Sats and Sound's avatar
Sats and Sound
npub1dhsn...xjvg
Sats and Sound: สร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืน ผ่านการเงินดิจิทัลและการพัฒนาตนเอง ชื่อช่องสามารถตีความให้ครอบคลุมทั้งบิตคอยน์ (Sats), การเงิน (Sound Money), และการพัฒนาตัวเอง (การเรียนรู้ผ่าน "Sound" หรือเสียงที่เป็นความรู้ที่มั่นคง)
Sats and Sound's avatar
sats_and_sound 5 months ago
คนไทยครึ่งประเทศ "เสี่ยงจน"ภัยเงียบของเงินเฟ้อ ที่ไม่มีใครบอก - sats and sound EP30 ผมได้ไปดูคลิปของรายการ ตรงประเด็น เป็นรายการน่าสนใจของช่อง The Active เป็นช่องที่ทำ สารคดี "คนจนเมือง" ทั้ง 5 ซีซันของ Thai PBS ที่บอกเล่าถึงเรื่องของคนจน หลายสิบครอบครัว บุคคลหลักร้อยคน ในคลิปจะเล่าถึงการจัดนิทรรศการ บทสรุป สารคดี คนจนเมือง ที่ทำกันมากว่า 5 ปี จัดขึ้นที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ใครสนใจไปดูได้ เมื่อดูคลิปนี้จบ ประเด็นที่ผมสรุปออกมาได้มีดังนี้ - คนไทยมี 70 ล้านคน มีคนจน กว่า 7 ล้านคน - เส้นความยากจนที่ 3,034 บาทต่อเดือน (ประมาณ 101 บาทต่อวัน) ไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตในเมือง - สิ่งที่น่ากลัวคือมีคน "เสี่ยงจน" สูงถึง 24 ล้านคน เท่ากับว่า 34% ของคนไทยเลยนะ ถ้ารวมคนสองกลุ่มนี้เท่ากับว่า คนไทยเกือบครึ่งประเทศ เสี่ยงจน - ปัญหาคนจนนั้นแก้ยากมาก เพราะเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและเรื้อรังมานาน ทางรายการได้กลับไปติดตามชีวิตของคนที่เคยอยู่ในสารคดี 5 ปีผ่านไป ทุกคนยังจนเหมือนเดิม ใช้ชีวิตไปวันๆ บางคนลำบากกว่าเดิมอีก จนต่อๆกันไปเป็นรุ่นสู่รุ่น เป็นวงเวียนที่ดูไม่เห็นแสงสว่างเลย - พอมีเงินไม่พอใช้ในชีวิตประจำวัน ทำให้เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา ทำงานใช้แรง พ่อแม่ที่ลำบาก ก็ทำงานแบบ หาเช้ากินเช้า คำนี้น่ากลัวมากนะ มื้อไหนหาเงินไม่ได้ไม่มีกิน - นโยบายทางการเมือง 20 ปีที่ผ่านมาที่ไม่ว่าจะรัฐบาลไหน ก็จะมีวาทะกรรมที่จะช่วยเหลือความยากจนแต่สุดท้ายมันก็แก้ไขอะไรไม่ได้เลย วิธีแก้ - ต้องหารายได้เพิ่มขึ้น ข้อนี้อาจจะเหมือนกําปั้นทุบดิน แต่เป็นความจริงที่เลี่ยงไม่ได้ ถ้าไม่อยากจน ยังไงก็ต้องหารายได้เพิ่ม เราอาจจะไม่ได้มีทางเลือกมากนัก หาเงินได้ทําไว้ก่อน แต่ขอเป็นงานสุจริตนะครับ - ต้องรู้จักเงินเฟ้อ คนส่วนใหญ่ ไม่ว่ารวยหรือจน ยังไม่เข้าใจสิ่งชั่วร้ายที่การพิมพ์เงินและเงินเฟ้อทํากับพวกเราทุกคนมาตลอดเวลา 54 ปี เงินเฟียตที่เราใช้กันอยู่ทุกวันมันเสื่อมค่าลง ทําให้ข้าวของต่างๆแพงขึ้นตลอดเวลา และจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ยิ่งเราเป็นคนหาเงินได้น้อย เงินเก็บเราน้อย ดังนั้นจะต้องเก็บในสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่าลง เช่น ทองคํา หรือ บิทคอย ผมเชื่อว่ารู้แค่นี้คุณจะรวยขึ้น - จัดการเงิน ทํารายรับ รายจ่าย ต้องเป้าต้องออมเงินทุกเดือนให้ได้ ถึงจะหาเช้ากินเช้า แต่ข้อนี้จะทําให้เรา รู้ว่าเราหาเงินได้เท่าไหร่ ใช้จ่ายอะไรไปบ้าง เมื่อเราเห็นตัวเลข มันจะทําให้เราขยันขึ้น ไม่ว่าจะหาเงินเพิ่มแม้เพียงเล็กน้อย หรือ ประหยัดทุกทาง พอประหยัดก็ออมให้ได้ - งดเหล้า บุหรี่ งดซื้อหวย ลดค่าใช้จ่ายไร้สาระที่ไม่จําเป็นออกไปให้หมด ตัดได้ตัด การซื้อหวยโอกาสถูกเปลี่ยนชีวิต น้อยยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร บางคนซื้อทั้งชีวิต อาจจะเคยถูกบ้าง แต่สุดท้ายก็เอาไปซื้อหวยหมด ดังนั้นเลิกซื้อเอาเงิน 80 บาทนั้นมาเก็บออมดีกว่า - โฟกัสการออมในสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่าอย่าง บิทคอย ไม่ว่าจะออมแค่ 50 หรือ 100 บาท อย่าดูถูกเงินออมก้อนนี้ การเริ่มสร้างวินัยทางการเงิน มันเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งดีๆที่จะเข้ามาในชีวิต สร้างพลังบวก - ศึกษาบิทคอยเพิ่มเติม ข้อนี้จะทําให้คุณได้เห็นมุมมองโลกใหม่ เมื่อลงหลุมกระต่ายคุณจะเป็นคนใหม่ที่ดีขึ้น สรุป 1 เงินมันเสื่อมค่าจากการพิมพ์เงินและเงินเฟ้อ โดยไม่มีใครหยุดได้ ไม่ว่าคนรวย คนจน ก็จะจนลง ถ้าไม่รู้จักเงินเฟ้อ 2 จัดการเงินเฟ้อด้วยการออมเงินของเราในสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่าอย่างบิทคอย หรือทองคํา 3 เงินที่เราออม ห้ามถอนออกมาใช้เด็ดขาด เพราะถ้าออมไม่นานพอ คุณจะไม่เห็นผลของลัพธ์ของมัน 4 กว่าจะออมได้ เราต้อง ทำรายรับรายจ่าย บันทึกการออม จะทําให้คุณรู้ว่าเงินหมดไปกับอะไร ยิ่งคนจน เงินน้อย รวมกับการศึกษาบิทคอยและเงินเฟ้อ มันจะทําให้คุณมีพลังในการหาเงินเพิ่ม เพื่อมาออมในบิทคอยเพื่ออนาคต 5 ออมได้ทีละ 50 บาท 100 บาท อย่าไปดูถูก มันเป็นการเริ่มต้นที่ดี 6 อย่าคาดหวังในรัฐบาลหรือคนอื่นมาช่วยเหลือ เพราะในความจริงแล้ว ไม่มีใครช่วยคุณได้นอกจากตัวคุณเอง ไม่ว่าคุณจะรวย จะจน หรือ เสี่ยงจน เงินเฟ้อก็จะกัดกินคุณอยู่ดี ดังนั้นกําจัดมันซะ เงินเฟียตมีแค่จ่ายต่อเดือนก็พอ ที่เหลือโยกไปออมในบิทคอยหรือทองคํา อย่ารอการช่วยเหลือจากภาครัฐที่ไม่ทั่วถึง เริ่มศึกษา เก็บออมอย่างถูกที่ในวันนี้ ผมเชื่อว่าอีก 5-10 ปี คุณจะกลายเป็นคนที่ รวยขึ้นแบบยั่งยืน #siamstr #btc #bitcoin #คนจน #คนไทย #ปัญหาคนจน #เงินเฟ้อ
Sats and Sound's avatar
sats_and_sound 5 months ago
ไรเดอร์หนุ่มปล่อยโฮ! ไม่เรียน ชีวิตลำบาก ย้อนอดีตไม่ได้ แล้วจะต้องทํายังไงต่อ? - sats and sound EP29 จากข่าวนี้เป็นของประเทศจีน ที่มีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง 19ปี เขาเสียใจกับชีวิตที่ลําบาก ที่เกิดจากตัวเองเกเร ไม่ตั้งใจเรียน ทําให้ต้องมาทํางานหาเงินแบบนี้ตั้งแต่วัยรุ่น ชายหนุ่มตัดพ้อในคลิปว่าตอนนี้ตี 3 แล้วผมยังต้องอยู่นอกบ้านส่งอาหารแถมไม่สบายด้วย เขาร้องไห้ไป ระบายความในใจไป ฟังแล้วผมเห็นใจเขามากครับ ในเมื่อย้อนอดีตไม่ได้ จะต้องทํายังไงต่อ ชีวิตจะยากลําบากขนาดไหน ถ้าเดินไปถูกทาง มันจะไปต่อได้ ความรู้ที่ถูกต้องเรื่อง "การเงิน" ช่วยเราได้จริงๆ ความรู้ที่ถูกต้องเรื่อง "การเงิน" ช่วยเราได้จริงๆ ไม่ว่าคุณจะ "จน" ขนาดไหนก็ตาม เรื่อง "เงินเฟ้อ" ถ้าไม่รู้ ไม่ว่าจะรวยหรือจนขนาดไหนก็มีปัญหา และจนลงหมดเพราะเงินมันเสื่อมค่าลงเรื่อยๆ 1 อะไรพลาดไปแล้วปล่อยไป - ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง แล้วสู้ต่อ ถ้าจิตใจเราพังจะทําข้ออื่นต่อไม่ได้ - ไม่มีใครให้กำลังใจแก่เราได้ดีเท่าตัวเราเอง 2 ตั้งหน้าตั้งตาหาเงินให้ได้มากที่สุด - อาชีพไรเดอร์นั้น ต้องยอมรับว่าเหนื่อย และ มีความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ - เป็นอาชีพที่ขึ้นอยู่กับความขยัน ทํามากได้มาก ทําน้อยได้น้อย - ถ้าหางานที่ได้เงินดีกว่านี้ไม่ได้ ก็ต้องทํางานนี้ต่อ - หาเงินเพิ่มเน้นงานแบบ passive 3 จัดสรรเงิน และศึกษาเรื่องเงินเฟ้อ - ชีวิตนี้แค่รู้เรื่องเงินเฟ้อ แล้วรู้ว่าจะจัดการเงินอย่างไร คุณก็จะนําหน้าคนส่วนใหญ่ได้แล้ว - ทํารายรับรายจ่าย จัดการเงินทุกเดือน ทําได้เราจะประหยัดเองอัตโนมัติ - แบ่งเงินมาออมเป็นประจําทุกเดือนในสินทรัพย์ที่ต้านเงินเฟ้อ เช่น ทองคํา หรือ บิทคอย ในจีนอาจจะต้องเน้นทองคําเพราะบิทคอยซื้อได้ยาก สิ่งนี้จะเป็นคีย์สําคัญที่ทําให้เงินที่คุณหามาได้ยากลําบาก ไม่เสื่อมค่าลงผ่านกาลเวลา - ถ้าลองไปหาข้อมูล M2 หรืออัตราเงินเฟ้อในจีน คุณจะขนลุกและเข้าใจว่าทําไม เงินเฟ้อมันยํ่ายีคนจีนที่ทํางานหนัก เงินน้อย และไม่มีความรู้ทางการเงินได้มากขนาดไหน - การลงทุน ถ้าไม่มีเวลาศึกษาไม่ต้องลงทุนก็ได้ ขอแค่ออมในทองคําหรือบิทคอยเอาไว้ก็พอ ถ้าใครรู้สึกสิ้นหวัง ลําบาก อย่าเพิ่งท้อ มันแก้ไขได้ สรุป 1 สู้ต่อ หาเงินให้มากขึ้น ประหยัด 2 ต้องรู้ทันเงินเฟ้อ และจัดการให้ถูกวิธี 3 ออมในสินทรัพย์ไม่เสือมค่า อย่างบิทคอย หรือ ทองคํา อย่างสมํ่าเสมอ ทําให้ได้สัก 5 ปี ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง จะจนยังไง ถ้าเข้าใจ เงินเฟ้อ ชีวิตคุณ รวยขึ้นได้ 100% #siamstr #btc #bitcoin #เงินเฟ้อ #ความจน #ชีวิตลำบาก
Sats and Sound's avatar
sats_and_sound 5 months ago
ของไม่จําเป็น ไม่ซื้อในทันทีทําแค่นี้ ประหยัดได้มหาศาล - sats and sound EP28 ตอนนี้พวกเราอยู่ในยุคการซื้อของออนไลน์ ที่ง่ายดายไปหมดไม่ว่าจะเป็น การหาของที่ต้องการ คลิปป้ายยาแปะพิกัด การจ่ายเงิน กดสั่งง่ายๆหน้าจอมือถือที่บ้าน อีก 2-3 วันของก็มาส่งแล้ว สะดวกสบายมาก เทียบกับ 10 ปีก่อน พฤติกรรมของผมเปลี่ยนไปเลย ตอนนี้ผมซื้อ ออนไลน์ 95% แล้ว ผมว่าคนไทยส่วนมากก็เปลี่ยนไปเช่นกัน พอซื้อง่าย จ่ายง่าย แถมมีเทรน ของมันต้องมี อยู่ตลอด ทําให้บางครั้งเราอาจจะไปซื้อสินค้าที่ไม่ได้จําเป็นต่อเราขนาดนั้น เบื้องหน้าการช้อปปิ้งบําบัดเพื่อความสุขแบบนี้ มันคือ การใช้ชีวิตแบบ High Time Preference ที่ตัวผมเองก็เป็น แต่ผมเลือกที่จะใช้ประโยชน์จากมัน โดยที่รู้เท่าทันตัวเอง สินค้าที่เราต้องซื้อผมจะแบ่งออกเป็น 4 แบบ ตามความจําเป็นและความเร่งด่วนของสินค้านั้นๆ 1 สินค้าจําเป็นและเร่งด่วน 2 สินค้าไม่จําเป็นแต่เร่งด่วน 3 สินค้าจําเป็นแต่ไม่เร่งด่วน *** 4 สินค้าไม่จําเป็นและไม่เร่งด่วน 1 สินค้าจําเป็นและเร่งด่วน สินค้ากลุ่มนี้คือสิ่งที่คุณต้องมีทันที และขาดไม่ได้ เพราะมีผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวัน สุขภาพ ความปลอดภัย หรือการดำเนินธุรกิจที่สำคัญ - ป่วยต้องไปซื้อยามากิน - ฝักบัวที่บ้านเสีย ต้องซื้อใหม่เลย - มือถือ ถ้าเสีย หรือ ทําหาย สมัยก่อนผมใช้ ไอโฟน 5s ซึ่งพังคามือเลย ข้อมูลหายหมด ทําให้ผมต้องไปยืมมือถือสํารองเพื่อนใช้ระหว่าง รอเครื่องใหม่ ใช้ชีวิตลําบากมาก แต่ตอนนั้น ยังไม่ได้ใช้แอฟธนาคารจ่ายเงิน ถ้าเป็นตอนนี้ ไม่มีมือถือไม่ได้เลย - คอมพิวเตอร์ที่ทํางาน หาเงิน เสียกระทันหัน ชีวิตวุ่นวาย - รถเสีย/อุบัติเหตุ ต้องซ่อมทันที เพราะไม่งั้นเราเดินทางไม่ได้ แนะนํา - พวกนี้ยังไงก็ต้องซื้อใช้เลย ถ้าไม่มีลำบาก จัดการเงินไว้ก่อนชีวิตจะไม่ได้สะดุด - ในกรณีที่สินค้านั้นราคาไม่แพงมากเช่น ไม่เกิน 1000 บาท ผมใช้เงินรายเดือนได้เลยเพราะผมได้กันเงินไว้เผื่อซื้อของพวกนี้ไว้อยู่แล้ว เคสจริงจากด้านบน ซื้อยา หรือฝักบัวในบ้านพัง ใช้เงินรายเดือนนี่แหละ สรุปรายเดือนเหลือเท่าไหร่ก็ค่อยเก็บออม - ถ้าสินค้านั้นราคาแพงมาก อาจจะสัก 2-3พันบาท หรือ แพงกว่านั้น ผมจะใช้เงินสํารองฉุกเฉินมาใช้ (ประมาณ 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน) โดยหลังจากนั้นก็ค่อยๆเก็บสะสมให้เท่าเดิม มือถือพัง คอมพัง และรถเสียใช้เงินสํารองฉุกเฉินที่เก็บไว้มาใช้ 2 สินค้าไม่จําเป็นแต่เร่งด่วน กลุ่มสินค้าที่ไม่ต้องมีก็ได้ แต่ตอนนั้นมีโอกาสที่ซื้อในราคาถูกมาก หรือเป็นสิ่งที่ทําให้เรามีความสุข - ตั๋วคอนเสิร์ต/ตั๋วเครื่องบินราคาโปรโมชันแบบ Flash Sale - ของขวัญให้คนสําคัญในวันพิเศษ หรือ hang out กับเพื่อนๆ - งานภาษีสังคมต่างๆ เช่น งานแต่ง งานศพ งานบวช แนะนํา - กลุ่มนี้ก็ใช้การบริหารเงินเหมือนกับกลุ่มแรกได้เลย ผมกันเงินไว้ส่วนหนึ่งรายเดือนเผื่อใช้อยู่แล้ว - เราสามารถลดหรือตัดได้ เช่น ไม่จําเป็นต้องไป hang out คอนเสิร์ตทุกครั้งที่เพื่อนชวน - งานภาษีสังคมต่างๆ ผมก็จะเลือกไปบางงาน งานไหนไม่ได้ไปก็ส่งเงินไปแทน เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ไม่ต้องลางานด้วย กลุ่มสินค้าที่ต้องใช้ด่วน หลักคิดสําคัญคือการบริหารเงินและดูความจําเป็น ชีวิตจะได้ไม่สะดุด 3 สินค้าจําเป็นแต่ไม่เร่งด่วน เป็นกลุ่มที่เราต้องใช้ความสําคัญมากที่สุด มันคือของจำเป็นแต่ไม่ต้องใช้ตอนนี้เดี๋ยวนี้ กลุ่มนี้แหละที่ผมจะใช้ทริคไม่ซื้อเลยในทันที จะมีการวางแผน คิดนานขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่า เราต้องซื้อสินค้านี้จริงๆ เป็นกลุ่มที่ผมโฟกัสที่สุด เพราะเป็นของส่วนใหญ่ในชีวิตที่ผมซื้อ ถ้าเราจัดการกลุ่มนี้ดี แล้วเราจะประหยัดได้มหาศาล - เสื้อผ้า - ของใช้ทั่วไป เช่น สบู่ ยาสีฟัน สกินแคร์ ทิชชู่ - ของใช้ในบ้านที่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้เรา ซึ่งความจําเป็นต้องขึ้นอยู่กับบุคคลอีกทีครับ เช่น โครงเตียงเหล็ก เครื่องเติมอากาศ - มือถือส่วนตัวที่ใกล้พัง แนะนํา - ผมจะ list ของใช้ที่จําเป็น แล้ว กดใส่ตระกร้าไว้ก่อน เพื่อจะได้ไม่ลืม แต่จะไม่กดซื้อทันที สิ่งที่ผมทําคือ คิดนานๆ หาข้อมูลเยอะๆ สัก 2-3 วัน แล้วกลับมาคิดอีกทีว่า สินค้านั้นยังจําเป็นมั้ย ทําให้คุณภาพชีวิตเราดีขึ้น สะดวกขึ้น หรือแค่อยากได้ - ถ้าเป็นเสื้อผ้า แน่นอนครับ ซื้อของลดราคา และเลือกทุกอย่างสีพื้นๆ ลายน้อยๆ เนื้อผ้าสมราคา เพื่อใส่ได้หลายๆงาน ด้วยหลักการนี้ทําให้ 5 ปีที่ผ่านมา ผมซื้อเสื้อผ้าทั้งหมดไม่ถึง 10 ตัว ถ้าใครซื้อออนไลน์ ถ้าชอบร้านไหนลองซื้อมาลองสัก 1 ตัวก่อน ถ้าโอเคค่อย list เป็นร้านที่ซื้อได้ - ถ้าเป็นของทั่วไป ราคาไม่เกิน 1,000 บาท เช่น สบู่ ยาสีฟัน ผมจะดูโปรโมชั่นแล้วซื้อครั้งละเยอะๆใช้ได้ 3-6 เดือน ถ้าเราซื้อตัวไหนบ่อยๆเราจะรู้ว่า ราคาสินค้ามันประมาณไหน ตัวไหนมีโปรโมชั่น 1 แถม 1 ก็ค่อยกดตอนโปร ต้องรู้และรอเป็น - ถ้าเป็นสินค้าราคาสูง เช่นหลายพันบาท ผมจะหาข้อมูล ใช้เวลาพิจารณาหลายๆวันว่าสิ่งนี้มันจำเป็นจริงๆมั้ย เอาความอยากได้กับเหตุผลสู้กันก่อน แนะนําเขียนข้อดีข้อเสีย ออกมาเลย ว่าเราจําเป็นต้องใช้ไหม -- ตัวอย่างเคสจริง เตียงโครงเหล็ก ผมเพิ่งย้ายที่อยู่มาใหม่ ห้องไม่มีอะไรเลย ที่นอนเราซื้ออยู่แล้ว แต่โครงเตียงอ่ะ ผมชั่งใจอยู่นานมาก ตอนแรกอยากได้มากๆ กดใส่ตระกร้าไว้ก่อน แล้วหาข้อมูลหลายๆร้าน หาข้อมูลไปเรื่อยๆอยู่ 3 วัน จนรู้ว่ามันมี 2 เกรด เกรดแรกราคา ประมาณ 1200 แต่มันก็อาจจะโยกแยก อ่านรีวิวแล้วต้องวัดดวงว่าของที่ได้จะพังมั้ย เกรดที่สอง ดีขึ้นมาหน่อย คงทน ไม่โยกเยก ราคา 3000 ผมอยากได้อันนี้ แต่ด้วยราคามันสูงผมเลือกที่จะรอ แล้วลองทดลองนอนบนฟูกติดพื้นดูก่อน ผมทดลองอยู่ 3 เดือนพบว่า การนอนแบบไม่มีโครงเตียงก็ไม่ได้แย่ การซื้อเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ในห้องเช่า ตอนย้ายก็ลำบากอีก สรุปเคสนี้คือ ผมไม่ซื้อโครงเตียงเหล็ก ประหยัดไป 3000 บาท -- เครื่องเติมอากาศ ห้องที่ผมอยู่มีฝุ่นเยอะมาก ขนาดทําความสะอาดและไม่ได้เปิดหน้าต่างประตูเยอะ ผมก็ไปหาข้อมูลจนเจอเครื่องเติมอากาศ หลักการของมันคือ ทําห้องเป็นแรงดันบวก ดันฝุ่นในห้องออก ป้องกันฝุ่นด้านนอกเข้ามา ถ้ามีเครื่องนี้เท่ากับว่า ฝุ่นในห้องจะลดลงมาก ผมทั้งอ่านรีวิว