สนใจอยากลองชิม DM มาได้ครับ
ถุงละ 50 บาท ค่าส่ง 25 บาท
รับทั้ง Fiat และ LN
#SiamStr
nostr:nevent1qqst0mmjtu338s6cmlhj8s7cxrf8u7pvfq49q00aq7085ggm7kv8zggpz4mhxue69uhhyetvv9ujuerpd46hxtnfduhsygr897zu5jc76tzj7cx5v9pqth4p65qqltsq7j24aayngahy74ykfcpsgqqqqqqskk5p9d
SorawichToday
sorawichtoday@siamstr.com
npub1vuhc...a7ek
Autistic Bitcoiner - บิตคอยน์เนอร์ผู้เป็นบุคคลออทิสติก
Notes (20)
เห็นวันนี้ nostr:nprofile1qqsr0t7fux46puay2tltyara5q9kgr47phqelw5qh38ft6gw97y0llcpz4mhxue69uhhyetvv9ujuerpd46hxtnfduhs79t6te โพสต์ว่าทำได้แล้ว ยินดีด้วยนะครับ
แต่ผม ทำได้แค่ 1 ใน 4 ของเป้าหมายเอ๊งงงง
ไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร แค่เป้าเล็กๆที่ตั้งกับตัวเอง ยังทำไม่ได้เล้ยยย แงงงงง
#SiamStr
nostr:nevent1qqsye5c0a8dmdrke9gre2j68rl0h6jx8gkx4gtegvd0688egyeajztspr4mhxue69uhkummnw3ezucnfw33k76twv4ezuum0vd5kzmp0qgsxwtu9ef93a5k99asdgc2zqh02r4gqp7hqpay4tm6fx3mwfa2fvnsrqsqqqqqprekcq5
เอาลูกสาวมาอวด
#SiamStr
#CatStr


อยากแทงสวน Mainstream แต่กลัวทัวร์ 555
เงินเฟ้อ 7-8% ทุกปี ต้นทุนผู้ประกอบการก็น่าจะขึ้นทุกปี แต่พรี่จะไม่ให้ค่ายมือถือขึ้นราคาเลยเหรอ
ต้นโพสต์คือเค้าเรียกร้องให้รัฐแทรกแซงตลาดโทรคมนาคมฮะ
หรือเคสควบรวม True-dtac มันคือความล้มเหลวของตลาด รัฐจึงควรแทรกแซงตลาดกันนะ ชาวออสเตรียนว่าไง
https://www.facebook.com/share/p/1CX9eAHqk7/
#SiamStr
น้ำพริกล็อตใหม่มาแล้วนะครับ
สั่งกันได้เลย
DM มาได้ หรือทัก FB m.me/SorawichToday
#SiamStr
nostr:nevent1qqst0mmjtu338s6cmlhj8s7cxrf8u7pvfq49q00aq7085ggm7kv8zggpz4mhxue69uhhyetvv9ujuerpd46hxtnfduhsygr897zu5jc76tzj7cx5v9pqth4p65qqltsq7j24aayngahy74ykfcpsgqqqqqqskk5p9d
รีวิวจากลูกค้า คุณ nostr:nprofile1qqsgktlhe662r6j43wujnnsdx5falm9ze2m39lg5j4g6jcwgy2kwyxqpzfmhxue69uhkuenjv4kxz7fwv9c8qtcppemhxue69uhkummn9ekx7mp0qyvhwumn8ghj7mn0wd68ytn0wpjku6r0danxgtnwdshs3es84p ครับ
ล็อตนี้เหลืออีก 3 ถุง ผลิตอีกทีน่าจะสิ้นเดือนครับ
ถุงละ 50 บาท ค่าส่ง 25 บาท
รับทั้ง #เงินชั้นต่ำ (พร้อมเพย์)
และ เงินที่แข็งแกร่ง (Bitcoin Lightning)
สนใจ DM ได้นะครับ
#SiamStr


ล็อตล่าสุดเหลือ 3 ถุง ผลิตอีกทีน่าจะสิ้นเดือนเลย
สนใจ DM มาครับ
#SiamStr
nostr:nevent1qqsxzd9tkpvwv6kelmy5raju5pp8c8frckz7tww0fsfk89szt0d88zqpz4mhxue69uhhyetvv9ujuerpd46hxtnfduhsygyt9lmuad9paf2chwffecxn2y7laj3v4dcjl52f25dfv8yz9t8zrqpsgqqqqqqs9szc8g
เนี่ย ทุกทีเลย #Bitcoin ชอบลงมาให้ Stack ตอนเราไม่มีเงิน Fiat จะ Stack
เดี๋ยวพอสิ้นเดือนเงินเดือนออก มันก็จะกลับไป ATH
#SiamStr
รีวิวจากลูกค้าครับ
สนใจสั่งซื้อ DM มาได้นะครับ
nostr:nevent1qqsxzd9tkpvwv6kelmy5raju5pp8c8frckz7tww0fsfk89szt0d88zqpz4mhxue69uhhyetvv9ujuerpd46hxtnfduhsygyt9lmuad9paf2chwffecxn2y7laj3v4dcjl52f25dfv8yz9t8zrqpsgqqqqqqs9szc8g
เบื่อไหมที่ต้องปวดหัวกับวิชาเศรษฐศาสตร์? หนังสือ "เศรษฐศาสตร์เล่มเดียวจบ" จะเปลี่ยนความคิดคุณไปตลอดกาล!
