พูดเองนะ ผมจะฝึกฝนอมขี้รอ
#Siamstr
#Siamstr
#Siamstr
#Siamstr
ลองนึกดูดีๆ นะครับ ว่าการบังคับขึ้นค่าแรงจะกระทบกับคนกลุ่มใดบ้าง
ถามว่าบริษัทใหญ่ เช่น กลุ่มบริษัทมหาชนที่เป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนประเทศ มีกี่ต่ำแหน่งงานที่ให้เงินเดือนแรงงานต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำ?
คำตอบคือ แทบจะไม่มี
แม้กระทั่งตำแหน่งที่เล็กที่สุดอย่าง แม่บ้าน ก็มีเงินเดือนที่หารต่อวันเกินค่าแรงขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด
ดังนั้นบริษัทใหญ่ก็ไม่กระทบอะไรอยู่แล้วนี่ ยิ่งสายป่านยาว ค่อยๆ วางแผนปรับเปลี่ยนรับมือเอาสบายๆ
แต่ผู้ประกอบการรายกลางรายเล็ก รวมถึงพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยที่อยู่แบบเดือนชนสองเดือน
เจอนรกของจริง สภาพเหมือนโดนส้นตรีนถีบยอดหน้าอย่างจัง
จริงๆ แล้ว การกำหนดค่าแรงว่าควรจ่ายเท่าไร ควรปล่อยไปตามกลไกตลาดหรือไม่ ตามความสามารถของผู้จ่าย หรือควรให้รัฐมาชี้นิ้วสั่งแบบที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร
ทุกการกระทำมี ราคา ต้องจ่าย และการตัดสินใจของคนที่ไม่มีส่วนได้เสีย มักจะทำมันพังเสมอ
ผู้ที่มีปัญญาในการจ่ายต่ำจะทำยังไง?
เมื่อผู้ประกอบการไม่มีทางเลือก ต้องขึ้นค่าแรงตามกฎหมายกำหนด แต่ความสามารถในการจ่ายมีไม่ถึง เขาก็ต้องดิ้นรนสักทาง จะขึ้นค่าแรงยังไงให้อยู่รอด
เลี่ยงไม่พ้น 2 ทาง
1. ขึ้นราคาสินค้า/บริการเพื่อรองรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่เพียงสินค้าของเรา แต่ในสินค้าในห่วงโซ่อุปทาน ผู้ประกอบการที่ขายวัตถุดิบขึ้นราคาทั้งหมด
ขึ้นราคาสินค้าก็ไม่ง่าย เพราะเงินเฟ้อได้ไม่จำกัด แต่ราคาสินค้าขึ้นได้จำกัด มันมีเส้นราคาที่ผู้บริโภคเต็มใจจ่ายค้ำคออยู่ เมื่อไรก็ตามที่ตั้งราคาล้ำเส้นนี้ งานอาจจะงอกกว่าเดิม สัดส่วนราคาที่เพิ่มขึ้นไม่มีทางไล่อัตราเงินเฟ้อทัน หมายความว่า กำไรลดลง
2. ลดพนักงานลงเพื่อให้จ่ายเท่าเดิม เคยจ้าง 10 คน ก็เหลือ 7 เหลือ 5 ลดจำนวนคนจนกว่าค่าแรงรวมที่ต้องจ่ายจะอยู่ในจุดที่รับไหว แล้วไปรีดเค้นศักยภาพของคนที่อยู่เพิ่มเอา
Productivity ของแรงงาน 1 คน จำเป็นต้องสูงขึ้นต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อให้ผลผลิตเท่าๆ เดิม
เติบโตยากขึ้น เพราะนอกจากต้นทุนวัตถุดิบและการตั้งราคาสินค้าจะสู้รายใหญ่ยากอยู่แล้ว กำแพงต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้นนี้มันกีดกันการเติบโตไปอีก
การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ จะทำให้การกดค่าแรงหมดไปไหม? คำตอบคือ ไม่
เจ้าของกิจการที่สันดานชอบกดค่าแรง มันก็จะกดอยู่นั่น ไม่ว่ารัฐบาลจะขึ้นหรือไม่ขึ้นค่าแรงก็ตาม และในทางปฏิบัติเจ้าหน้าที่รัฐก็ยากที่จะจัดการ
ลองตอบตัวเองในใจดูครับว่า... ณ วันนี้ที่มีกฎหมายค่าแรงขั้นต่ำ เฉลี่ยราว 350.- ยังมีคนที่แอบกดราคา จ่ายค่าแรงต่ำกว่าอยู่ไหม?
