พลิกโลก เหนือความคิด (3)
พญามาร
พญามารหรือโจร คือตัณหาความอยากของเรานั่นเอง มันสร้างความเดือดร้อนให้แก่เราเหมือนกับโจรเช่น เราติด บุหรี่ เราก็ต้องเสียเงินที่เราหามาด้วยความเหน็ดเหนื่อย หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ไปซื้อบุหรี่มาสูบพอรู้สึกอยากสูบแล้วบุหรี่ซองละเท่าไหร่และสูบวันละกี่ซอง นี่ถ้าเรามีหูทิพย์ตาทิพย์เราก็มองเห็นและได้ยินเสียงโจรมันพูดว่า, อยากไปดูอยากไปฟังอยากไปสูบ เราก็กำจัดมันเสีย โดยไม่ทำไปตามอำนาจของความอยากนั้น และเราก็ไม่ต้องไปเสียทรัพย์
โจรที่เป็นตัวเป็นตนทุกคนมองเห็นได้ ปราบได้ง่ายแต่โจรที่อยู่ภายในจิตใจนี้ มองไม่เห็นหรือเห็นยาก ปราบยาก ผู้ใดมีโจรอยู่ในจิตใจหูตาจะพร่ามันเห็นไม่ชัด มองหน้าคนไมเ่ป็นคน เห็นหน้าเพื่อนเป็นหน้าผีหน้ายักษ์ไปก็มีเคยได้ยินไหม คนที่เขากำำลังทะเลาะกัน เขาพูดว่า เดี๋ยวโกรธขึ้นมามองไม่เห็นนะ บ้างก็ว่ามองเห็นเท่าข้อมือ บางคนก็ว่าเห็นเท่าแสงหิ่งห้อย นี่เป็นเพราะความโกรธเกิดขึ้นในจิตใจ โกรธมากๆขึ้นมามองไม่เห็นเลย มันมืดบอดเมื่อมองไม่เห็นก็ชกต่อยเตะตีกัน คงจะพอเข้าใจได้แล้วว่า ก่อนที่คนจะวิวาทกันได้นั้น เนื่องมาจากมีโมหะความหลงผิดเข้าครอบงำจิตใจ คนเหล่านี้จึงไม่สามารถมองเห็นนรกสวรรค์ได้ ก่อความเดือดร้อนให้แก่สังคม เป็นคนไม่มีศีลมีธรรมเป็นคนบาป เมื่อไม่มีศีลไม่มีธรรมแล้วจะไปที่ไหนเหล่า ก็ไปตกนรก คนไปตกนรกจึงมีมากเหมือนดังเมล็ดข้าวที่ยัดกระสอบ พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบว่า คนไปตกนรกมีมากเปรียบเทียบได้กับขนโค ส่วนคนไปสวรรค์เปรียบเทียบได้กับเขาโค
ทรัพย์ของคนมีบุญ
คนมีศีลมีธรรมมีบุญจะมองเห็นทุกอย่างแจ่มชัดตามความเป็นจริง คือ เห็นคนเป็นคน เห็นสัตว์เป็นสัตว์เห็นภริยาเป็นภริยา เห็นบุตรเป็นบุตร เห็นเพื่อนเป็นเพื่อนจึงไม่มีการเบียดเบียนกัน ฟังใครพูดอะไรก็รู้เรื่องเข้าใจ โดยเฉพาะฟังพระธรรมเข้าใจแจ่มแจ้ง เดินตามองค์มรรคได้ถูกต้องเพราะมีหูทิพย์ตาทิพย์จึงมองเห็นทาง
ทุกคนเกิดมาแล้วก็ต้องเจ็บตายไป เราจะไปฆ่าไปอิจฉาริษยากันทำไม ? ต่างคนต่างก็ไม่อยากเจ็บไม่อยากตายอยากเป็นคนมีทรัพย์อยากมีความสุข แล้วทำไมจึงยอมให้โจรปล้นเอาทรัพย์ไปเล่า
ทรัพย์ภายในที่เรียกว่าอริยทรัพย์คือความสุขความสงบแห่งจิตใจนั้น ทรัพย์ประเภทนี้โจรมีตัวตนขโมยไปไม่ได้แต่โจรโลภะ โทสะ โมหะ ปล้นเอาไปได้สบายๆ อริยทรัพย์นี้เราต้องรักษาด้วยตัวของเราเอง ไม่มีใครช่วยรักษาให้ได้เราต้องรักษาด้วยตัวของเราเอง ไม่มีใครช่วยรักษาให้ได้
รักษาอย่างไร ?