นี่ไม่ใช่หนังสือเรียนที่เต็มไปด้วยทฤษฎีซับซ้อน แต่คือแก่นแท้ของเศรษฐศาสตร์ที่ถูกสรุปมาเป็นบทเรียนเดียวที่ทรงพลังและเข้าใจง่ายสุด ๆ
คุณจะได้เรียนรู้ว่า ทำไมการมองแค่ผลกระทบระยะสั้นถึงอันตราย และทำไมการตัดสินใจทางเศรษฐกิจที่ดูเหมือนดี กลับสร้างหายนะในระยะยาว
อ่านจบเล่มนี้ คุณจะมองข่าวเศรษฐกิจ นโยบายรัฐ หรือแม้แต่เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างเฉียบคมขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
"เศรษฐศาสตร์เล่มเดียวจบ" คือคู่มือเล่มสำคัญที่ทุกคนควรมี!
สั่งซื้อได้แล้ววันนี้
📌 https://s.shopee.co.th/3qDtIwRRml
#SiamStr


เหลือ 1 ที่ รอส่งทีเดียว มาร่วมสนุกกันครับ
#SiamStr
nostr:nevent1qqswcmltezc6vdsaurgdu9t7ah6esr8e8vqvqg4fd9m2nru2xw3dr0spz4mhxue69uhhyetvv9ujuerpd46hxtnfduhsygr897zu5jc76tzj7cx5v9pqth4p65qqltsq7j24aayngahy74ykfcpsgqqqqqqsweet08
เห็นหลายคนกลับมา #SiamStr กัน
วันนี้ผมมาพร้อมโปรแจกกาว 1 Sats = 1 บาท
น้ำพริกนรกปลาสลิดที่ผมขายอยู่ 2 ห่อ 100 บาท
ค่าส่ง 25 บาท รวม 125 บาท
Zap โพสต์นี้ 125 Sats แล้ว Reply หลักฐาน / DM ชื่อที่อยู่เบอร์โทรมา
2 ท่านแรก ส่งให้เลยครับ
ในโลกการเงินปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนและคำถามมากมาย Bitcoin ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ที่หลายคนอาจมองว่าเป็นแค่ “แชร์ลูกโซ่” หรือ “สแกม” แต่ในช่วง 16 ปีที่ผ่านมา มันกลับไม่เคยหายไปไหนและยังคงถูกพูดถึงอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อราคามีการปรับตัวสูงขึ้น บทความนี้จะเจาะลึกว่า Bitcoin คืออะไร ทำไมมันถึงยังคงอยู่ และแตกต่างจากระบบเงินที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้อย่างไร
อ่านต่อได้ที่ : https://sorawich-today.com/money/bitcoin-a-financial-freedom-in-the-distorted-world/
#SiamStr
คุณนาโอมิ The Investo เหมาน้ำพริกมาให้จัดกิจกรรมแจก
งั้นแบ่งมาแจกชาว #SiamStr สัก 8 ถุง (4 รางวัล รางวัลละ 2 ถุง)
กับอัตราแลกเปลี่ยนสุดกาว 1 Sats = 1 บาท
กติกาง่ายๆ Zap โพสต์นี้ 125 Sats แล้วคอมเมนต์หลักฐาน พร้อม DM ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร เพื่อจัดส่ง
กิจกรรมถึงวันเสาร์ ถ้าไม่มีใครสนใจ จะยกยอดไปแจกใน FB ต่อ


น้ำพริกนรกปลาสลิด🐟💥🔥 #แซ่บถึงใจ ในราคาสุดคุ้ม!
เนื้อปลาสลิดเน้นๆ หอม ฟู
เผ็ด จัดจ้าน หอมเครื่องแกงสุดๆ
กินกับข้าวสวยร้อนๆ ไข่เจียว หรือผักสดก็อร่อยฟิน
ใครลองก็ติดใจ! ถุงละ 50 บาท (100 กรัม) เท่านั้น!
ค่าส่งเหมาๆ แค่ 25 บาท ทั่วประเทศ
จะสั่งไปทานเอง หรือเป็นของฝากก็ดีงาม สนใจทักเลย!
