"ความจริงที่ซ่อนอยู่ข้างหลังเงินเฟียต คุณกำลังถูกปล้น เงินของคุณกำลังถูกทำให้เสื่อมค่า งานหนักของคุณกำลังถูกทำให้เป็นของไร้ค่า สังคมกำลังเสื่อมสลายลงจนไม่เหลือชิ้นดี ชีวิตมันมีแต่ยากขึ้นและยากขึ้น แล้วคุณก็รู้สึกเหมือนว่าคุณต้องหาเงินไปปรนเปรอคนอื่นอยู่ตลอดเวลา คุณพบว่าคุณต้องทำงานเป็นเวลานานขึ้นแต่กลับได้เงินน้อยลง จำเป็นที่จะต้องดิ้นรนหาเงินเพื่อชักหน้าให้ถึงหลัง ในขณะที่บางคนดูเหมือนเขากำลังร่ำรวยมากขึ้นเรื่อยๆ"
"Work life balance ของคุณกำลังพังพินาศและผิดเพี้ยนมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคุณจำเป็นที่จะต้องสละเวลาที่มีค่าของคุณ เวลาที่มีค่าที่คุณสามารถที่จะใช้มันอยู่กับคนที่คุณรัก เพื่อออกไปตามหาความมั่นคงทางการเงินที่ไม่มีวันได้มา เมื่อต่างคนต่างดิ้นรนเอาตัวรอดไปวันๆ คุณจะเห็นสภาพแวดล้อมรอบตัวคุณ บ้านใกล้เรือนเคืองของคุณ กลายเป็นพื่นที่ที่ผู้คนแทบไม่รู้จักกัน คนห่างเหินซึ่งกันและกัน สังคมที่ผู้คนเคยสนิทสนมรู้จักกันดีว่าใครเป็นใครอยู่ที่ไหนยังไง กลายเป็นภาพเลือนลางที่พบเห็นได้ในหนังยุคโบราณ ร้านค้าท้องถิ่นที่เคยเป็นมิตรกับผู้คนถูกแทนที่ด้วยสาขาร้านค้ายักษ์ใหญ่ ที่ไม่มีเจ้าของเป็นตัวเป็นตนให้คุณสามารถพูดคุยกับเขาได้ การพูดคุยกับคนที่เป็นเพื่อนบ้านกันอย่างมีมิตรไมตรีกลายเป็นสิ่งที่เกิดได้ยากขึ้นเรื่อยๆ"
"คุณเริ่มรู้สึกเหมือนตัวคุณกลายเป็นเฟืองเล็กๆ ชิ้นส่วนนึงในเครื่องจักรขนาดใหญ่ ความเป็นตัวตนของคุณ คุณค่าของคุณ กำลังถูกผลักไปนั่งอยู่ข้างหลัง ในขณะที่คุณจำเป็นต้องดิ้นรนเพื่อต่อสู้กับ "หนี้" ที่พอกพูนขึ้นทุกวัน" - จิมมี ซอง
#Siamstr
Somnuke
SOMNUKE@RIGHTSHIFT.TO
npub1xzh2...e7dt
ผมชื่อสมนึก มาจากองค์การสร้างความปวดกบาลแห่งชาติ
เสื้อบังสวยเป็นบ้าเลยครับเพื่อนๆ
#Siamstr

ระยะเวลาราง 80 ปี ก๋วยเตี๋ยวแพงขึ้นแค่ไหนและรายได้เราควรโตปีละเท่าไรถึงจะซื้อมันได้เท่า ๆ เดิม? มาดูกัน
"5 สตางค์" คือราคาก๋วยเตี๋ยว ในปี พ.ศ. 2485 ผมยึดจากประกาศในรูปของ จอมพล ป. (หารูปชัดไม่ได้)
เทียบกับปี 2567 นี้ ผมเฉลี่ยราคาซัก "50 บาท" ละกัน เพราะ 40 บาทไม่ค่อยเห็นแล้ว และถ้าขายราคานี้ปริมาณมักน้อยจนกินไม่อิ่ม ต้องสั่งพิเศษเท่านั้นถึงจะพอเอาอยู่
คำนวณหยาบๆ จะได้ดังนี้
1. การเปลี่ยนแปลงของราคา
เริ่มต้น 2485: 5 สตางค์
ปัจจุบัน: 5000 สตางค์ (50บาท)
(5000-5)/5x100 = 999,000%
2. การเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยต่อปี
((5,000 สตางค์ / 5 สตางค์)^(1/82)) - 1 = 12.04%
สรุป 82 ปีที่ผ่านมา ราคาก๋วยเตี๋ยวแพงขึ้นแทบจะ 100,000% โดยเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 12.04% ต่อปี
และหลายคนชอบบอกว่า ดัชนีราคาก๋วยเตี๋ยวที่เป็นอาหารหลักมันสะท้อนค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นของคนไทยได้ดี
