Pruk S.'s avatar
Pruk S.
pruks@siamstr.com
npub1pruk...nj2f
Bitcoiner, Researcher, Beer lover and Coffee addict
Pruk S.'s avatar
Pruk S. 9 months ago
คุยกะพี่คนหนึ่งวัยน่าจะหกสิบกว่า เค้าบอกกับผมว่า: "บิตคอยน์สร้างขึ้นโดยญี่ปุ่น ทรัมป์เลยสร้างเหรียญของเมกาเพื่อมาสู้กับญี่ปุ่น" ใจเย็น ๆ ก่อนนะพี่นะ ค่อย ๆ ฟังผมนะ😅
Pruk S.'s avatar
Pruk S. 9 months ago
ข้อ 3 ตอบ 9,723 outputs ครับ
Pruk S.'s avatar
Pruk S. 9 months ago
ยามบ่าย image #siamstr
Pruk S.'s avatar
Pruk S. 9 months ago
จาก Energy สู่ Entropy: การปฏิวัติโลกแห่งข้อมูลดิจิทัลด้วยพลังงาน image หลายคนอาจคิดว่า ข้อมูลดิจิทัลเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ลอยอยู่ในอากาศ เป็นเพียงบิตข้อมูลที่อาศัยอยู่ในจานแม่เหล็กหรือชิปในคอมพิวเตอร์ สามารถคัดลอก เปลี่ยนแปลง และบิดเบือนได้ง่าย การสร้างข้อมูลดิจิทัลที่มีความคงทนเช่นวัตถุทางกายภาพจึงเป็นเรื่องยาก . บิตคอยน์กำลังเปลี่ยนสิ่งนี้ไปตลอดกาล.. ด้วยกฎอุณหพลศาสตร์ (Thermodynamics) ที่เชื่อมโยง "พลังงาน" เข้ากับ "ข้อมูลดิจิทัล" ทำให้ข้อมูลมีความเสถียร มั่นคง และทนทานต่อการเปลี่ยนแปลง . ลองนึกถึงเรื่องราวที่ผู้คนเล่าต่อ ๆ กัน เมื่อเรื่องราวถูกถ่ายทอดผ่านหลายบุคคล รายละเอียดก็ยิ่งผิดเพี้ยนไปจากต้นฉบับ สิ่งนี้เป็นธรรมชาติของข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะในโลกดิจิทัลที่ข้อมูลสามารถถูกคัดลอก ปรับเปลี่ยนแก้ไข และแพร่กระจายไปยังที่ต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ ยิ่งทำให้ข้อมูลข่าวสารมีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น นี่คือ "เอนโทรปี" (Entropy) — ภาวะความยุ่งเหยิงที่เพิ่มขึ้นตามเวลา . เมื่อกล่าวถึงเอนโทรปี หลายคนอาจนึกถึงความไม่เป็นระเบียบในทางฟิสิกส์ ที่อนุภาคของสสารในระบบมีการกระจายตัวที่ยุ่งเหยิงขึ้นเรื่อย ๆ และไม่สามารถย้อนกลับได้ (ตามกฎอุณหพลศาสตร์ข้อที่สอง) ซึ่งในระบบปิด เอนโทรปีจะมีแต่เพิ่มขึ้นหรือคงที่ แต่จะไม่ลดลงเองตามธรรมชาติ . แต่เอนโทรปีไม่ได้ถูกใช้ในเรื่องของฟิสิกส์แต่เพียงอย่างเดียว ในทฤษฎีข่าวสาร (Information Theory) เอนโทรปีถูกนำมาใช้วัดความไม่เป็นระเบียบของข้อมูลได้เช่นกัน ยิ่งข้อมูลมีความไม่แน่นอนหรือความสุ่มมากเท่าไร เอนโทรปีก็ยิ่งสูงขึ้น และวิธีเดียวที่จะลดเอนโทรปีได้ คือการใส่พลังงานเข้าไปในระบบ . บิตคอยน์ ใช้หลักการนี้ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ด้วย Proof of Work กระบวนการที่นำพลังงานจากโลกฟิสิกส์มาเชื่อมโยงกับข้อมูลดิจิทัล