รัฐไม่ควรยุ่ง ควรปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ
ใครมีปัญญาจ่ายเท่าไรก็จ่ายตามนั้น เจ้าของกิจการรายไหนที่สันดานชอบเอาเปรียบ เห็นแก่ได้ ใช้งานลูกน้องหนักเยี่ยงทาส กดค่าแรงต่ำๆ จะถูกลงโทษโดยกลไกตลาดแรงงานเอง
ทำให้เกิดการแข่งขันแบบเสรี แรงงานมีสิทธิ์ที่จะเลือก กิจการไหนให้ค่าแรงอัปปรีย์ กดราคาต่ำกว่าชาวบ้าน คุณก็ยากที่จะหาแรงงานที่ตรงสเป็ก เนื่องจากเขาเลือกไปทำที่อื่น
แต่ถ้ามีคนเลือกทำด้วยค่าแรงที่ต่ำโดยความสมัครใจ ไม่ใช่การถูกบังคับกดขี่ แสดงว่าราคาค่าแรงของเขานั้นยังมีความต้องการในตลาดอยู่ ซึ่งเจ้าของกิจการที่เลือกให้ค่าแรงต่ำก็ต้องแลกกับความเสี่ยงด้านความมั่นของแรงงาน การขับเคลื่อนธุรกิจของตัวเองก็จะเป็นไปได้ยาก เนื่องจากได้คนที่คุณสมบัติไม่ตรง มีการลาออกบ่อย หาคนใหม่ยาก หรืออาจจะหาคนมาทำด้วยไม่ได้เลย
ตลาดเสรีจะบีบบังคับคนทำธุรกิจให้ตั้งค่าแรงที่เหมาะสมโดยธรรมชาติ เพื่อจูงใจให้คนมาทำงานด้วย ไม่งั้นธุรกิจก็ไปต่อไม่ได้
แล้วตลาดจะเจอจุดสมดุลย์ของมันเอง ไม่ใช่ให้คนที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมาเจ้ากี้เจ้าการ
#Siamstr
ปริมาณเงินจะสะท้อนมูลค่าของประเทศนั้นๆ ไม่ว่าคุณจะแบ่งมันเป็น สิบส่วน พันส่วน แสนส่วน หรือล้านส่วน มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร
เพราะมูลค่าโดยรวมมันก็จะเท่าเดิมอยู่ดี แค่มูลค่าเงินต่อหน่วยลดลง..แบงก์ 1000 อันเดิม ซื้อของได้น้อยลงกว่าเดิม
.
การพิมพ์เงินและอัดฉีดเข้ามาในระบบเศรษฐกิจก็เช่นกัน และทางเดียวเท่านั้นที่เงินก้อนใหม่นี้จะไม่ด้อยค่าเงินทั้งระบบ คือการสร้าง productivity เพิ่ม สร้างรายได้สร้างการค้าขายเพื่อให้ได้เงินเข้ามา ทำให้ความมั่งคั่งของประเทศเพิ่ม
.
แต่มันไม่ง่าย เพราะเราไม่สามารถเสกความมั่งคั่งจริงๆ ขึ้นมาได้ มันคือเกมแห่ง Proof of work เราต้องลงทุน ลงแรง สละเวลาและทุ่มเทเพื่อให้ได้มันมา อีกทั้งเรายังต้องแข่งขันเพื่อแย่งชิงลูกค้าให้มาซืัอสินค้าเราแทนที่จะเป็นสินค้าของชาติอื่น ถ้าของเราไม่มีคุณภาพแถมราคาสูง ใครมันจะไปซื้อ และทุกอย่างมันต้องใช้เวลา
.