ดังนั้น ใครที่ทำงานและมีรายได้อยู่ รายได้คุณมีอัตราเติบโตเฉลี่ยถึง 12% มั้ย ถ้าไม่ แสดงว่าคุณกำลัง "จนลง" อยู่ครับ เพราะรายได้ของคุณที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี มันซื้อของกินของใช้ได้น้อยลงเรื่อยๆ
อย่าโดนตัวเลขหลอก แม้จะกี่ปีผ่านไป แบงก์พันใบเดิมหน้าตามันก็เหมือนเดิม แต่มูลค่ามันไม่เคยเท่าเดิม
"เก็บ" เงินเสื่อมค่าเท่าที่เสียได้นะครับ ที่เหลือเปลี่ยนมันเป็นอะไรก็ได้ ที่มันสามารถรักษามูลค่าข้ามผ่านกาลเวลา
Fix the money, fix the world
#Siamstr
"5 สตางค์" คือราคาก๋วยเตี๋ยว ในปี พ.ศ. 2485 ผมยึดจากประกาศในรูปของ จอมพล ป. (หารูปชัดไม่ได้)
เทียบกับปี 2567 นี้ ผมเฉลี่ยราคาซัก "50 บาท" ละกัน เพราะ 40 บาทไม่ค่อยเห็นแล้ว และถ้าขายราคานี้ปริมาณมักน้อยจนกินไม่อิ่ม ต้องสั่งพิเศษเท่านั้นถึงจะพอเอาอยู่
คำนวณหยาบๆ จะได้ดังนี้
1. การเปลี่ยนแปลงของราคา
เริ่มต้น 2485: 5 สตางค์
ปัจจุบัน: 5000 สตางค์ (50บาท)
(5000-5)/5x100 = 999,000%
2. การเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยต่อปี
((5,000 สตางค์ / 5 สตางค์)^(1/82)) - 1 = 12.04%
สรุป 82 ปีที่ผ่านมา ราคาก๋วยเตี๋ยวแพงขึ้นแทบจะ 100,000% โดยเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 12.04% ต่อปี
และหลายคนชอบบอกว่า ดัชนีราคาก๋วยเตี๋ยวที่เป็นอาหารหลักมันสะท้อนค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นของคนไทยได้ดี
ดังนั้น ใครที่ทำงานและมีรายได้อยู่ รายได้คุณมีอัตราเติบโตเฉลี่ยถึง 12% มั้ย ถ้าไม่ แสดงว่าคุณกำลัง "จนลง" อยู่ครับ เพราะรายได้ของคุณที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี มันซื้อของกินของใช้ได้น้อยลงเรื่อยๆ
อย่าโดนตัวเลขหลอก แม้จะกี่ปีผ่านไป แบงก์พันใบเดิมหน้าตามันก็เหมือนเดิม แต่มูลค่ามันไม่เคยเท่าเดิม
"เก็บ" เงินเสื่อมค่าเท่าที่เสียได้นะครับ ที่เหลือเปลี่ยนมันเป็นอะไรก็ได้ ที่มันสามารถรักษามูลค่าข้ามผ่านกาลเวลา
Fix the money, fix the world
#Siamstrประชาชนบุกปล้นธนาคารเพราะต้องการนำเงินเก็บในบัญชี "ตัวเอง" คืนกลับมา ฟังดูน่าเหลือเชื่อ ไม่น่าจะเป็นไปได้ในปัจจุบัน แต่มันเกิดขึ้นจริงแล้วบนโลกใบนี้ที่ เลบานอน
นับเป็นเวลา 5-6 ปี ที่เลบานอนต้องเจอกับโคตรมหาวิกฤตที่ทำลายล้างทุกอย่าง ค่าเงินเสื่อสลาย เศรษฐกิจพังทลาย
จาก 1 ดอลลาร์เคยแลกได้ราวๆ 1,500 ปอนด์เลบานอนในปี 2018 มาสู่ 2024 ที่ 1 ดอล แลกได้ 90,000!! ปอนด์เลบานอน ไม่กี่ปีสกุลเงินของเลบานอนมันเสื่อมค่าแตะหลัก 6,000% เข้าไปแล้วเมื่อเทียบกับดอลลาร์
อาหารขาดแคลนอย่างหนักแถมราคาพุ่งขึ้นไปไกลหลายสิบเท่า นำมาซึ่งความอดอยากแร้นแค้นและยากจนของประชาชน ปัญหาความรุนแรง อาชญากรรม การประท้วงที่ตามมาอีกนับไม่ถ้วน เราที่ไม่ได้อยู่ที่นั่นคงจินตนาการภาพไม่ออกว่ามันเลวร้ายขนาดไหน
ท่ามกลางวิกฤตนี้ นอกจากเงินเก็บทั้งชีวิตของประชาชนจะฉิบหายไม่เหลือค่าแล้ว รัฐบาลยังมีคำสั่งให้ทุกธนาคารในประเทศ "จำกัดและระงับการถอนเงิน" ยาวนานเป็นปีๆ เงินที่แทบจะเอาไปซื้ออะไรไม่ได้อยู่แล้ว ยังถูกบังคับไม่ให้ถอนซ้ำเติมเข้าไปอีก