ผ่านการประมวลผลหาค่า Hash จำนวนมหาศาลจนกว่าจะถึงเป้าหมาย เพื่อเพิ่มบล็อกธุรกรรมใหม่ใน Timechain . การขุดบิตคอยน์จึงหมายถึงการ “ใส่พลังงาน” ลงไปในระบบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยผนึกข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่าย . บิตคอยน์จึงเปรียบเสมือน "พลังงานดิจิทัล" ที่ถูกฝังอยู่ใน Timechain อย่างถาวร ยิ่งเวลาผ่านไป พลังงานเหล่านี้จะยิ่งเสริมสร้างเสถียรภาพให้กับเครือข่ายบิตคอยน์ . นี่คือครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ข้อมูลดิจิทัลมี "ต้นทุนทางพลังงาน" ฝังอยู่ในตัวเอง เป็นหลักฐานเชิงฟิสิกส์ที่ยืนยันความมั่นคงของข้อมูลเหล่านั้น . นี่คือการเชื่อมต่อกันระหว่างสองโลก พลังงานจากโลกฟิสิกส์ ถูกนำมาใช้เพื่อ ลดเอนโทรปี ในโลกของข้อมูลข่าวสารได้ . บิตคอยน์จึงไม่ใช่เพียงแค่ "เงินดิจิทัล" แต่คือการปฏิวัติรากฐานใหม่ของความมั่นคง ที่จะนำเราเข้าสู่ยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร (Information Age) ในอนาคตอันใกล้ #siamstr
Pruk S.'s avatar
Pruk S. 9 months ago
Timechain: บิตคอยน์คือ "ห่วงโซ่แห่งเวลา" image เมื่อพูดถึงบิตคอยน์ หลายคนอาจคุ้นเคยกับคำว่า Blockchain ใช่มั้ยครับ? แต่รู้หรือไม่ว่า Satoshi Nakamoto ไม่เคยใช้คำนี้ใน Whitepaper แท้จริงแล้ว Satoshi เรียกมันว่า Timechain . เพราะทุกบล็อกในเครือข่าย เชื่อมโยงกันตามลำดับเวลา ธุรกรรมในบิตคอยน์จะถูกจัดรวมกันเป็นบล็อก แต่ละบล็อกมี Timestamp และถูกผูกเข้ากับบล็อกก่อนหน้าด้วยค่า Hash และแต่ละบล็อกจะเชื่อมต่อกันเป็น "ห่วงโซ่ของบล็อก" (blockchain) ตามลำดับเวลา . ทำไมเรียกว่า "ห่วงโซ่แห่งเวลา"? . Proof of Work คือหัวใจของบิตคอยน์ ตามกฎฟิสิกส์ (ถ้าทุกคนยังจำกันได้) Work (งาน) = แรง x เวลา การขุดบล็อกจึงไม่ได้ใช้แค่แรง (การประมวลผล) แต่ต้องใช้เวลาด้วย ใ เวลาเป็นทรัพยากรที่หายาก และไม่มีใครสามารถโกงเวลาได้ และเมื่อทุกบล็อกถูกเชื่อมต่อกันเป็นสายโซ่ มันจึงเปรียบได้ดั่ง “ห่วงโซ่แห่งเวลา” . Proof of Work ไม่เพียงแต่ช่วยรักษาความปลอดภัยให้เครือข่าย แต่ยังทำให้ Timechain คงอยู่เป็นบัญชีธุรกรรมตามลำดับเวลาอย่างต่อเนื่อง ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือบิดเบือนได้ . ทุกโหนดในเครือข่ายจะยอมรับห่วงโซ่ที่ยาวที่สุดเป็นเวอร์ชันที่ถูกต้อง ไม่ใช่เพียงเพราะมันยาวที่สุด แต่เพราะมันสร้างขึ้นด้วยพลังงานซึ่งพิสูจน์ได้จาก Proof of Work สะสมมากที่สุด . หากมีใครต้องการเปลี่ยนแปลงประวัติธุรกรรม