เปรียบประเทศเป็นคน ๆ นึงที่มีทรัพสินย์ 10,000 บาท ไม่ว่าเราจะแบ่งมันเป็นร้อยก้อนหรือพันก้อน มูลค่ารวมมันก็เท่าเดิมอยู่ดี ยิ่งแบ่งมากมูลค่าเงินต่อหน่วยก็จะน้อยลง แม้มันจะเป็นเงิน แต่มันก็หนีไม่พ้นจากกลไกตลาด ไม่ต่างจากสินค้า Commodity อย่างพวกสินค้าการเกษตรหรือสินแร่
.
เมื่อรัฐบาลทำการเพิ่มปริมาณเงินในระบบ ไม่ว่าจากการกู้หรือการพิมพ์เงินเพิ่มของรัฐก็ดี แม้แต่การปล่อยกู้แก่ประชาชนของสถาบันการเงินก็ดี ล้วนแล้วแต่ทำให้มูลค่าของเงินในกระเป๋าเราผู้เป็นประชาชน ด้อยค่า ลงทั้งสิ้น
.
เราจะเรียกอย่างเป็นทางการว่า เงินเฟ้อ..
.
และปัจจุบันนี้ ในสภาวะปกติของเศรษฐกิจ เงินในกระเป๋าเราจะด้อยค่าลงรางๆ 50% หรือซื้อของได้น้อยลงครึ่งนึง ทุกๆ 10 ปี หมายความว่า ถ้ารายได้เราไม่ได้เพิ่มขึ้นขั้นต่ำ 5% ต่อปี เรากำลัง "จนลง" แบบไม่รู้ตัว
.
เมื่อปริมาณเงินมันเพิ่มเข้ามา ทั้งที่มูลค่าและเศรษฐกิจของประเทศมันเท่าๆ เดิม เงินที่มีอยู่ก่อนจะค่อยๆ เสื่อมค่าลง จากที่เคยถือเงิน 1 ในล้าน ก็กลายเป็นถือ 1 ใน 2 ล้าน ประชาชนทุกคนที่ถือเงินอยู่ก่อนหน้าจะจนลงในเวลาไม่นาน ตราบใดที่เรายังถือเป็นเงินสดหรือเงินฝาก เราไม่มีวันหนีพ้น เพราะกลไกระบบการเงินที่เราใช้อยู่มันทำงานแบบนี้
.
แล้วมูลค่าเงินของเรามันหายไปไหน?
ตามหลักการ แคนทิลอน เอฟเฟ็กต์ (Cantilon Effect) ผู้ที่ได้ประโยชน์จากการผลิตเงินเพิ่มในระบบคือผู้ที่อยู่ใกล้แหล่งผลิตเงิน อย่างเช่น รัฐบาล นักการเมือง สถาบันการเงินและกลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่ใกล้ชิดกับรัฐบาล
.
และคนรับเคราะห์คือประชาชน ที่ถูกสูบความมั่งคั่งออกไปถ้วนหน้า
.
อ้อ ทุกนโยบายประชานิยมบองรัฐบาลที่มาจากการกู้ ก็เข้าข่ายนี้ด้วยนะครับ
.
ไม่ว่ารัฐจะอ้างความชอบธรรมใด ๆ ก็ตาม ผลจะลงเอยไม่แตกต่างกัน การแจกเงินในระยะแรกทำให้ประชาชนสดชื่น แลกกับกล้ำกลืนไปแสนนาน เงินที่ใส่เข้ามาในระบบส่งผลให้เงินที่มีอยู่ด้อยค่าลงถาวร สบายวันสองวันนี้ แลกกับลำบากระยะยาว คุ้มกันดีเนอะ
.
เราผู้ซึ่งเป็นประชาชน ก็ดันยินดีกับการได้เงินมาจับจ่ายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยไม่รู้ตัวว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เพราะไม่มีใครเขาบอกความจริง
.
การด้อยค่าสกุลเงินตัวเองไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นตลอดเวลา เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัยในทุกรัฐบาล
.
ประชาชนต้องรับผลกรรมอย่างแสนสาหัส ใครถือเงินเยอะถือเงินนานก็ยิ่งโดนปล้นเยอะ ทำร้ายคนอดออมเพื่ออนาคต ทำให้เราก้าวมาสู่ยุคที่ทำงานประจำแล้วไม่พอแดก ลำพังดูแลตัวเองยังไม่รอด การสร้างครอบครัวไม่ต้องพูดถึงเพราะไม่มีปัญญา มันทำให้เรากินอาหารโภชนาการเลวลงเรื่อย ๆ เพราะสินค้าที่เคยกินเคยใช้ราคาพุ่งไปไกลจนจ่ายไม่ไหว มันบีบให้เราสร้างหนี้จนมากเกินที่เราจะจ่ายได้ ไม่กู้กินกู้ใช้เพื่อความอยู่รอด ก็เพื่ออวดรวยโง่ๆ
.
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ไม่ใช่ปัญหาตัวบุคคล แต่ต้นตอเป็นที่ "ระบบ" ผู้มีอำนาจแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองและความร่ำรวยของตนและพวกพ้อง จนทุกอย่างมันผิดเพี้ยนบิดเบี้ยวไปหมดเกินจะเยียวยา และประชาชนตาดำ ๆ ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ รวมถึงเด็กๆในเจเนอเรชันถัดไปคือผู้ต้องรับผิดชอบ
.
มันไม่มีวันแก้ไขได้ เลิกคาดหวังคำตอแหลของนักการเมือง ต่อให้พระถั๋งซัมจั๋งมาเป็นนายกก็ไม่ช่วยอะไร
.
ทางออกเดียวคือเราต้องมี "เงิน" ที่มนุษย์ขี้เหม็นไม่ต้องเสือก
#Siamstr
#Siamstr
รายได้แค่ครึ่งเดียวของรายจ่าย ถือว่ารวยมั้ย?
.
"เฮียนี่รวยจังเลยนะครับ ใช้จ่ายเดือน 2-3 แสน"
"อ๋อ รายได้กุแค่แสนเดียว ที่เหลือกู้มาอ่ะ พอดีเอาที่ดินที่พ่อแม่หามาอย่างยากลำบากไปค้ำ แล้วแบงก์ก็ดันให้กู้เฉย โชคดีจังเล้ย อิอิ ของมันต้องมี"
.
จริงๆ รายจ่ายก็พอเอามาวัดความร่ำรวยได้แหละ เดี๋ยวนี้หลายคนก็ฮิตกัน ฉากหน้าต้องต้องหรูหราไว้ก่อน แม้เบื้องหลังรายได้จะติดลบก็ช่างมัน
.
แต่คิดดีๆ มันคือความร่ำรวยแบบเปลือกๆ ไม่ใช่เหรอ ร่ำรวยจากการดึงเงินในอนาคตมาใช้จนแทบจะไม่เหลืออนาคตอยู่แล้ว มองไม่ออกเลยรึไงอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้
.
เรามองเห็นเขาแค่ความหรูหราภายนอก ก็ย่อมมองว่าเขารวย แต่ถ้าเราเห็นเบื้องหลังว่าหมอนี่หนี้ล้นพ้นตัว ที่หรูทุกวันนี้เพราะเอาเงินในอนาคตมาใช้ทั้งนั้น
.
เราจะมองว่าเขารวยอีกมั้ย...คงไม่
ก็เล่นใช้จ่ายเกินปัญญาในการสร้างรายได้ หนี้พอกขึ้นทุกวัน มันต้องจบที่การล้มละลาย
.
แล้วทำไมการวัดความร่ำรวยของ "ประเทศ" ถึงทำแบบนั้น????
.
หลายคนอาจมึนงงสับสนกับการคำนวณตัวเลขและตัวเลขศัพท์แสงเวิ่นเว้อทางเศรษฐกิจที่ดูซับซ้อนชิบหาย อ่านไปขมวดคิ้วไป อะไรของมันวะ การเงินมันควรเป็นอะไรที่เข้าถึงยากขนาดนั้นเลยรึ
.