สุดท้ายความอดทนของประชาชนส่วนใหญ่ก็หมดลง เกิดเป็นความโกรธแค้นลุกฮือบุกปล้นธนาคารเพื่อชิงเงินตัวเองกลับคืนมา
ตัวอย่างบางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
- ธันวาคม 2019: ชายคนหนึ่งบุกธนาคารในกรุงเบรุต ยิงปืนขึ้นฟ้าและขู่ว่าจะเผาตัวเอง หากธนาคารไม่ยอมเงินฝากของตัวเอง
- กุมภาพันธ์ 2020: หญิงคนหนึ่งทุบกระจกธนาคารในเมืองไซดอน และนำเงินสด 13,000 ดอลลาร์ของตัวเองคืน เพื่อนำไปรักษาพยาบาลลูกชาย
- เมษายน 2020: ชายคนหนึ่งบุกธนาคารในเมืองทริโปลี และยึดธนาคารไว้เป็นเวลาหลายชั่วโมง เรียกร้องให้ธนาคารคืนเงินฝากตัวเองมา
- พฤษภาคม 2023: หญิงสาวอายุ 28 ปี พกปืนปลอมบุกปล้นธนาคารกรุงเบรุต เพื่อนำเงินเก็บของครอบครัวไปรักษาพี่สาวที่ป่วยเป็นมะเร็ง
- กรกฎาคม 2023: ชายวัย 40 ปี ยิงลูกซองขึ้นฟ้าขู่พนักงานธนาคาร Credit Libanais ให้คืนเงิน 50,000 ดอลมาและหลบหนีไป
เคสเหล่านี้เป็นตัวอย่างแค่เสี้ยวเดียวของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับร้อยๆ ครั้งตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถ้าไม่มีการใช้ความรุนแรงส่วนใหญ่จะไม่ถูกตั้งข้อหาและได้เงินคืน พร้อมถูกยกให้เป็นฮีโร่เป็นตัวแทนของการต่อสู้กับความอยุติธรรม
เมื่อทำแล้วได้เงินคืนมันจึงมันสร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วประเทศ จนเกิดกระแสการชุมนุมประท้วงหน้าธนาคารเพื่อเรียกร้องเงินคืนของประชาชนตามมาอีกนับไม่ถ้วนจนถึงปัจจุบัน และสถานการณ์ของเลบานอนในปี 2024 นี้ ก็ยังไม่มีที่ท่าที่จะฟื้น กลับเลวร้ายลงยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ
คนที่มีส่วนร่วมกับการกระทำชั่วร้ายที่สร้างความเสียหายใหญ่หลวงนี้แทบไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ยังคงลอยหน้าลอยตาชี้นิ้วอยู่บนหอคอย พร้อมจะแก้ไขความมักง่ายที่ตัวเองก่อด้วยนโยบายที่มักง่ายกว่าเดิม แก้วิกฤตด้วยวิกฤตที่หนักกว่าเดิม
และผู้ที่ต้องจ่ายราคาความผิดพลาดทุกบาททุกสตางค์ คือ ประชาชน
หวังว่ามันจะไม่เกิดกับเรานะครับ เพราะลำพังแค่การต่อสู้กับเงินที่เสื่อมค่าลงครึ่งนึงทุกๆ 10 ปีของเงินบาท ประชาชนส่วนใหญ่ก็แทบไม่เหลืออนาคตกันหมดแล้ว
Fix the money fix the world
#Siamstr
นับเป็นเวลา 5-6 ปี ที่เลบานอนต้องเจอกับโคตรมหาวิกฤตที่ทำลายล้างทุกอย่าง ค่าเงินเสื่อสลาย เศรษฐกิจพังทลาย
จาก 1 ดอลลาร์เคยแลกได้ราวๆ 1,500 ปอนด์เลบานอนในปี 2018 มาสู่ 2024 ที่ 1 ดอล แลกได้ 90,000!! ปอนด์เลบานอน ไม่กี่ปีสกุลเงินของเลบานอนมันเสื่อมค่าแตะหลัก 6,000% เข้าไปแล้วเมื่อเทียบกับดอลลาร์
อาหารขาดแคลนอย่างหนักแถมราคาพุ่งขึ้นไปไกลหลายสิบเท่า นำมาซึ่งความอดอยากแร้นแค้นและยากจนของประชาชน ปัญหาความรุนแรง อาชญากรรม การประท้วงที่ตามมาอีกนับไม่ถ้วน เราที่ไม่ได้อยู่ที่นั่นคงจินตนาการภาพไม่ออกว่ามันเลวร้ายขนาดไหน