พวกเขาต้องสร้างห่วงโซ่ที่ยาวกว่าของเดิม ซึ่งหมายถึงต้องใช้พลังประมวลผลมากกว่าทั้งเครือข่ายรวมกัน ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้ . พลังงานที่ใช้ขุดบิตคอยน์จึงไม่ใช้การใช้พลังงานไปเปล่าประโยชน์ แต่คือสิ่งที่ปกป้องประวัติธุรกรรมและความมั่นคงในบิตคอยน์ของทุกคน . Timechain จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่บัญชีธุรกรรมธรรมดา แต่มันคือ บันทึกทางประวัติศาสตร์ที่ถูกตรึงไว้ด้วยพลังงานและกฎฟิสิกส์ ไม่มีใครสามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขมันได้ #siamstr
Pruk S.'s avatar
Pruk S. 10 months ago
หรือเราจะขาย sperm ไปซื้อ BTC ดี #siamstr image
Pruk S.'s avatar
Pruk S. 10 months ago
บิตคอยน์ทำงานอย่างไร? (Part 3) — ความยากในการขุดบิตคอยน์ image ในโพสต์ที่แล้ว เราคุยกันว่าการขุดบิตคอยน์คือการแข่งขันหาค่า Hash ที่ต่ำกว่า "เป้าหมาย" ที่เครือข่ายกำหนด ใครที่พบค่าที่ถูกต้องก่อนจะมีสิทธิ์บันทึกบล็อกใหม่ลงในบัญชีธุรกรรม และเราเรียกบุคคลหรือกลุ่มคนที่รันโหนดเพื่อขุดบิตคอยน์นี้ว่า “นักขุด” ครับ . ในวันนี้ผมจะมาลงรายละเอียดอีกซักหน่อยเกี่ยวกับความยากในการขุดบิตคอยน์กันนะครับ . ก่อนอื่น เรามาดูเรื่องความสัมพันธ์ของ “เป้าหมาย” กับ ความยาก” ในการขุดกันนะครับ . เป้าหมายต่ำลง = ขุดยากขึ้น ลองนึกภาพว่าเรามีตัวเลขสุ่มระหว่าง 0 ถึง 1,000,000 แล้วกำหนดเงื่อนไขว่า . ถ้าสุ่มได้ตัวเลขต่ำกว่า 100,000 ถือว่าผ่าน → โอกาสผ่าน 10% ถ้ากำหนดให้ต่ำกว่า 10,000 ถือว่าผ่าน → โอกาสผ่าน 1% ถ้ากำหนดให้ต่ำกว่า 1,000 ถือว่าผ่าน → โอกาสผ่าน 0.1% . ดังนั้น ยิ่งเป้าหมายต่ำ (ตัวเลขเล็ก) การสุ่มหาตัวเลขที่ถูกต้องก็ยิ่งยากขึ้น Proof of Work ก็ทำงานแบบเดียวกันครับ . ถ้าเครือข่ายกำหนดค่าเป้าหมายสูง (ตัวเลขใหญ่) → นักขุดมีโอกาสพบค่า Hash ได้ง่าย ถ้าค่าเป้าหมายต่ำ (ตัวเลขเล็ก) → นักขุดต้องลองคำนวณซ้ำ ๆ มากขึ้นกว่าจะพบค่าที่ถูกต้อง . ทำไมต้องมีการปรับระดับความยาก? เพราะพลังประมวลผลของเครือข่ายมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาครับ . ถ้านักขุดเพิ่มขึ้น จำนวนโหนดมากขึ้น หรือมีเครื่องขุดที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น บล็อกใหม่จะถูกขุดเร็วขึ้น และอาจเร็วจนเกินไป ทำให้โหนดทั้งเครือข่ายอัปเดตและข้อมูลไม่ทันครับ เพราะเครือข่ายบิตคอยน์นั้นมีโหนดกระจายตัวทั่วโลก ทุกโหนดต้องรับ-ส่งและตรวจสอบธุรกรรมกับโหนดอื่น ๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งต้องใช้เวลา