#SiamStr


สรุปเนื้อหาจาก #BitcoinTalkShot
ฝันอยากจะรวยแต่ไม่รู้จักเก็บออม คือ "ฝันกลางวัน"
ในตอนนี้ อ.พิริยะ ได้กล่าวถึงความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการสร้างความมั่งคั่ง โดยเน้นย้ำว่าการเก็บออมและการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสมนั้นสำคัญกว่าการพยายามจับจังหวะตลาด และ Bitcoin สามารถเข้ามามีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหาการเสื่อมค่าของเงินออม
📌 📌 ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการสร้างความรวยอย่างรวดเร็ว
🟠 หลายคนมีความฝันที่จะรวยเร็วจากการเทรดหรือลงทุน โดยได้รับอิทธิพลจากโฆษณาที่อ้างว่าทำเงินได้จำนวนมาก
🟠 อย่างไรก็ตาม สถิติในตลาดชี้ให้เห็นว่า "95% ของเทรดเดอร์มักจะขาดทุน" และมีเพียง 1-2% เท่านั้นที่สามารถทำกำไรได้มหาศาล
🟠 การเทรดหรือลงทุนนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด และการพยายามหาจุดต่ำสุดหรือสูงสุดในตลาดเป็นเรื่องที่ยากมาก และมีประโยชน์น้อยกว่าการอยู่ในตลาดเป็นระยะเวลานาน
🟠 การเข้าไปในตลาดด้วยเงินทั้งหมดที่มี โดยที่ไม่มีฐานรองรับและมีความคาดหวังสูง (เช่น หวังรวยพลิกชีวิต) นั้น เป็น "สูตรสำเร็จแห่งหายนะ" เพราะจะทำให้คุณไม่สามารถทนรับความเสียหายได้ และมักจะแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มรบ
📌📌 ความสำคัญของการสร้างรายได้และการเก็บออมเป็นรากฐาน
🟠 สำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถออมเงินได้ (รายจ่ายมากกว่ารายได้) "หน้าที่แรกคือการสร้างรายได้ให้มากกว่ารายจ่าย" ไม่ใช่การมองหาวิธีรวยเร็วผ่านการลงทุน
🟠 "การออมคือ "แม่ทุกสถาบัน" และเป็นจุดเริ่มต้นของความมั่งคั่งและการลงทุน"
🟠 รากฐานทางการเงินที่มั่นคงจากการออมเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้สามารถรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ และไม่ต้องรีบเร่งในการตัดสินใจลงทุน
🟠 หากมีเงินออมที่เพียงพอ คุณจะสามารถแบ่งเงินส่วนเล็ก ๆ ไปลงทุนได้โดยไม่รู้สึกกดดัน และสามารถทนต่อความผันผวนหรือการขาดทุนได้ดีขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ผลกำไรที่ยั่งยืน
📌📌 ปัญหาของการเก็บออมด้วยเงินเฟียต (เงินกระดาษ) และบทบาทของเงินเฟ้อ
🟠 ปัญหาหลักของการเก็บออมเงินคือ "การเสื่อมค่าของเงิน" หรือ "เงินเฟ้อ"
🟠 แม้จะเก็บออมเงินจำนวนมาก เช่น 35 ล้านบาท หรือ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่มื่อเวลาผ่านไป อำนาจการจับจ่ายของเงินนั้นจะลดลงอย่างต่อเนื่อง
🟠 อัตราเงินเฟ้อที่แท้จริง (จากปริมาณการพิมพ์เงิน เช่น M2 ของดอลลาร์สหรัฐฯ ที่โตเฉลี่ย 6-6.5% ต่อปี) ทำให้การออมเงินเฟียตไม่สามารถสร้างฐานะได้ในระยะยาว
🟠 ในช่วงแรกของการออม เงินออมอาจยังเติบโตเร็วกว่าเงินเฟ้อ แต่เมื่อเวลาผ่านไป อัตราการเพิ่มขึ้นของเงินออมจะลดลง และเงินเฟ้อจะทำให้อำนาจการจับจ่ายลดลง "เป็นเหมือน "กำแพง" ที่กั้นไม่ให้คนส่วนใหญ่สร้างความมั่งคั่งได้เกินจุดหนึ่ง"
🟠 รายได้ที่เพิ่มขึ้นตามปกติ (เช่น 1-3% ต่อปี) มักไม่เพียงพอที่จะชดเชยอัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่านี้ ทำให้การออมเงินเฟียตอย่างเดียวเป็นไปได้ยากที่จะชนะเงินเฟ้อ
📌📌 Bitcoin ในฐานะ Store of Value ที่ช่วยแก้ปัญหาเงินเฟ้อ
🟠Bitcoin ถูกนำเสนอเป็นทางออกสำหรับปัญหาการเสื่อมค่าของเงิน โดยทำหน้าที่เป็น Store of Value (แหล่งเก็บรักษามูลค่า) ที่ดี
🟠คุณสมบัติสำคัญของ Bitcoin คือ "มีปริมาณจำกัด" ไม่สามารถผลิตเพิ่มได้ง่าย มีกฎการผลิตที่ตายตัว และต้องใช้พลังงานในการผลิตอย่างยุติธรรม
🟠 สินทรัพย์ที่สามารถใช้เป็น Store of Value ได้ดีคือสินทรัพย์ที่เมื่อราคาสูงขึ้นแล้ว อัตราการผลิตของมันไม่สามารถเร่งเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วตามความต้องการของตลาด เช่น ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ (ในอดีต) และ Bitcoin
🟠 การออมในสินทรัพย์ที่มูลค่าเติบโตขึ้นตามเวลา เช่น Bitcoin (ซึ่งมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยทบต้นที่สูงกว่าเงินเฟียตมาก เช่น 15% ต่อปีอย่างอนุรักษ์นิยม) จะช่วยให้เงินออมมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจริง
🟠 จากการจำลอง (simulation) แสดงให้เห็นว่า การออมใน Bitcoin ด้วยจำนวนเงินเท่าเดิม (เช่น เดือนละ 10,000 บาท) จะทำให้มูลค่าเงินออมในอนาคตมีอำนาจการจับจ่ายที่สูงกว่าการออมในเงินเฟียตอย่างมาก
🟠 สิ่งนี้จะช่วยให้บุคคลสามารถ "ปลดล็อก" กำแพงของเงินเฟ้อ ทำให้ฐานะทางการเงินเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด และถึงจุดหนึ่งที่ผลตอบแทนจากการลงทุนสามารถสร้างรายได้ที่เพียงพอต่อการใช้จ่าย หรือแม้กระทั่งให้คุณหยุดออมเงินจากการทำงานปกติได้ [18, 19].
