสถานการณ์ที่ไม่สามารถสื่อสารได้ มันเป็นความเข้าใจหรือความตกลงที่เป็นธรรมชาติที่คนส่วนใหญ่จะเลือก), จุดโฟกัสในทฤษฎีเกม เมื่อมนุษย์เก็บความมั่งคั่ง พวกเขาเลือกที่จะเก็บรักษาคุณค่าโดยมุ่งหมายว่า ผู้อื่นจะให้คุณค่ากับสิ่งนั้นในอนาคต
.
เมื่อคิดถึงเหตุผลนี้ ลองมาอัปเดตภาพข้างต้นเพื่อแสดงคุณค่าสัมพันธ์ของสกุลเงินดิจิทัลที่มีอยู่ โดยแทนที่ด้วยขนาดของวงกลมแต่ละวง
.
ลองคิดดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณแสดงภาพข้างต้นให้ 100 คน แล้วถามพวกเขาว่าวงกลมไหนมีมูลค่ามากที่สุด หรือดีกว่า วงกลมไหนที่พวกเขาคิดว่า 99 คนอื่นจะเลือก นั่นคือ Schelling point โดยที่เค้าไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
.
.
ปริศนาดิจิทัลที่ซับซ้อน ทำให้ไม่มีการแข่งขันจริงจังต่อบิทคอยน์ได้
.
นอกจากความแข็งแกร่งของบิทคอยน์ในฐานะที่เป็นความขาดแคลนดิจิทัลที่ไม่ซ้ำใครและผลกระทบของ network effect เราจะลองมาพูดถึงจุดอ่อนของคู่แข่งของบิทคอยน์กันดู
.
ในขณะที่การตลาดสำหรับสกุลเงินดิจิทัลเฉพาะจะเน้นไปที่ชุดคุณสมบัติและสเปคที่โดดเด่น สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดก็เป็นเพียงประดับประดา สิ่งที่สำคัญคือคำถามง่ายๆ: สินทรัพย์ไหนที่คนเลือกถือครองเป็นที่เก็บรักษามูลค่า? บิทคอยน์นำอยู่เยอะ
.
ดังนั้น สกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ทุกสกุลที่ถูกสร้างขึ้นหลังจากบิทคอยน์ยังต้องคอยวิ่งไล่ตาม แต่ยังไงก็ตาม สิ่งที่จำเป็นในการตามแซงเองนั้น ทำให้สกุลเงินดิจิทัลใด ๆ ไม่สามารถเป็นคู่แข่งจริง ๆ ของบิทคอยน์
.
ในนวนิยายสงครามแซตีร์ที่โด่งดัง Catch-22 นักบทสร้างภาพขัดแย้งที่แน่นหนาของนโยบายทางทหาร: ถ้าทหารได้เป็นบ้า เขาไม่ต้องไปในภารกิจ; แต่ทหารบ้าต้องขอถูกยกเว้น และคำขอนี้แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้บ้า
.
เปรียบเทียบกันคือ โครงการสตาร์ทอัพสกุลเงินดิจิทัลทุกโครงการ ต้องเผชิญกับปริศนาที่เป็นไปไม่ได้ (paradox) ขณะที่พยายามตามแซงบิทคอยน์ นั่นคือ:
- คุณไม่สามารถตามแซงบิทคอยน์ได้โดยไม่มีทีมผู้นำและงบประมาณการตลาด
- ด้วยทีมผู้นำและงบประมาณการตลาด คุณเป็นบริษัทที่ปลอมตัวเป็นโปรโตคอลที่กระจายอำนาจ
.
ผลลัพธ์สุดท้ายของสิ่งนี้ชัดเจนมาก: สกุลเงินดิจิทัล 30,000 สกุลที่พยายามจะยึดตำแหน่งในตลาด เป็นโครงการ “กระจายอำนาจในนามเท่านั้น” (DINO, decentralized in name only”) ตามคำศัพท์ของประธาน SEC Gary Gensler พวกเขามีทีมผู้นำที่ทำงานเพื่อแนะนำโครงการด้วยวัตถุประสงค์ในการส่งผลตอบแทนการลงทุนสำหรับผู้ถือโทเค็นดิจิทัลของพวกเขา ตามคำจำกัดความชัดเจนของ Howey Test นี้หมายความว่าพวกเขาเป็นบริษัทที่นำเสนอหุ้นที่ไม่ได้รับใบอนุญาต
.