ถ้าบล็อกถูกสร้างเร็วเกินไป ข้อมูลอาจยังไม่ถูกกระจายไปครบทุกโหนด เกิดความเสี่ยงที่บัญชีธุรกรรมจะแตกออกเป็นหลายเวอร์ชันครับ . หรือถ้านักขุดลดลง อาจเพราะโหนดที่ขุดบางส่วนปิดตัวลง บล็อกใหม่ถูกขุดช้าลง ทำให้ธุรกรรมใช้เวลานานกว่าจะถูกยืนยัน ส่งผลต่อประสิทธิภาพของเครือข่าย . ดังนั้นหากไม่มีการควบคุมความเร็วในการขุด ระบบบิตคอยน์จะขาดเสถียรภาพครับ . บิตคอยน์จึงถูกออกแบบให้สร้างบล็อกใหม่เฉลี่ยทุก 10 นาที ด้วยกลไกที่เรียกว่า "การปรับระดับความยาก" (Difficulty Adjustment) . ทุก ๆ 2016 บล็อก (ประมาณ 2 สัปดาห์) เครือข่ายจะประเมินว่าในช่วงที่ผ่านมาใช้เวลาขุดเร็วหรือช้าเกินไป . ถ้าขุดเร็วเกินไป → ลดค่าเป้าหมาย (ขุดยากขึ้น) ถ้าขุดช้าเกินไป → เพิ่มค่าเป้าหมาย (ขุดง่ายขึ้น) . ด้วยกลไกนี้ ไม่ว่าพลังขุดจะเพิ่มหรือลดลง เครือข่ายบิตคอยน์สามารถปรับตัวได้เอง นักขุดทุกโหนดยังคงแข่งขันเพื่อสร้างบล็อกใหม่ทุก 10 นาทีโดยเฉลี่ยได้อย่างมีเสถียรภาพและไม่มีตัวกลางใดควบคุมครับ . ป.ล. โพสต์หน้าผมจะพูดถึงเรื่องอะไรที่น่าสนใจเกี่ยวกับบิตคอยน์อีก ฝากติดตามด้วยนะครับ #siamstr
Pruk S.'s avatar
Pruk S. 10 months ago
บิตคอยน์ทำงานอย่างไร? (Part 2) — ว่าด้วยการขุด ในโพสต์ที่แล้ว เราคุยกันว่าบิตคอยน์เป็นเครือข่ายไร้ศูนย์กลางที่มีคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า โหนด ทำงานร่วมกันเพื่อเก็บบัญชีธุรกรรมทั้งหมดแบบเดียวกันกระจายทั่วโลก แต่คำถามสำคัญคือ… โหนดไหนจะถูกเลือกเป็นผู้มีสิทธิ์บันทึกธุรกรรมชุดใหม่ลงในบัญชีธุรกรรม? คำตอบก็คือ กระบวนการที่เรียกว่า "การขุด" (Mining) นั่นเองครับ image การขุดคืออะไร? การขุด คือกระบวนการเพิ่มธุรกรรมใหม่ลงในบัญชีธุรกรรมของบิตคอยน์ ทุกโหนดในเครือข่ายจะเก็บธุรกรรมล่าสุดไว้ในพื้นที่เก็บข้อมูลชั่วคราวที่เรียกว่า Memory Pool จากนั้นโหนดใด ๆ ก็ได้สามารถพยายามขุดโดยรวบรวมธุรกรรมจาก Memory Pool และบรรจุลงในสิ่งที่เรียกว่า "บล็อก" (Block) แต่การสร้างบล็อกใหม่นี้ไม่ได้หมายความว่าแค่การรวบรวมธุรกรรมเฉย ๆ นะครับ เพราะบล็อกใหม่จะได้รับการยอมรับและบันทึกลงบัญชีธุกรรมจากโหนดอื่น ๆ ก็ต่อเมื่อมีหลักฐานว่าได้ใช้พลังประมวลผล หรือที่เรียกว่า “Proof of Work” มากพอครับ แล้ว Proof of Work ถูกสร้างขึ้นได้อย่างไร? บล็อกที่ถูกสร้างขึ้นมานี้จะต้องผ่านกระบวนการที่เรียกว่า “ฟังก์ชัน Hash” ครับ ลองนึกถึงเครื่องปั่นผลไม้ชนิดพิเศษที่มีความเที่ยงตรงสูงมากครับ ถ้าเรานำผลไม้ต่าง ๆ ใส่ลงไป เช่น กล้วย สตรอว์เบอร์รี และแอปเปิ้ล