ศึกษา 4-5 วัน สนใจมาก ราคาเครื่องก็ 4000 บาท ทําให้ผมต้องไปศึกษา ดูรีวิวหนักกว่าเดิมว่า ซื้อมาแล้วคุ้มมั้ย ดูถึงขั้นเราจะติดตั้งตรงไหน เปิดใช้ตอนไหน ผมเขียนข้อดีข้อเสียออกมา ชั่งน้ำหนัก จนสรุปว่า ผมซื้อ เพราะมันทําให้ฝุ่นในห้องเราลดลงโดยภาพรวม ทําความสะอาดห้องน้อยลง คุณภาพชีวิตดีขึ้น -- มือถือใกล้พัง อันนี้ ต่างจากเคส มือถือไอโฟน 5sพังไปแล้วที่ต้องซื้อเลยนะครับ ตอนนี้ผมใช้ ไอโฟน 11 ที่ซื้อมาตั้ง ตุลาคม 2562 ตอนนี้ปี 2568 ผ่านมาเกือบ 6 ปี ไอโฟน 11 ผมยังใช้งานได้ดี ผมรักมาก ทนมาก แต่แบตเริ่มเสื่อม และ iOS ไม่รู้จะซับพอร์ตไปอีกกี่ปี ดังนั้นสิ่งที่ผมทําคือ การสะสมเงินไว้ก่อนเดือนละ 2000 บาท เพื่อรอซื้อไอโฟนใหม่ ตอนนี้มือถือคือชีวิตถูกมั้ยใช้ทําทุกอย่าง จากบทเรียน ไอโฟน 5s พังคามือ ข้อมูลในมือถือหายหมด ดังนั้น เราได้เตรียมทุกอย่างไว้แล้ว เงินพร้อม ประมาณ 35000 บาท ถ้า ไอโฟน 11 เริ่มส่งสัญญาณไม่ไหว ผมมีเวลาไปซื้อเครื่องใหม่ พร้อมกับ ย้ายข้อมูลมือถือได้ทัน ชีวิตก็ไม่สะดุดแล้ว ไอโฟนแพงขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่ซื้อตัวท็อปนะ ซื้อตัวธรรมดาพอครับ 4 สินค้าไม่จําเป็นและไม่เร่งด่วน กลุ่มนี้คือแสดงถึงความเป็น ของต้องมี ของโดนป้ายยา แสดงถึง High Time Preference เข้ากับ ระบบเงินเฟียตสุดๆ ตัดได้ตัด ที่เขาต้องการให้เราซื้อได้เร็ว ก็เพราะแบบนี้แหละ - ของตกแต่งบ้านที่ไม่จำเป็น - ของเล่น/เกมใหม่ล่าสุด - อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รุ่นใหม่ล่าสุด - เสื้อผ้าแฟชั่นที่ยังไม่ถึงฤดู - ของตามกระแสต่างๆ แนะนํา - ตัดได้ตัด - ก่อนซื้ออะไรคิดเยอะๆ นานๆ ว่าเราแค่อยากได้ หรือ มันจำเป็นจริงๆ - ตั้งเป้าหมายออมเงิน เช่นผมต้องออมในบิทคอย อย่างน้อยเดือนละ 1000 บาท ห้ามน้อยกว่านี้ เราก็จะคิดเยอะและประหยัดขึ้นมาอัตโนมัติ สรุป 1 ท้ายที่สุดการซื้อสินค้าทุกอย่างต้องดูที่ความจําเป็นเป็นหลัก 2 การบริหารการซื้อสินค้าที่จําเป็นแต่ไม่เร่งด่วน เป็นคีย์สําคัญในการบริหารการเงิน และจัดการชีวิตให้ราบรื่น 3 คิดเยอะๆและชะลอการจ่ายเงินซื้อสินค้าออกไป แค่ 2-3 วัน อาจจะทําให้คุณประหยัดเงินขึ้นมหาศาล 4 ผมทําแบบนี้มาสักพักแล้ว ข้อดีที่สุดคือ ของที่ซื้อมาทุกอย่าง ได้ใช้งานจริงๆและคุ้มค่าเงินที่จ่ายไป #siamstr #btc #ประหยัด #ประหยัดเงิน #bitcoin
Sats and Sound's avatar
sats_and_sound 5 months ago
ถือ BTC มานาน กําไรเยอะ แต่ทําไมไม่เห็นเปลี่ยนชีวิตสักที? - sats and sound EP27 อย่างที่เรารู้กันดีว่าบิทคอยนั่นคือ - สินทรัพย์ที่มาเปลี่ยนระบบการเงินโลก - ต่อต้านเงินเฟ้อ - ใช้แก้ปัญหาระบบการเงินเฟียตที่เงินเสื่อมค่า ใครทนถือจะจนลงไปเรื่อยๆ ถ้าไปดูอัตราผลตอบแทนต่อปี ตลอดเวลา 16 ปี บิทคอยก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม 50%ต่อปี ทุกอย่างดีหมด แต่จะมีคนบางกลุ่มที่ถือบิทคอยมาแต่รู้สึกว่าไม่เห็นมันจะเปลี่ยนชีวิตสักที ไม่รวยเหมือนที่หวัง วันนี้มี 4 สาเหตุมาบอก ถ้าแก้ไขถูกจุด มันอาจจะตอบคําถามเรื่องนี้ของคุณได้ 1 ไม่เข้าใจหลักการของบิทคอยที่แท้จริง ข้อนี้สำคัญที่สุดที่ทำให้คุณไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตได้จากบิทคอย คนส่วนใหญ่ที่ถือบิทคอยมานานแล้วยังไม่มั่นคง เกิดจากมายเซ็ตและไม่รู้จักบิทคอยครับ อาจจะเข้ามาถือเพราะเห็นกําไรดี หรือ FOMO ถือแล้วไม่ศึกษา แต่ถ้ามาถือแต่ยังติดระบบความคิดแบบ เงินเฟียตจะไปต่อไม่ได้เลย เช่น คิดว่าบิทคอยคือสินทรัพย์ทําไร ต้องคอยดูกราฟ ซื้อตํ่า ขายสูง หรือการเทรด leverageที่มีความเสี่ยงสูง ถึงจะมีบิทคอยแต่ยังมีความคิดแบบ high time preference โดยขาดระบบจัดการที่ดี มีบิทคอยเท่าไหร่ ชีวิตก็ไม่เปลี่ยน แนะนํา - ศึกษาบิทคอยเพิ่มขึ้น ดูคลิปช่องผม หรือ คลิป right shift ก็ได้ - ถ้าเข้าใจระดับหนึ่ง คุณจะกําจัดมายเซ็ตแบบเฟียตไปได้เองอัตโนมัติ - ไม่ต้องรู้ละเอียดทุกเรื่อง ขอแค่ รู้ว่าเราจะแก้ปัญหาให้ตัวเองได้ยังไงบ้าง แค่นี้พอ 2 ไม่แยกพอร์ตเก็บออมออกจากพอร์ตลงทุน และไม่ติดตามบันทึกการลงทุน บางคนยังไม่ได้แยกพอร์ตเก็บออมและพอร์ตลงทุน ร่วมกับการจัดพอร์ตอย่างไม่มีระบบและวินัยก้อนนี้ออมซื้อ spot ก้อนนี้สัญญาณมาแบ่งเล่น future ตอนนี้สัญญาณให้ขาย กดขาย โยกไป spot ตอนนี้ราคาถูก buy the dip กดซื้อ ทําทุกอย่างตามใจ มั่วกันในพอร์ตเดียว ซื้อๆขายๆ ไม่รู้กำไรขาดทุนเท่าไหร่ แต่ที่เสียแน่ๆคือค่า fee ต่างๆ ยิ่งไม่มีระบบจัดการที่ชัดเจน เทรดเข้าออกมั่วๆ จะยิ่งติดตามผลของพอร์ตยาก ขออนุญาตเอาคําพูดจากคลิปพี่ปลาส้มแมนมานะครับ การเทรด มีทั้งคนได้และคนเสีย ซึ่งกว่า 90% คือเสีย แต่การเก็บออมไว้เฉยๆ ถ้านานพอเราได้กําไร 100% เลยนะ แนะนําคือ - ให้แยกพอร์ตออม และ พอร์ตเทรดแยกจากกัน - พอร์ตออมก็เก็บเรื่อยๆอย่างมีระบบ แล้วไว้ใน HW ที่ปลอดภัย - พอร์ตเทรด แล้วแต่จะจัดการเลย แต่แนะนําให้เสี่ยงเฉพาะกับเงินที่เราเสียได้ทั้งหมด ออม 90% ลงทุน 10% กําลังดี - บันทึกการลงทุน ติดตามผล จากการทําข้อนี้ ตัวผมจึงเลิกเทรดเลยครับ ออมอย่างเดียว 3 จํานวน BTC ที่ถือน้อยไป ข้อนี้ตรงไปตรงมา แต่สําคัญที่สุดครับ การเริ่มต้นออมในบิทคอยเป็นสิ่งที่ถูกต้อง คุณเดินมาถูกทางแล้ว แต่ต้องยอมรับก่อนว่า ถ้าหากต้นทุนเราน้อย อิมแพคก็น้อยเหมือนกัน ยกตัวอย่าง ทุนบิทคอยทั้งปี รวมกัน 1,200 บาท บิทคอยขึ้นไปเท่านึง มูลค่าพอร์ตของคุณจะเพิ่มเป็น 2,400 บาท ถึงพอร์ตจะบวก 100% แต่ในเมื่อจํานวนไม่มากพอ ก็จะอิมแพคไม่มากพอ ถ้าเปลี่ยนจาก 1,200 เป็น 1,200,000 ดู คุณจะเริ่มเห็นอิมแพค แนะนํา - เป้าหมายเริ่มต้นควรมี BTC อย่างน้อย 0.01 BTC ครับ มันก็ไม่ได้ทำให้มั่งคั่งในวันนี้ แต่มันจะทําให้เราเริ่มต้นศึกษาบิทคอย - ยิ่งเข้าใจจะยิ่งรู้ว่า บิทคอยมีเท่าไหร่ก็ไม่พอ ดังนั้น หาเงินเพิ่ม เพื่อซื้อบิทคอยให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้ - ถ้าอยากเปลี่ยนชีวิตเร็ว ก็ต้องเริ่มวางแผนและทําตั้งแต่วันนี้ - เงินจะเฟ้อขึ้นไปเรื่อยๆ คนมาช้าซื้อแพงกว่าเสมอ 4 ถือ BTC ไม่นานพอ ข้อนี้ก็สำคัญเพราะว่า ถ้าเรามาถูกทาง เราออมบิทคอยแล้ว แต่ถ้าเราถือได้ไม่นานพอ มันก็จะไม่ได้สร้างอิมแพคเปลี่ยนชีวิตเราเหมือนกันครับ เหตุผลของคนที่ถือไม่นานพอมีหลายอย่างเช่น ต้องใช้เงินฉุกเฉินเลยต้องขายบิทคอยออกมา หรืออาจจะโลภ ขายทํากําไร หรือใจร้อนอยากเทรด อยากได้กําไรเร็วๆจาก future ทุกเหตุผลที่กล่าวมาแก้ได้จากการจัดการเงินและมายเซ็ตที่ถูกต้องครับ มันจะทําให้คุณถือได้ยาวนานมากขึ้น แนะนํา - ทําบัญชีรายรับ รายจ่าย ต้องรู้ว่าแต่ละเดือน เราจ่ายเงินเท่าไหร่ - ต้องมีเงินสํารองฉุกเฉินในบัญชีที่ใช้ได้ทันที 3-12 เท่าของรายจ่ายรายเดือน ค่อยๆเก็บไป โดยถ้าหากเรามีเงินก้อนนี้ ถ้าหากเกิดเหตุฉุกเฉินเราจะได้ไม่ต้องขายบิทคอยมาใช้ - ถ้าทํา 2 ข้อบนได้ เราก็จะเก็บบิทคอยได้นานเท่าที่ทําได้ ลองถือไปสัก 1 cycle halving คุณจะเริ่มเข้าใจว่าทําไมต้องถือให้นานพอ - เก็บบิทคอยด้วยตัวเอง ใน HW ที่ปลอดภัย เก็บ seed เป็นความลับ - การฝากไว้ใน Exchange มีความเสี่ยงเรื่องบิทคอยจะสูญหายได้ ดังนั้นเก็บเอง self custody ดีที่สุด สรุป 1 เข้าใจและศึกษาบิทคอย 2 ออมบิทคอยสม่ำเสมอและจัดการและติดตามพอร์ตอย่างมีระบบ 3 Stack Sats มากขึ้น ยิ่งมีมากยิ่งเปลี่ยนชีวิตได้มาก เรื่องนี้จะแสดงให้เห็นว่า มายเซ็ตที่ถูกต้องสําคัญที่สุด ค่อยๆเดินไปในทางที่ถูกต้อง ผมเชื่อว่าบิทคอยจะสร้างความมั่นคงให้กับคุณในหลายๆมิติในระยะยาว #siamstr #btc #bitcoin #satsandsound
Sats and Sound's avatar
sats_and_sound 5 months ago
รับมือ Unproductive Day ทําสิ่งดีให้ตัวเอง 1 อย่างอาจเปลี่ยนวันแย่ให้ดีขึ้นได้ - sats and sound EP26 เคยรู้สึกมั้ยว่ามันจะมีบางวันที่เราปล่อยเวลาให้เสียไปเปล่าๆโดยที่ไม่ได้ทําอะไรเลย บางคนวันหยุดนอนทั้งวัน บางคนดูหนัง เล่นเกมทั้งคืน นอนเช้า ตื่นอีกที่ เย็นของอีกวันแล้ว บางครั้งก็หายเหนื่อย แต่บางครั้งก็อาจจะทำให้เรารู้สึกผิดที่ปล่อยเวลาให้เสียไปทั้งวันโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลยเป็นวันที่ไม่ค่อย Productive ตัวผมเองเคยไปขายของที่ตลาดนัด เคยไปเปิดตั้งแต่เที่ยงจนถึง สี่ทุ่ม เชื่อมั้ยผมขายของได้แค่ 3 คน แน่นอนว่าวันนั้น ผิดหวัง ขาดทุน ค่าเช่า ค่าของ ไหนค่ากินเราอีก เป็นวันที่ถือว่าเสียเวลาไปเปล่าๆก็ว่าได้ บางคนอาจจะเซ็งกลับมานอน พรุ่งนี้ค่อยเอาใหม่ ผมคิดต่างนิดหน่อยครับ - พรุ่งนี้กลับมาสู้ใหม่ มันต้องทําอยู่แล้ว - แต่เวลาที่เหลือในวันนี้ซึ่งเป็นวันที่เหมือนจะไร้ค่า Unproductive ไปแล้ว ผมจะทําให้มันเป็นวันที่ดีขึ้น โดยเราต้องทําสิ่งดีๆ ทําประโยชน์ให้ตัวเราสัก 1 อย่างในวันนี้ สิ่งดีๆหนึ่งอย่างที่ผมเลือกทําในวันที่ไม่ Productiveแบบนี้คือ ออกกำลังกาย (หาเวลาออกให้ได้ อย่ามีข้ออ้าง) เป็นการสร้างวินัย สุขภาพแข็งแรง อารมณ์แจ่มใส ฝืนตัวเองแค่ช่วงแรกหลังจากนั้นมันจะง่ายมาก ทําได้ทุกวัน เอาเป็นว่าถ้าวันไหนเราได้ออกกำลังกาย ก็ถือว่าเป็นวันที่ไม่เสียเปล่าแล้ว - ผมมีเป้าหมายการคาร์ดิโอ สัปดาห์ละ อย่างน้อย 150 นาที - ผมคาร์ดิโอติดต่อกันอย่างน้อย 30 นาทีเป็นอย่างน้อย - เรากลับบ้านมาดึก ซื้ออุปกรณ์ออกำลังกาย คาร์ดิโอ เล็กๆไม่แพง และลูกกลิ้ง มาใช้ออกที่ห้องเลย สะดวกไม่ต้องเสียเวลาไปยิม หรือถ้าไม่มีอุปกรณ์ ออกกำลังกาย ตามยูทูปก็ได้นะครับ - การคาร์ดิโอเป็นประจํา ร่างกายจะหลั่ง สารแห่งความสุข ที่ทําให้เรารู้สึกผ่อนคลาย ลดความเครียดลง เห็นมั้ยครับ ถึงแม้วันนี้จะ BAD Day ขายของไม่ได้ อย่างน้อยผมก็ได้ทำประโยชน์ให้ตัวเองแล้ว 1 อย่าง สร้างวินัย ร่างกายแข็งแรงด้วย พอทําไปสัก 3 เดือนเราจะเริ่มชินและร่างกายจะเริ่มแข็งแรงขึ้น อารมณ์แจ่มใสขึ้น ทั้งๆที่ขายของก็เรื่อยๆ ไม่ได้ดีมาก แต่ผมมีความสุขมากขึ้นเพราะตั้งเป้าออกกําลังกายไว้แล้วทำได้สำเร็จ สิ่งดีๆที่เราทำให้ชีวิตหนึ่งอย่างนั้นเป็นอย่างอื่นก็ได้เช่น - หาความรู้เรื่องการพัฒนาตัวเอง พัฒนาชีวิต การเงิน การลงทุน แนะนําฟัง Podcast ผมเองชอบฟังเวลาออกกำลังกาย เท่ากับว่าเราได้ทําสิ่งมีประโยชน์สองอย่างพร้อมๆกัน ฟังไประดับหนึ่ง เราจะค่อยซึมซับและเก่งขึ้นเอง - คิดกลยุทธ์การหาเงิน ทํางาน หรือ ขายของให้ดีขึ้น - ทํารายรับรายจ่าย ประจำเดือน วางแผนการเงิน ติดตามผลการออม การลงทุน - วางแผนชีวิตในเรื่องต่างๆ เช่นแผนระยะยาว หรือ แผนระยะสั้น หรือแม้แต่เรื่องทั่วไป จัดลำดับความสำคัญเช่น พรุ่งนี้ต้องไปทำธุรที่ห้าง มีอะไรที่เราจะทําได้บ้างเพื่อไม่ให้เสียเที่ยว หรือ ต้องเดินทางกลับบ้าน ต้องเตรียมอะไรไปบ้าง - จัดตารางสิ่งที่ต้องทําในวีคนี้ หรือเดือนนี้ - อ่านหนังสือ นั่งสมาธิ - ใช้เวลากับคนที่เรารัก ครอบครัว แฟน ลูก วัน Unproductive ที่ทําให้เราเครียด มีพลังงานลบ เราอาจจะรู้สึกเสียเวลาเปล่า ดังนั้นการทําสิ่งมีประโยชน์ อย่างน้อย 1 อย่าง มันเหมือนจิตวิทยาที่เราใช้เพื่อบอกตัวเองเหมือนกันนะครับว่า ถึงวันนี้จะผิดหวัง แต่ฉันก็เลือกทําสิ่งดีๆให้ตัวเองไว้แล้วเหมือนกันนะ ดังนั้น วันนี้ก็ไม่ได้เสียเวลาไปเปล่าๆเลย สิ่งดีๆที่ผมยกตัวอย่างมา เราสามารถทําได้ประจํา - การออกกําลังกาย พัฒนาตัวเอง สร้างวินัย สุขภาพดีขึ้น - การวางแผนสิ่งต่างๆในชีวิตก็จะทําให้ชีวิตเราง่ายขึ้น ไม่เครียด ลดพลังงานลบในแต่ละวัน - การใช้เวลากับคนที่เรารักก็เป็นการสร้างพลังงานบวกแก่กันก็เป็นสิ่งดี เราไม่รู้อนาคตว่าวันไหนจะเป็นวัน Unproductive Day และห้ามมันไม่ได้ แต่เราสามารถเพิ่ม Productivity เปลี่ยนให้กลายเป็นวันที่ไม่เสียเปล่าได้ เรื่องแย่ๆในชีวิต วันที่เสียเวลาไปเปล่าๆ พวกนี้ เราไม่รู้และควบคุมมันไม่ได้ ดังนั้นสิ่งสําคัญในคลิปนี้ก็คือ เราจะต้องจัดการวัน Unproductive ในชีวิต เพิ่มการทําสิ่งดี เพิ่มพลังงานบวกให้ตัวเอง เพื่อให้พัฒนาเป็นคนที่ดีขึ้น ทั้งมายเซ็ต สุขภาพกาย และสุขภาพจิต ทําไปสักพักมันก็ไม่เครียด และไม่ยากเลยครับ ลองดู #siamstr #ออกกำลังกาย #พัฒนาตัวเอง
Sats and Sound's avatar
sats_and_sound 5 months ago
ทํางาน Part Time 1 ปี กับคน Toxic ที่ไม่ชอบเรา เรียนรู้อะไรมาบ้าง แชร์ให้ฟัง - sats and sound EP25 การทำงานกับคนอื่นๆ ร้อยพ่อพันแม่ มีทั้งคนที่ดีกับเราและคนที่ toxic กับเรา เลี่ยงไม่ได้ บางคนแบกรับความรู้สึกไม่ไหว ไม่อยากไปทำงานแล้ว แต่เงินก็ต้องหา ออกก็ไม่ได้ ทำให้มาจบด้วยการทนๆๆต่อไป ยิ่งใครไปดูคลิปที่เขาแนะนำวิธีแก้ไข ก็จะบอกว่า การลาออกเพราะที่ทำงาน toxic นั้น เป็นการแก้ที่ปลายเหตุ ไปที่ใหม่ก็เจอคน toxic อยู่ดี ไม่ควรลาออกเพราะเหตุผลนี้ ดังนั้นต้องแก้ที่ตัวเราเอง ปรับตัว และอดทน ซึ่งสิ่งนี้เราจะต้องมาดูละเอียดเลยว่า สังคมการทำงานที่โคตร toxic มันเกิดจากอะไร และเราต้องไม่หลอกตัวเองว่า ความ toxic ไม่ได้เกิดจากตัวเราเอง มีแค่เราหรือเปล่าที่ไม่แฮปปี้ หรือ คนอื่นๆก็เจอเหตุการณ์เดียวกัน ผมมีประสบการณ์ส่วนตัวมาแชร์ ฟังกันสนุกๆนะครับ ผมก็เป็นคนทํางานที่ต้องการหารายได้เสริม ก็เลยไปสมัครงาน part time ร้านค้าแห่งหนึ่งที่เปิดรับสมัคร เป็นร้านขายของชําที่ใหญ่ มีพนักงานกะละหลายคน มีระบบคอมพิวเตอร์จัดการสินค้า และลูกค้า งานมีหน้าที่และระบบพอสมควร อาทิตย์แรกที่เข้าไปทํางาน ผมก็เรียนรู้ทุกอย่าง มีเก้ๆกังๆ งงๆ ตามภาษาคนไม่เคยทํา ผมก็ทําด้วยความไม่ค่อยมั่นใจ มีอะไรสงสัยผมก็จะถามเพื่อนร่วมงาน ว่าต้องทํายังไง ระบบคอมต้องคีย์ข้อมูลยังไง (ระบบคอมต้องเรียนรู้เยอะเลย) เขาก็คาดหวังให้เรามาช่วยงานได้เหมือนพนักงานประจําคนนึงเลย เพราะหน้างานจริงยุ่งมาก ลูกค้าหน้าร้านก็เยอะ สินค้าสต๊อกที่ต้องจัดการก็เยอะ ผมเรียนรู้งานเต็มที่กะว่าจะไม่ทําตัวเป็นภาระกับพนักงานคนอื่นเกินไป แต่ด้วยความใหม่ บางครั้งเราก็ยังเป็นภาระ เรายังจัดการปัญหา หรือ รับมือลูกค้าไม่ได้ ก็ต้องให้เขาช่วยอยู่ดี พอทําไปสัก 1 เดือน ผมก็เริ่มรู้สึกว่า มีพนักงานคนหนึ่งดูไม่ค่อยชอบเราเท่าไหร่ พี่คนนี้เป็นพนักงานที่ทํามาเกิน 10 ปี เป็นรองผู้จัดการร้าน เขาเก่ง ขยัน ทําได้ทุกอย่างไม่ต่างจากผู้จัดการร้านเลย พี่เขาไม่คุยกับผมเลยครับ ผมก็จะพยายามสวัสดีทุกครั้งที่เจอ และ พยายามถามเรื่องงาน แต่เขาก็เหมือนไม่ได้อยากคุยกับเราจนเรารู้สึกได้ ไม่สอนงานเลยด้วย เขาจะคุยกับเฉพาะคนที่เขาสนิท แถมคุยเล่นเรื่องอื่นในเวลางานบ้าง ตามภาษาเพื่อน เขาไม่ชอบเรา ไม่คุยกับเรา ผมก็โอเคนะ เราไปบังคับเขาไม่ได้ แต่ปัญหาจะเกิดตอนต้องประสานงานครับ ผมต้องตามงานในสิ่งที่พี่เขาทําค้างไว้ หรือ พี่เขารับเรื่องลูกค้าไว้ คนอื่นไม่รู้เรื่อง ทุกอย่างมันจะยุ่งยาก และ นานไปอีก 10 เท่า ถ้าเทียบกับการประสานงาน หรือ ทำงานกับพนักงานคนอื่นๆ รวมถึงผู้จัดการด้วย พอทำงานกะเดียวกัน มันก็เลี่ยงที่จะไม่เจอไม่ได้ถูกมั้ย แล้วเวลาที่ผมเครียดที่สุดอยู่กับพี่เขาแล้วเกิดปัญหา หรือ ติดเคสปัญหาลูกค้าบางอย่าง ผมพยายามเข้าหา เข้าไปคุย ให้เขาช่วยสอนวิธีแก้ปัญหาหรือสอนงาน แต่ทุกครั้ง ก็จะแสดงสีหน้าแบบไม่พอใจ พูดห้วนๆเซ็งๆ ความเครียดยิ่งหนักไปอีก เวลาลูกค้ามีปัญหา แล้วต้องให้เขาต้องช่วย สีหน้าจะออกเลยว่าเขาไม่พอใจมาก ในร้านกะนึงประมาณ 4-5 คนถ้าเกิดปัญหาผมเลี่ยงพี่เขา ไปถามพนักงานคนอื่นที่อยู่ด้วยกัน ทุกคนก็ช่วยเป็นอย่างดี และสอนอย่างดีเลยครับ ผมจดทุกอย่าง เพื่อที่จะทําให้เป็น จะได้ลดภาระงานในร้าน ซึ่งเป็นหน้าที่ผม (ผมเป็นพาร์ททามที่ต้องทําหน้าที่ได้ทุกตําแหน่งในร้าน เพราะถ้าใครขาดหรือลา เราต้องไปเติมส่วนนั้นได้) เวลาตารางงานออก ต้องอยู่กะเดียวกับพี่คนนี้มั้ย วันไหนเขาไม่มา ผมก็ทํางานได้อย่างสบายใจมาก ไม่เครียดเลย พอเจอแบบนี้ในที่ทํางานเราก็จะรู้สึก Toxic หลายคนๆอาจจะคิดว่า ไม่เห็นต้องทนอยู่ ลาออกไปเลย เราเป็นแค่พาททามเอง ผมคิดว่าที่พี่เขาไม่ชอบเรา เพราะเราไปเป็นภาระให้พี่เขา แต่ด้วยอยากได้เงิน ประสบการณ์ และงานก็ไม่แย่ แค่คนที่ไม่ชอบเราคนเดียวไม่เห็นต้องออกเลย คนในร้านที่เหลือน่ารักทุกคน ผมก็เลยทํางานนี้ต่อครับ จนผ่านไป 3 เดือน ผมกลายเป็นพาททามที่มีตารางงานเยอะที่สุด ใครป่วย ใครลาฉุกเฉิน ผมก็ไปให้ และในตอนนี้ผมทํางานได้คล่องตัวแล้ว ความรับผิดชอบหน้างานประมาณ 70% ผมทําได้แล้ว งานมันโฟลว์มาก งานแทบจะไม่มีปัญหาเลย ผมก็ยังพยายามคุยกับพี่เขานะ แต่สรุปพี่เขาก็ยังไม่คุยกับผมเหมือนเดิม เป็นบรรยากาศในที่ทำงานที่อึมครึมเหมือนดิม แต่กับคนอื่นผมก็แฮปปี้ คุยดี เฮฮา ปกตินะ ผมก็ได้มาทบทวนอีกครั้งว่า ที่พี่เขา Toxic กับเรา เพราะตัวเราเองหรือเปล่า มีวิเคราะห์ออกมาเป็นข้อๆแบบไม่หลอกตัวเองนะ - ถ้าเรา toxic คนอื่นในร้านก็ต้องไม่ชอบเราด้วยสิ แต่นีไม่ใช่นะ ผมไม่ได้มีปัญหากับคนอื่นเลย ทำงาน คุยกันได้ปกติดี - จะว่าเป็นเรื่องงาน ผมก็ดีขึ้นกว่าตอนแรกมากนะ งานกว่า 70% ในร้านผมทําได้หมดแล้ว ทํางานชิลขึ้น - ถ้ามีคนป่วยผมจะเป็นพาททามคนแรกที่ถูกเรียก คนในร้านและผู้จัดการไว้ใจให้ทํางานมากกว่า พาททามคนอื่นๆ - พี่รองผู้จัดการมีปัญหากับคนอื่นๆในร้านทํานองเดียวกัน จากที่วิเคราะห์มา ผมคิดว่า พี่เขาคงไม่ชอบเราจริงๆ ด้วยเหตุผลอื่นๆละ ซึ่งคนในร้านคนอื่นผมสนิทและทํางานได้ราบรื่นขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นผมก็ปล่อยพี่เขาไปครับ ต่างคนต่างทํางาน ผมคุยกับแกแค่สวัสดีตอนมาและสวัสดีตอนกลับบ้านเท่านั้น พลังงานลบที่เขาส่งมาก็ยังถึงผมอยู่ดีนะ แต่ผมจะไม่ลาออกเพราะสาเหตุแค่มีคนไม่ชอบเราอ่ะ คนอื่นดีๆทั้งนั้น จากนั้น 1 ปีผ่านไป ผมก็ยังทํางานในร้านนี้เป็น พาททามต่อไป ผมปรับตัวได้และเริ่มชินกับการทํงานแล้ว ตอนนี้ผมทํางานได้เหมือนกับ full time ทุกอย่างเลยครับ และ ความสัมพันธ์กับพนักงานคนอื่นๆก็สนิทกันมากขึ้น ทํางานได้อย่างสบายใจ งานก็ราบรื่นผ่านไปได้ด้วยดี บางครั้งก็มีพนักงานลาออก และเข้าใหม่มาเรื่อยๆ ซึ่งผมก็มีหน้าที่ในการสอนงานง่ายๆที่เรารู้ให้พนักงานใหม่ กับ พาททามเข้าใหม่ไปด้วยครับ แล้วตัดไปที่พี่คนนั้น เขาเงียบลงกว่าเดิม ยิ่ง toxic มากขึ้น อารมณ์ฉุนเฉียว เขาไม่ค่อยคุยหรือสอนงานพนักงานใหม่คนไหนเลยเหมือนที่ผมเจอตอนแรก กลายเป็นว่าตอนนี้ พี่เขากลายเป็นคนที่อึดอัดเอง เพราะเวลาเข้ากะไม่มีใครกล้าคุยกับแกเลย แล้วพอวันที่พี่เขาหยุด หรือลา ในร้านคือ งานก็เยอะแต่จะมีความ เฮฮา สนุกสนาน ผ่อนคลาย มากกว่านี้ เหตุการณ์มันจบตรง พี่เขาลาออกไปเอง ครับ แน่นอนว่าการลาออกของเขา ไม่มีการเลี้ยงส่ง ไม่มีของขวัญใดๆจากคนในร้าน มีแค่คําพูดลากันแบบมารยาท เท่านั้น สรุป - การเข้าไปทํางานใหม่ ต้องตั้งใจ เรียนรู้และรับผิดชอบหน้าที่เราให้ดีที่สุด อย่าไปทําตัวเป็นภาระให้คนอื่นนานนัก - ถ้าเขาไม่ชอบเรา เพราะเราทํางานไม่ดี ต้องเปลี่ยน แต่ถ้าไม่ชอบแล้ว toxic ด้วยสาเหตุอื่นปล่อยเขาไป เราปรับปรุงตัวเองได้ แต่เปลี่ยนใจคนอื่นไม่ได้ ผมไม่ได้จะทําดีเพื่อชนะใจพี่เขาให้ได้ เหมือนในละคร ผมแค่เทสว่า ให้แน่ใจว่า เราไม่ได้สร้างปัญหาเรื่องงาน หรือ นิสัยส่วนตัวจนคนรอบตัวไม่ชอบ ฟิลปรับปรุงตัวเองอ่ะ - สังคมที่ทํางานที่บอกว่า Toxic เราต้องแน่ใจและไม่หลอกตัวเองว่า ไม่ได้เกิดจากตัวเรา วิธีการทดสอบง่ายๆ ถ้าเรา มีปัญหากับคนรอบตัวมากกว่า 3 คนพร้อมกัน ต้องพิจารณาตัวเองแล้วว่าเราหรือเปล่าที่ toxic เหมือนเคสผม ใช้เวลา 1 ปี ในการทดสอบว่าผมไม่ได้เป็นคน Toxic ซะเอง - ทํางานกับคนที่ปล่อยพลังงานลบ หรือ สถานการณ์ที่อึดอัด ไม่คุยกันไม่เป็นไร แต่ไม่คุยกันเรื่องงาน การประสานงานที่ยาก มันทําให้ทุกอย่างยากขึ้นอีก เกิดผลเสียมากมาย - คน Toxic สุดท้าย เขาก็จะอยู่ไม่ได้เอง เค้าไม่ชอบเรา ทำไม่ดีกับเรา เราไม่ต้องทําตอบ ไม่ต้องไปเกลียดเขาให้เปลืองพลังงานด้วย เพราะ พลังงานลบที่ให้คนอื่นทุกวัน มันสะท้อนกลับไปที่ตัวเอง #siamstr #คนtoxic #toxic
Sats and Sound's avatar
sats_and_sound 5 months ago
ความจริงของเงินเฟียต และ ระบบการเงินโลกที่กลุ่มนายทุน "ไม่อยากให้พวกเรารู้" - sats and sound EP24 เฮนรี่ ฟอร์ด เคยกล่าวไว้ว่า "เป็นเรื่องดีที่ประชาชนในประเทศไม่เข้าใจระบบการธนาคารและการเงินของเรา เพราะถ้าพวกเขาเข้าใจ ฉันเชื่อว่าจะเกิดการปฏิวัติก่อนเช้าวันพรุ่งนี้" ประเด็นหลักของคำพูดนี้ คือ - ระบบการเงินที่ไม่โปร่งใส ตั้งใจทำให้มันซับซ้อนให้ประชาชนไม่เข้าใจ - เพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เต็มๆ จากประชาชนทุกคนในระบบ - แลกด้วยผลตอบแทนอันน้อยนิด ที่พวกเขาล้างสมองเราว่ามันสมควรแล้ว สิ่งนี้คือความจริงของเงินเฟียตและระบบการเงินโลก ที่พวกกลุ่มนายทุนไม่อยากให้พวกเรารู้ เคยตั้งคำถามมั้ย? - ทําไมข้าวของแพงขึ้นตลอดเวลา - ทําไมยิ่งทํางาน ขยัน อดออมแต่ก็เงินไม่พอใช้ หรือคุณภาพชีวิตก็ไม่ได้ดี - หมดหวังกับชีวิต รู้สึกไม่มั่นคงในอนาคต - การสร้างครอบครัว ต้องใช้เงินมหาศาล ต่างจากรุ่นพ่อแม่ปู่ย่า ที่มีลูกหลายๆคนได้ - ทําไมตัวเราแก้ไขอะไรไม่ได้เลย สาเหตุหลักมาจากเงินเฟ้อ - การสร้างเงินจากอากาศ เพิ่มปริมาณเงินเข้ามาในระบบ ทําให้คนทั่วโลกจนลงทันที - เหล่าคนรวยที่อยู่ใกล้แหล่งพิมเงิน เขาไม่ได้จนลงเหมือนพวกเรา เขาเข้าถึงเงินใหม่ได้ก่อน และนำไปใช้จ่าย ลงทุน สร้างทรัพย์สินก่อนที่ทุกอย่างจะแพงขึ้น คนรวยยิ่งรวยคนจนยิ่งจน สิ่งไม่แฟร์ทางการเงินเหล่านี้ ที่ยังเกิดขึ้นอยู่ตลอดเพราะประชาชนแบบเราถูกล้างสมองให้เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มันถูกต้องแล้ว -- เงินเฟ้อตํ่าๆเป็นสิ่งดีกระตุ้นการใช้จ่าย -- การพิมเงิน อัดฉีดเงินเข้าระบบเป็นสิ่งที่ต้องทำเพราะ รัฐต้องกู้เงินมาเพื่อช่วยเหลือประชาชนและพยุงเศรษฐกิจเอาไว้ -- เงินต้องเฟ้อขึ้นเป็นเรื่องปกติ และขึ้นแค่ปีละ 2-3% มาตลอด -- CPI ที่ประกาศออกมาก็ชี้ชัดว่า ข้าวของต่างๆไม่ได้แพงมาก แต่ขึ้นตามเงินเฟ้อที่ประกาศออกมา -- ประชาชนทุกคนต้องหาเงินเพิ่ม ขยัน ประหยัด อดออม เพื่ออนาคต -- ทุกคนที่อยากรวย จะต้องลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เพื่อต้านเงินเฟ้อ เช่น หุ้น ผลตอบแทนเฉลี่ย 8%ทบต้น ชนะเงินเฟ้ออยู่ได้สบายๆแล้ว -- ใครรับความเสี่ยงสูงกว่านั้นก็ลงทุนใน ตราสารอนุพันธ์ -- คนที่คุณภาพชีวิตไม่ดี เกิดจากเราไม่เก่งเอง เราไม่ขยันพอ ทําให้หาเงินมาใช้ไม่พอจ่าย ไม่พอสร้างคุณภาพชีวิตดีๆ มีคนจงใจให้เราโทษแต่ตัวเอง และไม่ได้มองถึง "ปัญหาจากระบบ" ที่เกิดเงินเฟ้อ จนกระทบทุกคนในโลก จากคำพูดของ ฟอร์ด เรื่องเกี่ยวกับระบบธนาคารและการเงินโลกนั้น ยังใช้ได้จนถึงทุกวันนี้ ดูคุณภาพชีวิตโดยรวมของคุณทุกวันนี้ก็ได้ เงินที่มากขึ้นแต่ทําไมยังรู้สึกไม่มั่นคง และซื้อของได้น้อยลงตลอดเวลา ลองตอบคําถามดู คนพวกนี้จะให้ประชาชนโทษตัวเองที่จน ทั้งๆที่ประชาชนตัวเล็กๆโดนเอาเปรียบ โดนสูบเงินโดยไม่รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา แล้วเงินเฟ้อเกิดจากอะไร? คําตอบคือ เกิดจากธนาคารที่สร้างเงินจากอากาศได้ตลอดเวลา 1. ธนาคารกลางสหรัฐ FED ผู้ควบคุมเกมการเงินของคนทั้งโลก ธนาคารกลางคือผู้เล่นหลักที่สามารถสร้างเงินจากอากาศธาตุได้อย่างแท้จริง พวกเขาสร้างเงินผ่านกระบวนการที่เรียกว่า Quantitative Easing (QE) ด้วยการพิมพ์เงินดิจิทัลขึ้นมาแล้วนำไปซื้อสินทรัพย์ทางการเงินต่างๆ เช่น พันธบัตรรัฐบาลจากธนาคารพาณิชย์ การพิมพ์เงินใหม่นี้ส่งผลให้เกิด "เงินเฟ้อ" ซึ่งเป็นการลดทอนอำนาจซื้อของเงินในกระเป๋าของทุกคนอย่างเงียบๆ วงจรนรกของการพิมเงิน 1 เมื่อเศรษฐกิจแย่ ค่าใช้จ่ายไม่พอ 2 FED พิมพ์เงินกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเอาไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล จากแบงค์พาณิชย์ 3 แบงค์พาณิชย์เอาเงินไปปล่อยกู้ต่อ อัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ 4 เงินเฟ้อ เศรษฐกิจแย่ วนไปเป็นวงจรนรก กลับไปข้อ 1 2. ธนาคารพาณิชย์ Fractional Reserve Banking ไม่ใช่แค่ Last Boss อย่าง FED แม้แต่ธนาคารพาณิชย์ก็มีความสามารถในการ "สร้างเงิน" ขึ้นมาได้จากอากาศเหมือนกันผ่านระบบ Fractional Reserve Banking โดยธนาคารจะสำรองเงินฝากไว้เพียงส่วนน้อย (เช่น 10%) และนำเงินส่วนที่เหลือไปปล่อยกู้ ยกตัวอย่าง นาย A เอาเงินไปฝากแบงค์ 100 บาท แบ้งเก็บไว้จริง 10 บาทและปล่อยกู้ต่อนาง B 90 บาท นาง B เอาเงินนั้นไปคืนเจ้าหนี้ 70 บาท เก็บไว้ 20 บาท เจ้าหนี้ของนาง B เอา 70 บาทไปฝากแบงค์ แล้วแบงค์ทำเหมือนเดิม เก็บไว้จริง 7 บาท ปล่อยกู้ต่อ 63 บาท อัตราดอกเบี้ยที่นาย A และ เจ้าหนี้นาง B ได้ แค่ 0.25% แต่แบงค์เอาไปปล่อยกู้ได้ดอกสมมติ 3-25% ขึ้นกับชนิดของสินเชื่อถ้าลูกหนี้แบงค์ไม่มีเงินจ่ายแบ้งค์ปรับดอกเบี้ยอีก เห็นอะไรมั้ยครับ ต้นทางเงินจริงๆมีแค่ 100 บาท แต่แบงค์สามารถไปสร้างเงินจากอากาศผ่านการปล่อยกู้ และการ สำรองเงินฝากแค่บางส่วน อีกหลายทอดต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งกระบวนการนี้ทำให้เกิดการสร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เงินส่วนใหญ่ที่เราเห็นในบัญชีธนาคารจึงเป็นเพียงตัวเลขดิจิทัลที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อมีการปล่อยกู้ พอเงินในระบบมันเฟ้อมากขึ้น เคสนาง B ที่เก็บเงินเฟียตไว้กับตัว 20 บาท ดูจากปริมาณ M2 ทําให้รู้ปริมาณเงินที่เพิ่มเข้ามาในระบบ จะเห็นว่าเงินเฟ้อจริง 6-8% ต่อปี ผ่านไป7-10 ปี ของแพงขึ้น เงิน 20 บาทในวันนั้น ใช้จ่ายได้เท่ากับ 10 บาทในวันนี้ ด้วยความเป็น Fractional Reserve Banking ที่ธนาคารต้องการนำเงินฝากถึง 90% ไปปล่อยกู้ทํากําไรต่อ ตอนสถานการณ์ปกติ ธนาคารเขาควบคุมได้ แต่ถ้าเกิดวิกฤต คนไปแห่ถอนเงินพร้อมกัน แบงค์จะไม่มีเงินพอสําหรับทุกคน จนเกิดภาวะ "Bank Run" หรือแบงค์ล้มนั่นเอง เหตุการแบบนี้จะไม่เกิดถ้า ธนาคารเก็บเงินฝากของลูกค้าทุกคน 100% จะเห็นได้ว่าต้นตอของ เงินเฟ้อคือการพิมพ์เงินทั้งในรายใหญ่อย่าง FED หรือ รายย่อย แบงค์เอกชน วงจรการกู้ และเงินเฟ้อแบบนี้ไม่มีใครหยุดมันได้แล้ว เราต้องเตรียมตัวรับมือ และอยู่กับมันให้ได้ 3. เงินเฟียต (Fiat Money) ธนบัตรในมือเราที่เสื่อมค่าลงเรื่อยๆ หลังจากปี 1971 มีรัฐบาลสหรัฐยกเลิกการมูลค่าดอลล่ากับทองคํา และใช้เงินดอลล่าเป็น เงินสำรองระหว่างประเทศ เกิด Fiat Standard ที่นี้ครับการปล่อยกู้ และการพิมเงินเกิดขึ้นง่ายกว่าเดิมมาก เงินในระบบมากขึ้นจนทำให้เงินเฟียตในมือของทุกคนเสื่อมค่าลง นับจากปี 1971 ถึง 2025 เงินเฟียสเสื่อมไปแล้ว 99% เท่ากับว่า ในหน่วยเงินเฟียต สินค้าและบ้านแพงขึ้นมหาศาล ไม่ใช่เพราะของแพงขึ้นนะ แต่เงินในมือเรา มันเสื่อมค่าลงตังหาก 4. มูลค่าของธนบัตรขึ้นอยู่กับความเชื่อ เงินเฟียตที่เราใช้กันอยู่ในตอนนี้ มันมีค่าได้เพราะ อำนาจรัฐและธนาคารกลางสั่งให้มีค่า กฏหมาย legal tender จะไม่จำเป็นเลยถ้าหากเงินเฟียตในมือเรามันมีค่าในตัวเอง เป็นสากล เป็นที่ต้องการของทุกที่ ยกตัวอย่างง่ายๆ เราจะเอาเงินบาท ไปใช้ในอเมกาไม่ได้เพราะ ผู้คนที่นั่นไม่ต้องการเงินบาท แต่กลับกัน ถ้าหากเราใช้ทอง หรือ บิทคอย ที่มีมูลค่าในตัวเอง และมีความเป็นสากล เราจะใช้สิ่งนี้จ่ายเป็นเงินเพื่อแลกสินค้าและบริการได้ มูลค่าของเงินเฟียตขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อรัฐบาลและระบบเศรษฐกิจ หากความเชื่อมั่นนี้สั่นคลอน เงินก็อาจกลายเป็นเพียงเศษกระดาษได้ เหมือนที่เวเนซุเอล่า เลบานอน ที่เงินเฟียตสกุลท้องถิ่นเฟ้อจนไร้ค่าไปแล้ว 5 ทางออกของเรื่องนี้คือเราจะต้องเปลี่ยนเงินเฟียตที่เสื่อมค่าลงให้กลายเป็น สินทรัพย์ที่เก็บมูลค่าได้ เพื่อปกป้องสินทรัพย์ของตัวเอง เช่น อสังหาฯ ทองคํา หรือ บิทคอย สิ่งที่ยากกว่าทางออกคือความรู้ความเข้าใจถึงปัญหาของระบบเงินเฟียตและเงินเฟ้อในปัจจุบัน มันยังมีคนบางกลุ่มที่ยังไม่รู้ว่าสิ่งนี้คือปัญหา ถ้ามายเซ็ตถูกต้องเราจะหาทางออกเจอ สรุป 1 ธนาคารกลางและธนาคารพาณิชย์ จะยังคงพิมเงินมหาศาลแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีใครหยุดได้ ในอนาคตจะเกิดเงินเฟ้อมากกว่านี้อีก คนทั่วโลกจนลงทันที 2 กลุ่มนายทุนเขาไม่ได้แคร์ประชาชนตัวเล็กๆอย่างพวกเราว่า จะลำบากขนาดไหน 3 เงินเฟียตที่เราใช้จะเสื่อมค่าลงทุกวันจากเงินเฟ้อ แต่ด้วยการล้างสมองของกลุ่มทุน บางคนก็ยังคงเลือกที่จะเชื่อสิ่งนั้น และจงใจใช้เงินเฟียตนี้ต่อไป ถ้าคนยิ่งรู้เยอะพวกเขาก็จะเอาเปรียบประชาชนไม่ได้ 4 สำหรับคนที่ต้องการหนีออกจาก Matrix ของเงินเฟียต จะต้องเปลี่ยนเงินในมือเป็น สินทรัพย์ที่ต่อต้านเงินเฟ้อ มีมูลค่าและมีความเป็นสากลอย่างแท้จริง ซึ่งของตอบของผมคือ บิทคอย #siamstr #เงินเฟ้อ #btc #bitcoin
Sats and Sound's avatar
sats_and_sound 5 months ago