และแน่นอน เราได้เข้าสู่ยุคของการบังคับใช้กฎหมาย ในสัปดาห์นี้เพียงอย่างเดียว หน่วยงาน SEC ได้ฟ้องผู้ก่อตั้ง HEX ที่โคตรน่ารำคาญใน 3 ข้อหาของการฉ้อโกงหุ้น และได้บอก CEO ของ Coinbase ว่า "ทรัพย์สิน [สกุลเงินดิจิทัล] ทุกชิ้นนอกจากบิทคอยน์เป็นหุ้น"
.
.
สรุปสุดท้าย:
- บิทคอยน์คือการประดิษฐ์ของความขาดแคลนดิจิทัล และสกุลเงินดิจิทัลทุกสกุลตั้งแต่นั้นเป็นแค่ของเลียนแบบ
- เงินเป็น Network Effect ตัวแม่ และบิทคอยน์ได้ชนะแล้ว
- ผู้ท้าทายทั้งหมดต่อบิทคอยน์ในที่สุดก็เป็นบริษัทที่ส่งเสริมการนำเสนอหุ้นที่ไม่ได้รับใบอนุญาต และ SEC กำลังจะดำเนินการต่อพวกเขา
.
เอาล่ะ ด้วยเงินที่หาได้ยากของคุณที่ตกอยู่ในสถานการณ์นี้ เลือกวงกลมที่คนอื่นจะให้มูลค่ามากที่สุด แต่อย่าใช้เวลานานเกินไป เพราะ 99% ที่เหลือของโลกก็กำลังตัดสินใจเช่นกัน...
.
.
**บทความนี้แปลร่วมกันระหว่างผม (ผู้ไม่เคยแปลบทความมาก่อน) กับผู้ช่วย AI ยี่ห้อหนึ่ง แก้กันเหนื่อย ฮ่าๆๆThat’s was fun
#ThailandZapathon 

what a fiat standard!
#ThaiNostich #Siamstr #ThailandZapathon 

DCA วันไหนดี...
คำถามที่มักจะเกิดขึ้นในหัวคนสาย DCA bitcoin คำตอบสั้น ๆ ง่าย ๆ ที่คนตอบกันก็คือ เอาที่สะดวก มันไม่ต่างกันขนาดนั้น เพราะมันระยะยาว
แล้วจริง ๆ แล้วมันเป็นอย่างงั้นมั้ย ตัวเลขจริง ๆ มันเป็นเท่าไหร่ วันนี้ลองมาดูกันครับ
.
.
ขั้นตอนในการทำ
- หาวันที่ราคา High ของวันต่ำที่สุดในแต่ละเดือน (ใช้ราคา High เพื่อเป็น worst case ของวัน)
- คำนวนว่าราคา High ของแต่ละวันมากกว่า ค่าต่ำสุดของเดือนเท่าไหร่
- เฉลี่ยราคาของแต่ละวันที่ ตามช่วงเวลาที่สนใจ แล้ว visualize มาดูครับ
- ได้ผลลัพธ์ตามรูปครับ มีแถมสำหรับคน DCA แบบรายอาทิตย์ด้วย
.
.
note & disclaimer
- ใช้ข้อมูลมาจาก Yahoo Finance ซึ่งเค้า reference ว่ามาจาก Coin Marketcap ช่วงเวลาที่ใช้ Jan2015 - July2023
- ข้อมูลในอดีตไม่ได้สะท้อนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
- ไม่ได้เป็นคำแนะนำในการลงทุน ทุกคนควรบริหารความเสี่ยงด้วยตัวเอง
- ข้อมูลปี 2023 มีค่อนข้างน้อย แล้วบังเอิญไปต่ำสุดวันที่ 10 2 เดือน เดือนอื่น ๆ วันที่ 10 ก็อยู่ใน zone low เช่นกัน ปีนี้เลยเพี้ยน ๆ หน่อย
- ข้อมูลปี 2022-2021 จะคล้ายๆกันเลยโชว์เฉพาะ 2022 ส่วน 2016-2020 จะคล้ายๆกันเลยโชว์เฉพาะ 2016
.