แล้วกดปั่น เราจะได้สมูทตี้ออกมา 1 แก้ว (ดูรูปที่ 2 ข้างบน) และไม่ว่าใครจะเอาส่วนผสมแบบเดียวกันไปปั่นก็จะได้สมูทตี้ที่มีรสชาติเหมือนกันเป๊ะ ในทางกลับกันหากส่วนผสมแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย สมูทตี้ที่ได้ก็จะมีรสชาติที่แตกต่างกันมาก และเราก็ไม่สามารถชิมรสชาติแล้วบอกได้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง ฟังก์ชัน Hash ก็ทำงานในลักษณะเดียวกันครับ แต่เปลี่ยนจากเครื่องปั่นผลไม้มาเป็น “เครื่องปั่นข้อมูล” ที่ใช้สูตรทางคณิตศาสตร์แปลงข้อมูลอะไรก็ได้ (ไม่ว่าจะเป็นตัวหนังสือ ตัวเลข หรือแม้แต่ไฟล์) ให้ออกมาเป็นตัวเลขชุดหนึ่งที่เรียกว่า “ค่า Hash” (ดูรูปที่ 2 ข้างล่าง) image สิ่งสำคัญคือ ถ้าใส่ข้อมูลเดิมเข้าไปจะได้ค่า Hash เดิมทุกครั้ง แต่ถ้าเปลี่ยนข้อมูลแม้แต่นิดเดียว ค่า Hash จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และไม่สามารถย้อนกลับจากค่า Hash เพื่อหาข้อมูลเดิมได้ครับ แล้วฟังก์ชัน Hash สร้าง Proof of Work ได้อย่างไร? Proof of Work คือการแข่งขันค้นหาค่า Hash ที่ตรงตามเงื่อนไขของเครือข่ายบิตคอยน์ครับ เมื่อสร้างบล็อกธุรกรรม ข้อมูลทั้งหมดของบล็อกจะถูกนำมาเข้าฟังก์ชัน Hash เพื่อคำนวณค่า Hash ถ้าค่าที่ได้ต่ำกว่าค่า “เป้าหมาย” ที่เครือข่ายกำหนด บล็อกนั้นจะถือว่าใช้ได้ และได้รับการยอมรับให้บันทึกลงในบัญชีธุรกรรมของทุกโหนด แต่ปัญหาคือ เราไม่สามารถคาดเดาผลลัพธ์จากฟังก์ชัน Hash ล่วงหน้าได้ และไม่สามารถย้อนกลับจากค่า Hash ที่ต้องการเพื่อหาข้อมูลเดิมได้ ดังนั้น หากค่า Hash ยังไม่ต่ำกว่าเป้าหมาย จะต้องปรับเปลี่ยนข้อมูลบางอย่างในบล็อก (เช่น เปลี่ยนค่าตัวเลขสุ่มที่เรียกว่า Nonce) แล้วคำนวณใหม่ ซึ่งแม้จะเปลี่ยนข้อมูลเพียงเล็กน้อยค่า Hash ที่ได้ก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง กระบวนการนี้จะถูกทำซ้ำไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีโหนดที่พบค่า Hash ที่ต่ำกว่าเป้าหมาย เมื่อพบแล้ว บล็อกนั้นก็จะได้รับการยอมรับให้ถูกเพิ่มลงในบัญชีธุรกรรมของทุกโหนดในเครือข่าย (ดูรูปที่ 3) และกระบวนการสร้างบล็อกใหม่ก็จะเริ่มต้นอีกครั้งครับ image เพื่อจูงใจให้โหนดต่าง ๆ ใช้พลังประมวลผลในการแข่งขันสร้างบล็อกใหม่ บิตคอยน์จึงมี “รางวัลบล็อก” (Block Reward) ครับ รางวัลบล็อกนี้จะอยู่ในรูปของธุรกรรมพิเศษที่เป็นธุรกรรมแรกของบล็อก โดยไม่มีผู้ส่ง แต่มีผู้รับเพียงอย่างเดียว จึงเป็นกลไกที่ทำให้เกิดบิตคอยน์ใหม่ในระบบ หากท่านเป็นเจ้าของโหนดที่สามารถสร้างบล็อกได้สำเร็จ ท่านก็สามารถ สร้างบิตคอยน์เหรียญใหม่เป็นรางวัลให้ตัวเองได้ครับ อย่างไรก็ตาม รางวัลนี้ไม่ได้คงที่ตลอดไปนะครับ บิตคอยน์มีกลไกที่เรียกว่า "Halving" หรือการลดรางวัลบล็อกลงครึ่งหนึ่งทุก ๆ 210,000 บล็อก (ประมาณ 4 ปี) ปี 2009: รางวัลเริ่มต้นที่ 50 BTC ต่อบล็อก ปี 2012: ลดลงเหลือ 25 BTC ปี 2016: ลดลงเหลือ 12.5 BTC ปี 2020: ลดลงเหลือ 6.25 BTC ปี 2024: (ปัจจุบัน) เหลือ 3.125 BTC รางวัลบล็อกนี้จะลดลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งประมาณปี 2140 จะไม่มีบิตคอยน์ใหม่ถูกขุดเพิ่มอีกต่อไป และจะมีบิตคอยน์รวมกัน เกือบ 21 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดของระบบ นี่คือเหตุผลที่เรียกกระบวนการสร้างบล็อกธุรกรรมว่า "การขุด" (Mining) เพราะมันคล้ายกับการขุดทองที่มีอยู่จำกัด การที่มีอยู่จำกัดนี้เองคือเหตุที่ทำให้บิตคอยน์สามารถรักษามูลค่าได้ครับ และที่สำคัญ การขุดไม่ได้เป็นแค่กระบวนการสร้างบิตคอยน์ใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้เครือข่ายปลอดภัยจากการแก้ไขข้อมูลย้อนหลัง เพราะหากใครต้องการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในบล็อกที่ถูกบันทึกไปแล้ว เขาจะต้องขุดบล็อกใหม่ทั้งหมดตั้งแต่จุดที่ต้องการเปลี่ยนแปลง พร้อมกับแข่งพลังประมวลผลกับเครือข่ายที่กำลังสร้างบล็อกใหม่ตลอดเวลา ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาล ทำให้ระบบบิตคอยน์สามารถรักษาความสมบูรณ์ของข้อมูลได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใครเป็นศูนย์กลาง ถึงตรงนี้ เรารู้แล้วว่าการขุดคืออะไรและนักขุดได้รับรางวัลอย่างไร แต่การขุดไม่ได้ง่ายเสมอไปครับ เพราะเครือข่ายบิตคอยน์มีกลไกที่ทำให้การขุดยากขึ้นตามเวลา ทำไมเป้าหมายต่ำลงถึงทำให้การขุดยากขึ้น? ถ้าขุดเร็วเกินไป จะเกิดปัญหาอะไร? บิตคอยน์ปรับสมดุลของระบบอย่างไร? เราจะมาพูดถึงกลไกสำคัญเหล่านี้ในโพสต์ถัดไปครับ #siamstr
Pruk S.'s avatar
Pruk S. 10 months ago
วันหยุดกับงานที่เรารัก #siamstr image
Pruk S.'s avatar
Pruk S. 10 months ago
บิตคอยน์ (Bitcoin) คืออะไร? บิตคอยน์คือ "เงินดิจิทัล" แต่ไม่เหมือนเงินดิจิทัลทั่วไปที่เราคุ้นเคย มันคือเงินดิจิทัลแบบ “ไร้ตัวกลาง” ที่ทำให้คุณสามารถส่งบิตคอยน์ไปให้ใครก็ได้บนโลกนี้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เวลาใด จำนวนเท่าไหร่ โดยไม่ต้องผ่านธนาคารหรือสถาบันการเงินใด ๆ เมื่อพูดถึงเงินดิจิทัล หลายคนอาจนึกถึงการจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต แอปธนาคาร