แต่โลกเราวัดความเจริญรุ่งเรืองของประเทศกันแบบนั้นจริงๆ "ยิ่งค่าใช้จ่ายเยอะยิ่งถือว่าดี" รายได้น้อยกว่ารายจ่ายเสมอ หนี้มันไม่เคยลด มีแต่เพิ่มมากขึ้นๆ
.
ทุกประเทศในโลก จะวัดความมั่งคั่งร่ำรวยจาก "การใช้จ่าย" ตามหลักที่เรียกว่า GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ จะวัดต่อหัวก็เติม per capita เข้าไป)
.
หลักการของมันไม่มีอะไรเลย คือ วัดมูลค่าประเทศจากค่าใช้จ่าย 4 ส่วน รายได้ 1 ส่วน โดยทุกประเทศล้วน "ติดลบ" รายจ่ายจะมากกว่ารายได้เสมอ
.
จริงเหรอ? มาไล่ดูรายละเอียดกัน
.
สมการ GDP ตามหลักเคนเซี่ยนที่ถูกใช้เป็นมาตรของทั้งโลก จะประกอบด้วย
C+I+G+(x-m)
C = Consumer *รายจ่าย*เพื่อบริโภคของประชาชน - ประชาชนบริโภคมาก มีกำลังซื้อมาก มีรายได้มาก
I = Investment *รายจ่าย*เพื่อการลุงทุนของเอกชน - เอกชนลงทุนมาก เศรษฐกิจก็เติบโต
G = Government spending *รายจ่าย*ของรัฐบาล
- รัฐไหนใช้จ่ายมากแสดงว่ารวยมาก
(x-m) = Export - Import *รายจ่าย*สุทธิจากต่างประเทศ- ส่งออกมากๆ เพื่อชดเชยการนำเข้า สุดท้ายติดลบเสมอ ติดลบมากดีมีตังค์ซื้อเยอะ
.
เกณฑ์การวัดความมั่งคั่งเป็นแบบนี้ ทีนี้เราลองมาดูกันครับว่า "ความจริง" มันเกิดอะไรขึ้น
.
1. C = การบริโภค - ประชาชนยิ่งเอาเงินออกมาใช้มากยิ่งดี รัฐและสถาบันการเงินจะคอยกระตุ้นประชาชนใช้เงินฟุ่มเฟือยเกินตัว ถ้าเป็นเพราะประชาชนหาเงินได้เยอะก็ดี แต่....
สมการมันไม่สนแหล่งที่มาของเงิน จะกู้ จะจำนำ จะเอาทรัพย์สินไปขายก็ได้ทั้งหมด หาเงินได้เท่าไรใช้ให้เกินกว่านั้นได้ยิ่งดี เพราะมันวัดแค่ "ยิ่งเยอะเท่าไรยิ่งเจริญ"แค่นั้น
ผลของมันคือค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ของผู้คนหมดไปกับสิ่งที่ฉาบฉวย ตอบสนองความฟินระยะสั้นและไม่ได้สร้างมูลค่าในอนาคต ไม่นานคุณค่ามันก็สูญสลายแล้วก็ต้องหาเงินเยอะๆ มาใช้ใหม่ วนลูป
.
2. I = การลงทุกภาคเอกชน - รัฐอัดฉีดเม็ดเงินสร้างง่ายให้เอกชนเอาไปใช้จ่ายทิ้งๆ ขว้างๆ ธุรกิจเอกชนลงทุนผิดพลาด เม็ดเงินที่ใช้จ่ายไปไร้ผลตอบแทน เหลือทิ้งไว้แค่หนี้ก้อนโตที่ต้องที่ต้องผ่อนจ่ายที่โยนขี้ไว้ให้นักลงทุนต้องรับมัน
ยังไม่นับกลไกที่ซับซ้อนกว่านั้นอย่างการสร้าง หนี้ซ้อนหนี้ โดยเอาสินทรัพย์ที่เป็นหนี้ เช่น เงินกู้ ตราสารหนี้ต่างๆ ไปวางค้ำประกันเพื่อขอเงินกู้เพิ่ม สร้างหนี้จนถึงจุดที่ไม่สามารถขำระคืนได้ และวันนึงมันจะค้องพัง หลายๆ บริษัทกำลังตกอยู่ภาวะนี้
.
