ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอุทิศผล
บุญกุศลนี้แผ่ไปให้ไพศาล
ถึงบิดามารดา ครูอาจารย์
ทั้งลูกหลานญาติมิตรสนิทกัน
คนเคยร่วมกิจการงานทั้งหลาย
มีส่วนได้ในกุศลผลของฉัน
ทั้งเจ้ากรรมนายเวรและเทวัน
ขอให้ท่านได้กุศลผลนี้เทอญ
GN #siamstr
Pruk S.
pruks@siamstr.com
npub1pruk...nj2f
Bitcoiner, Researcher, Beer lover and Coffee addict
GM #siamstr
อะไรนะ!!
ที่มอสโกว 9 โมงแล้ว?
ระบบการเงินเดิมกำลังล่มสลายทีละน้อย
ในขณะที่บิตคอยน์เติบโตอย่างมั่นคงทุก Layer
คุณอาจใช้มัน... โดยไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
View article →
#siamstr
ยามเย็น…
ตะวันกำลังลาลับขอบฟ้า
ท่ามกลางสายลมที่เปลี่ยนแปลง
กังหันลมที่เคยหมุนก็ย่อมหยุดพัก
ดอกบัวที่เคยผลิบานก็โรยราในที่สุด
.
ทุกสรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง…
ไม่สามารถทนอยู่ในสภาพเดิมได้
เมื่อเหตุปัจจัยดับไป
ความงามและตัวตนของสิ่งนั้นก็ย่อมดับตาม
.
นี่คือ
อนิจจัง — ความไม่เที่ยง
ทุกขัง — ความทนอยู่ไม่ได้
อนัตตา — ความไม่ใช่ตัวตนให้ยึดมั่นถือมั่น
.
จึงไม่ควรยึดมั่นในสิ่งใด
แม้แต่ความสุขที่มีในขณะนี้
เพราะทุกอย่าง…
ล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป
.
ถ้อยคำเรียบเรียงขึ้นจากการพิจารณาธรรมภายหลังทำวัตรเย็นและเจริญกรรมฐาน โดยอาศัยความช่วยเหลือจาก ChatGPT
#siamstr
GM #siamstr


Privacy ในโลกดิจิทัลจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?
.
เราอยู่ในโลกที่ ทุกคลิก ทุกไลก์ ทุกการค้นหา
คือการทิ้งร่องรอยบนอินเทอร์เน็ต
หรือที่เรียกว่า digital footprint — รอยเท้าดิจิทัล
ที่สามารถบอกได้ว่าเราเป็นใคร สนใจอะไร
เดินทางไปที่ไหน คุยกับใคร และใช้ชีวิตอย่างไร
.
และทุกวันนี้ โลกไม่ได้แค่เก็บข้อมูลของเราเท่านั้น
แต่มี AI ที่กำลัง “เรียนรู้ตัวเรา”
จากทุกพฤติกรรม ทุกความเคลื่อนไหว
แม้แต่สิ่งที่เรา ไม่ได้ตั้งใจบอก
.
ต่อให้เราไม่ได้พูดตรง ๆ ว่าเราเป็นใคร
แต่โลกดิจิทัลก็ค่อย ๆ รู้จักเรา
แม้ในช่วงเวลาที่เรา “ไม่ได้เปิดเผยตัวตน”
.
แล้วเราจะรักษา Privacy ของตัวเองได้อย่างไร?
ในโลกที่ข้อมูลไม่เคยหยุดเคลื่อนไหว
และ AI ฉลาดขึ้นทุกวัน
.
คำตอบคือ Cryptography — วิทยาการรหัสลับ
ที่ช่วย “เข้ารหัส” ข้อมูลให้เฉพาะผู้ที่ควรเห็นเท่านั้น
และ “ยืนยันตัวตน” เมื่อเราต้องการเปิดเผยด้วย digital signature
.
Cryptography คือทั้ง
เกราะ ที่ปกป้องข้อมูลของเรา
กุญแจ ที่ให้เราเลือกเปิดเผยตัวเอง ในแบบที่เราต้องการ
.