🟠 อย่างไรก็ตาม Bitcoin จะช่วยแก้ปัญหาให้กับผู้ที่มีปัญหาในการ "เก็บรักษา" มูลค่า (store value) อยู่แล้ว ไม่ใช่ผู้ที่ยังไม่มีเงินเก็บเลย
📌📌 สรุปและข้อคิด
🟠 การสร้างฐานรากทางการเงินที่แข็งแกร่งด้วยการออมเงินเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
🟠จากนั้นจึงพิจารณาลงทุนในสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันเงินเฟ้อและรักษามูลค่าได้ เช่น Bitcoin เพื่อให้เงินออมของเราเติบโตจริงในระยะยาว
🟠 เมื่อมีฐานที่มั่นคงแล้ว คุณจะสามารถลงทุนได้อย่างใจเย็น ไม่ต้องรีบร้อน และสามารถรับการขาดทุนได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จในการลงทุน
🟠 การเร่งให้เงินเติบโตในวันที่ยังไม่พร้อม (เช่น มีเงินน้อยแต่คาดหวังผลตอบแทนสูงมาก) เป็นสิ่งที่อันตรายและเพ้อเจ้อ
#Bitcoin #BTC #PersonalFinance #การเงิน #SiamStr
สนับสนุน #SorawichToday ผ่าน Bitcoin Lightning ได้ที่
⚡️ sorawichv@blink.sv
สนับสนุน #SorawichToday ด้วยการสั่งซื้อน้ำพริกนรกปลาสลิด รสจัดจ้านถึงใจ กินกับอะไรก็ฟิน เพียงถุงละ 50 บาท (*ค่าส่ง 25 บาททั่วประเทศ) ทัก Inbox เพจได้เลย
ติดต่อโฆษณา / ประชาสัมพันธ์
📧 sorawichtoday@outlook.com


Preview "เศรษฐศาสตร์เล่มเดียวจบ" - คู่มือวิพากษ์นโยบายรัฐและทำความเข้าใจเศรษฐศาสตร์ฉบับประชาชน
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นตำราเศรษฐศาสตร์ที่ซับซ้อน แต่เป็นคู่มือที่มุ่งอธิบายแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ขั้นพื้นฐานอย่างง่าย เพื่อให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงและทำความเข้าใจได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐ
แก่นหลักของหนังสือ : "มองให้ครบทั้งสองมิติ"
ผู้เขียน Henry Hazlitt สรุปใจความสำคัญของเศรษฐศาสตร์ไว้ในบทแรกเพียงบทเดียว ซึ่งเป็นบทเรียนเดียวที่ครอบคลุมทั้งเล่ม โดยมีหลักคิดสำคัญคือ "นักเศรษฐศาสตร์ที่ดีจะต้องมองให้เห็นทั้งรอบด้าน มองถึงผลดีที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว และผลกระทบต่อคนทั้งสังคม ไม่ใช่แค่บางกลุ่ม" ตรงกันข้ามกับ "นักเศรษฐศาสตร์ที่แย่" ซึ่งมองเห็นเพียงผลกระทบระยะสั้นและพยายามทำให้ตัวเลขดูดีในระยะสั้น แต่ละเลยผลที่ตามมาในระยะยาว
หนังสือเล่มนี้เน้นย้ำถึงสองมิติสำคัญในการวิเคราะห์นโยบายเศรษฐกิจ :
มิติเรื่องเวลา: การพิจารณาทั้งผลกระทบระยะสั้นและระยะยาว เปรียบเทียบกับหลักการ "Lower your Time Preference" ซึ่งหมายถึงการให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ในอนาคตมากกว่าผลลัพธ์ในปัจจุบัน
มิติเรื่องกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบ : การมองให้เห็นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับทุกคนในสังคม ไม่ใช่แค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลประโยชน์หรือเป็นที่จับตามอง
การวิพากษ์วิจารณ์นโยบายรัฐและการแทรกแซงตลาด
หนังสือ "เศรษฐศาสตร์เล่มเดียวจบ" ถูกเขียนขึ้นครั้งแรกในปี 1946 ในช่วงหลัง The Great Depression ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดี FDR กำลังดำเนินนโยบาย New Deal ที่มีการแทรกแซงเศรษฐกิจอย่างมาก ผู้เขียน Henry Hazlitt ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรียและเป็นผู้ผลักดันแนวคิดเสรีนิยม ได้ใช้กรณีศึกษาจากนโยบายเหล่านั้นมาวิพากษ์วิจารณ์ โดยชี้ให้เห็นว่า