3. G = การลงทุนภาครัฐ - ประชาชนต้องจ่ายค่าคุ้มครองให้กับระบบบริหารงานที่ไร้ประสิทธิภาพที่สุด ภาครัฐใช้จ่ายเลอะเทอะเสมอ (อย่างที่เป็นอยู่) สักแต่จะใช้ ผลลัพธ์ไม่เคยคุ้มค่า เงินไม่พอใช้ก็ไปกู้มาเพิ่ม โดยเอาประเทศและประชาชนค้ำประกัน
อะไรควรใช้ไม่ใช้ อะไรไม่ควรก็ใช้จัง โยนทิ้งเม็ดเงินที่สูบมาจากประชาชนในแบบที่ประชาชนแทบไม่ได้รับประโยชน์กลับมา กว่าครึ่งใช้ไปกับค่าจ้างให้กับระบบการทำงานที่ล้มเหลว
อีกก้อนมโหฬารก็ทำสูญหายไประหว่างทาง จากช่องโหว่ที่เอื้อให้ทุจริตทุกหย่อมหญ้า เอาไปเพิ่มอัตราการจ้างงานปลอมๆ เพื่อกดตัวเลขการว่างให้ต่ำแบบปลอม ๆ ช่วยเหลือแบบปลอมๆ และพัฒนาแบบปลอมๆ กว่ามันจะถึงมือประชาชนก็เหลือแค่ 10-20%
ทำอะไรหวังผลระยะสั้นเพราะระยะยาวเดี๋ยวคนจะไม่เห็น เลือกตั้งครั้งหน้าคนไม่เลือกทำไง ปากโม้ไปเรื่อยว่าทำเพื่อประชาชน แต่จริงๆ ทำทุกอย่างเพื่อให้อีก 4 ปีคนจะยังเลือกเราและผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง ส่วนอนาคตประเทศระยะยาวจะเป็นยังไงก็ช่าง ประเทศจะฉิบหายยังไงก็ช่าง ไม่เห็นต้องรับผิดชอบอะไรนี่
.
4. x = การส่งออก - อยากรวยจนตัวสั่นพร้อมรับข้อเสนอโดยไม่สนหินสนแดด หลายๆ การกระทำพินิจมุมไหนก็มีแต่เสียกับเสีย โดนล่อลวงด้วยผลประโยชน์จากชาติยักษ์ใหญ่จนโงหัวไม่ขึ้น ปล่อยให้เขาเข้ามาปล้นเราง่ายๆ โดยที่ประชาชนเสียประโยชน์ เอ....แล้วใครได้?
พาประเทศชาติตกอยู่ภายใต้สัญญาทาสโดยไม่รู้ตัว ให้มุ่งเน้นการผลิตสินค้าที่มหาอำนาจต้องการในราคาแสนถูก ปล่อยให้เขาเข้ามาสูบทรัพยากรอันล้ำค่าของประเทศแบบหน้าตาเฉย ลดการผลิตเพื่อการบริโภคภายในประเทศเพื่อการส่งออกให้มากที่สุด แต่เกษตรกรและแรงงานจนเหมือนเดิม มีแต่ท่านและพวกพ้องนั่นแหละที่ร่ำรวยขึ่น คนทั้งชาติเสียหาย รัฐกลับประกาศอย่างภาคภูมิใจว่าเราประสบผลสำเร็จ เศรษฐกิจเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้
.