Privacy ไม่ใช่ของที่โลกดิจิทัลจะมอบให้เราโดยอัตโนมัติ
แต่มันคือสิ่งที่เราต้อง “สร้าง”
ด้วยเจตจำนงของตัวเอง และเครื่องมือที่ถูกต้อง
#siamstr
ถึงเวลาใช้มีมนี้อีกรอบ #siamstr


เราไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวเองตลอดเวลา
.
ลองนึกภาพตอนคุณเดินเข้าร้านสะดวกซื้อ หยิบน้ำขวดหนึ่งไปจ่ายเงินด้วยเงินสด
.
คุณได้สินค้า
ร้านค้าได้เงิน
ไม่มีใครต้องรู้ชื่อคุณ บ้านคุณอยู่ไหน หรือคุณทำงานอะไร
.
ต่างฝ่ายโปร่งใสต่อกัน โดยไม่จำเป็นต้องโปร่งใสต่อทุกคน
มันคือการแลกเปลี่ยนที่สมบูรณ์ โดยไม่ต้องให้ทั้งโลกรับรู้
.
แต่บนโลกดิจิทัล เรากลับถูกขอข้อมูลส่วนตัวเกินความจำเป็นอยู่เสมอ
แค่จะอ่านบทความ ต้องสมัครสมาชิก
แค่จะซื้อของ ต้องกรอกชื่อ เบอร์ โทร ที่อยู่ แม้กระทั่งความสนใจ
.
“In most cases, personal identity is not salient.”
— A Cypherpunk’s Manifesto
.
ความจริงก็คือ: ตัวตนไม่จำเป็นต้องถูกเปิดเผยเสมอไป
.
สิ่งที่ควรเกิดขึ้นคือ การเปิดเผยเท่าที่จำเป็น
และเราควรมี สิทธิและอำนาจ ในการตัดสินใจเรื่องนั้น — ด้วยตัวเราเอง
.
เพราะ Privacy คือรากฐานของเสรีภาพ
และไม่มีเสรีภาพใดจะเกิดขึ้นได้ หากเราไม่มีสิทธิในการ “เลือกเปิดเผยตัวเอง”
#siamstr
ไม่ต้องตกใจครับ #siamstr
วงในบอกมา มีตอัพ 13 พ.ค. พบกับ
ดร. พฤกษ์นั่นเอง!!
ทำไมหน้าบวมจัง🤣


เย้ Economic in One Lesson มาถึงแล้ว!
พักเรื่องเทคนิคมาอ่านเศรษฐศาสตร์บ้างดีกว่า #siamstr


กว่าจะเป็นบิตคอยน์ – 4 ทศวรรษแห่งการพัฒนาระบบเงินดิจิทัลไร้ศูนย์กลาง
แม้บิตคอยน์จะถือกำเนิดมากว่า 16 ปีแล้ว จากผลงาน white paper ของ Satoshi Nakamoto ในวันที่ 31 ตุลาคม ปี 2008…
แต่แท้จริงแล้ว บิตคอยน์ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน หากเป็นผลลัพธ์ของการวิจัยและพัฒนาด้านคณิตศาสตร์และวิทยาการเข้ารหัสที่สั่งสมมากว่า 40 ปี
ในวันนี้ ผมจะพาทุกท่านย้อนรอยเส้นทางสู่บิตคอยน์กันครับ
____
ทศวรรษที่ 1970s: ยุคบุกเบิกการเข้ารหัสการสื่อสาร
1974: Vint Cerf และ Bob Kahn ได้พัฒนาโปรโตคอล TCP/IP ซึ่งเป็นพื้นฐานของการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ต
1976: Whitfield Diffie และ Martin Hellman ได้นำเสนอแนวคิดการเข้ารหัสแบบกุญแจสาธารณะ (Public-key cryptography)
1978: Ron Rivest, Adi Shamir และ Leonard Adleman ได้พัฒนาระบบการเข้ารหัส RSA ซึ่งเป็นหนึ่งในอัลกอริธึมการเข้ารหัสแบบกุญแจสาธารณะที่ได้รับความนิยมและใช้กันอย่างแพร่หลาย
.