ท่ามกลางวิกฤตนี้ นอกจากเงินเก็บทั้งชีวิตของประชาชนจะฉิบหายไม่เหลือค่าแล้ว รัฐบาลยังมีคำสั่งให้ทุกธนาคารในประเทศ "จำกัดและระงับการถอนเงิน" ยาวนานเป็นปีๆ เงินที่แทบจะเอาไปซื้ออะไรไม่ได้อยู่แล้ว ยังถูกบังคับไม่ให้ถอนซ้ำเติมเข้าไปอีก
สุดท้ายความอดทนของประชาชนส่วนใหญ่ก็หมดลง เกิดเป็นความโกรธแค้นลุกฮือบุกปล้นธนาคารเพื่อชิงเงินตัวเองกลับคืนมา
ตัวอย่างบางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
- ธันวาคม 2019: ชายคนหนึ่งบุกธนาคารในกรุงเบรุต ยิงปืนขึ้นฟ้าและขู่ว่าจะเผาตัวเอง หากธนาคารไม่ยอมเงินฝากของตัวเอง
- กุมภาพันธ์ 2020: หญิงคนหนึ่งทุบกระจกธนาคารในเมืองไซดอน และนำเงินสด 13,000 ดอลลาร์ของตัวเองคืน เพื่อนำไปรักษาพยาบาลลูกชาย
- เมษายน 2020: ชายคนหนึ่งบุกธนาคารในเมืองทริโปลี และยึดธนาคารไว้เป็นเวลาหลายชั่วโมง เรียกร้องให้ธนาคารคืนเงินฝากตัวเองมา
- พฤษภาคม 2023: หญิงสาวอายุ 28 ปี พกปืนปลอมบุกปล้นธนาคารกรุงเบรุต เพื่อนำเงินเก็บของครอบครัวไปรักษาพี่สาวที่ป่วยเป็นมะเร็ง
- กรกฎาคม 2023: ชายวัย 40 ปี ยิงลูกซองขึ้นฟ้าขู่พนักงานธนาคาร Credit Libanais ให้คืนเงิน 50,000 ดอลมาและหลบหนีไป
เคสเหล่านี้เป็นตัวอย่างแค่เสี้ยวเดียวของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับร้อยๆ ครั้งตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถ้าไม่มีการใช้ความรุนแรงส่วนใหญ่จะไม่ถูกตั้งข้อหาและได้เงินคืน พร้อมถูกยกให้เป็นฮีโร่เป็นตัวแทนของการต่อสู้กับความอยุติธรรม
เมื่อทำแล้วได้เงินคืนมันจึงมันสร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วประเทศ จนเกิดกระแสการชุมนุมประท้วงหน้าธนาคารเพื่อเรียกร้องเงินคืนของประชาชนตามมาอีกนับไม่ถ้วนจนถึงปัจจุบัน และสถานการณ์ของเลบานอนในปี 2024 นี้ ก็ยังไม่มีที่ท่าที่จะฟื้น กลับเลวร้ายลงยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ
คนที่มีส่วนร่วมกับการกระทำชั่วร้ายที่สร้างความเสียหายใหญ่หลวงนี้แทบไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ยังคงลอยหน้าลอยตาชี้นิ้วอยู่บนหอคอย พร้อมจะแก้ไขความมักง่ายที่ตัวเองก่อด้วยนโยบายที่มักง่ายกว่าเดิม แก้วิกฤตด้วยวิกฤตที่หนักกว่าเดิม
และผู้ที่ต้องจ่ายราคาความผิดพลาดทุกบาททุกสตางค์ คือ ประชาชน
หวังว่ามันจะไม่เกิดกับเรานะครับ เพราะลำพังแค่การต่อสู้กับเงินที่เสื่อมค่าลงครึ่งนึงทุกๆ 10 ปีของเงินบาท ประชาชนส่วนใหญ่ก็แทบไม่เหลืออนาคตกันหมดแล้ว
Fix the money fix the world

### The Great Depression
## มหกรรมการ "โกง" มนุษยชาติครั้งยิ่งใหญ่
# ประชาชนโดนกล่าวโทษว่าผิดที่ไม่ยอมใช้จ่ายและผู้ร้ายกลับกลายเป็น "ทองคำ"
เรื่องราวที่เราเรียนจากตำราเขาก็จะบอกว่า เป็นเพราะฮูเวอร์ไม่ยอมแทรกแซงเพื่ออุ้มเศรษฐกิจด้วยการพิมพ์เงิน ปล่อยให้ตลาดพังจนเกิดภาวะเงินฝืด จากนั้น FDR มารับช่วงต่อและแทรกแซงกลไกด้วยการพิมพ์เงินและอัดฉีดเข้าสู่เศรษฐกิจอย่างหนักหน่วงจนทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นคืนกลับมาได้และเงินฝืดอย่างทองคำถูกกล้าวหาว่าคือผู้ร้ายในเหตุการณ์นี้