รักษาโดยการมองให้ทะลุเข้าไปในจิตใจมีสติกำกับอยู่่ที่ใจตลอดเวลา คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งแปดหมื่้นสี่พันพระธรรมขันธ์ก็รวมอยู่เพียงจุดนี้จุดเดียว เป็นจุดที่เรียกว่า ตัวชีวิตจิตใจของเรานี่เอง เดิมชีวิตของคนทุกคนไม่มีความทุกข์ หากแต่ว่าเราหลงผิด โลภะ โทสะ โมหะ จึงเกิดขึ้น ผลจึงทำให้เราได้รับทุกข์
พวกเราที่นั่งฟังอาตมาพูดอยู่ขณะนี้ ขอให้ฟังด้วยสติ สมาธิ ปัญญา พิจารณาตัวเองไว้ทุกขณะ จะได้ไม่เป็นคนลืมตัว ไม่ประมาท พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า คนประเภทแม้มีชวิตอยู่ก็เหมือนตายแล้ว เพราะบุคคลเหล่านี้มีแต่ทำความชั่วพูดชั่วคิดชั่ว มันเหม็น คนไม่มีศีลมีธรรมนึ่เป็นคนเหม็น ส่วนคนมีศีลมีธรรมเปรียบเหมือนดอกไม้ที่สวยที่หอม เพราะมีแต่ความยิ้มแย้มแจ่มใสน่าดูน่าชม เปรียบได้กับดอกไม้ที่ขอเอาไปบูชาพระ ส่วนธูปสามดอกที่จุดบูชาพระนั้น ก็หมายถึงการทำดีทางกาย-วาจา-ใจ ถ้าใจคิดดีก็หอม เปรียบเหมือนธูปหอม คิดดี-หมายถึงใจที่ไม่มี โลภะโทสะโมหะ เทียนสองเล่ม หมายถึง ตาสองตาหูสองหูดูอะไรฟังอะไรเห็นตามที่้เป็นจริง ฟังสัจธรรมให้เข้าใจเป็นตาทิพย์หูทิพย์
ขอให้พยายามฝึกสติกันทุกอิริยาบถ ให้รู้สักตัวอยู่ทุกขณะเห็นจิตเห็นใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา จึงจะเรียกว่าคนมีหูทิพย์ตาทิพย์ อาตมาขอให้ท่านได้มีหูทิพย์ตาทิพย์กันบ้าง แม้น้อยๆ ก็ยังดี อย่าพากันฆ่าสัจจ์ของตัวเองกันเสียหมด
นี่ก็เห็นว่าพอสมควรแก่เวลาแล้ว ขอจบเสีย
#Siamstr
#Realism
ที
ที
พลิกโลก เหนือความคิด (1)
หูทิพย์ตาทิพย์ที่พระพุทธเจ้าสอน เป็นหูตาที่สามารถมองเห็นได้ยินความปรากฏออกของอวิชชา คือ โลภะ-โทสะ -โมหะที่เข้ามาทางอายตนะ
การฟังธรรมะวันนี้ อาตมาจะนำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้า มาเล่าสู่ฟังตามสมควรแก่เวลา
พวกเรามาทีนี่ก็เพื่อมาเจริญสติ-สมาธิ-ปัญญา คำว่า เจริญ หมายถึงทำให้มาก หรือทำให้ก้าวหน้านั่นเอง พระพุทธเจ้ามีญาณสามารถมองเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง ดังนั้น เราก็ต้องปฏิบัติให้ได้อย่างนั้นบ้าง
ฌาน-ญาณ
ญาณ แปลว่า รู้แจ้งเห็นจริงเข้าใจจริง แต่คนส่วนมากไปเข้าใจว่า จะมีญาณได้จะต้องเข้าฌานเสียก่อน ฌานชนิดนั่งหลับตาตัวแข็งทื่อ ฌานเหาะได้หายตัวได้เหล่านี้พระองค์มิได้นำมาสอน เพราะไม่ได้ทำให้รู้แจ้งเห็นจริงพ้นทุกข์ได้ พระพุทธเจ้าทรงสอนแต่เฉพาะญานและฌานที่จะทำให้มีหูทิพย์ตาทิพย์ได้เท่านั้น ขอให้ท่านทั้งหลายทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ถูกต้อง เพื่อประโยชน์แก่ตัวท่านเอง