ทษวรรษที่ 1980s: การพัฒนาการเข้ารหัสสู่แนวคิดเงินดิจิทัล
1980: Ralph Merkle ได้นำเสนอแนวคิด Merkle Tree ซึ่งเป็นโครงสร้างข้อมูลที่ช่วยในการตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูลในระบบกระจายศูนย์ แนวคิดนี้ถูกนำมาใช้ใน Bitcoin เพื่อยืนยันความถูกต้องของบล็อกธุรกรรม
1982: Leslie Lamport, Robert Shostak และ Marshall Pease ได้นำเสนอปัญหานายพลไบแซนไทน์ (Byzantine Generals Problem) ซึ่งอธิบายถึงความยากลำบากในการบรรลุความสอดคล้องในระบบไร้ศูนย์กลาง
1983: David Chaum ได้นำเสนอแนวคิดลายเซ็นปกปิด (Blind Signatures) ซึ่งช่วยให้สามารถทำธุรกรรมทางการเงินโดยไม่สามารถติดตามได้ แนวคิดนี้เป็นพื้นฐานของการพัฒนาเงินสดอิเล็กทรอนิกส์ (eCash)
1985: การเข้ารหัสแบบเส้นโค้งวงรี (Elliptic Curve Cryptography) ถูกพัฒนาและนำมาใช้ในการสร้างกุญแจเข้ารหัสที่มีความปลอดภัยสูงและขนาดเล็ก ซึ่งถูกนำมาใช้ในระบบการเข้ารหัสอย่าง Elliptic Curve Digital Signature Algorithm (ECDSA) ของ Bitcoin
1988: Timothy C. May ได้เขียน "The Crypto Anarchist Manifesto" ซึ่งทำนายถึงการใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัสเพื่อสร้างสังคมที่ผู้คนสามารถสื่อสารและทำธุรกรรมได้อย่างไม่ระบุตัวตนและปลอดภัย แนวคิดนี้เป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนา Bitcoin และการเคลื่อนไหวของ Cypherpunks
1989: David Chaum ได้ก่อตั้งบริษัท DigiCash เพื่อทำให้แนวคิด eCash ของเขาเป็นจริง eCash เป็นระบบเงินสดอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้เทคโนโลยีลายเซ็นปกปิด (Blind Signatures) เพื่อให้การทำธุรกรรมไม่สามารถติดตามได้
.
ทษวรรษที่ 1990s: การเกิดขึ้นของ Cypherpunk และระบบเงินดิจิทัลยุคแรก
1991: Stuart Haber และ W. Scott Stornetta ได้นำเสนอวิธีการประทับเวลาบนเอกสารดิจิทัลเพื่อรักษาความสมบูรณ์ของข้อมูล
1991: Phil Zimmermann ได้พัฒนาและเปิดตัว Pretty Good Privacy (PGP) ซึ่งเป็นโปรแกรมเข้ารหัสอีเมลที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสื่อสารอย่างปลอดภัยและเป็นส่วนตัว
1992: Eric Hughes, Timothy C. May และ John Gilmore ได้ก่อตั้งกลุ่ม Cypherpunks ซึ่งเป็นกลุ่มนักเคลื่อนไหวที่สนับสนุนการใช้การเข้ารหัสเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในโลกดิจิทัล กลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin
1993: Eric Hughes ได้เขียน "A Cypherpunk's Manifesto" ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของความเป็นส่วนตัวและการใช้การเข้ารหัสเพื่อปกป้องเสรีภาพของบุคคลใน
1994: CyberCash เปิดตัวในฐานะหนึ่งในผู้บุกเบิกระบบการชำระเงินออนไลน์ โดยมีการนำเสนอเทคโนโลยีการชำระเงินผ่านอินเทอร์เน็ตที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญสำหรับระบบการชำระเงินดิจิทัลในอนาคต
1997: Adam Back ได้พัฒนา Hashcash ซึ่งเป็นระบบ Proof of Work ที่ใช้ในการป้องกันสแปมและการโจมตีแบบ DoS แนวคิดนี้ถูกนำมาใช้ในกระบวนการขุด Bitcoin
1997: Nick Szabo เสนอแนวคิดสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) ที่ช่วยให้ธุรกรรมอัตโนมัติปลอดภัยและเชื่อถือได้
1998: Wei Dai ได้นำเสนอแนวคิด B-money ซึ่งเป็นระบบเงินดิจิทัลแบบไร้ศูนย์กลางที่ไม่ต้องการตัวกลาง แนวคิดนี้มีอิทธิพลต่อการพัฒนา Bitcoin
1998: Nick Szabo ได้เสนอแนวคิด Bit Gold ซึ่งเป็นระบบเงินดิจิทัลที่ใช้การพิสูจน์การทำงาน (Proof of Work) และการประทับเวลา แนวคิดนี้ถือเป็นบรรพบุรุษของ Bitcoin
.