แต่ว่ากันตามหลักฐานตามประวัติศาสตร์ เห็นการ "โกง" ระบบการเงินเกิดขึ้นมั้ยครับ การดึงเงินในอนาคตมาใช้ผ่านการพิมพ์เงิน และเหตุผลเริ่มต้นใหญ่ๆ คือการไปไฟแนนซ์สงคราม และตามมาด้วยการฟื้นฟูเศรษฐกิจแบบติดจรวด
โดยปกติรัฐบาลต้องระดมทุนจากการเก็บภาษีหรือการออกพันธบัตร แต่เมื่อมันจะถูกใช้ไปในสงครามที่ต้องส่งผู้คนในชาติเข้าไปรบ ประชาชนจึงไม่เห็นด้วยเพราะไม่มีใครอยากไปเข่นฆ่าผู้อื่นหรือเอาตัวเองเอาลูกเอาหลานไปตายในสงคราม
นำมาสู่ทางออกนี้
1. ประกาศระงับและจำกัดการแลกเปลี่ยนเงินกลับเป็นทองคำในภาวะสงคราม
2. เมื่อทองคำถูกห้ามแลกคืน ไม่มีการไหลเข้าไหลออกทำให้มันนิ่ง ณ จุดนี้ รัฐบาลจึงได้ความสามารถใหม่ นั่นคือ การ "พิมพ์เงิน" เกินกว่าทองคำที่ตัวเองมี เพราะไม่ต้องกังวลว่าประชาชนจะมาแห่แลกคืนจนไม่พอที่จะให้ถอน การเดินทางแห่งความวินาศจึงเริ่มต้นขึ้น
ปริมาณเงินซึ่งตอนนั้นมีสถานะตั๋วกระดาษที่สามารถแลกทองคำได้จำนวนมหาศาล ถูกพิมพ์เพิ่มไม่ยั้งสะสมยาวนานเพื่ออุดหนุนสงครามไม่รู้จบ ในระดับที่เกินกว่าทองคำที่ตัวเองมีไปไกลขึ้นเรื่อยๆ
คาดการณ์ว่าทองคำสำรองมีเพียงแค่ 10% ของปริมาณเงินดอลลาร์ทั้งระบบในปี
แม้ว่าประเทศสหรัฐจะได้ผลกระทบน้อยที่สุดเพราะไม่ได้ถูกใช้เป็นสนามรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่การส่งกองกำลังข้ามน้ำข้ามทะเลไปช่วยรบมันมีต้นทุนมหาศาล รวมถึงเศรษฐกิจโลกที่หยุดชะงักโดยเฉพาะในยุโรป ก็สร้างปัญหาทางเศรษฐกิจให้กับสหรัฐรุนแรงเช่นกัน
แต่เมื่อสงครามจบลง เงินดอลลาร์ก็จำเป็นต้องกลับมาอ้างอิงกับทองคำ ความชิบหายเริ่มบังเกิด เพราะถ้ากลับไปอ้างอิงเรตเดิม สหรัฐจะล้มเพราะไม่มีทองคำเพียงพอให้ถอน ถึงจะยึดทรัพย์สมบัติมาจากประเทศที่พ่ายแพ้ได้มหาศาลแล้วก็ตาม จำเป็นต้องลดอัตราแลกเปลี่ยนลง...แต่ก็เอาไม่อยู่
จากนั้นเมกาและอังกฤษได้ทำข้อตกลงให้ USD GBP สามารถถูกใช้เป็นเงินสำรองในกลุ่มประเทศพันธมิตรได้ จุดนี้มันทำให้เงินที่พิมพ์เพิ่มปริมาณมหาศาลเหล่านี้มีที่ไป และมันยังเพิ่มขีดความสามารถในการพิมพ์เงินให้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะมีหลายประเทศเป็นที่รองรับเงินใหม่นี้
หลังจากย่ำแย่จากสงคราม มหกรรมการพิมพ์เงินอัดฉีดเงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจก็เริ่มบังเกิดขึ้น มันถูกใช้ไปอุ้ม หุ้นใน wall street อุ้มกลุ่มธุรกิจอีลีทและอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ ส่งผลให้บางธุรกิจเติบโตสูงมาก บางธุรกิจแทบไม่เติบโตเลยโดยเฉพาะกิจการที่อยู่ไกลแหล่งเงินอุดหนุนจากการพิมพ์เพิ่ม
ธุรกิจรายกลางรายย่อยใน Real sector เข้าไม่ถึงหรือเข้าถึงช้าในเงินพิมพ์ใหม่นี้ และเม็ดเงินส่วนใหญ่มันไปงอกที่ Financial sector ตลาดการเงินพุ่งติดจรวด แต่มันเป็นการเติบโตด้วยหนี้ หนี้ หนี้ ที่มากกว่า Productivity ที่เพิ่มขึ้น