.
เอาแบบเห็นเป็นตัวเลขชัด ๆ เลยได้มั้ย อะจัดไป
ถ้าคุณโชคดีสุด ๆ ซื้อเดือนละ $100 ตั้งแต่ 2022 ในวันที่ราคาถูกที่สุดได้ทุกเดือน คุณจะได้ bitcoin มากกว่าโชคร้ายซื้อวันที่แพงสุดทุกเดือนอยู่ 19.4% (เอง) ซึ่งถ้าลองเพิ่มช่วงเวลาให้นานย้อนไปอีก ตัวเลขก็ยังอยู่ในช่วง 18-22%
.
.
...แต่ใครมันจะโชคดี (หรือโชคร้าย)สุดๆขนาดนั้น
.
เอาแบบที่เป็นไปได้ ถ้าเลือกซื้อตั้งแต่ 2022 ในวันที่ 22 ซึ่งเป็นวันที่เฉลี่ยต่ำสุด เทียบกับวันที่ 1 (ขอไม่นับวันที่ 31 เพราะตัวอย่างน้อยกว่าชาวบ้าน) ตั้งแต่ปี 2022 จะได้ bitcoin มากกว่าอยู่ 3.2% (แบบรายอาทิตย์อยู่ที่ 2.1% วันเสาร์เทียบวันพุธ)
.
น่าจะเป็น real world worst case ได้สำหรับคนที่ DCA วันเดิม ว่าไม่ต่างกันเยอะมากหรอก(มั้ง) ฮ่าๆๆ
.
note & disclaimer
- ใช้ข้อมูลมาจาก Yahoo Finance ซึ่งเค้า reference ว่ามาจาก Coin Marketcap ช่วงเวลาที่ใช้ Jan2015 - July2023
- ข้อมูลในอดีตไม่ได้สะท้อนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
- ไม่ได้เป็นคำแนะนำในการลงทุน ทุกคนควรบริหารความเสี่ยงด้วยตัวเอง
- ข้อมูลปี 2023 มีค่อนข้างน้อย แล้วบังเอิญไปต่ำสุดวันที่ 10 2 เดือน เดือนอื่น ๆ วันที่ 10 ก็อยู่ใน zone low เช่นกัน ปีนี้เลยเพี้ยน ๆ หน่อย
- ข้อมูลปี 2022-2021 จะคล้ายๆกันเลยโชว์เฉพาะ 2022 ส่วน 2016-2020 จะคล้ายๆกันเลยโชว์เฉพาะ 2016
.
.
เอาแบบเห็นเป็นตัวเลขชัด ๆ เลยได้มั้ย อะจัดไป
ถ้าคุณโชคดีสุด ๆ ซื้อเดือนละ $100 ตั้งแต่ 2022 ในวันที่ราคาถูกที่สุดได้ทุกเดือน คุณจะได้ bitcoin มากกว่าโชคร้ายซื้อวันที่แพงสุดทุกเดือนอยู่ 19.4% (เอง) ซึ่งถ้าลองเพิ่มช่วงเวลาให้นานย้อนไปอีก ตัวเลขก็ยังอยู่ในช่วง 18-22%
.
.
...แต่ใครมันจะโชคดี (หรือโชคร้าย)สุดๆขนาดนั้น
.
เอาแบบที่เป็นไปได้ ถ้าเลือกซื้อตั้งแต่ 2022 ในวันที่ 22 ซึ่งเป็นวันที่เฉลี่ยต่ำสุด เทียบกับวันที่ 1 (ขอไม่นับวันที่ 31 เพราะตัวอย่างน้อยกว่าชาวบ้าน) ตั้งแต่ปี 2022 จะได้ bitcoin มากกว่าอยู่ 3.2% (แบบรายอาทิตย์อยู่ที่ 2.1% วันเสาร์เทียบวันพุธ)
.
น่าจะเป็น real world worst case ได้สำหรับคนที่ DCA วันเดิม ว่าไม่ต่างกันเยอะมากหรอก(มั้ง) ฮ่าๆๆDCA วันไหนดี...