ทษวรรษที่ 2000s: พัฒนาการก่อนการเปิดตัวบิตคอยน์
2001: Bram Cohen สร้าง BitTorrent ระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแบบไร้ศูนย์กลางที่มีหลักการใกล้เคียงกับการกระจายข้อมูลของ Bitcoin
2002: โครงการ Tor ถูกพัฒนาเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตโดยไม่เปิดเผยตัวตน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ Cypherpunks ในการปกป้องความเป็นส่วนตัว
2004: Hal Finney ได้พัฒนาระบบ RPoW ซึ่งเป็นระบบ Proof of Work ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ แนวคิดนี้เป็นพื้นฐานของระบบการขุด Bitcoin
2008: วิกฤตการเงินครั้งใหญ่ Lehman Bankruptcy กระตุ้นให้ผู้คนหันมาสนใจระบบเงินรูปแบบใหม่
2008: Satoshi Nakamoto เผยแพร่ Bitcoin Whitepaper เอกสารที่เสนอแนวคิด Bitcoin ซึ่งรวมองค์ความรู้ทั้งหมดก่อนหน้านี้ไว้ในระบบเดียว
2009: Satoshi Nakamoto เปิดตัว Bitcoin พร้อมบล็อกแรก (Genesis Block)
____
แนวคิดและนวัตกรรมต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ เปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ที่ค่อย ๆ ถูกประกอบเข้าด้วยกันตลอดระยะเวลากว่า 4 ทศวรรษ จนในที่สุด Satoshi Nakamoto ก็ได้นำองค์ความรู้เหล่านี้มาหลอมรวมเป็นบิตคอยน์ ระบบการเงินรูปแบบใหม่ที่ไร้ศูนย์กลาง โปร่งใส และตรวจสอบได้
นอกจากนี้บิตคอยน์ไม่ได้เป็นเพียงนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพทางการเงินที่ผู้คนสามารถควบคุมและปกป้องทรัพย์สินของตนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาตัวกลาง
และแม้เส้นทางนี้จะยาวนานกว่า 40 ปี แต่บิตคอยน์ก็เพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น...
เครดิตรูปภาพ: cliffc2 (Bitcoin HK)
#siamstr
แม้บิตคอยน์จะถือกำเนิดมากว่า 16 ปีแล้ว จากผลงาน white paper ของ Satoshi Nakamoto ในวันที่ 31 ตุลาคม ปี 2008…
แต่แท้จริงแล้ว บิตคอยน์ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน หากเป็นผลลัพธ์ของการวิจัยและพัฒนาด้านคณิตศาสตร์และวิทยาการเข้ารหัสที่สั่งสมมากว่า 40 ปี
ในวันนี้ ผมจะพาทุกท่านย้อนรอยเส้นทางสู่บิตคอยน์กันครับ
____
ทศวรรษที่ 1970s: ยุคบุกเบิกการเข้ารหัสการสื่อสาร
1974: Vint Cerf และ Bob Kahn ได้พัฒนาโปรโตคอล TCP/IP ซึ่งเป็นพื้นฐานของการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ต
1976: Whitfield Diffie และ Martin Hellman ได้นำเสนอแนวคิดการเข้ารหัสแบบกุญแจสาธารณะ (Public-key cryptography)
1978: Ron Rivest, Adi Shamir และ Leonard Adleman ได้พัฒนาระบบการเข้ารหัส RSA ซึ่งเป็นหนึ่งในอัลกอริธึมการเข้ารหัสแบบกุญแจสาธารณะที่ได้รับความนิยมและใช้กันอย่างแพร่หลาย
.