มองเผินๆ มันดูดีไปหมด เศรษฐกิจเติบโตก้าวกระโดด แต่พอมองลึกลงไป มันไม่ได้ดีต่อประชาชนอย่างที่คิด เพราะเงินใหม่นี้ "ส่วนใหญ่" มันไม่ได้ไปอยู่ในมือประชาชน มันไปงอกในมือรัฐ กลุ่มอีลีทและตลาดการเงิน แถมมันไปด้อยค่าเงินเดิมที่ประชาชนถืออยู่ ผลักราคาข้าวของให้สูงขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมที่ผู้คนทั่วไปอยู่ดีกินดีก็เริ่มชักหน้าไม่ถึงหลังมากขึ้น เงินที่เขามีเท่าๆ เดิมเอาไปใช้จ่ายได้น้อยลงๆ ทุกวัน ประชาชนเริ่มใช้จ่ายฝืดเคืองเนื่องจากรายได้โตไม่ทันราคาข้าวของที่แพงขึ้น กว่าเม็ดเงินใหม่จะถึงมือเขาค่าครองชีพก็พุ่งหนีไปก่อนแล้ว
##ดังนั้น เงินไม่ได้ "ฝืด" แต่ประชาชน "ไม่มีเงิน" จะใช้จ่าย
และวันฉิบหายวันวายวอดก็มาถึง มันคือวันที่สิ้นสุดข้อตกลง ยุติความสามารถในการพิมพ์เงินไม่อั้นลง (US Federal Reserve Inflationary Ended) จากเงินที่เคยพิมพ์ได้ง่ายๆ ก็ไม่ง่ายอีกต่อไป เศรษฐกิจที่ขับดันด้วยหนี้ก็เริ่มฝืดเคือง เพราะการกู้การระดมเงินทำได้ยากขึ้นแถมยังมีภาระดอกเบี้ยค้ำคอ เมื่อเงินหยุดหมุนในระบบเศรษฐกิจที่ฐานรากมันง๊อกแง๊กเพราะมีแต่หนี้...สุดท้ายมันก็พังพินาศ
การทดลอง "ระบบเศรษฐกิจที่อัดฉีดเงินไม่จำกัด" ก็จบลง อะไรก็ตามที่ใช้สารเร่งโตให้เร็วผิดปกติ สุดท้ายมันก็จะกลับเข้าหาจุดสมดุลของมัน เศรษฐกิจก็เช่นกัน และ The Great Depression คือราคาที่ต้องจ่ายของการทดลองนี้
คนที่เชื่อว่ามหาวิกฤติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งนึงนี้ ยังไงก็เป็นเพราะการใช้ "เงินฝืด" ที่มีทองคำเป็นมาตรฐาน คุณไม่เอ๊ะใจอะไรซักนิดนึงเลยเหรอครับ ทำไมจู่ๆ ผู้คนไม่ใช้จ่าย ลดราคาแล้วก็ไม่ใช้จ่าย? อ้อ ก็เพราะคนคาดหวังว่าราคาจะลดลงอีกไงไอฟาย
สรุปง่ายไปมั้ย เงินมันกินไม่ได้ ยังไงคนก็ต้องกินต้องใช้ แค่ถ้าเงินมันเพิ่มมูลค่าขึ้น ผู้คนจะใช้เงินแบบคิดหน้าคิดหลังมากขึ้น มองย้อนไปก่อนหน้านับตั้งแต่มนุษย์ค้นพบทองคำและใช้มันเป็นเงิน ทองคำได้นำพาอารยธรรมมนุษย์เจริญรุ่งเรืองสุดขีด ทำไมมันไม่มีปัญหา?
แล้วทำไมปัญหามันต้องมาทุกครั้งเมื่อระบบการเงินรวมศูนย์และผู้ถืออำนาจพยายามจะโกงมัน ตั้งแต่จักรพรรดิกรุงโรม ผู้นำจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ต่างๆ แอบผสมโลหะราคาถูกในการหลอมเหรียญทองเพื่อเพิ่มปริมาณเหรียญ ทำไปนานเข้าเงินก็เสื่อมค่า ประชาชนต้องเจอภาวะข้าวยากหมากแพง ยากจนกันถ้วนหน้าสุดท้ายก็ล่มสลายไป และการพิมพ์เงินเกินกว่าทองคำที่มี ในช่วงก่อนเกิด The Great Depression จริงๆ แล้วมันก็ไม่ต่างกันเลย มัน "โกง" เหมือนกัน
คิดดีๆ อีกทีนะครับว่าแท้จริงแล้ว ต้นตอของความพินาศนี้มาจาก
1. ทองคำที่ฝืดจนคนไม่ใช้จ่าย หรือ
2. การโกงระบบการเงิน นำมาสู่หนี้ปริมาณมหาศาลโดน liquidate จากการหยุดพิมพ์เงิน โดยให้ประชาชนเป็นผู้รับผิดชอบหายนะที่ไม่ได้ก่อ
#Siamstr