Fiat Food / Ultra-Procesed Food มันแย่กว่าที่เราคิดนะ ลดได้ลด - sats and sound EP23 Fiat Food / Ultra-Procesed Food มันแย่กว่าที่เราคิดนะ ลดได้ลด Fiat Food เป็นคําเปรียบเปรยถึงอาหารที่ผ่านการแปรรูปและผลิตจำนวนมาก แสดงถึงความ high time preference โดยไม่คํานึงถึงผลเสียต่อร่างกายระยะยาว Ultra-Procesed Food คือ อาหารแปรรูป ผลผลิตจากระบบอุตสาหกรรม ที่เต็มไปด้วย สารเคมี สารกันบูด สารแต่งรสแต่งกลิ่นสังเคราะห์ Fiat Food / Ultra Process Food 2 สิ่งนี้มันเป็นซับเซ็ทกันอยู่ ที่บอกว่ามันแย่กว่าที่คิด ลดได้ลดเพราะว่าอาหารเหล่านี้ มันถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อ ทํากําไรให้แก่นายทุน คิดง่ายๆนะ อาหารที่ต้องผลิตจํานวนมาก ต้องหาต้นทุนการผลิตที่น้อยที่สุด ต้องเก็บได้นานๆ และรสชาติเข้มข้น ในตอนนี้อาหารแปรรูปราคาถูกและหาซื้อง่ายกว่า อาหารทั่วไปไปแล้ว แต่ภาพลวงตาของความง่ายและสะดวกนี้เต็มไปด้วยผลเสียต่อสุขภาพระยะยาวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคเรื้อรัง ความดัน เบาหวาน ไขมัน หรือแม้แต่มะเร็ง ย้อนไปในอดีต มนุษย์อยู่ได้มาตั้งนาน จนมาถึงยุคการมาถึงของเงินเฟียต ที่ทุกอย่างต้องเร็ว รวมไปถึงการสร้างกําไรของภาคธุรกิจ ในภาคเกษตรกรรม ต้องปลูกพืชที่โตเร็วเท่านั้น เพื่อสร้างผลผลิตได้เร็ว เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง เมื่อดินฟื้นฟูตัวเองไม่ทัน ก็เผาป่าสิ แล้วปลูกใหม่ pm มลพิษฉ่ำ แล้วผลผลิตที่มากแบบนี้มันต้องแปรรูปทุกอย่างให้คุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็น - แป้ง ทําขนมปังได้ง่าย - มาการีน ทําได้เร็ว ถูกกว่าเนยแท้ - นํ้ามันพืช ปรับแต่งโครงสร้างไม่ให้เหม็นหืนเร็ว - High Fructose Corn Syrup ลดการใช้นํ้าตาลจริงๆ น่ากลัวมาก อยู่ในขนม ซอส แยมต่างๆ แล้วมันก็ไปอยู่ในพวกอาหารแปรรูปต่างๆที่เรากินกันจนถึงทุกวันนี้เพราะมีผลิตง่าย ผลิตได้เยอะๆ สิ่งที่เลวร้ายต่อมาคือ การแทรกแซงโดยรัฐบาล การให้ทุนสนับสนุนการวิจัยและการกำหนดนโยบาย อำนาจนี้สามารถถูกใช้โดยกลุ่มผลประโยชน์พิเศษและนักการเมืองเพื่อกำหนดบรรทัดฐานทางสังคม รวมถึงแนวทางการบริโภคอาหาร งานวิจัยพวกนี้มีผลสนับสนุนว่าการใช้สารเคมีในอาหารอุตสาหกรรมนั้นปลอดภัย สปอนเซอร์เงินทุนงานวิจัยก็พวกบริษัทผลิตอาหารพวกนี้นั่นแหละที่ให้มา ลองผลไม่ดีสิ ได้ถอนสปอนเซอร์ เริ่มเห็นความเน่ายัง ใครเคยเห็น ปิรมิดอาหารบ้าง แบบนี้ เป็นสิ่งที่ทางภาครัฐแนะนําสัดส่วนในการกินเพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชน เรียนในโรงเรียนด้วยถูกมั้ย ดูดิ เขาให้เรากินแป้ง และ ผักผลไม้ที่ปลูกได้ง่าย ขายเร็ว สัดส่วนรวมกันถึง 75% แล้วให้กินโปรตีนที่สำคัญต่อการเจริญเติบโต หรือซ่อมแซมร่างกายแค่ 20% มันแปลกมั้ย เพราะโปรตีนจากสัตว์นั้น ผลิตยากและแพงกว่า และกลุ่มนายทุนได้กําไรน้อยกว่า ส่งผลให้เขาพยายามรณรงค์ให้กินของที่ถูก ผลิตง่ายแทน เริ่มเห็นภาพแล้วยัง นี่ยังไม่รวมงานวิจัยที่แนะนําให้ลดการกินเนื้อสัตว์เพราะเสี่ยงมะเร็งอีก ทุกคนก็ใช้ชีวิตในการกินแป้ง น้ำตาล อาหารแปรรูป แบบนี้กันมา 30-40ปี อเมกาที่ดังคือพวก fast food ที่ทุกอย่างคืออาหารแปรรูป ที่เอามาทอดอีก มันโคตรอร่อย แต่มันน่ากลัวมาก จากสถิติคนอเมริกัน อ้วนขึ้นจํานวนมาก และมาพร้อมกับโรคหลอดเลือดหัวใจ ไม่ว่าจะเป็น ความดัน เบาหวาน ไขมัน ซึ่งโรคพวกนี้มันเกิดจากพฤติกรรมการกิน การใช้ชีวิตเป็นหลักเลย พันธุกรรมก็มีส่วน แต่พฤติกรรมมีผลมากกว่า พอเราเป็นโรค ก็ต้องใช้ยา บริษัทผลิตยา ก็เข้ามาเกี่ยวข้องอีก อยากให้ไปคิดต่อกันเอง สงสัยมั้ยว่าพอเราเป็นโรค NCD มีคนบอกเราตรงๆว่า กินแค่ยารักษาโรคไปตลอดชีวิต แต่กลับ ไม่มีใครมาบอกเราตรงๆว่า อาหารที่เรากินมันแย่ และเป็นสาเหตุของโรคเหล่านั้น? วิธีที่ผมใช้จริงในการ ลด ละ เลิก Fiat Food / Ultra-Processed Food สิ่งสําคัญที่สุดคือต้องเลือกการกินมากขึ้น you are what you eat - ลดการกิน fiat food หรือ Ultra Process Food อาหารแปรรูปให้มากที่สุด พวกขนมปัง ขนมขบเคี้ยว น้ำหวาน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไส้กรอก หมูยอ อาหารกระป๋อง พวกนี้เต็มไปด้วยสารเคมี สารกันบูดและ สารแต่งรสสังเคราะห์ ตระกูล high fructose corn syrup - กินอาหารสด ปรุงสุกใหม่ เท่านั้น - กินอาหารให้หมดเป็นมื้อๆ - ไม่กินอาหารค้างคืน หรือของเหลือในตู้เย็น อาหารพวกนี้จะเกิดแบคทีเรียสะสมได้ ผมเคยกินแล้วปวดท้อง เคยมีปัญหา IBS ปวดท้องแก้ไม่หาย หาหมอก็ไม่หาย สรุปคือ ผมกินแต่อาหารย่อยยาก และน้ำเต้าหู้แช่เย็นที่เก็บไว้เป็นสัปดาห์ พอเปลี่ยนการกิน อาการก็ค่อยๆดีขึ้น - ไม่กินน้ำหวาน หรือ ของหวาน ของกินจุกจิก ถ้าอยากกินของกินเล่นก็กินหลังมื้ออาหาร น้อยครั้ง ไม่ใช่กินทุกวัน ไม่ได้นะ - เลิกความเชื่อผิดๆว่า ถ้าอยากอิ่มท้องให้กินข้าวเยอะๆ เปลี่ยนเป็นกินโปรตีนเยอะ โปรตีนจากสัตว์ จากไข่ นมนะ ไม่เอาพวกโปรตีนผง - เน้นการกินโปรตีนมากขึ้น ไม่กลัวการกินไขมันจากสัตว์ ผมไม่ใช่สายกินเนื้อล้วน แต่มีการ balance สิ่งที่กินต่อวัน - ลดแป้ง คาร์โบไฮเดรตลง กินผัก ไฟเบอร์ มากขึ้น - กินนํ้าเปล่าวันละ 1.5 - 2 ลิตร - ผลไม้กินเป็นลูกๆ ไม่กินน้ำปั่น เพราะจะทําให้การดูดซึมนํ้าตาลเร็วเกินไป - วิธีที่ดีที่สุดคือทำอาหารกินเอง แต่ผมก็ไม่สามารถทำได้ ดังนั้นก็จะพยายามเลือกกิน แต่สิ่งที่มีประโยชน์ และ สดใหม่ปรุงสุก - เรื่องน้ำมันพืช เราสั่งข้าวกิน ลดยากมาก ผมก็พยายามสั่งร้านว่าใส่น้ำมันน้อยๆ - ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ - บางครั้งก็มีกินสิ่งที่อยากกินบ้าง อัตราส่วนไม่เกิน 5-10% ของทั้งหมด - การกินคลีน สำหรับผมไม่ใช่คำตอบ เพราะทำให้สัดส่วนโปรตีนที่เราได้รับไม่สมดุล แถมถ้าเป็นคลีนที่ไม่อร่อย เราจะทำได้ไม่นาน พอหลุด cheat day ก็กินยับเลย แนะนํากินแบบมีความสุขบ้าง จะได้ทําได้นานๆ อาหารที่ดี ไร้ Fiat Food / UPF 90% ของอร่อย 10 % สรุป Fiat Food / Ultra-Procesed Food เป็นอาหารที่เราควรหลีกเลี่ยง สิ่งที่น่ากลัวคือ มีคนมากมายยังไม่รู้ว่ามันส่งผลต่อเราในระยะยาวมากแค่ไหน ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ไม่ใช่มันไม่มีใครรู้ แต่มันมีกลุ่มนายทุนที่ได้ประโยชน์อยู่เบื้องหลัง หน้าที่ของเราคือการรู้เท่าทัน และดูแลอาหาร สุขภาพของเราให้ดีในระยะยาว ถ้าคุณลดการกินอาหารแย่ๆพวกนี้ได้ ชีวิตคุณจะดีขึ้น You Are What You Eat #siamstr #fiatfood #upf #อาหาร #อาหารแปรรูป
Sats and Sound's avatar
sats_and_sound 5 months ago
รู้จัก บิทคอย และ เป็น Bitcoiner ได้ยังไง แชร์ ปสก จาก คนในชุมชนบิทคอยในไทย - Sats and Sound EP 22 ผมไปเจอคําถามในกลุ่ม Siamese Bitcoiners น่าสนใจมากผมก็อยากรู้เหมือนกันว่า คนในคอมมินิตี้ รู้จักบิทคอยได้ยังไงและทําไมถึงเลือกที่จะเป็น bitcoiner ผมได้รวบรวม วิเคราะห์และสรุปคําตอบออกมาได้ดังนี้ 1 รู้จักบิทคอยได้ยังไง : จากความบังเอิญ สู่การศึกษาจริงจัง การที่ผู้คนมารู้จัก Bitcoin นั้นมีที่มาหลากหลาย บางครั้งก็เป็นเรื่องของความบังเอิญหรือคำบอกเล่า 1 จากสื่อและโซเชียลมีเดีย (13 คําตอบ) - บางคนเห็นข่าวจาก Blognone - กระทู้ใน Pantip - จากช่อง YouTube ของผู้มีอิทธิพลต่างๆ เช่น นายอาร์ม , อาจารย์ตั๊ม , Coinman , Right Shift , หรือแม้กระทั่งฟังลุงนิคที่เคยด่า Bitcoin 2 จากเพื่อนและคนรอบข้าง (6 คําตอบ) - หลายคนเริ่มรู้จักจากคำแนะนำของเพื่อน - คนใกล้ตัวที่อยู่ในแวดวง - บางคนถึงขนาดถูกเพื่อนชวนทำ Survey รับ Bitcoin ฟรีตั้งแต่อยู่ ม.ต้นในปี 2013 3 จากความอยากรู้อยากเห็นส่วนตัว (4 คําตอบ) - บางคนเริ่มต้นจากการเห็น Bitcoin เป็นช่องทางลงทุนทำกำไร - อยากหาอาชีพเสริม - สงสัยว่าไอคอน Bitcoin ใน Steam คืออะไร 4 จากประสบการณ์ที่เจ็บปวด (3 คําตอบ) - หลายคนเข้ามาสู่ Bitcoin อย่างจริงจังหลังเจอวิกฤต หรือความผิดหวัง เช่น พอร์ตพังจาก GameFi หรือขาดทุนหนัก - รู้สึกว่าอาชีพที่มั่นคงกลับไม่มั่นคงอีกต่อไป ปสก ผม ร้จักจากทั้ง 4 ข้อนี้รวมกันเลยครับ - ตอนแรกรู้จักบิทคอยผ่านสื่อและโชเชียลมีเดีย ข่าวซื้อพิชช่า - ข่าวการใช้บิทคอยซื้อสิ่งผิดกฏหมาย - การปิดเว็บ silk road Mt Gox แน่นอนว่า ผมมองว่าบิทคอยคือเงินในอากาศ มีความเสี่ยง จับต้องไม่ได้ และ scam หลอกลวง น่ากลัว อย่าไปยุ่งกับมัน หลังจากนั้นไม่นานผมก็ได้ยินเพื่อนพูดถึงบิทคอย - มีทั้งคนที่บอกให้ซื้อ - มีคนบอกว่าคนรู้จักได้กำไรจากบิทคอย - บอกว่าบิทคอยราคาหลักล้านแล้ว แน่นอนครับด้วยความที่คิดว่าเป็น scam ผมก็ยังไม่สนใจ ไม่ศึกษาอะไรมันทั้งนั้น และท้ายที่สุดจาก ประสบการณ์เจ็บปวดเรื่องเงินเฟ้อ ความไม่มั่นคง ไม่รวยสักที ขาดทุนจาก shit coin - ผมก็ได้เข้ามาศึกษาบิทคอย รู้จัก right shift อาจารย์พิริยะ และคนในชุมชนอื่น รวมถึงความอยากรู้ส่วนตัว - ในช่วงแรกผมแค่คนที่เข้ามาศึกษาในบิทคอยนะครับ ยังไม่ใช่บิทคอยเนอร์ซะทีเดียว 2. ทำไมถึงเลือกเป็น Bitcoiner: ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่อง "ความเข้าใจ" การตัดสินใจเป็น Bitcoiner นั้นลึกซึ้งกว่าแค่การเห็นโอกาสทำกำไร และมักจะมาจาก "ความตระหนักรู้" และการตั้งคำถามต่อระบบเดิม 1 ความเบื่อหน่ายต่อระบบการเงินแบบ Fiat: นี่คือเหตุผลสำคัญที่สุดที่ถูกกล่าวถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า (7 คําตอบ) - หลายคนเริ่มสงสัยว่าทำไมเงินถึงเฟ้อ - ทำไมต้องทำงานอย่างไร้สิ้นสุด - ทำไมระบบดูเหมือนไม่ถูกต้อง - พบว่า Bitcoin เสนอทางเลือกที่ดีกว่าการเป็น "ทาสในระบบ Fiat" 2 การเก็บรักษามูลค่าที่แท้จริง (Store of Value) (4 คําตอบ) - เมื่อได้ศึกษาอย่างลึกซึ้ง ผู้คนจำนวนมากตระหนักว่า Bitcoin สามารถ "เก็บรักษามูลค่า" - ทำให้บางคนเลิกเป็นนักเทรดและหันมา "สะสม" (HODL) แทน 3 ตรรกะที่สมเหตุสมผลกับยุคสมัย (3 คําตอบ) - Bitcoin มี Logic ที่ Make Sense กับยุคสมัยปัจจุบันมากกว่าระบบการเงินแบบเก่า - โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับความผันผวนและความไม่แน่นอนของสินทรัพย์ดั้งเดิมอื่นๆ 4 แนวคิดเรื่องอิสรภาพ (Libertarianism) (2 คําตอบ) - สำหรับหลายคน Bitcoin เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด Libertarianism หรือการใฝ่หาอิสรภาพและอธิปไตยส่วนบุคคล - การได้ศึกษา Bitcoin ทำให้เลือดลิเบอร์ทาเรี่ยนเดือดพล่าน และรู้สึกว่า Bitcoin ตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้อย่างแท้จริง 5 ไม่ต้องการพลาดโอกาสครั้งที่สอง (2 คําตอบ) - บางคนเคยพลาดโอกาส Bitcoin ในช่วงราคาถูก - เมื่อได้ศึกษาและเข้าใจถึงแก่นแท้ จึงไม่อยากพลาดโอกาสนี้อีกต่อไป 6การค้นหาคำตอบที่ค้างคาใจ (2 คําตอบ) - หลายคนใช้เวลาในการค้นหาคำตอบต่อคำถามที่ผู้ใหญ่พูดวกวนมาทั้งชีวิต - ความสงสัยเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่ติดลบ - พบว่า Bitcoin หรือแนวคิดเบื้องหลัง Bitcoin สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้ ปสก ส่วนตัว ผมคือทั้ง 6 ข้อนี้เลยครับ หลังจากปี 2021 ขาดทุน defi มาหลักแสนบาท - ตอนนั้นผมก็เริ่มซื้อบิทคอยแล้วด้วยเงินหลักพันบาทรู้ว่ามันดีแต่ก็ยังไม่ได้ศึกษามาก - ผมใช้เวลาศึกษา 1 ปีร่วมกับการเข้ามาอยู่ในชุมชนบิทคอยในประเทศไทย - เป็นช่วงที่เปิดโลกมากครับ - ผมเปลี่ยนวิธีการคิดเกี่ยวกับ ระบบการเงิน การจัดการเงินส่วนบุคคล การพัฒนาตัวเอง การดูแลสุขภาพ อาหารที่กิน เหมือนการีเซ็ตชีวิตใหม่ - ตอนนี้ผมเป็นคนใหม่ที่มีความมั่นคงทางจิตใจมากครับ - ส่วนการเงินก็มีความมั่นคงมากขึ้นหลังจากได้ออมในบิทคอย ถึงตอนนี้ยังลำบากแต่ผมก็สู้และรู้แล้วว่าทางที่เดินมาถูกต้อง จากคำตอบนี้ คนในชุมชน "รู้จัก Bitcoin ในช่วงปีต่างๆ กันไป" โดยสามารถแบ่งช่วงเวลาหลักๆ ที่มีการกล่าวถึงได้ดังนี้ 1 ช่วงปี 2013-2015: ยุคแรกเริ่มของการรับรู้ (3 คําตอบ) เป็นช่วงที่ Bitcoin ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่เริ่มได้ยินและสนใจ - ปี 2013: มีคนรู้จัก Bitcoin ตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมต้น หรือมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นช่วงที่ Bitcoin เริ่มมีการพูดถึงบ้าง - ปี 2015: มีผู้ที่ได้ยินคำว่า Bitcoin แล้ว แต่ตอนนั้นยังไม่สนใจเรื่องการเงิน 2 ช่วงปี 2017-2018: กระแสแรกและตลาดขาขึ้น (4 คําตอบ) เป็นช่วงที่ Bitcoin เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น และมีคนจำนวนมากเข้ามาในตลาด ซึ่งหลายคนเข้ามาเพราะ "การลงทุนทำกำไร" - ปี 2017: มีคนรู้จักจาก นายอาร์ม (ซึ่งตอนนั้นยังไม่เข้าใจ) และจำได้ว่าราคาประมาณ 20,000 บาท - ปี 2018: เริ่มมีการตามหาอาชีพที่สองผ่านคริปโต และมองว่าน่าเทรดกว่าหุ้น หรือเจอกระทู้ในพันทิปเมื่อ 8 ปีก่อน (เทียบจากปี 2024 คือ 2016) 3 ช่วงปี 2021: ตลาดขาขึ้นครั้งใหญ่ (Bull Run) (1 คําตอบ) เป็นช่วงที่ Bitcoin ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม และมีคนเข้ามาเป็นจำนวนมาก - ปี 2021: มีคนเริ่มดูอาจารย์ตั๊ม หรือได้ยินเรื่อง DCA และตามฟังอาจารย์ เป็นช่วงที่คนจำนวนมากเข้ามาลงทุน เพราะกระแสและเห็นโอกาส 4 ช่วงปี 2024: การตระหนักรู้และเข้าใจแก่นแท้ (4 คําตอบ) แม้ Bitcoin จะถูกพูดถึงมานาน แต่หลายคนเพิ่งมา "เข้าใจอย่างลึกซึ้ง" และเลือกเป็น Bitcoiner ในช่วงนี้ - ปี 2024: มีผู้ที่เพิ่งมาสนใจจริงๆ และเริ่มวิวัฒนาการเป็น Bitcoiner ในช่วงปลายปี 2024 - เพิ่งมาศึกษาลึกซึ้งช่วงปีที่แล้ว (2023-2024) มีคนที่เพิ่งมาศึกษาจริงจังช่วงปีที่แล้ว (2023) หลังจากการศึกษา Traditional Finance หรือจากการแนะนำของเพื่อน รวมถึงการไปงาน TBC 2024 แล้วได้ตระหนักรู้ - รู้จักมานานแต่เพิ่งเข้าใจ หลายคนรู้จัก Bitcoin มานานในฐานะสินทรัพย์ผันผวนหรือสแกมเมอร์ แต่เพิ่งมาศึกษาลึกซึ้งและเข้าใจแก่นแท้ในช่วงหลังๆ สรุป การเป็น Bitcoiner จึงไม่ใช่แค่การ "เลือก" สินทรัพย์เพื่อลงทุน แต่เป็นการเดินทางแห่ง "การค้นพบ" และ "ความเข้าใจ" ตั้งแต่การรู้จัก Bitcoin ผ่านความบังเอิญ ไปจนถึงการตั้งคำถามต่อระบบ การศึกษาอย่างลึกซึ้ง และการตระหนักรู้ถึงคุณค่าที่แท้จริงของมันในฐานะสินทรัพย์ที่ขาดแคลน ปลอดจากการควบคุมของรัฐบาล และเป็นทางเลือกเพื่ออิสรภาพทางการเงินในโลกที่ไม่แน่นอน หลายคนเริ่มต้นด้วยความอยากรวย หรือแค่สนใจเทคโนโลยี แต่สุดท้ายกลับค้นพบปรัชญาที่ลึกซึ้งกว่านั้น กลายเป็นการเปลี่ยนแปลงมุมมองต่อเงิน ความมั่งคั่ง และชีวิตไปโดยสิ้นเชิง ดังที่บางคนกล่าวว่า "เหมือนได้กินยาเม็ดสีส้ม" และพบว่า "โพรงกระต่ายก็กว้างใหญ่กว่าที่คิด" การเดินทางสู่การเป็น Bitcoiner มักไม่ใช่การตัดสินใจในทันที แต่เป็นกระบวนการเรียนรู้และตระหนักรู้ถึงคุณค่าที่แท้จริงของ Bitcoin ที่อาจใช้เวลาหลายปีสำหรับบางคนรวมถึงผมด้วย #siamstr #btc #bitcoin
Sats and Sound's avatar
sats_and_sound 5 months ago