การแทรกแซงของรัฐมักนำไปสู่หายนะ : แม้ว่าเจตนารมณ์ของนโยบายรัฐอาจจะดี แต่ผลลัพธ์ที่ตามมามักจะนำไปสู่ผลลัพธ์สุทธิที่เป็นลบ หรือให้ผลในทางตรงกันข้ามกับความเจริญทางเศรษฐกิจเสมอ
วงจรอุบาทว์ของการแทรกแซง : นโยบายรัฐที่เข้าไปช่วยเหลือหรืออุดหนุนอุตสาหกรรมหนึ่ง มักจะดึงทรัพยากรมาจากอุตสาหกรรมอื่น ทำให้เกิดการหดตัวของอุตสาหกรรมเหล่านั้น และนำไปสู่การเรียกร้องนโยบายช่วยเหลือเพิ่มเติมในอนาคต เกิดเป็นวงจรอุบาทว์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด
รัฐบาลบริหารงานไร้ประสิทธิภาพ : รัฐบาลบริหารงานได้อย่างไร้ประสิทธิภาพเสมอ โดยมักจะเกิดการสูญเสียระหว่างทาง การแทรกแซงของรัฐทำให้เกิดความสูญเปล่าและลดทอนประสิทธิภาพโดยรวมของระบบเศรษฐกิจ
ตัวอย่างนโยบายที่ถูกกล่าวถึงในหนังสือและยังคงเป็นประเด็นถกเถียงในปัจจุบัน ได้แก่:
- ภาษีนำเข้า
- โครงการบ้านเอื้ออาทร/การประกันค่าเช่า
- การประกันค่าแรงขั้นต่ำ
- การลงทุนภาครัฐเพื่อสร้างงาน (เมกะโปรเจกต์)
- การประกันราคาพืชผล
เงินเฟ้อ : ภาษีที่มองไม่เห็นและอาชญากรรมที่ร้ายแรงที่สุด
ประเด็นเรื่อง "เงินเฟ้อ" ถูกยกขึ้นมาพูดถึงอย่างมากในตอนท้ายของหนังสือ (โดยเฉพาะในเวอร์ชันแก้ไขปี 1978)
เงินเฟ้อคือมายา : Henry Hazlitt เรียกว่า "มายาของเงินเฟ้อ" (Mirage of Inflation) หรือ "มนต์มายา" เพราะเงินเฟ้อทำให้การพิจารณาด้วยเหตุและผลคลาดเคลื่อน ตัวเลขทางเศรษฐกิจกลายเป็นเรื่อง "มั่วซั่ว" ไม่สามารถหาเหตุผลได้
เงินเฟ้อเป็นเครื่องมือของรัฐบาล: เงินเฟ้อกลายเป็นเครื่องมือที่รัฐบาลใช้ปิดบังผลเสียของนโยบายต่างๆ และสร้างภาพลวงตาว่ากำลังแก้ปัญหา
เงินเฟ้อคือภาษีที่ร้ายแรงที่สุด : เงินเฟ้อคือภาษีประเภทหนึ่ง แล้วเป็นภาษีประเภทที่มันทำความ เสียหายมากที่สุดด้วย เงินเฟ้อเป็นภาษีที่ควบคุมไม่ได้ และประชาชนถูกปล้นความมั่งคั่งไปอย่างต่อเนื่อง
หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับ :
- คนทั่วไปที่มีบทบาททางการเมือง : โดยเฉพาะผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ต้องการเข้าใจนโยบายต่างๆ เพื่อป้องกันตนเองจากการถูกหลอกด้วยคำโฆษณาด้านเดียว
ผู้ที่ต้องการพัฒนา Mindset ในการคิดวิเคราะห์ : หนังสือเล่มนี้ให้ "วิธีคิด" มากกว่า "คำตอบสำเร็จรูป" ผู้ที่อ่านจะต้องฝึกฝนการมองผลกระทบทั้งระยะสั้น-ยาว และกับคนทุกกลุ่ม
ผู้ที่ต้องการเข้าใจรากฐานของปัญหาเศรษฐกิจ : โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดจากการแทรกแซงของรัฐ และต้องการคำตอบว่าทำไมคุณภาพชีวิตไม่ดีขึ้น
ผู้ที่รักความเป็นมนุษย์และเชื่อในการรับผิดชอบตนเอง : หนังสือจะช่วยให้เข้าใจว่าการฝากความหวังไว้กับอำนาจรัฐมักจะไม่ประสบผล และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพึ่งพาตนเอง
"เศรษฐศาสตร์เล่มเดียวจบ" ไม่ได้เป็นเพียงหนังสือเศรษฐศาสตร์ แต่เป็นคู่มือที่ช่วยให้ผู้อ่าน "ตั้งคำถามเป็น" และ "มองเห็นในสิ่ง ที่มองไม่เห็น ในโลกของ เศรษฐศาสตร์ ได้อย่าง ชัดเจน" ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญในการมีชีวิตที่ดีขึ้นในสังคมปัจจุบัน
➖️ ➖️ ➖️ ➖ ️➖️ ➖ ️➖️ ➖ ️➖️ ➖️
ถ้าสนใจอยากอ่าน #เศรษฐศาสตร์เล่มเดียวจบ หรือ #EconomicsInOneLesson
สามารถสั่งซื้อได้ทาง
📌 Shopee : https://s.shopee.co.th/801MnP9g92
📌 Lazada : https://s.lazada.co.th/s.ycdlf
📌 Pinto (E-Book) : https://pintobook.com/sl/aydlquhq3z
#EIOL #SorawichToday #SiamStr


🔥 น้ำพริกนรกปลาสลิด สุดแซ่บ! เผ็ด จัดจ้าน ถึงใจ 🔥
🌶️ ใครชอบรสชาติจัดจ้าน หอมปลาสลิดแท้ๆ ต้องลอง!