# ประชาชนโดนกล่าวโทษว่าผิดที่ไม่ยอมใช้จ่ายและผู้ร้ายกลับกลายเป็น "ทองคำ"
เรื่องราวที่เราเรียนจากตำราเขาก็จะบอกว่า เป็นเพราะฮูเวอร์ไม่ยอมแทรกแซงเพื่ออุ้มเศรษฐกิจด้วยการพิมพ์เงิน ปล่อยให้ตลาดพังจนเกิดภาวะเงินฝืด จากนั้น FDR มารับช่วงต่อและแทรกแซงกลไกด้วยการพิมพ์เงินและอัดฉีดเข้าสู่เศรษฐกิจอย่างหนักหน่วงจนทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นคืนกลับมาได้และเงินฝืดอย่างทองคำถูกกล้าวหาว่าคือผู้ร้ายในเหตุการณ์นี้
แต่ว่ากันตามหลักฐานตามประวัติศาสตร์ เห็นการ "โกง" ระบบการเงินเกิดขึ้นมั้ยครับ การดึงเงินในอนาคตมาใช้ผ่านการพิมพ์เงิน และเหตุผลเริ่มต้นใหญ่ๆ คือการไปไฟแนนซ์สงคราม และตามมาด้วยการฟื้นฟูเศรษฐกิจแบบติดจรวด
โดยปกติรัฐบาลต้องระดมทุนจากการเก็บภาษีหรือการออกพันธบัตร แต่เมื่อมันจะถูกใช้ไปในสงครามที่ต้องส่งผู้คนในชาติเข้าไปรบ ประชาชนจึงไม่เห็นด้วยเพราะไม่มีใครอยากไปเข่นฆ่าผู้อื่นหรือเอาตัวเองเอาลูกเอาหลานไปตายในสงคราม
นำมาสู่ทางออกนี้
1. ประกาศระงับและจำกัดการแลกเปลี่ยนเงินกลับเป็นทองคำในภาวะสงคราม
2. เมื่อทองคำถูกห้ามแลกคืน ไม่มีการไหลเข้าไหลออกทำให้มันนิ่ง ณ จุดนี้ รัฐบาลจึงได้ความสามารถใหม่ นั่นคือ การ "พิมพ์เงิน" เกินกว่าทองคำที่ตัวเองมี เพราะไม่ต้องกังวลว่าประชาชนจะมาแห่แลกคืนจนไม่พอที่จะให้ถอน การเดินทางแห่งความวินาศจึงเริ่มต้นขึ้น
ปริมาณเงินซึ่งตอนนั้นมีสถานะตั๋วกระดาษที่สามารถแลกทองคำได้จำนวนมหาศาล ถูกพิมพ์เพิ่มไม่ยั้งสะสมยาวนานเพื่ออุดหนุนสงครามไม่รู้จบ ในระดับที่เกินกว่าทองคำที่ตัวเองมีไปไกลขึ้นเรื่อยๆ
คาดการณ์ว่าทองคำสำรองมีเพียงแค่ 10% ของปริมาณเงินดอลลาร์ทั้งระบบในปี
แม้ว่าประเทศสหรัฐจะได้ผลกระทบน้อยที่สุดเพราะไม่ได้ถูกใช้เป็นสนามรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่การส่งกองกำลังข้ามน้ำข้ามทะเลไปช่วยรบมันมีต้นทุนมหาศาล รวมถึงเศรษฐกิจโลกที่หยุดชะงักโดยเฉพาะในยุโรป ก็สร้างปัญหาทางเศรษฐกิจให้กับสหรัฐรุนแรงเช่นกัน
แต่เมื่อสงครามจบลง เงินดอลลาร์ก็จำเป็นต้องกลับมาอ้างอิงกับทองคำ ความชิบหายเริ่มบังเกิด เพราะถ้ากลับไปอ้างอิงเรตเดิม สหรัฐจะล้มเพราะไม่มีทองคำเพียงพอให้ถอน ถึงจะยึดทรัพย์สมบัติมาจากประเทศที่พ่ายแพ้ได้มหาศาลแล้วก็ตาม จำเป็นต้องลดอัตราแลกเปลี่ยนลง...แต่ก็เอาไม่อยู่
จากนั้นเมกาและอังกฤษได้ทำข้อตกลงให้ USD GBP สามารถถูกใช้เป็นเงินสำรองในกลุ่มประเทศพันธมิตรได้ จุดนี้มันทำให้เงินที่พิมพ์เพิ่มปริมาณมหาศาลเหล่านี้มีที่ไป และมันยังเพิ่มขีดความสามารถในการพิมพ์เงินให้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะมีหลายประเทศเป็นที่รองรับเงินใหม่นี้
หลังจากย่ำแย่จากสงคราม มหกรรมการพิมพ์เงินอัดฉีดเงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจก็เริ่มบังเกิดขึ้น มันถูกใช้ไปอุ้ม หุ้นใน wall street อุ้มกลุ่มธุรกิจอีลีทและอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ ส่งผลให้บางธุรกิจเติบโตสูงมาก บางธุรกิจแทบไม่เติบโตเลยโดยเฉพาะกิจการที่อยู่ไกลแหล่งเงินอุดหนุนจากการพิมพ์เพิ่ม
ธุรกิจรายกลางรายย่อยใน Real sector เข้าไม่ถึงหรือเข้าถึงช้าในเงินพิมพ์ใหม่นี้ และเม็ดเงินส่วนใหญ่มันไปงอกที่ Financial sector ตลาดการเงินพุ่งติดจรวด แต่มันเป็นการเติบโตด้วยหนี้ หนี้ หนี้ ที่มากกว่า Productivity ที่เพิ่มขึ้น