เทรดเดอร์ นักเก็งกำไร ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้โลกเลย จริงเหรอ? - sats and sound EP21 เป็นคำถาม สงสัยจากกลุ่ม bitcoin community ที่หลายๆคนอาจจะมีความอินกับเศรษฐศาสตร์ออสเตียน หรือ การสร้าง Productivityจริงๆ ถึงจะเป็นคําถามดูแรง สะท้อนความสงสัยของหลายคน และนำไปสู่การถกเถียงที่น่าสนใจถึงบทบาทของนักลงทุนในระบบเศรษฐกิจ ผมได้รวบรวมประเด็นแยกเป็นมุมมองต่างๆของคนในคอมมูนิตี้ มาให้ฟังกันครับ คำถามที่ว่า "เทรดเดอร์ (นักเก็งกำไร) สร้าง Productivity ให้กับโลกใบนี้ยังไงเหรอครับ? ส่วนตัวผมมองว่าไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับโลกตรงไหนเลย" มุมมองที่ 1: "นักเทรดไม่ได้สร้าง Productivity โดยตรง" (แต่นั่นอาจไม่ใช่ปัญหา) ก่อนอื่น หลายคนยอมรับว่าในมุมมองดั้งเดิมของการผลิตสินค้าหรือบริการ เทรดเดอร์อาจไม่ได้ "สร้าง" ผลผลิตทางกายภาพโดยตรง (เช่น ไม่ได้สร้างบ้าน ไม่ได้ผลิตอาหาร) 1 เน้นการแลกเปลี่ยน: บางความเห็นชี้ว่าในระบบเศรษฐกิจทุนนิยม โลกนี้มีแต่การ "แลกเปลี่ยน" (Exchange) ไม่ใช่แค่การผลิต ทุกคนล้วนมีการแลกเปลี่ยนสินค้า สกุลเงิน แรงงาน หรือทักษะ การค้าขายก็เป็นการแลกเปลี่ยนรูปแบบหนึ่งที่ตอบสนองความต้องการที่ต่างกัน และราคาก็ขึ้นลงตาม Demand-Supply นิยามของ Productivity: คำว่า Productivity มักถูกใช้ในเชิงเชิดชูการทำงานผลิต แต่ในความเป็นจริงมันเป็นตัวชี้วัดภายหลังการแลกเปลี่ยน หากยึดติดกับ Productivity มากเกินไปโดยไม่เข้าใจหัวใจของการแลกเปลี่ยน อาจนำไปสู่ความคิดแบบสังคมนิยม ซึ่งประวัติศาสตร์ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าประเทศที่เชิดชู Productivity สุดโต่ง (เช่น คอมมิวนิสต์) กลับมีปัญหาเรื่อง Over-Supply และไม่สามารถพัฒนาได้เท่าที่ควรหากปราศจากการแลกเปลี่ยนที่เสรี มมองที่ 2: เทรดเดอร์มีบทบาทสำคัญในการสร้าง "สภาพคล่อง" (Liquidity) นี่คือประเด็นที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดและถือเป็นประโยชน์หลักของนักเทรด 1 สร้างสภาพคล่องในตลาด: เทรดเดอร์คือผู้ที่สร้าง สภาพคล่อง (Liquidity) ในตลาด การมีนักซื้อและนักขายจำนวนมาก ทำให้ราคาเสนอซื้อ (Bid) และราคาเสนอขาย (Ask) อยู่ใกล้กัน 2 ลดช่องว่างราคา: หากไม่มีนักเทรด ราคาซื้อขายจะห่างกันมาก ทำให้การทำธุรกรรมหรือการดำเนินธุรกิจเป็นเรื่องยากขึ้น 3 อำนวยความสะดวกการลงทุน: หากไม่มีตลาดรอง (Secondary Market) ที่มีสภาพคล่องสูง นักลงทุนคงไม่มีใครอยากลงทุนในตลาดแรก (Primary Market) เพราะไม่รู้จะถอนเงินออกอย่างไร การมีเทรดเดอร์ทำให้การเคลื่อนย้ายเงินระดับพันล้าน หมื่นล้านทำได้ง่ายขึ้น ทำให้ Network ของตลาดทุน (รวมถึง Bitcoin) ใหญ่ขึ้นและมีเสถียรภาพมากขึ้น 4 พ่อค้าคนกลางในระบบทุนนิยม: นักเทรดก็เหมือนพ่อค้าคนกลาง ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับการไหลเวียนของสินค้าและบริการในระบบทุนนิยม และช่วยให้คนทำงานสร้าง Productivity สามารถเข้าถึงสินทรัพย์ได้ง่ายขึ้น มุมมองที่ 3: กระตุ้นการหมุนเวียนของเงินและการเติบโตของตลาด นอกจากสภาพคล่องแล้ว เทรดเดอร์ยังมีบทบาทในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเติบโตของตลาดทุน: 1 การหมุนเวียนเงิน: เทรดเดอร์ที่ทำกำไรได้ก็จะนำเงินไปใช้จ่าย สร้างกระแสเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เทรดเดอร์ไม่ได้อิ่มทิพย์ พวกเขาก็ใช้จ่ายในห่วงโซ่อุปทานเหมือนคนทั่วไป 2 การอัดฉีดเงินสู่ตลาด (โดยไม่ตั้งใจ): ความเห็นที่น่าสนใจคือ "เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ขาดทุน" เงินที่เทรดเดอร์ที่ขาดทุนเสียไป ก็เหมือนการเติมเงินให้กับตลาด ทำให้ผู้ที่คู่ควร (เช่น บริษัทที่เข้มแข็ง หรือโปรเจกต์ที่น่าลงทุน) มีเงินทุนนำไปสร้างประโยชน์ต่อ 3 ขยาย Market Cap: ในตลาดคริปโตเคอร์เรนซี โดยเฉพาะ Bitcoin การมีเทรดเดอร์และผู้ถือ (Holder) ช่วยขยาย Market Cap ของสินทรัพย์ ทำให้ Network ของ Bitcoin ใหญ่ขึ้นและมีเสถียรภาพมากขึ้น มุมมองที่ 4: นักเทรดเปรียบเสมือน "เสียงของตลาด" ตลาดคือสถานที่ที่ผู้คนใช้เงินสื่อสารกัน ยิ่งโวลลุ่ม (ปริมาณการซื้อขาย) เยอะ เสียงพูดในตลาดก็ยิ่งดัง ซึ่งสะท้อนถึงข้อมูลและความเชื่อของผู้คนในตลาดนั้นๆ บทสรุป เทรดเดอร์ เป็นบทบาทที่ซับซ้อนและจำเป็นในระบบทุนนิยม แม้ว่านักเทรดและนักเก็งกำไรอาจไม่ได้สร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นรูปธรรมโดยตรง แต่บทบาทของพวกเขาในระบบเศรษฐกิจนั้นซับซ้อนและจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในการ "สร้างสภาพคล่อง" ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ตลาดทุนและตลาดสินค้าทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ #siamstr #btc #bitcoin #เกร็งกำไร #เทรดเดอร์ นักเทรดเปรียบเสมือน "ผึ้งที่ช่วยผสมเกสรดอกไม้" ทำให้ตลาดทุนมีชีวิตชีวา ดึงดูดเงินทุนให้เข้ามารวมกัน และขับเคลื่อนการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจโลก ดังนั้น แม้ความตั้งใจแรกของเทรดเดอร์อาจเป็นเพียงการทำกำไรส่วนตัว แต่โดยกลไกของตลาด บทบาทของพวกเขากลับสร้างประโยชน์และ Productivity ในมิติที่แตกต่างออกไปจากที่หลายคนเคยเข้าใจ
Sats and Sound's avatar
sats_and_sound 5 months ago
0.01 BTC เป้าขั้นต่ำที่อยากทุกคนมีไว้ เพื่อชีวิตที่ดีกว่าในวันหน้า - Sats and Sound EP 20 คลิปนี้ไม่ใช่การอวย แต่เป็นการคิดไปถึงอนาคต จากสถานะการณ์ปัจจุบัน ทั้งเศรษฐกิจ สภาพสังคมที่แย่ลงจากเงินเฟียตที่เสื่อมค่า จากการพิมเงินมหาศาล วงจรนรกที่แย่ต่อคนส่วนใหญ่ แต่ความตลกร้ายคือมันจะยังดําเนินต่อไปแบบนี้โดยไม่มีใครหยุดได้ นับตั้งแต่ปี 1971 ที่มีการใช้ระบบ Fiat Standard เงินกระดาษมูลค่าของมันก็ลดลงไปแล้วกว่า 99% นี่แหละคือสาเหตุที่ของทุกอย่างแพงขึ้นตามเวลา โดยที่พวกเราโดนปลูกฝังว่า มันเป็นเรื่องปกตินะ เงินก็ต้องเฟ้อขึ้นแต่ที่จริงมันไม่ใช่โว้ยย พวกเราถูกทําให้เชื่อแบบนี้เพราะมันมีกลุ่มคนที่ได้ประโยชน์จากการพิมเงินไง ถ้าศึกษาเทียบไปในยุค Gold Standard ที่โลกยังเทียบมูลค่ากับทองคํา ยุคนั้นเงินกระดาษคือตั๋วใช้แลกทองคําได้นั้น ราคาสินค้าหรือแม้แต่บ้าน จะมีมูลค่าคงที่หรือไม่ได้เพิ่มขึ้นจนซื้อบ้านกันไม่ได้เหมือนตอนนี้ ลองคิดง่ายๆดู 10 ปีก่อน บอกว่ามีเงิน 10 ล้านบาทเกษียณได้ แต่ตอนนี้ปี 2025 เป้าหมายบางคนคือ 50 ล้านบาทกันแล้ว ก็เพราะเงินเฟ้อไงหล่ะ คนที่ตระหนักถึงภัยเงียบอย่างเงินเฟ้อ จะพยายามหาทางออกโดยการเปลี่ยนเงินเฟียตที่เสื่อมค่าของตัวเองให้เป็นสินทรัพย์ที่ต้านเงินเฟ้อ ซึ่งมีหลายอย่างและมีผลตอบแทนโดยเฉลี่ยดังนี้ 1 พันธบัตรรัฐบาล 1-3% ต่อปี 2 หุ้น 7-10% ต่อปี 3 อสังหาฯ 3-10% ต่อปี 4 ทองคํา 6-10% ต่อปี 5 บิทคอย 80-100% ต่อปี บิทคอยดูดีสุดแต่ต้องบอกก่อนว่า บิทคอยผันผวนมากที่สุด เพราะเพิ่งเป็นสินทรัพย์ใหม่ และในระยะยาวผลตอบแทนจะน้อยลงเรื่อยๆ นี่คือเหตุผลแรกที่ทําไมผมถึงแนะนําให้ทุกคนควรมีบิทคอย อีกอย่างที่สําคัญเหมือนกันคือ อัตราเงินเฟ้อ ที่ตัวเลขบอกว่า ไม่เกิน 2-3% ต่อปี “เป็นเรื่องไม่จริง” ถ้าอัตราเงินเฟ้อเท่านี้จริง ทําไมของต่างๆ ราคาบ้านแพงขึ้นเกือบ 50-80% ใน 10 ปีหล่ะ คําตอบคือเพราะเงินมันเฟ้อมากกว่า นั้นไง ถ้าไปดูปริมาณเงินในระบบที่เรียกว่า M2 ทั้งในโลก หรือในไทย จะพบว่ามันเฟ้อขึ้น 7-8% ต่อปี ดังนั้นสินทรัพย์ที่เราต้องถือเพื่อต้านเงินเฟ้อ มันต้องให้ผลตอบแทนมากกว่า 7-8% ไม่งั้นเงินเราจะเสื่อมค่าถูกมั้ย นี่คือเหตุผลที่สองที่ทําไมผมถึงแนะนําให้ทุกคนควรมีบิทคอย แล้วการออมในบิทคอยเราไม่ต้องเล่นท่ายากอะไรเลย แค่ออมสม่ำเสมอและเก็บอย่างปลอดภัยใน HW เอาเวลา พลังชีวิตเราไปทําอย่างอื่นที่สนใจได้อีก อย่างที่บอกว่าวงจรนรกของการพิมเงินในโลกนี้ ไม่มีใครหยุดมันได้ ดังนั้น เราจะอยู่ในโลกที่ของแพงขึ้นแบบนี้ไปเรื่อยๆ โดยบางคนคิดแค่ว่าตัวเองไม่เก่ง หาเงินไม่มากพอ ก็เลยลําบาก รู้สึกไม่มั่นคงสักที คุณภาพชีวิตแย่ แต่ที่จริงมันมีสาเหตุจากเงินเฟ้อที่ไม่คนไม่อยากให้คนส่วนใหญ่อย่างเรารู้ คนที่เจอคําตอบไม่ว่าจะเป็นประชาชนทั่วไป หรือ แม้แต่บริษัท เขารู้ไงว่าบิทคอยคือทางออก ทําให้พวกเขาเก็บสะสมบิทคอยจนทําให้ทุกวันนี้ บิทคอย 1 บิทคอยมีมูลค่าประมาณ 3.5ล้านบาท ในอนาคตบิทคอยจะมีมูลค่ามากกว่านี้อีก ไม่ว่าจะมาจากการพิมเงิน การแย่งกันสะสมจากคนทั้งโลก นี่คือเหตุผลที่สามที่ทําไมผมถึงแนะนําให้ทุกคนควรมีบิทคอย 0.01 BTC ใครยังรู้สึกว่าตัวเองช้า อย่ามัวแต่ท้อครับ แนะนําว่าให้ศึกษา และเริ่มจัดสรรเงินมาออมในบิทคอยตั้งแต่วันนี้ แล้วทําไมผมถึงแนะนํา จํานวน 0.01 BTC หรือ 1ล้าน Sats - ผมคิดว่า นี่คือจํานวนที่ทุกคนควรมีไว้ 0.01BTC ในวันนี้มูลค่าประมาณ 35,000 บาท มันไม่ได้ทําให้คุณรวยในวันนี้ แต่จะเป็นสิ่งที่ทําให้คุณศึกษาบิทคอยมากขึ้น ซึ่งมันจะทําให้คุณได้ทบทวนและปรับปรุงทักษะทางการเงิน พัฒนาคุณภาพชีวิตในระยะยาว - Bitcoin จะมีเพียง 21 ล้านเหรียญเท่านั้นในโลก ผลิตเพิ่มไม่ได้ แล้วสูญหายหรืออยู่ในกระเป๋าที่เก็บยาวหรือไม่เคลี่ยนไหวอีก 4 ล้านเท่ากับว่าตอนนี้ทุกคนต้องแย่งกันสะสม 17 ล้านเหรียญที่เหลือ - การเป็นเจ้าของ 0.01 BTC เท่ากับว่า คุณอยู่ในกลุ่มประมาณ 2% แรกของประชากรโลกที่มีศักยภาพในการถือครอง Bitcoin - ที่สำคัญกว่านั้นถ้าคุณได้ตามข่าวบริษัทที่เก็บบิทคอยกันแบบ ซื้อทุกราคา ซื้อกระหน่ำ การถือบิทคอยไม่ใช่แค่ทางรอดของคนทุนใหญ่อย่างเดียว มันก็เป็นทางรอดสําหรับพวกเราคนตัวเล็กๆเหมือนกัน สรุป 1 บิทคอยคือทางรอดที่ make sense ที่สุดแล้วในโลกที่เงินเฟ้อมากขึ้นตลอดเวลาแบบนี้ 2 ปริมาณ 0.01 BTC ที่แนะนําให้ทุกคนถือนั้น อาจจะดูเหมือนไม่มากในวันนี้ แต่ก็เป็นก้าวสําคัญในการศึกษาระบบการเงิน ปรับปรุงและพัฒนาตัวเราเองให้รอดจากสถานการณ์โหดร้ายจากเงินเฟียตที่กัดกินเราไปเรื่อยๆไม่สิ้นสุด 3 ในอนาคตเมื่อผู้คนตื่นรู้เรื่องเงินเฟ้อมากขึ้น บิทคอยจะยิ่งหายากขึ้นและมูลค่ามากขึ้นเรื่อยๆ 0.01 BTC ในอนาคต ทําให้ชีวิตคุณหลุดพ้นจากวงจรเฟียตที่น่ากลัวได้ 4 ถ้าใครสะสมบิทคอยจะเข้าใจดีว่า มีเท่าไหร่มันก็ไม่พอ แต่ถ้าไม่เริ่มต้น เราก็จะไม่มีสักที วันที่ดีที่สุดในการออมบิทคอยก็คือวันนี้ 5 อย่าติดกับดับราคาว่า บิทคอยแพงแล้ว ให้มองถึงการรักษามูลค่าว่าเงินที่เราซื้อไป มันจะไม่เสื่อมลงต่างจากการเก็บไว้ในเงินเฟียต “คนที่รู้ช้าซื้อแพงกว่าเสมอ” #siamstr #btc #bitcoin
Sats and Sound's avatar
sats_and_sound 5 months ago
หนี้โลก 300ล้านล้าน USD วงจร นรก ที่ไม่มีใครหยุดได้ ถ้าเข้าใจมัน เราจะรอด - sats and sound EP19 โลกที่เราอาศัยอยู่ขับเคลื่อนด้วยระบบที่ซับซ้อนกว่าที่เราคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ "หนี้" หนี้ทั่วโลกที่สูงถึงกว่า 300 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากกว่า 3 เท่าของมูลค่าเศรษฐกิจโลกที่ผลิตได้ในหนึ่งปี นี่ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นวงจรนรกที่หมุนเวียนไปมาอย่างไม่สิ้นสุด และเป็นรากฐานสำคัญของระบบเศรษฐกิจที่เราทุกคนก็เป็นส่วนหนึ่งด้วย วิวัฒนาการของหนี้ - หนี้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ว่ากันว่า ตัวอักษร ภาษาเขียน มนุษย์คิดค้นมาเพื่อ ทวงหนี้นี่แหละ - ไม่ว่าจะเป็นหนี้บุคคล หรือ ระดับภาครัฐ ก็มีมาตั้งแต่ก่อนธนาคารและเงินตราแล้ว - รัฐบาลในอดีตใช้หนี้เพื่อระดมทุนสร้างปราสาท กองทัพ และอาณาจักร เช่น อังกฤษในศตวรรษที่ 17 ที่ขายพันธบัตรให้ประชาชนเพื่อทำสงคราม - จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นหลังปี 1944 ด้วยข้อตกลง Bretton Woods ที่ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐเป็นศูนย์กลางระบบการเงินโลก - ยิ่งไปกว่านั้นคือในปี 1971 เมื่อสหรัฐฯ ยกเลิกการผูกค่าเงินกับทองคำ เข้าสู่ยุคของ "เงินกระดาษ" (Fiat Currency) ซึ่งทำให้การกู้ยืมง่ายขึ้น และเป็นจุดเริ่มต้นของวงจรหนี้ขนาดใหญ่ที่เราเห็นในปัจจุบัน ลูปนรกเริ่มในยุคเงินเฟียต วงจรหนี้ในปัจจุบัน โลกที่ผูกพันกันด้วยหนี้ - ในปัจจุบัน ทุกประเทศต่างกู้เงินและปล่อยกู้ ทำให้ระบบหนี้เติบโตแบบทวีคูณ การกู้เงินถูกใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างโครงสร้างพื้นฐาน และแก้ปัญหาเศรษฐกิจ - โลกกลายเป็นเครือข่ายหนี้ที่โยงใยกันอย่างซับซ้อน เช่น เงินออมของญี่ปุ่นกลายเป็นเงินกู้ให้เยอรมนี และไหลกลับสู่อเมริกาในรูปของการซื้อพันธบัตร - แม้แต่หนี้ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่มีหนี้มากที่สุดในโลก 70% ของหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นหนี้ต่างชาติ แต่เป็นหนี้ของชาวอเมริกันเอง เช่น ธนาคาร กองทุนบำเหน็จบำนาญ และบริษัทประกันที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล เมื่อรัฐบาลจ่ายดอกเบี้ย เงินจะไหลกลับเข้าระบบและถูกนำไปซื้อพันธบัตรอีกครั้ง เป็นวงจรหมุนเวียนที่ไม่สิ้นสุด ฟังดูวุ่นวายขนาดนี้ บางคนอาจมีคําถามว่า ทำไมถึงหยุดกู้สร้างหนี้เพิ่มไม่ได้? - ถ้าพูดตรงๆคือ มันเป็นวงจรนรก ที่มาไกลเกินกว่าจะหยุดได้แล้ว การกู้เป็นส่วนหนึ่งของวัตจักรของเศรษฐกิจที่แยกไม่ได้ เศรษฐศาสตร์แบบเคนเชี่ยนที่ใช้กันตอนนี้เชื่อว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโต มีความสําคัญมาก การอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบจะช่วยแก้ปัญหาภาพรวมของเศรษฐกิจได้ ถ้ารัฐหยุดกู้ เกิดเงินฝืดทุกอย่างจบ สิ่งที่รัฐทําคือพิมเงินเข้ามาเรื่อยๆ จนทําให้เกิดเงินเฟ้อมากมาย เรื่องนี้ส่งผลเสียต่อคนที่ไม่ได้อยู่ใกล้แหล่งพิมเงินที่กว่าจะรู้ตัว ข้าวของ สินค้าต่างๆก็แพงขึ้นไปแล้ว เคสที่เลวร้ายก็มีให้เห็นเช่น เวเนซุเอลา เอาเงินไปหลายกิโลเพื่อซื้อไข่ ลูกเดียว - วงจรนรกที่เกิดจากการกู้ การพิมเงิน และบริหารหนี้ ผมว่าแบ้งชาติเราเก่ง มีความสามารถในการจัดการได้ดีในระดับหนึ่งในการปรับสมดุลการเงิน แต่การที่แบงชาติเก่งแบบนี้ก็ทําให้คนไทยหลายๆคน ไม่ได้ตระหนักถึงภัยเงียบอย่างเงินเฟ้อและการพิมพ์เงินเลย ไม่ใช่คิดว่าโชคดีจังที่อยู่ไทยไม่มีปัญหา ปัญหาเงินเฟ้อเจอกันหมด อยู่ที่จะเจอมากเจอน้อย คลิปนี้ที่ออกมาพูด เพราะคิดว่าเป็นปัญหาที่ทุกคนต้องเข้าใจและรีบหาทางออก เพราะสิ่งนี้เป็นเรื่องสําคัญและเกี่ยวข้องกับทุกคน แล้วเราจะต้องทํายังไงหล่ะ - ลดการสร้างภาระหนี้ส่วนบุคคล ลดการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย ลดสร้างหนี้โดยไม่จําเป็น หนี้บริโภค หนี้บัตรเครดิต - ในคลิปเราจะพูดถึงหนี้ในภาพระดับประเทศและระดับโลก จะเห็นว่ามันซับซ้อน พัวพัน วุ่นวาย เป็นวงจรนรกไม่จบไม่สิ้น สิ่งนี้กระทบต่อทุกคนแน่นอน -เงินที่เสื่อมค่าลงทุกวันจากการพิมเงิน มากระตุ้นเศรษฐกิจ หรือ มาใช้หนี้ของรัฐ ในมือของเรา ต้องไปเก็บในที่ที่รักษามูลค่าได้ ไม่ว่าจะเป็นทองคํา หรือ บิทคอย สรุปว่า โลกไม่ได้เป็นหนี้ใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นหนี้ซึ่งกันและกันผ่านเครือข่ายที่ซับซ้อน โลกก็จะหมุนต่อไปด้วยวงจรนรกนี้ เงินก็จะถูกพิมเพิ่มจนเฟ้อมากขึ้นเรื่อยๆ ทางรอดของเราในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ก็ต้องใช้จ่ายเท่าที่จําเป็น ลดสร้างหนี้ฟุ่มเฟือย และ บริหารเงินที่มีโดยเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมมูลค่า และต่อต้านเงินเฟ้อ อย่างทองคํา และบิทคอย #siamstr #เงินเฟ้อ #การเงินส่วนบุคคล #btc #bitcoin #การเงิน