✅ ผลิตจากปลาสลิดคุณภาพดี สดใหม่ทุกวัน
✅ คลุกเคล้าเครื่องเทศแน่นๆ รสชาติเข้มข้นถึงใจ
✅ ทานกับข้าวสวยร้อนๆ ไข่เจียว หรือผักสด ก็อร่อยฟิน!
✅ พกพาง่าย สะดวก ทานได้ทุกที่ทุกเวลา
✨ อร่อยคุ้ม! ถุงละ 100 กรัม เพียง 50 บาทเท่านั้น! ✨
รีบสั่งเลย! ความอร่อยรอคุณอยู่!
สนใจทักแชท หรือทาง Shopee
https://s.shopee.co.th/1LUGKjC546
#SiamStr #ตลาดทุ่งม่วง


สรุปประเด็น #BitcoinTalk200 "The Lies They Tell You"
Part 1 - Bitcoin : นิยามและคุณสมบัติหลัก
Bitcoin ถูกนำเสนอในฐานะ "Peer-to-Peer Electronic Cash System" ตามที่ระบุไว้ใน White Paper ปี 2008 ของ Satoshi Nakamoto คุณสมบัติสำคัญของ Bitcoin ที่ถูกเน้นย้ำคือ:
- P2P (Peer-to-Peer) System : เป็นระบบที่สามารถทำธุรกรรมระหว่างบุคคลกับบุคคลได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องมีตัวกลาง เช่น ธนาคารหรือหน่วยงานรัฐ
- Electronic Cash (เงินสดดิจิทัล) : ต่างจากเงินดิจิทัลทั่วไปที่เป็นเพียงการโอนหนี้ระหว่างบัญชี Bitcoin ทำหน้าที่เป็น "bearer instrument" หรือเงินที่ตัวมันเองมีมูลค่าและสามารถส่งมอบมูลค่าระหว่างกันได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านการบันทึกบัญชีหลังบ้านของธนาคาร
- Decentralized (ไร้ศูนย์กลาง) : ระบบถูกออกแบบมาให้ไม่มีหน่วยงานกลางใด ๆ ควบคุม ทำให้เป็นอิสระจากการแทรกแซงของรัฐบาลหรือธนาคารกลาง
- Limited Supply (จำนวนจำกัด) : มีจำนวนจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นจุดขายที่สำคัญที่สุด และถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบโต้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 (Hamburger/Subprime Crisis) ที่เกิดจากการพิมพ์เงินจำนวนมหาศาลเพื่ออุ้มสถาบันการเงิน ทำให้มูลค่าเงินในกระเป๋าประชาชนลดลงอย่างรวดเร็ว
Bitcoin ถูกมองว่าเป็นนวัตกรรมที่ "นำอำนาจในการพิมพ์เงินออกจากมือของรัฐบาล" และเป็น "Digital Sound Money" หรือทองคำดิจิทัล เนื่องจากความสามารถในการรักษามูลค่าและเป็นอิสระจากการควบคุม
Part 2 - วิวัฒนาการและปัญหาของระบบเงินเฟียต (Fiat Money)
อ. พิริยะ ชี้ให้เห็นว่าแนวคิดที่ว่าเงินจะต้องมีสินทรัพย์หนุนหลังนั้นเป็นความเข้าใจผิดในปัจจุบัน โดยใช้ประวัติศาสตร์ของเงินดอลลาร์สหรัฐและเงินบาทไทยเป็นตัวอย่าง:
1. เงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD)
- จาก Gold Standard สู่ Fiat Money : ในอดีตเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เคยถูกหนุนหลังด้วยทองคำ (Gold Standard) โดยสามารถนำธนบัตรไปแลกเป็นทองคำได้ในอัตราที่กำหนด อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงเริ่มขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งรัฐบาลระงับการแลกเปลี่ยนทองคำชั่วคราวเพื่อพิมพ์เงินสนับสนุนสงคราม
- Executive Order 6102 (1933) : ประธานาธิบดี Franklin D. Roosevelt ออกคำสั่งฉุกเฉินให้ประชาชนนำทองคำมาคืนธนาคารเพื่อรับเงินดอลลาร์ โดยมีบทลงโทษรุนแรงหากไม่ปฏิบัติตาม ไม่นานหลังจากนั้น อัตราแลกเปลี่ยนทองคำกับดอลลาร์ก็ถูกปรับลดลงอย่างมาก ทำให้มูลค่าดอลลาร์ลดลงทันทีถึง 33-40% "ผู้คนทุกคนที่ถือเงินดอลลาร์ในคืนนั้น ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเงินของพวกเขามีค่าน้อยลง 40% ภายในชั่วข้ามคืนด้วยกฎประกาศกฎหมายฉบับเดียว"