มองเผินๆ มันดูดีไปหมด เศรษฐกิจเติบโตก้าวกระโดด แต่พอมองลึกลงไป มันไม่ได้ดีต่อประชาชนอย่างที่คิด เพราะเงินใหม่นี้ "ส่วนใหญ่" มันไม่ได้ไปอยู่ในมือประชาชน มันไปงอกในมือรัฐ กลุ่มอีลีทและตลาดการเงิน แถมมันไปด้อยค่าเงินเดิมที่ประชาชนถืออยู่ ผลักราคาข้าวของให้สูงขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมที่ผู้คนทั่วไปอยู่ดีกินดีก็เริ่มชักหน้าไม่ถึงหลังมากขึ้น เงินที่เขามีเท่าๆ เดิมเอาไปใช้จ่ายได้น้อยลงๆ ทุกวัน ประชาชนเริ่มใช้จ่ายฝืดเคืองเนื่องจากรายได้โตไม่ทันราคาข้าวของที่แพงขึ้น กว่าเม็ดเงินใหม่จะถึงมือเขาค่าครองชีพก็พุ่งหนีไปก่อนแล้ว
##ดังนั้น เงินไม่ได้ "ฝืด" แต่ประชาชน "ไม่มีเงิน" จะใช้จ่าย
และวันฉิบหายวันวายวอดก็มาถึง มันคือวันที่สิ้นสุดข้อตกลง ยุติความสามารถในการพิมพ์เงินไม่อั้นลง (US Federal Reserve Inflationary Ended) จากเงินที่เคยพิมพ์ได้ง่ายๆ ก็ไม่ง่ายอีกต่อไป เศรษฐกิจที่ขับดันด้วยหนี้ก็เริ่มฝืดเคือง เพราะการกู้การระดมเงินทำได้ยากขึ้นแถมยังมีภาระดอกเบี้ยค้ำคอ เมื่อเงินหยุดหมุนในระบบเศรษฐกิจที่ฐานรากมันง๊อกแง๊กเพราะมีแต่หนี้...สุดท้ายมันก็พังพินาศ
การทดลอง "ระบบเศรษฐกิจที่อัดฉีดเงินไม่จำกัด" ก็จบลง อะไรก็ตามที่ใช้สารเร่งโตให้เร็วผิดปกติ สุดท้ายมันก็จะกลับเข้าหาจุดสมดุลของมัน เศรษฐกิจก็เช่นกัน และ The Great Depression คือราคาที่ต้องจ่ายของการทดลองนี้
คนที่เชื่อว่ามหาวิกฤติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งนึงนี้ ยังไงก็เป็นเพราะการใช้ "เงินฝืด" ที่มีทองคำเป็นมาตรฐาน คุณไม่เอ๊ะใจอะไรซักนิดนึงเลยเหรอครับ ทำไมจู่ๆ ผู้คนไม่ใช้จ่าย ลดราคาแล้วก็ไม่ใช้จ่าย? อ้อ ก็เพราะคนคาดหวังว่าราคาจะลดลงอีกไงไอฟาย
สรุปง่ายไปมั้ย เงินมันกินไม่ได้ ยังไงคนก็ต้องกินต้องใช้ แค่ถ้าเงินมันเพิ่มมูลค่าขึ้น ผู้คนจะใช้เงินแบบคิดหน้าคิดหลังมากขึ้น มองย้อนไปก่อนหน้านับตั้งแต่มนุษย์ค้นพบทองคำและใช้มันเป็นเงิน ทองคำได้นำพาอารยธรรมมนุษย์เจริญรุ่งเรืองสุดขีด ทำไมมันไม่มีปัญหา?
แล้วทำไมปัญหามันต้องมาทุกครั้งเมื่อระบบการเงินรวมศูนย์และผู้ถืออำนาจพยายามจะโกงมัน ตั้งแต่จักรพรรดิกรุงโรม ผู้นำจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ต่างๆ แอบผสมโลหะราคาถูกในการหลอมเหรียญทองเพื่อเพิ่มปริมาณเหรียญ ทำไปนานเข้าเงินก็เสื่อมค่า ประชาชนต้องเจอภาวะข้าวยากหมากแพง ยากจนกันถ้วนหน้าสุดท้ายก็ล่มสลายไป และการพิมพ์เงินเกินกว่าทองคำที่มี ในช่วงก่อนเกิด The Great Depression จริงๆ แล้วมันก็ไม่ต่างกันเลย มัน "โกง" เหมือนกัน
คิดดีๆ อีกทีนะครับว่าแท้จริงแล้ว ต้นตอของความพินาศนี้มาจาก
1. ทองคำที่ฝืดจนคนไม่ใช้จ่าย หรือ
2. การโกงระบบการเงิน นำมาสู่หนี้ปริมาณมหาศาลโดน liquidate จากการหยุดพิมพ์เงิน โดยให้ประชาชนเป็นผู้รับผิดชอบหายนะที่ไม่ได้ก่อ
#Siamstr