Sats and Sound's avatar
sats_and_sound 5 months ago
ความจริงที่เจ็บปวด ถ้าไม่มีเงินมากพอ ดอกเบี้ยทบต้นก็ไม่ได้ผล - sats and sound EP18 มีคลิปและบทความ หลายคนถูกสอนมาว่า "ดอกเบี้ยทบต้นคือสิ่งมหัศจรรย์อันดับแปดของโลก" และเชื่อว่าแค่เริ่มต้นลงทุนเร็วๆ ด้วยเงินจำนวนน้อยๆ ก็จะสามารถสร้างความมั่งคั่งได้ในระยะยาว สิ่งนี้เป็นการปลูกฝังการออม ฝึกฝนวินัยที่ดี แต่เมื่อเรา deep down หรือค่อยๆสะสมไปสักพักจะเริ่มพบความจริงที่เจ็บปวดว่า ดอกเบี้ยทบต้น จะไม่ได้ผล หรือ เห็นผลช้ามากเพราะเงินต้นคุณน้อย หรือไม่มีเงินก้อนใหญ่ ยิ่งลงทุนผิดทาง ไม่สม่ำเสมอยิ่งพัง ความจริงแรก เวลาและความอดทนอย่างเดียวไม่พอ การเริ่มต้นด้วยเงินจำนวนน้อยกับการหยดนํ้า 1 หยดลงในแทมโพลีน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเวลาและความอดทนเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ หากไม่มี "น้ำหนัก" หรือเงินทุนก้อนใหญ่พอที่จะสร้างโมเมนตัม ดอกเบี้ยทบต้นทำงานด้วยหลักฟิสิกส์ ไม่ใช่จิตวิทยา ถ้าเปลี่ยนจากหยดนํ้า 1 หยด เป็นก้อนหิน 20 กิโลกรัมดู นั่นแหละคือการสร้างโมเม้นตั้มที่เห็นผล -วอร์เรน บัฟเฟตต์ เริ่มซื้อหุ้นตั้งแต่อายุ 11 ปี แต่ความมั่งคั่ง 99% ของเขากลับเกิดขึ้นหลังอายุ 50 ปี เพราะตอนนั้นเงินต้นของเขามีขนาดใหญ่พอแล้วที่จะทำให้ดอกเบี้ยทบต้นทำงานได้อย่างเต็มที่ ความจริงที่สอง ผู้คนส่วนใหญ่ เริ่มต้นน้อย คาดหวังมาก คนทั่วไปมักเริ่มต้นด้วยเงินจำนวนน้อย (เช่น หลักร้อยหลักพัน บาทต่อเดือน) และคาดหวังผลตอบแทนก้อนใหญ่เกินจริงในระยะยาว ถึงมันจะเป็นวิธีคิดที่ถูกต้อง แต่ต้องยอมรับก่อนว่า มันจะต้องใช้วินัย และเวลามากจริงๆ เราเพราะเงินเราน้อย ยิ่งเวลาผ่านไป อายุเรามากขึ้น เงินเฟ้อสูงขึ้น ความเสี่ยงมากขึ้น ส่งผลต่อการออม การลงทุน และการรักษาความมั่งคั่งของเราด้วย ตัดไปที่ที่คนรวยไม่ได้สร้างเงินก้อนจากการออมเพียงอย่างเดียว แต่เริ่มต้นด้วยเงินก้อนใหญ่ที่มาจากกำไรธุรกิจ โบนัส มรดก หรือเงินคืนภาษี นี่คือความแตกต่างที่สำคัญ ความจริงที่สาม ไม่มีทางลัด นอกจากต้องหาเงินมาเพิ่มทุน เพื่อทําให้ดอกเบี้ยทบต้นทํางาน คลิปนี้ต้องการแสดงความจริงให้เห็นว่า เรามีวินัยการออม ประหยัด อดทน มันสุดยอดและดีกว่าไม่มีวินัยแน่นอน แต่มันจะดีขึ้นไปอีกถ้าเราสามารถหากเงินเพิ่มได้อีก เพราะ ถ้าเราฝันถึงดอกเบี้ยทบต้นที่เห็นผล ยังไงเราก็ต้องมีทุนระดับหนึ่งก่อน ที่อยากให้ทุกคนมองมุมเดียวกับผมเพราะ คลิปสอนการเงินทุกวันนี้ เขาจะพูดระยะเวลายาวมาก เช่น 30-50 ปี กว่าจะได้เห็นผลของดอกเบี้ยทบต้นที่เราทํามา แล้วเราจะหาเงินมากๆยังไงหล่ะ?? คําตอบคงขึ้นอยู่กับตัวบุคคลเลยครับว่าเราถนัดสิ่งไหน มีช่องทางไหนบ้าง ผมก็มีวิธีที่ผมใช้จริงในการหาเงินให้มากขึ้นมาให้ดูครับ ผมไม่ได้เป็นคนเก่ง top1% ดังนั้นวิธีของผม เน้นเป้าหมายให้ถูกต้องทั้งการหาเงินและการเก็บเงิน จากนั้นก็ใช้วินัย และเวลาพอสมควรเพื่อสร้างระบบมาให้เรา หลักการที่ผมใช้คือ Work Smart and Save Smart 1 Work Smart หาเงินอย่างฉลาด - การค้นหาทักษะ ความถนัดของตัวเอง - ศึกษาหาความรู้ในด้านต่างๆที่เราทําได้ดีกว่าคนอื่นหรือเป็นสิ่งที่เราทําได้นาน เพื่อสร้างเครื่องพิมพ์เงินของตัวเอง - ผมจะเน้นงาน Passive หรืองานที่ทําครั้งเดียวแล้วสร้างรายได้ให้เราตลอดโดยสิ่งนี้ต้องไม่กระทบงานหลัก หรือ ทําพร้อมๆกับงานประจําได้ เช่น การทําวิดีโอยูทูป หรือ ทํา affiliate จากประสบการณ์ตัวเอง หลักการ work smart ที่ทํามาช่วงแรกแทบจะไม่เห็นผลเลย แต่เราต้องรักษาวินัยทํามันอย่างต่อเนื่อง ถ้าเดินมาถูกทาง มันจะเริ่มสร้างรายได้ให้เราถึงจะไม่ได้มากมายแต่ได้ต่อเนื่อง และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 2 Save Smart เก็บเงินอย่างฉลาด - เงินที่หามาได้นั้น จะต้องเก็บรักษามันให้ถูกที่ด้วย - จากประสบการณ์ตรง ออมเงิน ลงทุนผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย ดอกเบี้ยทบต้นทํางานไม่เต็มที่ แชร์ให้ฟังแบบไม่อายเลยครับ ผมจะรวยได้ไงคิดดูนะ ซื้อหุ้นตามใจ ออมลงทุนตามอารมณ์ ปันผลไม่ reinvest พอเห็นช่องทางใหม่ก็จะขายหุ้นเก่าขาดทุนมาซื้อหุ้นใหม่ที่เขาว่าดีกว่า ผมใช้ชีวิตแบบนี้มา 10 ปีกว่าจะรู้ตัวเงินเสื่อมค่าไปเกินครึ่งแล้ว - จนผมได้มาศึกษาบิทคอย ทําให้รู้ว่าที่ตัวเองลําบาก เกิดจากนิสัยผิดของตัวเอง รวมกับ การพิมพ์เงินมหาศาล เงินเฟ้อที่น่ากลัวนี่แหละ คือหนึ่งสาเหตุที่ทุกคนต้องพยายามหา ผลตอบแทนที่มากๆจากดอกเบี้ยทบต้น ตัวผมเองเมื่อก่อนเงินก็หาไม่ได้มากไม่มีวินัย เห็นยังว่าจะรวยกี่โมง - ผมปรับตัวเองใหม่ ทำบันทึกรายรับรายจ่าย บันทึกการออม ติดตามผลสม่ำเสมอ โดยผมจะออมในบิทคอยเป็นหลักเลย จัดระบบการเงินส่วนบุคคลใหม่ - แยกการออม ออกจากการลงทุน โดยตอนนี้ผมไม่ได้ลงทุนในหุ้นแล้ว สินทรัพย์แย่ๆไม่มีอนาคตผมเปลี่ยนเป็นบิทคอยทั้งหมดแล้วเก็บอย่างปลอดภัยไว้ใน HW สรุป 1 ดอกเบี้ยทบต้นจะไม่เห็นผลเลย ถ้าเงินทุนหรือเงินต้นเราน้อย หรือต้องอาศัยระยะเวลาออม สร้างวินัยที่นานมาก 2 มันไม่มีวิธีลัดที่จะทําให้เรารวยเร็วจากดอกเบี้ยทบต้นที่มากเกินพอ นอกจากหาเงินต้นมาเพิ่มทุน 3 Work Smart ผมใช้วิธีหารายได้เพิ่มขึ้นหลายทางโดยการทํางานลดลง 4 Save Smart เงินที่หามาได้ก็ต้องจัดการให้มันอยู่ถูกที่ #siamstr #การเงินส่วนบุคคล #ดอกเบี้ยทบต้น #btc #bitcoin
Sats and Sound's avatar
sats_and_sound 5 months ago
Bitcoin vs. อสังหาฯปล่อยเช่า สำหรับผม ทําไม บิทคอย ชนะขาด? - Sats and Sound EP 18 disclaimer อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น คนที่เลือกอสังหาปล่อยเช่า แล้วทําได้ดีมีเยอะ อันนี้ก็แล้วแต่ความถนัดและความชอบของแต่ละคน การปล่อยบ้าน ปล่อยคอนโด อสังหาฯให้เช่า ถือว่าเป็นหนึ่งในการหารายได้ที่ได้รับการยอมรับมานานว่าสบาย มั่นคง ในระยะยาว ถือว่าเป็นหนึ่งใน Passive Income ที่หลายคนเข้าใจ และ รู้จักเคยได้ยินมั้ยมีคนบอกว่า ลุงคนนั้นแกรวยมากนะ มีบ้านเช่าเป็น 10 หลัง แค่เก็บค่าเช่ากินก็สบายไปทั้งชาติ ส่วนตัวผมมองแตกต่างนะครับ การปล่อยเช่านั้นไม่ใช่ Passive Income ที่แท้จริง น่าจะเรียก กึ่ง Passive Income มากกว่าเพราะการปล่อยเช่าอสังหาฯ ให้ใครก็ไม่รู้มาใช้ประโยชน์พื้นที่ของตัวเอง มันจะต้องมีการเข้าไปจัดการหลายอย่างครับ นอกจากเต็มไปด้วยปัญหาจุกจิกแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงแฝงอีกมากมายเลย ผมจะเอาแต่ละข้อมาเทียบกันให้เห็นชัดเจนไปเลยครับว่าระหว่าง บิทคอย VS อสังหาฯปล่อยเช่า ส่วนตัวคิดว่า ทําไมบิทคอยถึงชนะขาด 1 ผลตอบแทน อสังหาฯ มีความไม่แน่นอนสูง ขึ้นอยู่กับคุณภาพ และชนิดของอสังหาฯนั้น ถ้าเทียบยีลก็ได้ไม่มากเท่าไหร่ และที่สําคัญอสังหาฯไม่สามารถแบ่งซื้อเป็นหน่วยย่อยได้ ด่างจากบิทคอย คุณมี 50-100 บาทก็ทะยอยออมได้แล้ว สมมุติ คอนโด 1.8 ล้าน ห้องของนายเอ ที่ผ่อนหมดแล้ว พอใจตั้งราคาเช่าแค่ 8,000 บาท ห้องของนายบี ที่กู้ซื้อมาเพื่อปล่อยเช่า สมมุติต้องผ่อนแบ้ง 11,000 บาท การที่นายบีตั้งค่าเช่าเท่านายเอ เขาก็เข้าเนื้อทุกเดือน หรือถ้าตั้งค่าเช่าแพง คนก็เช่ายากอีก เป็นต้น มันต้องอาศัยหลายๆอย่างเพื่อคํานวณผลตอบแทน ไหนจะมีคู่แข่งมากมายที่ทุนเยอะกว่าเรา พร้อมตั้งค่าเช่าแบบตัดราคาเพื่อแย่งคนเช่า ต้องใช้ทุน พลังงาน ความสามารถสูงกว่าในการสร้างผลตอบ ข้อดีของมันคือมีกระแสเงินสด บิทคอย ชนะชาดลอยในเรื่องนี้ ไม่ได้กาวแต่ถ้ากลับไปดู ไม่มีทรัพย์ใดในโลกนี้ในช่วง 16 ปี ดีกว่าบิทคอยอีกแล้ว สมมุติเงิน 1.8 ล้านเท่ากัน ถ้าซื้อบิทคอยในปี 2024 ตอนบิทคอย 50,000 เหรียญ ตอนนี้พอร์ตราคาขึ้น 1 เท่าตัว มีเงิน 3.6 ล้านโดยที่ถือไว้เฉยๆ ไม่ต้องทําอะไรเลย แต่ต้องบอกตามตรงว่า บิทคอยไม่ได้ขึ้นตลอด มันมีสิทธิ์ร่วง 50 เปอร์เซนเหมือนกัน แต่ในระยะยาว ยังไงมูลค่าก็เพิ่มขึ้น และผมว่าเร็วและคุ้มค่ากว่าอสังหาฯปล่อยเช่า และไม่ต้องการกระแสเงินสด 2 การดูแลรักษา ปล่อยเช่าอสังหาฯ เต็มไปด้วยปัญหาจุกจิกจาก อสังหาฯเอง หรือ จากผู้เช่า ท่อนํ้ารั่ว ไฟดับกระทันหัน ทํากุญแจหายไม่มีสํารอง ห้องมีปัญหา โดนโทรปลุกตอนตีสี่ และอีกสารพัด ซึ่งเจ้าของห้องต้องไปจัดการเอง หรือ ประสานงานทีมช่าง ซึ่งปัญหาพวกนี้หาทางป้องกันได้ยาก และไม่มีว่าจะเกิดขึ้นตอนไหน ยังไม่นับความเสี่ยงที่เกิดจากผู้เช่าหนี ไม่จ่าย หรือ ค้างค่าเช่านานอีกนะ เสียเวลาไปติดตาม แจ้งตํารวจอีก มีคนบอก ก็จ้างคนช่วยดูแลสิ ลองจ้างดู เจ้าของเขาไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินที่จะจ่ายจ้างคนนะ แต่ปัญหาคือหาคนทำงานดีๆและซื่อสัตย์ อยู่นานๆได้ยาก แค่ข้อนี้ก็จะเห็นได้ว่าเต็มไปด้วยความเหนื่อยใจและความเครียดแล้ว บิทคอยแค่ซื้อแล้วก็ถือไว้เฉยๆ ไม่ต้องไปวุ่นวายอะไรกับมันทั้งนั้น สิ่งที่ต้องโฟกัสมีแค่ 2 อย่างคือ ออมอย่างสม่ำเสมอและเก็บไว้ใน HW อย่างปลอดภัย 3 ต้นทุนแฝง อสังหาฯ เต็มไปด้วยต้นทุนแฝงจากค่าเสื่อม และ ค่าบํารุงดูแลรักษามากมายที่ยิ่งมากขึ้นตามกาลเวลา ค่าจ้างคนมาดูแลรวมไปถึง ภาระทางภาษีที่ต้องจ่ายทุกปี บิทคอย ไม่มีต้นทุนแฝงใดๆ ในบางประเทศอาจจะมีภาษี capital gain นะ 4 ความเสี่ยงในการถือครองสินทรัพย์ อสังหาฯ ถ้าดูแลไม่ทั่วถึงอาจจะมีโอกาสเสียหาย รกร้าง สินทรัพย์เสียหายจากการถูกแอบเข้าไปอยู่อาศัย ขโมยต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์เฉพาะตัวของอสังหาแต่ละที่ บิทคอย ต้องมีความรู้เกี่ยวกับบิทคอย และการเก็บบิทคอยที่ปลอดภัย ถ้าโดนหลอก หรือ seed หลุด บิทคอยทั้งหมดของคุณจะหายไปในพริบตาทันดีเหมือนกัน ทั้งสองสินทรัพย์ต่างก็มีความเสี่ยงนะครับ อยู่ที่ใครถนัดสิ่งไหน มากกว่า ทําอะไรได้ดีกว่า 5 สภาพคล่องและการเปลี่ยนมือ อสังหาฯแย่กว่าบิทคอยมาก ถ้ายิ่งบ้านที่ขายยากๆหรืออสังหาทําเลดี แต่แพงมากเกินไป ก็ขายไม่ออก การขายอสังหาฯให้คนอื่นต่อ ไหนจะต้องติดต่อเอเจ้นซี่ ตัวแทนขายบ้าน ลูกค้าบางคนไม่ซื้อสดต้องไปกู้แบงค์ มีค่าดำเนินการ ทําเอกสาร กระบวนการกว่าจะได้โอนบ้าน ผมว่ามี 1-2 เดือน ซ้ำร้ายถ้าที่ไม่ได้ดีมาก ร้างเป็นปีๆก็ขายไม่ออก ถ้าอยากขายเร็วก็ต้องลงทุนปรับปรุง ก็เป็นค่าใช้จ่ายอีก บิทคอย มีสภาพคล่องและสามารถซื้อขายเปลี่ยนมือ เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ตลอดเวลา ผ่าน exchange และที่สำคัญสามารถซื้อหรือขายแค่บางส่วนที่ต้องการได้ เพราะมันแบ่งเป็นหน่วยย่อยๆอย่าง sats ได้นั่นเอง คุณสามารถขายบิทคอยให้ทุกคนที่ต้องมัน โดยไม่จําเป็นต้องดําเนินการอะไรให้ยุ่งยาก ไม่ต้องทําเอกสาร แค่ขายในกระดานเทรด และจ่ายค่าธรรมเนียมเล็กน้อยเท่านั้น ทุกอย่างเสร็จภายใน 5 นาที 6 การเก็บรักษามูลค่า ตัวที่ดินยังถือว่าเก็บรักษามูลค่าได้ แต่ตัวสิ่งปลูกสร้างอย่างบ้าน คอนโด อ่ะมีค่าเสื่อม ยิ่งเป็นอสังหาฯปล่อยเช่า เจ้าของห้องรู้ดีว่า ผู้เช่าบางคนก็ไม่ได้ถนอมทรัพย์สินในห้องมากเท่าไหร่ เช่ายาวๆออกทีนึง ซ่อมกันหลายหมื่น หลายแสนบาทก็มี ใครทําบ้านเช่า คอนโด น่าจะเข้าใจ แล้วยีลค่าเช่าที่ได้แต่ละเดือน มันก็ไม่ได้มากด้วย นับว่าเป็นคอนโดหรือบ้านธรรมดานะ บ้านคอนโด ถึงจะมีค่าเสื่อม แต่มูลค่ามันไม่ลด แต่ก็เพิ่มไม่เร็ว และคาดเดาได้ยากกว่า บิทคอย จากสถิติ บิทคอยทําได้ดีกว่าอย่างมาก เพราะรัฐบาลโลกมีการพิมพ์เงินมหาศาล เมื่อเงินเฟ้อสูงขึ้น มูลค่าของบิทคอยก็สูงขึ้นเพราะมีคนฉลาดบางส่วน เอาเงินเฟียตที่เสื่อมค่ามาเปลียนเป็น บิทคอยที่ไม่เสื่อมค่า 7 การเป็นเจ้าของที่แท้จริง การมีโฉนดอาจจะเหมือนเป็นเจ้าของที่แท้จริง แต่คุณก็ยังจะต้องรักษาและใช้สิ่งนี้อ้างสิทธิ์ ถ้าหากเกิดปัญหาอะไรขึ้น แถมภาครัฐก็ยังกฏหมายมากมายที่คุณต้องศึกษาเพื่อพิทักษ์สิทธิ์ในอสังหาฯที่มีโฉนดของคุณ นี่ยังไม่นับเคสกู้แบ้งมาผ่อนแล้วปล่อยเช่านะ อันนี้ลองขาดส่งดูสิ แบงยึดขายทอดตลาดนะ บิทคอย เราจะเป็นเจ้าของมันเพียงผู้เดียว โดยเราจะครอบครอง seed 12 -24 คํา แค่รู้สิ่งนี้เท่ากับว่าเราสามารถใช้บิทคอยของเราได้ทุกที่ ต่างจากอสังหาฯที่มีขั้นตอนและใช้เวลามากมายในการอ้างสิทธิ์ รวมถึงการขายเปลี่ยนมือเหมือนที่พูดไปในข้อบนๆ ขายออกมาได้เงินเฟียตอีก ถ้าหนีไปประเทศอื่นอสังหาฯต้องทําใจว่าต้องทิ้งมันไปเลย แต่บิทคอยเราเอาไปด้วยได้ทุกที สรุป จากความคิดเห็นส่วนตัวทำไมผมถึงเลือกบิทคอยแทนที่จะเลือกอสังหาฯปล่อยเช่า 1 การออมในบิทคอย ไม่ต้องดูแลอะไรเลย แค่เก็บเอาไว้ในที่ปลอดภัย ต่างจากอสังหาฯปล่อยเช่าที่ต้องดูแลตลอด แถมมีความเสี่ยงและต้นทุนแฝงที่ควบคุมไม่ได้มากมาย ใช้เวลา เงิน และพลังงานมากกว่า 2 บิทคอยมีสภาพคล่องและรักษามูลค่าได้ดีกว่า 3 บิทคอยคือการเป็นเจ้าของสินทรัพย์ที่แท้จริง ในเมื่อออมบิทคอยเฉยๆ แทบไม่ต้องดูหรือทําอะไรเลย ผลตอบแทนและเก็บมูลค่าได้ดีกว่า สภาพคล่องดีกว่า แถมเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง ดังนั้นในความเห็นส่วนตัว การออมบิทคอย ดีกว่า อสังหาฯปลอ่ยเช่า ผมเป็นคนที่ไม่ชอบดีลหรือยุ่งกับคนอื่นมากๆ มันเหนื่อยและเปลืองพลังงาน ดังนั้นอสังหาฯปล่อยเช่าจึงไม่เหมาะกับผมเท่าไหร่ #siamstr #btc #bitcoin #อสังหา #ปล่อยเช่า
Sats and Sound's avatar
sats_and_sound 5 months ago