คำถามที่มักจะเกิดขึ้นในหัวคนสาย DCA bitcoin คำตอบสั้น ๆ ง่าย ๆ ที่คนตอบกันก็คือ เอาที่สะดวก มันไม่ต่างกันขนาดนั้น เพราะมันระยะยาว
แล้วจริง ๆ แล้วมันเป็นอย่างงั้นมั้ย ตัวเลขจริง ๆ มันเป็นเท่าไหร่ วันนี้ลองมาดูกันครับ
ขั้นตอนในการทำ
- หาวันที่ราคา High ของวันต่ำที่สุดในแต่ละเดือน (ใช้ราคา High เพื่อเป็น worst case ของวัน)
- คำนวนว่าราคา High ของแต่ละวันมากกว่า ค่าต่ำสุดของเดือนเท่าไหร่
- เฉลี่ยราคาของแต่ละวันที่ ตามช่วงเวลาที่สนใจ แล้ว visualize มาดูครับ
- ได้ผลลัพธ์ตามรูปครับ มีแถมสำหรับคน DCA แบบรายอาทิตย์ด้วย
note & disclaimer
- ใช้ข้อมูลมาจาก Yahoo Finance ซึ่งเค้า reference ว่ามาจาก Coin Marketcap ช่วงเวลาที่ใช้ Jan2015 - July2023
- ข้อมูลในอดีตไม่ได้สะท้อนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
- ไม่ได้เป็นคำแนะนำในการลงทุน ทุกคนควรบริหารความเสี่ยงด้วยตัวเอง
- ข้อมูลปี 2023 มีค่อนข้างน้อย แล้วบังเอิญไปต่ำสุดวันที่ 10 2 เดือน เดือนอื่น ๆ วันที่ 10 ก็อยู่ใน zone low เช่นกัน ปีนี้เลยเพี้ยน ๆ หน่อย
- ข้อมูลปี 2022-2021 จะคล้ายๆกันเลยโชว์เฉพาะ 2022 ส่วน 2016-2020 จะคล้ายๆกันเลยโชว์เฉพาะ 2016
เอาแบบเห็นเป็นตัวเลขชัด ๆ เลยได้มั้ย อะจัดไป
ถ้าคุณโชคดีสุด ๆ ซื้อเดือนละ $100 ตั้งแต่ 2022 ในวันที่ราคาถูกที่สุดได้ทุกเดือน คุณจะได้ bitcoin มากกว่าโชคร้ายซื้อวันที่แพงสุดทุกเดือนอยู่ 19.4% (เอง) ซึ่งถ้าลองเพิ่มช่วงเวลาให้นานย้อนไปอีก ตัวเลขก็ยังอยู่ในช่วง 18-22%
...แต่ใครมันจะโชคดี (หรือโชคร้าย)สุดๆขนาดนั้น
เอาแบบที่เป็นไปได้ ถ้าเลือกซื้อตั้งแต่ 2022 ในวันที่ 22 ซึ่งเป็นวันที่เฉลี่ยต่ำสุด เทียบกับวันที่ 1 (ขอไม่นับวันที่ 31 เพราะตัวอย่างน้อยกว่าชาวบ้าน) ตั้งแต่ปี 2022 จะได้ bitcoin มากกว่าอยู่ 3.2% (แบบรายอาทิตย์อยู่ที่ 2.1% วันเสาร์เทียบวันพุธ)
น่าจะเป็น real world worst case ได้สำหรับคนที่ DCA วันเดิม ว่าไม่ต่างกันเยอะมากหรอก(มั้ง) ฮ่าๆๆ
#ThaiNostich #Siamstr #ThailandZapathon
note & disclaimer
- ใช้ข้อมูลมาจาก Yahoo Finance ซึ่งเค้า reference ว่ามาจาก Coin Marketcap ช่วงเวลาที่ใช้ Jan2015 - July2023
- ข้อมูลในอดีตไม่ได้สะท้อนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
- ไม่ได้เป็นคำแนะนำในการลงทุน ทุกคนควรบริหารความเสี่ยงด้วยตัวเอง