การเข้าฌาน คือ การมีสติรู้เห็นความรู้สึกทางกายในอิริยาบถต่างๆและรู้เห็นความรู้สึกนึกคิดของจิตของใจ เช่น รู้สึกว่ารัก ชอบ โกรธ เกลียด อิจฉา ริษยา ห่วง กังวล หงุดหงิด ซึมเศร้า เป็นต้น ฉะนั้น เราจึงเข้าฌานได้ทุกขณะไม่ว่าจะกำลังทำอะไรอยู่ เมื่อมีสติอยู่อย่างนี้ ความหลังผิดก็จะไม่เกิดขึ้นกับจิตใจ และจิตใจที่ปราศจากความหลงผิดนี้จะมีปัญญามองเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง,นี้เองที่เรียกว่าญาณ
ญาณและฌานชนิดนี้เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าและพระสาวก, ถ้าเราทำตัวเราให้มีบ้าง ก็จะเป็นการยกระดับจิตใจของเราเอง อย่างน้อยก็จะเป็นผู้ได้ ดวงตาเห็นธรรม คือ หูทิพย์ตาทิพย์ หรือได้กระแสพระนิพพานนั่นเอง นิพพานในทีนี้ ไม่ได้หมายถึงนิพพาน ที่จะรอเอาต่อตายแล้ว , แม้การทำบุญให้ทานรักษาศีลก็เหมือนกัน มิใช่ทำเพื่อเอาสวรรค์ตอนตาย ใครที่คิดเช่นนี้แสดงว่ายังไม่เข้าใจ ยังไม่มีหูทิพย์ตาทิพย์ เป็นการคาดฝันนึกคิดเอาเอง ส่วนผู้มีญาณนั้นทำบุญวันนี้ก็ได้บุญวันนี้ ทำทานรักษาศีลเจริญกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐานวันนี้ก็ต้องได้วันนี้ ไม่ต้องเอาตอนตาย ต้องเอาขณะกำลังทำอยู่ กำลังพูด กำลังคิดอยู่นี่แหละ พระพุทธองค์ตรัสว่า อดีตอนาคตไม่ต้องคำนึงถึง ให้นึกถึงเฉพาะปัจจุบัน
นรก-สวรรค์-นิพพาน
ทุกคนอยากไปสวรรค์ใช่ไหม อาตมาจะชี้ประตูสวรรค์ให้เดิน : ประตูที่หนึ่งคือตา ตาที่มองเห็นรูปสวยๆงามๆเกิดความชอบใจพอใจอิ่มใจ , ประตูที่สองคือ หู หูได้ยินเสียงเพราะเกิดความชอบใจไม่พอใจ ,ประตูที่สาม คือจมูก จมูกได้กลิ่นหอมเกิดความชอบใจพอใจอิ่มใจ , ประตูที่สี่ คือ ลิ้น ลิ้นที่ได้รสอร่อยเกิดความชอบใจพอใจอิ่มใจ ,ประตูที่ห้าคือกาย กายสัมผัสอ่อนนุ่มเกิดความชอบใจพอใจอิ่มใจ ,ประตูที่หกคือใจ ใจคิดถึงเรื่องสนุกที่ไม่ผิดศีลธรรมเกิดความพอใจอิ่มใจ สวรรค์ไม่ได้เป็นชั้นๆ อยู่บนฟ้า สวรรค์อยู่ที่ตัวเรา ประตูนรกก็อยู่ที่ตัวเรา, อยู่ที่ ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ : แต่แทนที่จะสัมผัสของสวยงามของดีของอร่อย กลับเป็นของไม่ดีไม่งามไม่อร่อย ทำให้เกิดความไม่พอใจโกรธเกลียดเคียดแค้นชิงชังเศร้าเสียใจร้อนใจ-ทุกข์. นั่น-ตกนรกแล้ว จะเห็นว่า ทั้งสวรรค์และนรกรวมอยู่ที่จุดเดียวคือใจ. เมื่อใดที่เรามองเข้าไปในจิตใจได้นั่นแหละ เราจะเห็นนรกสวรรค์กันจริงๆ นิพพานก็อยู่ที่จุดนี้เหมือนกัน คืออยู่ที่ใจ
คนโบราณท่านสอนเอาไว้ว่า สวรรค์ในอกนรกในใจ พระนิพพานก็อยู่ในใจนั่นเอง เราเคยได้ยินได้ฟัง จำได้พูดได้ แต่ไม่ได้หาเอาด้วยฝีไม้ลายมือของตัวเองก็เลยไม่มี จึงต้องไปตามตำรับตำรา พูดตามๆกัน ไม่สามารถพูดสิ่งที่เกิดขึ้นกับจิตใจของตัวเองได้ จึงไม่สามารถเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จนเอามาเป็นที่พึ่งได้จริง ดังนั้น เราจึงไม่อาจนับเนื่องเข้าเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าได้ เป็นชาวพุทธกันก็เพียงแค่สำมะโนครัวเท่านั้น ไม่ได้เป็นชาวพุทธที่แท้จริง
#Siamstr #Sati #Dhamma #Bhudditsm #Realsim