5. m = การนำเข้า - เมื่อถูกชักจูงให้สินค้าส่วนใหญ่ที่ผลิตในประเทศคือการผลิตเพื่อส่งออก สินค้าที่ผู้คนต้องกินต้องใช้ก็ขาดแคลน จำต้องซื้อสินค้าจากประเทศอื่นเข้ามาเพื่อให้เพียงพอต่อการบริโภค (โดยที่ประเทศร่ำรวยซื้อปัจจัยการผลิตจากเราถูก ๆ เอาไปผลิตและส่งกลับมาขายเราแพง ๆ นี่แหละ) และรัฐก็ประกาศอย่างมั่นหน้ามั่นโหนกว่าตัวเลขการนำเข้าพุ่งสูงขึ้นทำให้ GDP เติบโต สะท้อนว่าประชาชนอยู่ดีกินดี แฮปปี้ซู๊ด ๆ
.
ลูปนรกนี้ส่งผลให้เมื่อเวลาผ่านไปประเทศด้อยพัฒนาก็เข้าสู่สถานะไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้โดยสมบูรณ์ ไม่อนุญาตให้เกิดอุบัติเหตุหรือภาวะฉุกเฉินใด ๆ เพราะเมื่อชักหน้าไม่ถึงหลัง ประเทศขาดสภาพคล่อง ก็จะไม่มีเงินไปนำเข้าสินค้าและจ่ายต้นจ่ายดอกจากหนี้ที่ก่อไว้
.
ประชาชนก็ทยอยตกอยู่ในสถานะอดอยากปากแห้งไม่มีจะแดก และขาดสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิต
แบบ " ฉับพลัน" สินค้าส่วนนึงที่ไหลเข้ามาในประเทศก็จะถูกแย่งกินแย่งใช้จนราคาพุ่งสูงไปไกล สถานะของสกุลเงินชาติก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ
.
จะเห็นว่า GDP โตสูงมากไม่ได้หมายความว่าประเทศเจริญรุ่งเรืองมาก แต่มันหมายถึงการสร้างภาระค่าใช้จ่ายมาก ซึ่งต้องมานั่งดูว่า เศรษฐกิจเติบโตสอดคล้องกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ หรือเป็นเพียงการใช้จ่ายเกินตัว สุรุ่ยสุร่าย ไร้ประโยชน์ เพื่อให้ตัวเลขดูดีได้แค่สั้นๆ และสร้างหายนะในระยะยาว
.
สมการเหล่านี้ ไม่มีการให้ความสำคัญกับ "รายได้" เลยแม้แต่นิด การวัดความร่ำรวยมั่งคั่งด้วยการดูว่าใช้จ่ายเงินไปเท่าไร สร้างประโยชน์มั้ยหรือใช้ฟุ่มเฟือยทิ้งขว้าง โดยที่รายได้ "ติดลบ" มโหฬาร และดูเหมือนจะติดลบมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าประเทศเปรียบเป็นสถานะคนๆ นึง คิดว่ามันจะรอดมั้ยล่ะครับ?
.
รากฐานแห่งความเจริญรุ่งเรืองของ "ยุคทอง" ต่างๆ ในประวัติศาสตร์จองมนุษยชาติ มาจากการ "ออม" โว้ย ไม่ใช่ "หนี้"
ถ้าการสร้างหนี้ไม่รู้จบมันดี แล้วทำไมคุณภาพชีวิตของคนส่วนใหญ่ถึงเลวลงทุกวัน เอาเวลาทั้งวันไปทำงาน เพียงเพื่อจะมีชีวิตแบบเดือนชนเดือนไปจนตาย
สำหรับใครที่มีรายได้ที่ดี คุณภาพชีวิตที่ดี สร้างทรัพย์สมบัติได้ ในยุค Hard Mode นี้ โดยที่ไม่ได้พึ่งพาสิ่งที่พ่อแม่สร้างมา คุณเก่งมากๆ ครับ ถือเป็นคนกลุ่มน้อยสุดๆ ในสังคม แต่คนส่วนใหญ่กำลังดิ้นรนกันอย่างหนักจริงๆ ขยันแล้ว ประหยัดแล้ว แต่ยังไงมันก็ไม่พออยู่ดี
#Siamstr
#Siamstr