- ข้อมูลปี 2023 มีค่อนข้างน้อย แล้วบังเอิญไปต่ำสุดวันที่ 10 2 เดือน เดือนอื่น ๆ วันที่ 10 ก็อยู่ใน zone low เช่นกัน ปีนี้เลยเพี้ยน ๆ หน่อย
- ข้อมูลปี 2022-2021 จะคล้ายๆกันเลยโชว์เฉพาะ 2022 ส่วน 2016-2020 จะคล้ายๆกันเลยโชว์เฉพาะ 2016
เอาแบบเห็นเป็นตัวเลขชัด ๆ เลยได้มั้ย อะจัดไป
ถ้าคุณโชคดีสุด ๆ ซื้อเดือนละ $100 ตั้งแต่ 2022 ในวันที่ราคาถูกที่สุดได้ทุกเดือน คุณจะได้ bitcoin มากกว่าโชคร้ายซื้อวันที่แพงสุดทุกเดือนอยู่ 19.4% (เอง) ซึ่งถ้าลองเพิ่มช่วงเวลาให้นานย้อนไปอีก ตัวเลขก็ยังอยู่ในช่วง 18-22%
...แต่ใครมันจะโชคดี (หรือโชคร้าย)สุดๆขนาดนั้น
เอาแบบที่เป็นไปได้ ถ้าเลือกซื้อตั้งแต่ 2022 ในวันที่ 22 ซึ่งเป็นวันที่เฉลี่ยต่ำสุด เทียบกับวันที่ 1 (ขอไม่นับวันที่ 31 เพราะตัวอย่างน้อยกว่าชาวบ้าน) ตั้งแต่ปี 2022 จะได้ bitcoin มากกว่าอยู่ 3.2% (แบบรายอาทิตย์อยู่ที่ 2.1% วันเสาร์เทียบวันพุธ)
น่าจะเป็น real world worst case ได้สำหรับคนที่ DCA วันเดิม ว่าไม่ต่างกันเยอะมากหรอก(มั้ง) ฮ่าๆๆ
#ThaiNostich #Siamstr #ThailandZapathonสิ่งที่คุณเป็นเจ้าของจริงๆ ไม่มีใครเอาไปได้ มีแค่ความรู้ในสมองคุณ
และ bitcoin เท่านั้น (ถ้าเก็บรักษาอย่างถูกวิธี)
You will never get Bitcoin at the price you want
.
But you will always get Bitcoin at the price you deserve
.
ซื้อ Bitcoin ยังไงให้ได้ราคาดีสุด
สวัสดีครับ เห็นคนใน community ชอบถามกันบ่อยๆว่าซื้อ bitcoin ยังไงดีถึงจะได้ราคาดีที่สุด ผมเองก็เคยสงสัยและเปิดกะๆเอาเอง เพราะมันขึ้นอยู่กับปริมาณที่เราจะซื้อด้วย เพราะบางวิธีค่า fee มัน fix ทำให้ความคุ้มแต่ละคนไม่เหมือนกัน วันนี้พอมีเวลาเลยไปลองรวบรวมข้อมูลมา plot รวมกันพอให้เห็นภาพครับ
.
.
note & disclaimer
- รวมรวมข้อมูลมาจาก hodlhodl, binance, bitkub, fixedfloat, WoS เป็นท่าปกติที่ผมคิดจะใช้ละกัน อย่างอื่นอาจจะต่างไม่มากนัก
- รวบรวมข้อมูล วันที่ 6 สิงหา ช่วง 11 - 13 นาฬิกา ไม่พร้อมกัน อาจจะมีคาดเคลื่อนไปบ้างเนื่องจากบางอันเป็น bid-offer หรือ p2p ที่เปลี่ยนได้ตลอดครับ ใช้แค่พอเป็นไอเดีย
- ตัวย่อ hh = hodlhodl, kk = bitkub, nn = binance, ff = fixedfloat
- Baht -> USDT(nn) หมายถึงแลกเงิน p2p ใน Binance
- ไม่รวมข้อมูลอื่นๆ เช่น ราคา, ความยุ่งยาก, ภาษี, ความ non-kyc, ความเสี่ยงของ exchange, การสะสมเงินที่ใดที่หนึ่งแล้วโอนทีเดียว
- ไม่ได้เป็นคำแนะนำในการลงทุน ทุกคนควรบริหารความเสี่ยงด้วยตัวเอง
.
.