- Bretton Woods Agreement (หลังสงครามโลกครั้งที่ 2) : กำหนดให้ดอลลาร์เป็นสกุลเงินสำรอง (reserve currency) ของโลก โดยมีมูลค่าเทียบเท่าทองคำ และบังคับให้ประเทศสมาชิก IMF ฝากทองคำไว้กับสหรัฐฯ
- Nixon Shock (1971) : ประธานาธิบดี Richard Nixon ประกาศยกเลิกการแลกเปลี่ยนดอลลาร์กับทองคำ ทำให้ทองคำมีราคาลอยตัวตามกลไกตลาด ดอลลาร์จึงไม่มีอะไรหนุนหลังอีกต่อไป กลายเป็นเงินเฟียตอย่างสมบูรณ์ "สหรัฐอเมริกาและเงินดอลลาร์สามารถชักดาบคนทั้งโลกที่ถือดอลลาร์ไว้ในมือได้ด้วยการบอกว่าดอลลาร์ที่คุณถืออยู่ ที่เราเคยบอกว่ามันมีค่าเท่ากับทองคำนั้นน่ะ วันนี้มันไม่มีค่าเท่ากับทองคำแล้วแหละ"
- Petrodollar : หลังจากปี 1971 ดอลลาร์พยายามผูกโยงมูลค่ากับน้ำมัน ทำให้ทุกประเทศที่ต้องการซื้อน้ำมันต้องใช้ดอลลาร์ สร้างอุปสงค์คงที่ให้กับดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม มูลค่าของดอลลาร์ก็ยังคงผันผวน และหนี้ที่ออกในรูปดอลลาร์ยังคงสร้างอุปสงค์ให้ดอลลาร์อย่างต่อเนื่อง
2. เงินบาทไทย
- จาก Silver Standard สู่ Fiat Money : ในอดีตเงินบาทเคยถูกหนุนหลังด้วยแร่เงิน (Silver Standard) เนื่องจากการค้าขายกับจีนและอินเดียที่ใช้เงินเป็นหลัก
- การเปลี่ยนสู่ Gold Standard (1902) : ไทยเปลี่ยนมาใช้มาตรฐานทองคำตามแนวโน้มของโลก โดย 1 บาทมีมูลค่าเท่ากับ 0.5518 กรัมทองคำ และมีการปรับค่าให้ 1 บาทแลกทองคำได้มากขึ้นในปี 1928
- การยกเลิกมาตรฐานทองคำ (1932) : เพื่อตอบสนองต่อวิกฤตเศรษฐกิจโลก ไทยเปลี่ยนการผูกค่าเงินบาทกับทองคำ ไปผูกกับเงินปอนด์สเตอร์ลิงแทน ซึ่งปอนด์กำลังเผชิญภาวะเงินเฟ้อ ทำให้เป็นการยกเลิกการหนุนหลังด้วยทองคำโดยปริยาย
- หลังสงครามโลกครั้งที่ 2: ไทยเข้าสู่ระบบ Bretton Woods โดยมีเงินดอลลาร์และสกุลเงินหลักอื่น ๆ เป็นทุนสำรอง แต่ยังคงสามารถผลิตเงินได้เพิ่มเติมผ่านระบบ Fractional Reserve Banking
- วิกฤตต้มยำกุ้ง (1997) : การพิมพ์เงินอย่างมหาศาลจากการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรง นำไปสู่การโจมตีค่าเงินบาท และทำให้เงินบาทลอยตัวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
- ปัจจุบัน : เงินบาทไทยไม่ได้มีสินทรัพย์มีค่าหนุนหลังโดยตรงเช่นเดียวกับดอลลาร์ "สิ่งเดียวที่มันแบ็คหลังมันอยู่ก็คือหนี้ที่เอามาจากความมั่งคั่งของผู้คนในอนาคต มาผลิตเป็นเงินในปัจจุบันนี้"
Part 3 - เงินเฟ้อ : ความเข้าใจผิดและผลกระทบที่แท้จริง
อ. พิริยะ วิพากษ์วิจารณ์แนวคิดเรื่อง "เงินเฟ้ออ่อน ๆ 2%" ที่ถูกนำมาใช้เป็นเป้าหมายของธนาคารกลางทั่วโลก :
- ที่มาของเป้าหมาย 2% : ตัวเลข 2% ไม่มีที่มาจากทฤษฎีหรือการวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ใด ๆ แต่เป็นเพียงตัวเลขที่ถูก "กะๆ เอา" โดยธนาคารกลางนิวซีแลนด์ในปี 1990 เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการใช้นโยบายการเงิน
- CPI (Consumer Price Index) ที่บิดเบือน : ตัวเลขเงินเฟ้อที่ประกาศโดยรัฐบาล (CPI) ไม่ได้สะท้อนภาวะเงินเฟ้อที่แท้จริงอีกต่อไป เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยน "ตะกร้าสินค้า" ที่ใช้วัดและคำนิยามของสินค้าในตะกร้า ตัวอย่างเช่น การนำไข่ออกจากตะกร้าเมื่อราคาพุ่งสูงขึ้น หรือการย้ายราคาบ้านไปอยู่ในหมวดการลงทุนแทน ทำให้ตัวเลข CPI ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก "ทำไมเราเห็นข้าวของมันแพงขึ้น 7-8% 10% 20% แต่ตัวเลขเงินเฟ้อที่รัฐบาลแถลงออกมายังอยู่แค่ 2% 3% หรือบางทีติดลบด้วยซ้ำ"