หรือบริการทางการเงินต่าง ๆ ที่ต้องพึ่งพาธนาคารหรือบริษัทเอกชนเป็นตัวกลางในการดำเนินธุรกรรม ในระบบการเงินแบบดั้งเดิม เราจำเป็นต้องมี ตัวกลาง เช่น ธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ ที่มีบทบาทในการตรวจสอบการทำธุรกรรมและสร้างความมั่นใจว่าทุกอย่างถูกต้องและปลอดภัย แต่การมีตัวกลางก็นำมาซึ่ง การรวมศูนย์อำนาจทางการเงิน ไว้ในมือของไม่กี่คน ในระบบการเงินปัจจุบัน มีธนาคารขนาดใหญ่เพียงไม่กี่แห่งที่ตรวจสอบและควบคุมธุรกรรมทั้งหมด พวกเขามีอำนาจกำหนดว่าใครสามารถเปิดบัญชีได้ และธุรกรรมแบบไหนที่ได้รับอนุญาต และเราไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องเชื่อใจ ธนาคาร อาจไม่ได้แค่เก็บเงินของเราไว้เฉย ๆ พวกเขาอาจนำเงินฝากของเราไป ปล่อยกู้ สร้างหนี้ โดยมีเงินสำรองเพียงเล็กน้อย สมมติถ้าทุกคนแห่กันไปถอนเงินพร้อมกัน... ธนาคารจะสามารถจ่ายคืนให้ทุกคนได้จริงหรือไม่? นี่เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิด วิกฤตเศรษฐกิจโลก เช่น วิกฤตซับไพรม์ (Subprime Crisis) ในปี ค.ศ. 2008 ซึ่งเกิดจากธนาคารให้สินเชื่อเกินตัว และการบริหารความเสี่ยงที่ล้มเหลว การมีตัวกลางในระบบการเงิน แม้จะทำให้ทุกอย่างสะดวกสบาย แต่มันมีราคาที่ต้องจ่าย นั่นคือ "ความเชื่อใจ" การที่ทุกคนต่างเชื่อมั่นตัวกลางที่มีเพียงไม่กี่คน ส่งผลให้ตัวกลางมีอำนาจจนเกินกว่าจะเชื่อใจได้ จะดีกว่าไหม? หากเรามี ระบบเงินดิจิทัลที่ไร้ตัวกลาง ไม่ต้องพึ่งพาตัวกลางที่ต้องการให้เราเชื่อใจ และยังทำงานได้อย่างปลอดภัยและโปร่งใส ความพยายามสร้างระบบเงินที่ไร้ตัวกลางนี่มีมาตั้งแต่ ช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 ไม่ว่าจะเป็น DigiCash BitGold B-Money และ HashCash แต่ทุกระบบเหล่านี้ล้วนล้มเหลว เนื่องจากปัญหาทางเทคนิคหรือขาดความเชื่อมั่นจากผู้ใช้งาน จนไม่สามารถนำไปใช้จริงในวงกว้างได้ จนกระทั่งปี ค.ศ. 2008 หลังจากวิกฤตซับไพรม์ ได้มีบุคคลนิรนามใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto เปิดตัวระบบ Peer-to-Peer Electronic Cash ที่เรียกว่า "บิตคอยน์" กุญแจสำคัญที่ Satoshi Nakamoto ได้เสนอ คือคำตอบสำหรับปัญหาของ การคำนวณแบบไร้ตัวกลางที่รู้จักกันในชื่อ “Byzantine Generals' Problem” ที่ถูกกล่าวถึงครั้งแรกในปี ค.