วิธีการที่ผมทำคือ
1. รวมข้อมูลราคา ค่าธรรมเนียมของวิธีต่างๆ แยกเป็นแต่ละ step
2. ใช้ depth-first search หาทางเชื่อม convert Baht -> BTC ปลายทางแบบ address เราเอง
3. แล้วมาคำนวนค่าธรรมเนียมและ bitcoin ที่จะได้
4. คิดย้อนกลับไปเทียบกับเคสที่ดีที่สุด (เรทดีสุด) ว่าต่างจากเคสดีสุดกี่ %
.
.
ข้อสรุปที่ได้ (สำหรับตัวผมเอง แต่ละท่านควรดูแล้วคิดต่อเองครับ)
- ไม้ละ 10000 ขึ้นไปน่าจะเหมาะสม ส่วนต่างแต่ละวิธีจะไม่มากเกินไปไม่ว่าแบบไหน
- เกิน 10000 ใช้ตัวกลางให้น้อย ตรงไปตรงมาประหยัดสุด
- ต่ำกว่า 10000 ควรเอาออกจาก exchange ผ่าน fixedfloat
- WoS ค่า fee โอนจาก lightning ไป on-chain แพงกว่า binance อีก ให้เอาออกจาก binance lightning ไป fixedfloat ส่งมาเป็น on-chain ยังถูกกว่า
- ผมไม่ได้ใช้วิธีถูกที่สุดด้วยเหตุผลนอกเหนือจากราคา
ถูกใจร่วม zap กันได้ คิดซะว่าเทสว่าผมเซ็ทกระเป๋าถูกมั้ย ฮ่าๆๆ
#siamstr #thainostrich
รูปแรกแบบภาพรวม รูปสองแบบซูมเข้าไปหน่อย
.

.

ซื้อ Bitcoin ยังไงให้ได้ราคาดีสุด
สวัสดีครับ เห็นคนใน community ชอบถามกันบ่อยๆว่าซื้อ bitcoin ยังไงดีถึงจะได้ราคาดีที่สุด ผมเองก็เคยสงสัยและเปิดกะๆเอาเอง เพราะมันขึ้นอยู่กับปริมาณที่เราจะซื้อด้วย เพราะบางวิธีค่า fee มัน fix ทำให้ความคุ้มแต่ละคนไม่เหมือนกัน วันนี้พอมีเวลาเลยไปลองรวบรวมข้อมูลมา plot รวมกันพอให้เห็นภาพครับ
.
รูปแรกแบบภาพรวม รูปสองแบบซูมเข้าไปหน่อย
.
.
.
note & disclaimer
- รวมรวมข้อมูลมาจาก hodlhodl, binance, bitkub, fixedfloat, WoS เป็นท่าปกติที่ผมคิดจะใช้ละกัน อย่างอื่นอาจจะต่างไม่มากนัก
- รวบรวมข้อมูล วันที่ 6 สิงหา ช่วง 11 - 13 นาฬิกา ไม่พร้อมกัน อาจจะมีคาดเคลื่อนไปบ้างเนื่องจากบางอันเป็น bid-offer หรือ p2p ที่เปลี่ยนได้ตลอดครับ ใช้แค่พอเป็นไอเดีย
- ตัวย่อ hh = hodlhodl, kk = bitkub, nn = binance, ff = fixedfloat
- Baht -> USDT(nn) หมายถึงแลกเงิน p2p ใน Binance
- ไม่รวมข้อมูลอื่นๆ เช่น ราคา, ความยุ่งยาก, ภาษี, ความ non-kyc, ความเสี่ยงของ exchange, การสะสมเงินที่ใดที่หนึ่งแล้วโอนทีเดียว
- ไม่ได้เป็นคำแนะนำในการลงทุน ทุกคนควรบริหารความเสี่ยงด้วยตัวเอง
.
.
วิธีการที่ผมทำคือ
1. รวมข้อมูลราคา ค่าธรรมเนียมของวิธีต่างๆ แยกเป็นแต่ละ step
2. ใช้ depth-first search หาทางเชื่อม convert Baht -> BTC ปลายทางแบบ address เราเอง
3. แล้วมาคำนวนค่าธรรมเนียมและ bitcoin ที่จะได้
4. คิดย้อนกลับไปเทียบกับเคสที่ดีที่สุด (เรทดีสุด) ว่าต่างจากเคสดีสุดกี่ %
.