ทษวรรษที่ 1980s: การพัฒนาการเข้ารหัสสู่แนวคิดเงินดิจิทัล
1980: Ralph Merkle ได้นำเสนอแนวคิด Merkle Tree ซึ่งเป็นโครงสร้างข้อมูลที่ช่วยในการตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูลในระบบกระจายศูนย์ แนวคิดนี้ถูกนำมาใช้ใน Bitcoin เพื่อยืนยันความถูกต้องของบล็อกธุรกรรม
1982: Leslie Lamport, Robert Shostak และ Marshall Pease ได้นำเสนอปัญหานายพลไบแซนไทน์ (Byzantine Generals Problem) ซึ่งอธิบายถึงความยากลำบากในการบรรลุความสอดคล้องในระบบไร้ศูนย์กลาง
1983: David Chaum ได้นำเสนอแนวคิดลายเซ็นปกปิด (Blind Signatures) ซึ่งช่วยให้สามารถทำธุรกรรมทางการเงินโดยไม่สามารถติดตามได้ แนวคิดนี้เป็นพื้นฐานของการพัฒนาเงินสดอิเล็กทรอนิกส์ (eCash)
1985: การเข้ารหัสแบบเส้นโค้งวงรี (Elliptic Curve Cryptography) ถูกพัฒนาและนำมาใช้ในการสร้างกุญแจเข้ารหัสที่มีความปลอดภัยสูงและขนาดเล็ก ซึ่งถูกนำมาใช้ในระบบการเข้ารหัสอย่าง Elliptic Curve Digital Signature Algorithm (ECDSA) ของ Bitcoin
1988: Timothy C. May ได้เขียน "The Crypto Anarchist Manifesto" ซึ่งทำนายถึงการใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัสเพื่อสร้างสังคมที่ผู้คนสามารถสื่อสารและทำธุรกรรมได้อย่างไม่ระบุตัวตนและปลอดภัย แนวคิดนี้เป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนา Bitcoin และการเคลื่อนไหวของ Cypherpunks
1989: David Chaum ได้ก่อตั้งบริษัท DigiCash เพื่อทำให้แนวคิด eCash ของเขาเป็นจริง eCash เป็นระบบเงินสดอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้เทคโนโลยีลายเซ็นปกปิด (Blind Signatures) เพื่อให้การทำธุรกรรมไม่สามารถติดตามได้
.
ทษวรรษที่ 1990s: การเกิดขึ้นของ Cypherpunk และระบบเงินดิจิทัลยุคแรก
1991: Stuart Haber และ W. Scott Stornetta ได้นำเสนอวิธีการประทับเวลาบนเอกสารดิจิทัลเพื่อรักษาความสมบูรณ์ของข้อมูล
1991: Phil Zimmermann ได้พัฒนาและเปิดตัว Pretty Good Privacy (PGP) ซึ่งเป็นโปรแกรมเข้ารหัสอีเมลที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสื่อสารอย่างปลอดภัยและเป็นส่วนตัว
1992: Eric Hughes, Timothy C. May และ John Gilmore ได้ก่อตั้งกลุ่ม Cypherpunks ซึ่งเป็นกลุ่มนักเคลื่อนไหวที่สนับสนุนการใช้การเข้ารหัสเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในโลกดิจิทัล กลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin
1993: Eric Hughes ได้เขียน "A Cypherpunk's Manifesto" ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของความเป็นส่วนตัวและการใช้การเข้ารหัสเพื่อปกป้องเสรีภาพของบุคคลใน
1994: CyberCash เปิดตัวในฐานะหนึ่งในผู้บุกเบิกระบบการชำระเงินออนไลน์ โดยมีการนำเสนอเทคโนโลยีการชำระเงินผ่านอินเทอร์เน็ตที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญสำหรับระบบการชำระเงินดิจิทัลในอนาคต
1997: Adam Back ได้พัฒนา Hashcash ซึ่งเป็นระบบ Proof of Work ที่ใช้ในการป้องกันสแปมและการโจมตีแบบ DoS แนวคิดนี้ถูกนำมาใช้ในกระบวนการขุด Bitcoin
1997: Nick Szabo เสนอแนวคิดสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) ที่ช่วยให้ธุรกรรมอัตโนมัติปลอดภัยและเชื่อถือได้
1998: Wei Dai ได้นำเสนอแนวคิด B-money ซึ่งเป็นระบบเงินดิจิทัลแบบไร้ศูนย์กลางที่ไม่ต้องการตัวกลาง แนวคิดนี้มีอิทธิพลต่อการพัฒนา Bitcoin
1998: Nick Szabo ได้เสนอแนวคิด Bit Gold ซึ่งเป็นระบบเงินดิจิทัลที่ใช้การพิสูจน์การทำงาน (Proof of Work) และการประทับเวลา แนวคิดนี้ถือเป็นบรรพบุรุษของ Bitcoin
.
ทษวรรษที่ 2000s: พัฒนาการก่อนการเปิดตัวบิตคอยน์
2001: Bram Cohen สร้าง BitTorrent ระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแบบไร้ศูนย์กลางที่มีหลักการใกล้เคียงกับการกระจายข้อมูลของ Bitcoin
2002: โครงการ Tor ถูกพัฒนาเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตโดยไม่เปิดเผยตัวตน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ Cypherpunks ในการปกป้องความเป็นส่วนตัว
2004: Hal Finney ได้พัฒนาระบบ RPoW ซึ่งเป็นระบบ Proof of Work ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ แนวคิดนี้เป็นพื้นฐานของระบบการขุด Bitcoin
2008: วิกฤตการเงินครั้งใหญ่ Lehman Bankruptcy กระตุ้นให้ผู้คนหันมาสนใจระบบเงินรูปแบบใหม่
2008: Satoshi Nakamoto เผยแพร่ Bitcoin Whitepaper เอกสารที่เสนอแนวคิด Bitcoin ซึ่งรวมองค์ความรู้ทั้งหมดก่อนหน้านี้ไว้ในระบบเดียว
2009: Satoshi Nakamoto เปิดตัว Bitcoin พร้อมบล็อกแรก (Genesis Block)
____
แนวคิดและนวัตกรรมต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ เปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ที่ค่อย ๆ ถูกประกอบเข้าด้วยกันตลอดระยะเวลากว่า 4 ทศวรรษ จนในที่สุด Satoshi Nakamoto ก็ได้นำองค์ความรู้เหล่านี้มาหลอมรวมเป็นบิตคอยน์ ระบบการเงินรูปแบบใหม่ที่ไร้ศูนย์กลาง โปร่งใส และตรวจสอบได้
นอกจากนี้บิตคอยน์ไม่ได้เป็นเพียงนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพทางการเงินที่ผู้คนสามารถควบคุมและปกป้องทรัพย์สินของตนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาตัวกลาง
และแม้เส้นทางนี้จะยาวนานกว่า 40 ปี แต่บิตคอยน์ก็เพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น...
เครดิตรูปภาพ: cliffc2 (Bitcoin HK)
#siamstrทำไมคนเราต้องมีฟันคุด?
#siamstr
คุยกะพี่คนหนึ่งวัยน่าจะหกสิบกว่า
เค้าบอกกับผมว่า: "บิตคอยน์สร้างขึ้นโดยญี่ปุ่น
ทรัมป์เลยสร้างเหรียญของเมกาเพื่อมาสู้กับญี่ปุ่น"
ใจเย็น ๆ ก่อนนะพี่นะ ค่อย ๆ ฟังผมนะ😅