ศ. 1982 มันคือปัญหาหลักของระบบไร้ตัวกลางอย่างบิตคอยน์ ที่ไม่มีผู้นำในการตัดสินใจของทั้งระบบให้ไปในทิศทางเดียวกัน การแก้ปัญหาดังกล่าวคือการใช้อัลกอริทึม proof-of-work ที่ช่วยสร้างกระบวนการจับสลากทุก ๆ 10 นาทีโดยเฉลี่ย เพื่อเลือกผู้นำในการยืนยันธุรกรรม วิธีนี้ทำให้ระบบที่ไร้ตัวกลางสามารถบรรลุความเห็นพ้องกันได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาตัวกลางที่เชื่อถือได้ มันคือการตัดตัวกลางออก แล้วแทนที่ด้วยกฎทางคณิตศาสตร์ที่เป็นสัจจะ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง บิตคอยน์จึงไม่ใช่แค่เทคโนโลยีทางการเงินที่ทันสมัย แต่นี้คือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ครั้งแรกที่มนุษย์จะสามารถเก็บรักษาและส่งต่อคุณค่าผ่านโลกดิจิทัล โดยไม่ต้องพึ่งพาตัวกลางที่เรา "เชื่อใจ" อีกต่อไป นี่คือจุดเริ่มต้นของการ ปฏิวัติทางการเงิน ที่จะเขย่าวงการการเงินโลกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า image #siamstr
Pruk S.'s avatar
Pruk S. 10 months ago
ความจริงแม่งช้า แต่มันก็มา #siamstr image
Pruk S.'s avatar
Pruk S. 10 months ago
พอเห็นคนลงรูปหนังสือแล้วมันหัวร้อน🔥 #ความจริงแม่งช้า #siamstr
Pruk S.'s avatar
Pruk S. 10 months ago
หลายคนอาจซื้อบิตคอยน์ด้วยความหวังว่าจะขายมันได้ในราคาที่สูงกว่าในอนาคต . อาจมองว่ามันคือการลงทุนในสินทรัพย์รูปแบบหนึ่ง หรืออาจมองว่ามันเป็นเพียง “store of value” เครื่องมือสำหรับเก็บรักษามูลค่าเท่านั้น . วันนี้ผมอยากให้ทุกคนได้เห็นอีกความสามารถหนึ่ง "บิตคอยน์" ที่มากกว่าแค่การซื้อ-ขาย นั่นคือการเป็น “สื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการ” . เพียงแค่คุณเริ่มต้น ด้วยการนำบิตคอยน์ของคุณออกจาก Exchange มาเก็บไว้ในกระเป๋าของคุณเอง จะเป็น Hot Wallet, Cold Wallet หรือ Hardware Wallet ก็ได้ เริ่มต้นด้วยจำนวนเล็กน้อย แค่สำหรับการทดลองก็พอ . จากนั้นลองทำธุรกรรมดูสักครั้ง โอนจาก Address หนึ่งไปยังอีก Address หนึ่ง จะเป็นการโอนเข้ากระเป๋าตัวเองก็ได้ . แล้วคุณจะพบกับความอัศจรรย์! . การทำธุรกรรมนี้ ไม่ต้องขออนุญาตใคร การทำธุรกรรมนี้ โปร่งใส ตรวจสอบได้ แต่ไม่ต้องเปิดเผยให้ทั้งโลกรู้ การทำธุรกรรมนี้ เกิดขึ้นที่ใดก็ได้ ไร้พรมแดน การทำธุรกรรมนี้ สามารถข้ามโลก โดยใช้เวลาเพียงประมาณ 10 นาที การทำธุรกรรมนี้ ไม่มีวันหยุด ไม่ถูกจำกัดเวลา และไม่มีตัวกลางควบคุม . นี่คือสิ่งที่ผมอยากให้ทุกคนเห็นว่าบิตคอยน์ไม่ได้เป็นเพียงแค่สินทรัพย์เพื่อการลงทุน แต่มันคือ “เงิน” รูปแบบใหม่ที่ใช้งานได้จริง . "เงิน" ที่มอบอำนาจให้แก่ผู้ที่ถือครองมันได้อย่างเต็มที่ . ผมไม่ได้อยากให้คุณเชื่อ แต่แค่อยากให้ลองด้วยตัวของคุณเอง Don’t trust, verify . วันนี้คุณได้ลองทำธุรกรรมบิตคอยน์แล้วหรือยัง? #siamstr image