.
ข้อสรุปที่ได้ (สำหรับตัวผมเอง แต่ละท่านควรดูแล้วคิดต่อเองครับ)
- ไม้ละ 10000 ขึ้นไปน่าจะเหมาะสม ส่วนต่างแต่ละวิธีจะไม่มากเกินไปไม่ว่าแบบไหน
- เกิน 10000 ใช้ตัวกลางให้น้อย ตรงไปตรงมาประหยัดสุด
- ต่ำกว่า 10000 ควรเอาออกจาก exchange ผ่าน fixedfloat
- WoS ค่า fee โอนจาก lightning ไป on-chain แพงกว่า binance อีก ให้เอาออกจาก binance lightning ไป fixedfloat ส่งมาเป็น on-chain ยังถูกกว่า
- ผมไม่ได้ใช้วิธีถูกที่สุดด้วยเหตุผลนอกเหนือจากราคา
ถูกใจร่วม zap กันได้ คิดซะว่าเทสว่าผมเซ็ทกระเป๋าถูกมั้ย ฮ่าๆๆ
#siamstr #thainostrich
.
.
.
note & disclaimer
- รวมรวมข้อมูลมาจาก hodlhodl, binance, bitkub, fixedfloat, WoS เป็นท่าปกติที่ผมคิดจะใช้ละกัน อย่างอื่นอาจจะต่างไม่มากนัก
- รวบรวมข้อมูล วันที่ 6 สิงหา ช่วง 11 - 13 นาฬิกา ไม่พร้อมกัน อาจจะมีคาดเคลื่อนไปบ้างเนื่องจากบางอันเป็น bid-offer หรือ p2p ที่เปลี่ยนได้ตลอดครับ ใช้แค่พอเป็นไอเดีย
- ตัวย่อ hh = hodlhodl, kk = bitkub, nn = binance, ff = fixedfloat
- Baht -> USDT(nn) หมายถึงแลกเงิน p2p ใน Binance
- ไม่รวมข้อมูลอื่นๆ เช่น ราคา, ความยุ่งยาก, ภาษี, ความ non-kyc, ความเสี่ยงของ exchange, การสะสมเงินที่ใดที่หนึ่งแล้วโอนทีเดียว
- ไม่ได้เป็นคำแนะนำในการลงทุน ทุกคนควรบริหารความเสี่ยงด้วยตัวเอง
.
.
วิธีการที่ผมทำคือ
1. รวมข้อมูลราคา ค่าธรรมเนียมของวิธีต่างๆ แยกเป็นแต่ละ step
2. ใช้ depth-first search หาทางเชื่อม convert Baht -> BTC ปลายทางแบบ address เราเอง
3. แล้วมาคำนวนค่าธรรมเนียมและ bitcoin ที่จะได้
4. คิดย้อนกลับไปเทียบกับเคสที่ดีที่สุด (เรทดีสุด) ว่าต่างจากเคสดีสุดกี่ %
.
.
ข้อสรุปที่ได้ (สำหรับตัวผมเอง แต่ละท่านควรดูแล้วคิดต่อเองครับ)
- ไม้ละ 10000 ขึ้นไปน่าจะเหมาะสม ส่วนต่างแต่ละวิธีจะไม่มากเกินไปไม่ว่าแบบไหน
- เกิน 10000 ใช้ตัวกลางให้น้อย ตรงไปตรงมาประหยัดสุด
- ต่ำกว่า 10000 ควรเอาออกจาก exchange ผ่าน fixedfloat
- WoS ค่า fee โอนจาก lightning ไป on-chain แพงกว่า binance อีก ให้เอาออกจาก binance lightning ไป fixedfloat ส่งมาเป็น on-chain ยังถูกกว่า
- ผมไม่ได้ใช้วิธีถูกที่สุดด้วยเหตุผลนอกเหนือจากราคา
ถูกใจร่วม zap กันได้ คิดซะว่าเทสว่าผมเซ็ทกระเป๋าถูกมั้ย ฮ่าๆๆ
#siamstr #thainostrich