- ความสัมพันธ์ระหว่างเงินเฟ้อและ Productivity : ในอดีตยุคมาตรฐานทองคำ แม้จะมีเงินเฟ้อเล็กน้อย แต่ Productivity ที่สูงกว่าทำให้ผู้คนสามารถซื้อของได้มากขึ้นทุกปี เพราะเทคโนโลยีและประสิทธิภาพการผลิตทำให้ราคาสินค้าลดลง สิ่งนี้เรียกว่าภาวะเงินฝืด แต่เป็นภาวะที่คนเต็มใจใช้จ่ายเพราะเงินออมมีมูลค่าเพิ่มขึ้น
- เงินเฟ้อที่แท้จริงคือการปล้น : การกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อ 2% หมายถึงการตั้งเป้าให้ "ข้าวของจะแพงขึ้น 2% ทุกปี นั่นหมายความว่าเงินจะต้องมีอำนาจจับจ่ายลดน้อยลง 2% ทุกปี" ผู้ที่พิมพ์เงินได้ก่อนจะได้รับประโยชน์จากเงินใหม่ก่อนที่ราคาสินค้าจะปรับขึ้น (Seigniorage Effect) ทำให้คนใกล้ชิดอำนาจร่ำรวยขึ้น ในขณะที่ประชาชนทั่วไปต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นและมูลค่าเงินออมที่ลดลง "เงินที่อยู่ในกระเป๋าของเราถูกทำให้เสื่อมมูลค่าลง โดยที่เราไม่ได้มีอำนาจหรือไม่ได้มีปากไม่มีเสียง ไม่สามารถต่อรองหรือไม่สามารถถกเถียงอะไรได้ เราอยู่เฉย ๆ เราก็จน เราเก็บออมเราก็จน"
Part 4 - CBDC (Central Bank Digital Currency) และการสูญเสียอิสรภาพ
อ. พิริยะ เตือนว่าโลกกำลังก้าวไปสู่ระบบ CBDC ซึ่งจะทำให้ :
- สูญเสียความเป็นส่วนตัว : การทำธุรกรรมทุกบาททุกสตางค์จะอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ ทำให้ข้อมูลและทรัพย์สินสูญหายไปอย่างสิ้นเชิง
- เงินเป็นเครื่องมือควบคุม : เงินจะเปลี่ยนจากเครื่องมือในการเก็บออมความมั่งคั่ง กลายเป็น "เครื่องมือในการควบคุมประชาชนโดยเบ็ดเสร็จเด็ดขาด"
Part 5 - Bitcoin ในฐานะทางเลือก
Bitcoin ถูกนำเสนอในฐานะทางออกสำหรับปัญหาของระบบการเงินปัจจุบัน เพราะ :
- เป็นเงินที่รักษาคุณค่าได้จริง : ด้วยจำนวนที่จำกัดและกระบวนการผลิตที่โปร่งใสและแข่งขันได้ ทำให้ไม่มีใครสามารถพิมพ์ Bitcoin เพิ่มเพื่อลดทอนมูลค่าได้ "นี่คือสาเหตุที่ Bitcoin ถูกออกแบบมาให้มีจำนวนแค่ 21 ล้านบิทคอยน์ ไม่สามารถผลิตได้มากไปกว่านี้"
- คืนอำนาจให้กับประชาชน : การที่ Bitcoin ไร้ศูนย์กลางและทนทานต่อการแทรกแซงจากรัฐ ทำให้ประชาชนสามารถมีอิสรภาพในการทำธุรกิจ เก็บออม และส่งต่อความมั่งคั่งให้กับคนรุ่นต่อไปได้อย่างแท้จริง "ทำให้เราสามารถมีเงินที่สามารถรักษา มูลค่าได้ อย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี"
- นวัตกรรมเปลี่ยนโลก : Bitcoin คือสิ่ง "ที่นำเอาอำนาจในการพิมพ์เงินออก จากมือของรัฐบาล โดยใช้วิธีอันแยบยลที่รัฐบาลไม่สามารถยับยั้งได้" และระบบที่กระจายตัวไปทั่วโลกทำให้แข็งแกร่งพอที่จะต้านทานการโจมตีจากรัฐได้
โดยสรุป อ. พิริยะ เน้นย้ำว่า Bitcoin ไม่ได้มีมูลค่าในตัวเอง แต่มีมูลค่าเพราะสิ่งที่มันทำได้ คือการเป็นระบบการเงินที่รวดเร็ว ต้นทุนต่ำ ปลอดภัย และที่สำคัญที่สุดคือ "เป็นเงินที่เวลาคุณถือไว้เนี่ย ไม่มีใครมาทำให้มันเสื่อมมูลค่าด้วยการไปผลิตมันเพิ่มขึ้น โดยที่คุณควบคุมไม่ได้ได้ด้วย"
ที่มา : เพราะพวกเขายังโกหกไม่เลิก โลกถึงต้องมี Bitcoin (ความลับการเงินโลก 81 นาที)
Link : https://youtu.be/WCnnbMNJwc8
สั่งซื้อหนังสือ #TheBitcoinStandard คลิก
📌 bit.ly/TheBitcoinStandard-Shopee
สั่งซื้อหนังสือ #เศรษฐศาสตร์เล่มเดียวจบ คลิก
📌 bit.ly/EIOL-Shopee
สั่งซื้อหนังสือ #เงินเฟ้อคือคดีอาญา คลิก
📌 bit.ly/InflationIsACrime-Shopee
#SiamStrโค้งสุดท้าย 6.15
โค้ด 30% ยังพอเหลือ
ใครอยากกินน้ำพริกอร่อยๆ จัดกันได้เลยครับ
#SiamStr #ตลาดทุ่งม่วง
https://s.shopee.co.th/AUiGnuMoR4