ทำไม Bitcoin ถึงไม่พุ่ง ทั้งที่รายใหญ่ซื้อเยอะ หรือนี่จะเป็นภาพลวงตา ? - Sats and Sound EP 17 มีทั้งบทความและคลิปนะครับ ปี 2025 ถือว่าเป็นปีที่มีจุดเปลี่ยนเกี่ยวกับการเข้ามาของทุนใหญ่ ที่ชัดเจนมากขึ้น หลังจากการอนุมัติ spot BTC ETF ในปี 2024 ตอนนี้ทุนใหญ่มากๆแห่กันเก็บบิทคอยไม่ว่าจะเป็นระดับประเทศ รัฐชาติ หรือ บริษัทเอกชนใหญ่ๆ เช่น Strategy หรือ Metaplanet ซื้อกันบ่อย ครั้งนึงหลายร้อยหรือหลายพันล้านบาท แล้วบริษัทแบบนี้ก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนก็เลยสงสัยว่า ในเมื่อเม็ดเงินมหาศาลเข้ามาแถมมีแต่ข่าวที่ดี แต่ทำไมราคาบิทคอยถึงยังนิ่งๆ ไม่หวือหวา หรือนี่จะเป็นภาพลวงตาที่ซ่อนอะไรอยู่ หรือบิทคอยตายแล้ว คำตอบไม่ได้อยู่ที่ว่า Bitcoin ตายไม่ตาย แต่เป็นเพราะกลยุทธ์การซื้อของเหล่านักลงทุนสถาบัน เบื้องหลังราคา Bitcoin ที่นิ่ง เพราะทุนใหญ่เหล่านี้เขาเข้าซื้อแบบ "เงียบๆ" ช่องทาง "OTC หรือ Over-The-Counter" OTC คือการทำธุรกรรมซื้อขายโดยตรงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย โดยมีโบรกเกอร์เป็นคนกลาง ไม่ได้ผ่านกระดานเทรด ถ้าภาษาชาวบ้านคือ เขาซื้อขายกันนอกตลาด เป็นดีลใหญ่ นั่นเอง ยกตัวอย่าง OTC เช่น Coinbase Primeเป็นต้น เขาไม่ได้ซื้อใน exchange เหมือนกับพวกเรารายย่อยทำกันนะครับ แน่แหละสาเหตุที่ราคาบนกระดานเทรดไม่ได้ขึ้นตามข่าวขนาดนั้น ราคาดูเหมือนไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งที่มีการซื้อขายกันจริง การสะสม Bitcoin อย่างเงียบๆ แบบนี้เป็นกลยุทธ์ของบริษัทหรือรัฐชาติที่มีเงินทุนจำนวนมากเพื่อใช้ สะสมสินทรัพย์ที่ป้องกันเงินเฟ้อ และ มีจำนวนจำกัดอย่างบิทคอย - บริษัทอย่าง Strategy ได้ถือครอง Bitcoin ไปแล้วมากกว่า 3% ของ supply ทั้งหมด นี่คือการแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในอนาคตของ Bitcoin - ผู้เล่นรายใหญ่เหล่านี้มีเป้าหมายและต้องการครอบครอง supply Bitcoin ให้ได้มากที่สุด ก่อนที่นักลงทุนรายย่อยจะตระหนักถึงมูลค่าที่แท้จริงและเข้ามาในตลาดอย่างเต็มตัว ทฤษฏีเกมเริ่มทํางานแล้ว รายย่อยอย่างเราจะทําอะไรได้บ้าง - คิดง่ายๆเลย ถ้าบิทคอยไม่ดี ไม่มีอนาคต บริษัทใหญ่ รัฐชาติ จะทุ่มเงินมหาศาลมาเพื่อครอบครองมันเพื่ออะไร จํานวนเงินที่มากขนาดนี้ต้องผ่านกระบวนการคิดอย่างถี่ถ้วน ตัดสินใจมาดีมากๆแล้ว ถึงจะกล้าทำ พอมันมี pioneer อย่าง Strategy ทําแล้วเวิร์ค บริษัทอื่นๆ ก็ทําตามอีกหลายที่และผมคิดว่า มันจะเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ - อย่างที่ทุกคนรู้บิทคอยมี supply อยู่ 21 ล้านเหรียญ อยู่ในกระเป๋าที่ไม่ขายไม่เคลื่อนไหว หรือ หายไปแล้วอีก 3-4 ล้านเหรียญ จํานวนบิทคอยที่เหลืออยู่น้อยลงทุกวัน ถ้าทุนใหญ่กระหน่ำซื้อแบบนี้วันนึง ใน OTC ก็ต้องเหลือน้อย สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือการ conner หรือ รายใหญ่ทุนเยอะ จะมาไล่ซื้อในกระดาษเทรด ทีนี้แหละครับ ราคาบิทคอยก็จะพุ่งอย่างที่ใครหลายคนอยากให้เป็น - ถ้าไปดูข้อมูล on chain ปริมาณบิทคอยที่เหลืออยู่ในกระดานเทรด ก็มีแนวโน้มลดลงตลอดเวลาด้วยนะ นี่แหละเป็นข้อมูลที่บอกว่า ถ้ายังรอ ต่อไป มีเงินก็อาจจะซื้อไม่ได้ หรือ ซื้อได้ในราคาที่สูงมากๆ - รายย่อยอย่างเราจะรออะไรอยู่ครับ โอกาสน้อยลง เงินก็น้อยกว่าทุนใหญ่ สิ่งที่เราทําได้คือการสะสมบิทคอยให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้ พร้อมกับศึกษาการเก็บอย่างปลอดภัย รวมถึงรักษาสุขภาพเราให้ยืนยาวด้วย - รายย่อยหลายๆคนยังมองว่าบิทคอย คือสินทรัพย์เสี่ยง ใช้ทํากําไร ซื้อถูกขายแพง แต่สําหรับผม บิทคอยคือทางออกเดียวในตอนนี้ที่จะทําให้เรา หลีกเลี่ยงระบบการเงินที่กำลังเสื่อมถอย ไปสู่อิสระที่แท้จริง เป็นความมั่นคงและความสุขทางการเงินที่เราจะหาไม่ได้ถ้ายังติดอยู่ใน matrix ของเงินเฟียต ในอนาคต ผู้คนจะถูกบังคับให้ต้องมี Bitcoin ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และผู้ที่สะสม Bitcoin ตั้งแต่ตอนนี้เมื่อเวลา bitcoin adoption มาถึง คุณจะมีคุณภาพชีวิตและความมั่นคงทางการเงินที่ได้เปรียบคนทั่วไปที่อยู่ในระบบ fiat สรุป 1 กลุ่มทุนใหญ่มากๆ เขาซื้อบิทคอยผ่านโบรกเกอร์นอกตลาด ส่งผลให้ถึงพวกเขาจะซื้อกันเยอะ แต่ราคาบิทคอยอาจจะไม่ขยับ หรือหวือหวามากนัก 2 กลยุทธ์นี้ส่งผลดีต่อรายย่อยเหมือนกัน เพราะเรายังมีเวลาเก็บบิทคอยได้ในราคาที่ไม่สูงเกินไปนัก 3 แต่เวลาเก็บของก็มีไม่นานนะ เพราะในเมื่อกลุ่มทุนใหญ่เข้ามาเก็บบิทคอย ซื้อกันทุกราคา มีคนต้องการมันมากขึ้นเรื่อยๆ สักวันเมื่อ supply ใน OTC หมดพวกเขาก็จะมาไล่ซื้อในกระดานเทรน ถึงวันนั้นแหละ บิทคอยจะราคาสูงขึ้นมากๆ ผมกาวว่าสิ่งนี้อาจจะเกิดใน 3-5 ปี แต่บางคนก็คิดว่า 10 ปี 4 การถือบิทคอยระยะยาวเป็นการปลดปล่อยตัวเองจากอิสระจากกับดับเงินเฟียตที่เสื่อมค่า ทำง่ายๆแค่ถือไว้ไม่ขายและเก็บในที่ปลอดภัย เท่านี้ชีวิตคุณก็จะดีขึ้น 5 ไม่ว่าบิทคอยจะกลายเป็นเงิน หรือ เป็นสินค้า commodity ที่ใช้ back เงินเฟียตในอนาคตก็ตาม จะทําให้ผู้คนจะถูกบังคับให้ต้องมี บิทคอยไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง 6 ในอนาคตมีเงินก็อาจจะซื้อบิทคอยไม่ได้ หรือซื้อได้น้อยลงมากๆ กลุ่มทุนใหญ่เขาทุ่มเงินขนาดนี้ ไม่มีเหตุผลเลยที่เราจะไม่เก็บบิทคอยบ้าง stack sats and stay humble เป้าหมายง่ายๆที่ผมไปหามาเลยคือต้องมีคนละอย่างน้อย 0.01- 0.1 BTC #siamstr #btc #bitcoin
Sats and Sound's avatar
sats_and_sound 6 months ago
อยากยิ้มให้กับตัวเองในวันที่แย่ ต้องแก้ให้ถูกจุด เป็นประสบการณ์ของผมเองที่เคยเป็นและตอนนี้ผมผ่านจุดนั้นมาได้แล้ว เคยไหมครับ? วันที่รู้สึกแย่จนไม่อยากทำอะไรต่อ รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบถล่มลงมาตรงหน้า หลายครั้งเราพยายามหลีกหนีความรู้สึกนี้ด้วยวิธีต่างๆ นานา แต่สุดท้ายปัญหาก็ยังคงอยู่ และความรู้สึกแย่ๆ ก็กลับมาซ้ำเติมอีกครั้ง หากคุณอยากจะ "ยิ้มให้กับตัวเองได้ในวันที่แย่" อย่างแท้จริง กุญแจสำคัญคือการ "แก้ให้ถูกจุด" สิ่งสำคัญอย่างแรกคือ เราต้องเข้าใจปัญหาที่เจอและไม่หลอกตัวเอง เมื่อปัญหา สิ่งแรกที่เรามักจะทำคือการปฏิเสธ หลีกเลี่ยง หรือแม้กระทั่งพยายามบอกตัวเองว่า "ไม่เป็นไรหรอก" ทั้งที่ในใจลึกๆ เรารู้สึกแย่มากๆ การไม่เผชิญหน้ากับความจริงคือหลุมพรางที่อันตรายที่สุด เพราะมันทำให้เรามองไม่เห็นต้นตอที่แท้จริงของปัญหา ลองถามตัวเองดูครับว่า: - อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกแย่จริงๆ? ไม่ใช่แค่ปลายเหตุ แต่คือรากของปัญหา - คุณกำลังหลอกตัวเองอยู่หรือเปล่า? บางครั้งเราสร้างเรื่องราวปลอบใจตัวเองขึ้นมา เพื่อให้รู้สึกดีขึ้นชั่วคราว แต่ปัญหาไม่ได้ถูกแก้ไข - คุณยอมรับความจริงได้มากแค่ไหน? การยอมรับว่ามีปัญหาเกิดขึ้น และมันส่งผลกระทบต่อเรา คือก้าวแรกที่สำคัญที่สุด การเข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้งและไม่หลอกตัวเองนี่แหละครับ คือรากฐานที่จะนำไปสู่การแก้ไขที่ยั่งยืน เพราะถ้าเรายังไม่รู้ว่าอะไรคือปัญหาที่แท้จริง เราก็จะเสียเวลาไปกับการแก้ปัญหาผิดจุด หรือแก้เพียงผิวเผิน หาสิ่งที่แก้มันได้จริงๆ เมื่อคุณซื่อสัตย์กับตัวเองและระบุปัญหาที่แท้จริงได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการหาวิธีแก้ปัญหาที่ "ทำได้จริง" ไม่ใช่แค่ความหวังลมๆ แล้งๆ หรือวิธีที่ใครๆ บอกว่าดีแต่ไม่เหมาะกับคุณ หาสิ่งนี้เจอแล้วคุณจะยิ้มได้ ยกตัวอย่างเช่น ผมเองที่ทำงานมาเป็น 10 ปีแล้วแต่ยังรู้สึกว่าตัวเองลำบาก ไม่มั่นคงเลย ทั้งๆที่เราขยัน ประหยัด อดทน อดออม ลงทุน คิดว่าสิ่งที่เราทำก็ถูกแล้วแต่ทำไมยังรู้สึกไม่ปลอดภัย วิธีแก้คือ ผมไปทำการศึกษาการเงิน วางแผนการเงิน การออม เศรฐษศาสตร์ และระบบการเงินโลก เพิ่มเติม จนทำให้ผมพบปัญหาของตัวเองหลายข้อ เช่น - เรามีวินัยไม่มากพอในการออมเงิน หรือ ลงทุนอย่างสมํ่าเสมอ ออมบ้าง ลงทุนบ้าง ไม่แน่นอนไม่เป็นระบบ และไม่มีการติดตามผล - ความรู้ทางการเงินน้อย ส่งผลให้พอผมเจอสิ่งใหม่ๆที่คิดว่าได้ผลตอบแทนเยอะกว่า ก็จะหน้ามืด ขายสินทรัพย์เก่าทั้งๆที่ยังขาดทุนมาซื้อของใหม่ สุดท้ายก็ไม่เป็นดังหวัง - ความรู้ทางการเงินผิดๆน่ากลัวพอๆกับความไม่รู้ - ไม่รู้ถึงผลกระทบของเงินเฟ้อ และ การพิมเงินมหาศาล สิ่งนี้ทำให้มูลค่าเงินเฟียตเสื่อมค่าลงครึ่งหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไป 7-10 ปี อันนี้ผมประสบด้วยตัวเองเลย บ้านแพงขึ้นเกือบ 2 เท่าใน 7 ปี - การไม่เข้าใจในสินทรัพย์ที่ลงทุน ทำให้เราซื้อแพงขายถูกอยู่ตลอดเวลา - ไม่แยกการออม ออกจากการลงทุน จัดการการเงินมั่วไปหมด - ชอบไปเทียบความสำเร็จของคนอื่น ทำให้ยิ่งรู้สึกด้อยค่าตัวเองไปเรื่อยๆ หลังจากผมได้คำตอบใหม่ว่า บิตคอย แก้ปัญหาให้ผมได้อย่างยั่งยืน ผมใช้เวลาศึกษาบิทคอย 1 ปี กว่าจะเริ่มเข้าใจมันจริงๆ ผมก็เริ่มออมในบิทคอย และ ทยอยเปลี่ยนสินทรัพย์เดิมที่มีมาเป็นบิทคอย เพราะเชื่อว่า มูลค่าสินทรัพย์ของเราในหน่อยบิทคอยหรือ sat จะไม่เสื่อมค่าลง ไม่เหมือนหน่วย fiat เมื่อเรามั่นใจว่าพบสิ่งแก้ปัญหา เราจะยิ้มให้กับตัวเองในวันที่แย่ได้ นี่คือจุดที่สำคัญที่สุดครับ เมื่อคุณผ่านกระบวนการทำความเข้าใจปัญหาอย่างซื่อสัตย์ และได้ค้นพบวิธีการแก้ไขที่ทำได้จริง ความรู้สึกในใจของคุณจะเปลี่ยนไป เหมือนกับบิตคอยที่ผมรู้สึกว่ามันแก้ปัญหาที่ค้างในใจผมได้ได้ โดยที่ไม่ได้เกิดจากการหลอกตัวเองให้สบายใจชั่วคราวเท่านั้น แม้ปัญหาจะยังไม่ถูกแก้ไขทั้งหมด แต่การที่คุณ "รู้" ว่ามันคืออะไร และ "รู้" ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป จะทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ได้ ไม่ใช่เป็นเหยื่อของปัญหาอีกต่อไป ความมั่นใจนี้ไม่ได้มาจากการหลอกตัวเองว่าทุกอย่างจะดีขึ้นเอง แต่มาจากการที่สมองและหัวใจของคุณประมวลผลแล้วว่า "นี่คือทางออก" คุณมีแผน มีทิศทาง และพร้อมที่จะลงมือทำ เหมือนตอนนี้ ถึงคุณภาพชีวิตและเงินของผมจะได้น้อยลงกว่าตอนที่เครียด แต่เรารู้ว่าเดินมาถูกทาง ทำให้จิตใจเราสงบ แน่วแน ความรู้สึกติดค้างในใจเรื่องความไม่มั่นคงได้หายไปแล้ว ในวันที่ยากลำบากนั้นเอง คุณจะสามารถมองเข้าไปในกระจก แล้วเห็นรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า รอยยิ้มนี้ไม่ใช่รอยยิ้มแห่งความสุขที่ปราศจากปัญหา แต่มันคือ รอยยิ้มแห่งความเข้าใจ ความยอมรับ และความเชื่อมั่นในตัวเอง ว่าคุณกำลังก้าวไปข้างหน้า กำลังแก้ไขสิ่งที่ถูกต้อง และกำลังพาตัวเองออกจากสถานการณ์ที่ยากลำบากนั้นไปได้ จำไว้ว่า การที่เราได้ยิ้มในวันที่แย่ ไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีปัญหา แต่หมายความว่าเรามีสติ เราเข้าใจ เรากำลังแก้ไข และเราเชื่อมั่นในกระบวนการของตัวเองนั่นเอง #siamstr #พัฒนาตัวเอง #สุขภาพจิต
Sats and Sound's avatar
sats_and_sound 6 months ago
จัดการเรื่องสำคัญที่ไม่เร่งด่วน คีย์สำคัญที่ทำให้ชีวิตคุณชิลมาก คำพูดสุดฮิตในโซเชียลที่ว่า "หนึ่งวันพันกว่าเรื่อง" อาจจะเป็นคำพูดติดตลก และ แฝงไปด้วยการเล่าประเด็นว่าในแต่ละวัน คนเรามักพบกับปัญหาที่รุมเร้าอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ อย่าง ลืมของ ข้าวเที่ยงไม่อร่อย หรือ เรื่องใหญ่ๆเช่น ภาระงาน ติดหนี้บัตรเครดิต ปัญหาสุขภาพ เงินไม่พอใช้ ปัญหาพวกนี้เมื่อพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ มันก็ทำให้เรามีความเครียดสะสม และรู้สึกว่าเวลาไม่เคยพอ ปัญหาเก่ายังแก้ไม่ได้ เรื่องใหม่มาอีกแล้ว เหนื่อยมาก จัดการอะไรไม่ได้เลย จากประสบการณ์ตัวเองและเพื่อนๆ ผมเคยเจอเพื่อนประเภทที่ มีปัญหากับทุกอย่าง มรสุมชีวิต เครียดมาก และเพื่อนอีกกลุ่มที่เจอปัญหาเหมือนกัน แต่จัดการได้อย่างดี มันก็เลยทำให้ผมคิดว่า สิ่งเหล่านี้เราสามารถจัดการและลดความเสี่ยงไม่ให้มันเกิดขึ้นได้นะ พอลองเข้าไปดูชีวิตเพื่อนคนที่วันๆมีแต่ปัญหา เขาจะใช้ชีวิตแบบจัดลำดับความสำคัญไม่ค่อยเป็นเน้น "แก้ปัญหาเฉพาะหน้า" ตลอดเวลา มองภาพทุกอย่างเป็นระยะสั้นๆกับทุกอย่าง โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ "สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน" พูดแบบ เว่อไปป่ะ เออๆ เรื่องเล็ก ค่อยแก้ๆ ยกตัวอย่างง่าย - ท่อน้ำซึมเล็กๆ ปล่อยไปก่อน จนวันหนึ่งท่อน้ำแตก น้ำท่วมบ้าน - ค้าขายเงินเริ่มไม่พอใช้ เดือนชนเดือน แต่ไม่คิดที่จะบริหารเงิน ตัดสิ่งไม่จำเป็นและหารายได้เพิ่ม สุดท้ายถ้าเงินหมดแล้วต้องไปกู้เงินมาใช้จ่าย ลำบากในระยะยาวอีก - ไม่ดูแลสุขภาพเท่าที่ควร ไม่ออกกำลังกาย เมื่อละเลยไปนานวัน ปัญหาสุขภาพเช่น เบาหวาน ไขมัน ความดัน ก็แก้ยากแล้ว คนกลุ่มที่มีปัญหาชีวิตรุมเร้า ไม่ได้มาจากเรื่องใหญ่โตที่ไม่คาดฝันเสมอไป แต่มาจากการละเลย "เรื่องสำคัญที่ไม่เร่งด่วน" ซ้ำๆ จนมันกลายเป็นปัญหาเร่งด่วนและใหญ่โตในที่สุด ส่วนเพื่อนกลุ่มที่จัดการปัญหาพวกนี้ได้ดี เขาจะเป็นพวกมองภาพระยะยาว จัดการปัญหาแต่เนิ่นๆ เหมือนคำว่ากันไว้ดีกว่าแก้นั่นเอง การจัดการชีวิตให้มีประสิทธิภาพ แบ่ง เรื่องเร่งด่วน 4 แบบ โดยพิจารณาจาก "ความสำคัญ" และ "ความเร่งด่วน" 1. สำคัญและเร่งด่วน (Urgent & Important) 2. สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน (Not Urgent & Important) 3. ไม่สำคัญแต่เร่งด่วน (Urgent & Not Important) 4. ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน (Not Urgent & Not Important) 1. สำคัญและเร่งด่วน (Urgent & Important) เป็นเรื่องวิกฤตที่ต้องจัดการทันที มีผลกระทบสูงหากไม่ทำ เช่น ไฟไหม้บ้าน งานด่วนที่ส่งผลต่ออนาคตอาชีพ ปัญหาสุขภาพฉุกเฉิน พอต้องลงมือทำทันที ก็เป็นสิ่งที่ยาก เครียดและส่งผลต่อชีวิตเราที่สุด สิ่งที่เราต้องทำคือ ต้องลด เรื่องประเภทนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ กลุ่มคนที่มีปัญหาเยอะๆจะเป็นกลุ่มที่จัดการเรื่องสำคัญได้แย่ ละเลย ปล่อยสะสม จนต้อง แก้ปัญหาเฉพาะหน้า อยู่ตลอดเวลา 2. สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน (Not Urgent & Important) นี่คือสิ่งที่เป็นคีย์สำคัญสู่ชีวิตที่ "ชิล" ที่มีความสำคัญต่อเป้าหมายระยะยาวของเรา แต่ไม่ได้มีเส้นตายที่กดดัน เราต้องจัดสรรเวลาให้ทำเป็นประจำ เรื่อง"สำคัญแต่ไม่ด่วน" คือการ "ป้องกัน" ไม่ให้ปัญหากลายเป็นเรื่อง "สำคัญและเร่งด่วน" ในอนาคต การให้เวลากับสิ่งเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความเครียด สร้างโอกาส และนำไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน ยกตัวอย่าง สิ่งสำคัญแต่ไม่เร่งด่วนที่ผมทำในชีวิตจริง 1 สุขภาพกายและสุขภาพจิต - ออกกำลังกาย โดยมีเป้าหมาย cardio สัปดาห์ละ 150 นาที - ลดอาหารกลุ่ม ultra processed food กินอาหารอย่างสมดุล ไม่ได้คลีน 100% เพราะเคยทำแล้ว ทำได้ไม่นานเพราะไม่มีความสุขในการกินเลย - คิดดี พูดดี กับตัวเองและคนอื่น ผมพบว่า การสร้างรอยยิ้ม หรือ พลังงานบวก ส่งต่อไปให้คนอื่นได้นั้น มันมีความสุขมากนะ - ฝึกจิตใจให้มั่นคง เมื่อเรานิ่ง เราจะคิดก่อนทำ โกรธยากขึ้นมาก 2 การเงิน - ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการเงิน หาวิธีที่เหมาะสมกับเรา ให้ความสำคัญกับข้อนี้ให้มาก ถ้ามาถูกทาง เราจะสบายในระยะยาว - วางแผนการเงิน ทำรายรับรายจ่าย บันทึกการออม อย่างสม่ำเสมอ เมื่อทำประจำนอกจากสร้างวินัยแล้ว ยังวัดผลได้ง่ายด้วย - หารายได้เสริม หางานที่เราทำครั้งเดียว สร้างเงินได้เรื่อยๆ แน่นอนงานพวกนี้ก็ต้องใช้เวลาสะสม proof of work กว่าจะเห็นผลลัพท์ 3 พัฒนาตัวเอง - ศึกษาเรื่องต่างๆที่สนใจเพื่อพัฒนาตัวเอง - ลดการเสพคอนเท้นดราม่าที่ไม่มีประโยชน์ - เรียนรู้ทักษะหรือประสบการณ์ใหม่ๆ ตามโอกาส 4 การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี - คุยและให้ความสำคัญกับคนในครอบครัว เพื่อนและคนที่เรารัก สิ่งเหล่านี้ ผมก็ทำเพื่อให้ตัวเองมีความสุขและมีชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาวในหลายๆด้าน ถ้าใครยังรู้สึกว่าไม่ค่อยเก็ต ไม่เห็นภาพมากพอ ผมมีตัวอย่างการงานสำคัญแต่ไม่เร่งด่วน ที่ใช้ในชีวิตประจำวันจริงๆ แบบระยะสั้นมาให้ดู ผมจะมีลิส ว่า มีอะไรบ้างที่เราจะต้องทำภายในวันไหน - การจ่ายบิลต่างๆ ค่าเช่าบ้าน น้ำ ไฟ อินเทอร์เน็ต ประกัน (การมีระบบจัดการค่าใช้จ่าย ทําให้เรามีโอกาศลืมโอน น้อยมากครับ) สิ่งที่ทำคือ - เงินในบัญชีใช้จ่ายผมจะมีอยู่ 2 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือนเป็น buffer เสมอ เผื่อฉุกเฉินได้จ่ายบิลทันที - บิลที่ตัดบัญชีอัตโนมัติได้ผมเลือกทำเลยเพราะลดการลืมจ่ายไปได้ - ส่วนอะไรที่ต้องโอนมือ ผมจะเลือกตั้งเวลาโอนก่อนเช่น ค่าเช่าบ้านจ่ายไม่เกินทุกวันที่ 5 ผมก็จะจัดการโอนล่วงหน้าไว้ตั้งแต่เดือนก่อน เพื่อลดการลืมโอน หรือ แอฟมีปัญหาในช่วงต้นเดือน - ค่าใช้จ่ายอื่นๆที่ต้องจ่ายรายปี เช่น ต้องจ่ายปีละ 12000 บาท ผมก็จะใช้ระบบโอนอัตโนมัติเดือนละ 1000 บาท เข้าไปในบัญชีแยก พอครบกำหนด ผมก็จะตั้งโอนล่วงหน้าหรือโอนมืออีกที - บิลอื่นๆเช่น ภาษี หรืออะไรที่จ่ายครั้งเดียว ผมจะจ่ายทันที เมื่อมีบิล หรือ อีเมลล์แจ้งมา ป้องกันการลืมจ่าย - อะไรที่ทำเสร็จได้ภายใน 5 นาที เราทำเลย จะได้ไม่ลืม สิ่งที่ไม่ต้องรีบทำอื่นๆ - ตัวอย่างอีก 1 สัปดาห์ผมต้องไป ทำธุระที่ห้างหรือพื้นที่ใกล้เคียง ผมก็จะลิสก่อนว่า มีอะไรที่ทำที่ห้างนั้นได้บ้าง เราก็จัดลำดับความสำคัญ และ เอาไปจัดการได้ - ยกเลิกบัตรเดบิทที่ไม่ได้ใช้มานาน เปลี่ยนหน้าสมุดบช - ไปล้างรถ - ไปตัดผม - ถ่ายเอกสาร - ซื้อของที่ขาด เล็กๆน้อยๆ เพราะส่วนใหญ่ถ้าซื้อเยอะ ผมซื้อออนไลน์หมดแล้ว - ไปกินข้าวร้านที่เราชอบ แล้วจัดลำดับความสำคัญเช่น อะไรสำคัญสุด รอนาน ทำก่อน เช่น กดบัตรคิวแบงค์ ล้างรถ คิวตัดผม อะไรชิลๆได้ ก็ค่อยทำทีหลัง จะเห็นได้ว่าการจัดลำดับความสำคัญ เราทำได้กับทุกเรื่องเลย เพื่อใช้เวลาเราให้คุ้มค่าขึ้นอีก 3. ไม่สำคัญแต่เร่งด่วน (Urgent & Not Important) เป็นงานที่ต้องทำทันที แต่ผลกระทบต่อเป้าหมายหลักของเราไม่สูงนัก มักจะเป็นงานที่ผู้อื่นโยนมาให้ หรือเป็นสิ่งรบกวน เช่น การตอบอีเมลที่ไม่สำคัญ โทรศัพท์ที่ไม่จำเป็น การประชุมที่ไม่มีสาระ การจัดการธุระเล็กน้อย ถ้าเป็นสิ่งง่ายๆเร็วๆก็ทำให้เสร็จ หรือ ถ้ายากก็แบ่งงานเป็นส่วนๆหรือให้คนอื่นช่วยๆถ้าทำได้ รีบทำให้เสร็จจะได้มีเวลาไปทำสิ่งที่สำคัญของเรา 4. ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน (Not Urgent & Not Important) คือสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ไม่มีผลกระทบ และไม่จำเป็นต้องทำ เช่น การไถโซเชียลมีเดียอย่างไร้จุดหมาย เสพคอนเท้นไม่สร้างสรรค์ สร้างพลังงานลบ หรือ การทะเลาะกับคนอื่นทั้งโลกจริง โลกออนไลน์ ลดให้น้อยที่สุด งานกลุ่มนี้คือตัวฉกเวลาและพลังงานของคุณไปอย่างสิ้นเปลือง สรุป 1. จัดการ สิ่งสำคัญแต่ไม่เร่งด่วน ไม่ว่าเรื่องเล็ก หรือ เรื่องใหญ่ในชีวิตให้เป็น ลดความเสี่ยงในการปัญหาในระยะยาว คุณภาพชีวิตคุณจะดีขึ้น 2.ฝึกจัดการชีวิตอย่างมีระบบ จัดลำดับความสำคัญในชีวิตได้ดี เราก็จะชิลมากครับ บางคนอาจจะคิดว่าเครียดเกิน แต่ลองคิดดูว่า อยากจะเครียดแล้วชิล หรือ ชิลแล้วเครียดสะสมไม่จบกันแน่ #siamstr #พัฒนาตัวเอง #จัดการชีวิต #จัดการเงิน #บริหารเงิน
Sats and Sound's avatar
sats_and_sound 6 months ago
กำลังใจที่มาจากตัวเราเอง สำคัญที่สุดในโลก สังคมตอนนี้ มีแต่ความวุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นการเมืองระดับชาติ ระดับโลก สภาพสังคมและเศรษฐกิจก็แย่มากๆ ความแย่ระดับนี้ หลายๆคนคอนเฟิร์มว่า แย่กว่าโควิดอีก สังคมไทยในตอนนี้ผมว่า ทุกคนมีความเครียด และความสุขน้อยลง ไม่ว่าจะเกิดจากปัจจัยภายใน ปัจจัยภายนอก ทำให้คำว่า กำลังใจเป็นสิ่งที่ใครหลายคนต้องการและใฝ่หา เพื่อมาเติมพลังชีวิตในการเดินหน้าในวันที่ยากขึ้นเรื่อยๆแบบนี้ ดิสเคลมเมอร์ก่อนว่า สิ่งที่เขียนเป็นความคิดเห็นของผมเท่านั้นนะครับ ทำไมผมถึงบอกว่ากำลังใจจากตัวเราเองนั้นสำคัญที่สุดในโลก มันมาจากความรู้สึก และ สิ่งที่ผมพบเจอมาเอง มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมรู้สึกไม่ทุก ไม่สุขอยู่นาน จนไปเจอจดเปลี่ยนชีวิต ที่ทำให้เรา รู้สึกไม่มั่นคงเลย ทั้งความรู้สึก สถานะการเงิน ความสัมพัน โดยเฉพาะความไม่มั่นคงทางการเงิน ผมน่าจะรู้สึกมา 2-3 ปี หลังโควิด ความรู้สึกนี้มันติดอยู่ในใจ ที่เรายังหาทางแก้ไม่ได้ ตัวผมเองก็เล่าเรื่องนี้ให้เพื่อน และ ครอบครัวฟัง สิ่งที่เขาทำคือก็ การให้กำลังใจ ซึ่งกำลังใจจากคนรอบตัวแบบนี้เป็นสิ่งที่ดีมากๆนะครับ ไม่ใช่ว่ามันเป็นสิ่งไม่มีค่า มันมีค่าที่สุดและทำให้ผมคิดอยู่เสมอว่า เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะ แม่บอกตลอดว่า ทุกปัญหามีทางออกนะ เพื่อนผมบอกตลอดว่า ปัญหามันเยอะ มึงเครียดได้ แต่มึงต้องแบ่งปัญหาแล้วแก้ทีละขั้นไปจนหมด ผมก็จำและเอามาใช้ตลอด แต่ยังไงก็ตามในใจลึกๆผมมันก็ รู้สึกว่า เรายังไม่มันคง อยู่ดี คิดว่าเราไม่เก่งพอที่จะหาเงินมาให้ได้มากพอ เพื่อนที่เขาเก่งพอ เขาสบายขึ้นเรือยๆ แต่เราอยู่ที่เดิม เราทำทุกอย่าง เราขยัน เราประหยัด แต่เราก็ยังลำบาก จนวันที่ผม ได้เข้ามาศึกษาบิทคอย และ ได้รับคำตอบแล้ว่า ความรู้สึกที่ผมเจอเรื่องความไม่มั่นคง ไม่ใช่แค่เราหาเงินไม่ได้มากพอ แต่ส่วนสำคัญคือ เงินที่เรามีมันเสื่อมค่า อำนาจการจับจ่ายเรามันลดลงอยู่ตลอด โดยการพิมเงินและเงินเฟ้อ สิ่งนี้มีคนพยายามไม่บอกให้คนทั่วไปรู้ ทำให้หลายๆคนรวมถึงผม ยังคงติดอยู่ใน วงเวียนหนูถีบจักร ที่จะเหนื่อยๆต่อไปเรื่อยๆ และจะหนักมากขึ้นกว่าเดิม เพราะการพิมเงินมันมากขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาเรื่องเงินเสื่อมค่ามันโยงกลับไปได้หลายๆอย่างในชีวิตเอาเป็นว่าตั้งแต่เกิดจนตาย เราเหมือนถูกควบคุมทุกอย่างไว้แล้ว พอเข้าใจคำตอบ และเห็นหนทางในการแก้ไข เรื่องความไม่มั่นคงทางการเงิน ผมเหมือนปลดล็อคตัวเองเลยครับ ผมเริ่มให้กำลังใจตัวเอง พูดกับตัวเองทุกวัน ผมเริ่มศึกษาบิทคอยมากขึ้น ผมทยอยแปลงสินทรัพย์ที่มีมาเป็นบิทคอย ผมมีเป้าหมายในการออมบิทคอย และ เป้าหมายเกษียณด้วยบิทคอย ผมเริ่มดูคอนเท้นพัฒนาตัวเอง ทั้งความคิด การพูดจาดีกับตัวเอง และผู้อื่น ออกกำลังกาย ทุกเป้าหมายมีการบันทึกและติดตามผล proof of work ในท้ายที่สุด กำลังใจจากตัวเอง มันบอกผมว่า ปัญหาในอดีตของผมกำลังถูกแก้ไข ผมกำลังเดินทางมาถูกทางแล้ว ที่เหลือ แค่ทำตามระบบ ชีวิตเราจะดีขึ้นในระยะยาว จัดการสิ่งที่เราทำได้ไปหมดแล้ว โดยไม่สนใจอดีต เราจะมองไปข้างหน้าเท่านั้น กำลังใจที่ผมได้จากตัวเอง ทำให้ผมมีจิตใจที่มั่นคง จิตใจที่สงบและไม่หวั่นไหวต่อสิ่งรบกวนชั่วคราว ในความจริง ตอนนี้ผมได้เงินน้อยลง คุณภาพชีวิตแย่กว่าตอนที่เครียดอีก แต่ผมไม่มีความกังวลเรื่องความไม่มั่นคงแบบเดิมอีกต่อไปแล้ว จากกำลังใจที่ผมให้ตัวเอง ซึ่งกำลังใจนี้เกิดจาก บิทคอยที่เป็นคำตอบของผม มันเหมือนเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจผมไปแล้ว ใครจะคิดว่าผมกวา ผมเพ้อฝัน ก็คิดได้แต่ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ #btc #bitcoin #siamstr #nostr
Sats and Sound's avatar
sats_and_sound 6 months ago
อีก 10 ปีเกษียณมี 1 BTC พอไหม? คำนวณเคสจริงให้ดู - Sats and Sound มีคลิปและบทความเลยครับ อีก 10 ปีเกษียณมี 1 BTC พอไหม? บิทคอยกับการเกษียณเป็นหนึ่งในหัวข้อยอดฮิตที่มีผู้คนสนใจ คำถามที่สะท้อนความคาดหวังและความกังวลของนักลงทุนยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี คำถามนี้ผมเอามาจากกลุ่ม Bitcoin Thai Community และได้เอาคำตอบที่น่าสนใจมา มาวิเคราะห์และสรุปประเด็นสำคัญ เพื่อให้ทุกคนได้ฉุกคิดและเป็นหนึ่งในไอเดียการวางแผนอนาคตทางการเงินของตัวเอง ภาพรวมคำตอบ คือไม่มีคำตอบตายตัว และมีหลากหลายมุมมอง สรุปคือเน้นที่ "จะเกษียณได้มั้ยอยู่ที่ตัวคุณ" มันก็ตอบยากนะว่า "พอ" หรือ "ไม่พอ" ถึงจะมีข้อมูลให้มา แต่แต่ละคนก็มีความแตกต่างกัน - บางคนมองโลกในแง่ดีว่าอีก 10 ปี Bitcoin น่าจะราคาสูงพอ น่าจะทัน - บางคนก็มองว่าเกษียณได้ แต่ลำบากหน่อย อย่างน้อยวันนี้ต้องมีสัก 5 BTC - แต่บางคนเน้นย้ำถึงความสำคัญของการวางแผนการเงินรอบด้าน และการไม่ยึดติดกับสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งมากเกินไป เก็บในหลายๆอย่างรวมกันไป เพื่อความคล่องตัว ประเด็นหลักที่ จะตอบได้ว่าเกษียณได้มั้ยมี 3 ข้อคือ 1. เรื่องปัจเจกบุคคล การใช้เงินหลังเกษียณ ไลฟ์สไตล์ 2. ศักยภาพของ Bitcoin ในอนาคต ราคาจะโตไปเท่าไหร่ 3. วิธีการใช้ Bitcoin ในการเกษียณ 1. เรื่องปัจเจกบุคคล การใช้เงินหลังเกษียณ ไลฟ์สไตล์ - Lifestyle และค่าใช้จ่าย: คุณต้องการใช้เงินเท่าไหร่ต่อเดือนหลังเกษียณ? ไลฟ์สไตล์เรียบง่าย หรือฟุ้งเฟ้อ? อยู่จังหวัดไหน บางคน 10ล้านพอ บางคน 50ก็ไม่พอ - อายุขัยที่คาดการณ์: อย่าลืมว่าคนยุคนี้อายุยืนขึ้น การวางแผนแค่ 10 ปีอาจไม่พอ ต้องเผื่อถึง 85 ปีหรือมากกว่านั้น อันนี้จริงมากเพราะคนอายุยืนขึ้นจากการพัฒนาการทางการแพทย์และดูแลสุขภาพกันมากขึ้น ความน่ากลัวกว่าคือเงินหมดก่อนตาย - Cashflow : BTC มันดูมั่นคงในระยะยาว แต่มันไม่มียีล คุณต้องมีแผนการสร้างกระแสเงินสด (Cashflow) ในรูปเงิน Fiat (เงินกระดาษ) เพราะปัจจุบัน BTC ยังไม่ได้ใช้จ่ายสะดวกขนาดนั้น 2. ศักยภาพของ Bitcoin ในอนาคต หลายคนมองโลกในแง่ดีต่อราคา Bitcoin ที่จะพุ่งสูงขึ้น - เป็นสินทรัพย์ต้านเงินเฟ้อ : BTC ถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์แห่งการออมและต้านทานเงินเฟ้อที่ดีกว่าทองคำหรือหุ้นในปัจจุบัน ออมในบิทคอยน่าจะเกษียณได้ง่ายที่สุด - บางคนเชื่อว่าในอีก 8 ปี ราคา BTC อาจไปถึง 10 ล้านดอลลาร์ หรือ 33 ล้านบาทไทย - จากสถิติ 10 กว่าปีที่ผ่านมาที่ขึ้นมา 500 กว่าเท่า (เฉลี่ยปีละ 47 เท่า) หากหลังจากนี้โตเฉลี่ยแค่ปีละ 4-5 เท่า ก็ยังดีกว่าสินทรัพย์อื่นที่ลดค่าจากเงินเฟ้อ - บางคนมองว่า 1 BTC เทียบเท่ากับการทำงาน 30 ปี ซึ่งสะท้อนมูลค่าที่สูง 3. การใช้ Bitcoin ในการเกษียณ คำนวณจริงให้ดู เครื่องมือที่ผมใช้คือ Bitcoin retirement calculator ค้นหาทำตามได้เองเลย - คำนวณก่อนว่าตอนเกษียณเราจะต้องใช้เงินต่อปีเท่าไหร่ และ มีเงินทั้งหมดเท่าไหร่ ใครจะคำนวณเป็นเฟียต หรือ คำนวณเป็นบิทคอยก็ได้ - ผมใส่ค่าของพี่ที่ถามเลย อายุ 50 ปี จะใช้ชีวิตไปถึง 86 ปี ตอนนี้มีอยู่ 1 บิทคอย จะไม่ซื้อบิทคอยเพิ่มอีกหลังเกษียณ อัตราเติบโตทบต้นของบิทคอยคือ 30 เปอร์เซน เงินเฟ้อโตปีละ 8 เปอร์เซน ต่อปีต้องการใช้เงิน 50,000เหรียญ เท่ากับประมาณ 1.6 ล้านบาทไทย เดือนนึง 130,000 บาทไทย ก็น่าจะโอเค - พอคำนวณออกมา ในเรทนี้ เขาเกษียณได้ทันนะ 1 BTC เพียงพอ ตอนอายุ 56 - นี้เป็นเพียงหนึ่งเครื่องมือใช้คาดการณ์อนาคตเป็นไอเดียนะ อาจจะถูกหรือผิดก็ได้ - สมมติรู้แล้วว่าพอ แล้วยังไงต่อ เราก็แค่ทยอยขายบิทคอย รายปีตามแผนครับ เอาเงินมาใช้จ่าย - เมื่อเวลาผ่านไปมูลค่าของบิทคอยจะมากขึ้นเท่ากับว่า เราจะใช้บิทคอยหรือsat น้อยลงทุกๆปีในการใช้จ่ายเท่าเดิม - ถ้าคำนวณดีๆ ตอนเราเสียชีวิตก็จะเหลือบิทคอยน้อยมากๆ ประมาณนี้เลยครับ ข้อดีคือง่าย จัดการได้เอง ไม่เสี่ยง ข้อเสียคือบิทคอยเราจะลดลงไปเรื่อยๆเพราะต้องขายออก และในช่วงบิทคอยราคาตกก็ต้องระวังให้มากด้วย - นอกจากนั้นยังมีอีกวิธี เพราะบางคนไม่ได้อยากขายบิทคอยออกไป ต้องการเก็บไว้ให้ลูกหลาน ดังนั้น วิธีที่จะได้แคชโฟวก็คือ การใช้ BTC เป็นหลักค้ำประกันเพื่อกู้เงิน Fiat มาใช้จ่าย โดยพยายามรักษา LTV (Loan-to-Value) ไม่ให้สูงเกินไป - ไอเดียคร่าวๆคือการเอาบิทคอยเช่น 10%-20%ของที่มี ไปปล่อยกู้ เอาเงินเฟียตนั้นออกมาใช้จ่าย และจ่ายดอกเบี้ยรายปี แล้วกู้วนไปเรื่อยๆทุกปี ข้อดีของวิธีนี้คือ ถ้าเราจ่ายดอกเบี้ยและบริหารเงินได้ดี เราจะไม่ต้องขายบิทคอยเลย สามารถเก็บไว้เป็นมรดกได้ ข้อเสีย ซับซ้อนและเสี่ยงกว่าวิธีแรกเราต้องมีความรู้ความเข้าใจ รวมถึงหาแหล่งค้ำประกันบิทคอยที่น่าเชื่อถือในปัจจุบันยังมีน้อยมาก ไม่งั้นเอาไปฝากเขา บริษัทเจ๊งบิทคอยหาย ซวยอีก ถ้าให้ผมสรุปเคสพี่คนนี้ สามารถเกษียณได้ด้วย 1 BTC ครับ แต่ด้วยระยะเวลาแค่ 10 ปี ถ้าพี่เขาไม่มีกระแสเงินสดจากทางอื่นเลย การขายบิทคอยรายปีมาใช้ก็ยังมีความเสี่ยงเรื่องราคาเหมือนกัน อาจจะเกษียณแบบไม่ได้สบายมากนัก และถ้าจะใช้วิธีค้ำประกันบิทคอยเอาเฟียตมาใช้ ถ้าไม่มีความรู้ ไม่แนะนำให้ทำครับเสี่ยงกว่าวิธีแรกมากๆ จ่ายดอกไม่หมด หมุนเงินไม่ทัน เขายืดบิทคอยไปนะ ข้อควรระวัง - Bitcoin เป็นเพียงหนึ่งในทางเลือกเท่านั้น : ควรมีแผนสำรอง (แผน 2, 3, 4) เพราะไม่มีอะไรรับประกันว่า Bitcoin จะรักษามูลค่าไว้ได้เสมอไป - ย้ำว่าไม่มีใครสามารถคาดการณ์อนาคตได้ 100% - ควรใช้ความคิดของตัวเอง หาข้อมูล และพิสูจน์ด้วยตนเอง เพราะไม่มีใครสามารถช่วยคุณได้หากเกิดข้อผิดพลาด บทสรุป: กุญแจสำคัญคือ "แผนของคุณ" คำตอบ ผม ชี้ให้เห็นว่า 1 BTC เคสนี้ อาจเพียงพอต่อการเกษียณได้ หากมี "แผนการที่ชัดเจน" และ "ความเข้าใจที่ถ่องแท้" ไม่ใช่แค่การคาดหวังราคาที่พุ่งสูงลิ่วเพียงอย่างเดียว มันต้องมีการจัดการหลังเกษียณที่ถูกต้องด้วย คนที่ดูสามารถใช้ข้อมูลในคลิป ไปหาคำตอบของตัวเองได้ ว่า สำหรับคุณ 1 BTC พอสำหรับเกษียณมั้ย? #siamstr #btc #bitcoin